Mindset ส่งผลต่อชีวิตผู้เขียนอย่างไร
คำๆ นี้ แปลว่าอะไรกันแน่ ผู้เขียนก็ไม่แน่ใจ
แต่เข้าใจเอาเองว่า น่าจะหมายถึง จิตเป็นตัวกำหนด หรือ ความคิดเป็นตัวกำหนด ถามว่ากำหนดอะไร ก็กำหนดพฤติกรรม
หรือการแสดงออกของเรานั่นแหละ
ผู้เขียนเพิ่งมารู้จักคำๆ นี้เมื่อไม่นานมานี้เอง
เพราะได้ยินเอาจากบรรดานักวิชาการ กูรู ผู้รอบรู้ทางด้านธุรกิจ หรือ
การดำเนินชีวิต มักจะกล่าวถึงคำๆ นี้ให้ได้ยินบ่อยๆ ผ่านสื่อต่างๆ ในระยะหลัง
ในวัยเด็ก ต้องบอกว่า ผู้เขียนใช้ชีวิตแบบเล่นสนุกไปวันๆ
ไม่มีกรอบความคิด หรือการวางแผนชีวิตอะไรใดๆ ทั้งสิ้น
ความคิด ทัศนคติ จิตใจ พฤติกรรม การแสดงออก
ล้วนเป็นสิ่งที่สั่งสมมาจากการเรียนรู้ ประสบการณ์ในชีวิตของตนเอง
สิ่งใดที่เคยทำผิดพลาดพลั้งไป เราก็จะจำ หมั่นคิดทบทวน หรือพยายามศึกษา หาคำตอบ
มาเป็นบทเรียนให้แก่ตนเอง ไม่ให้ทำผิดพลาดในเรื่องนั้นซ้ำอีก แต่หากเป็นเรื่องดี
เราก็จะนำมาคิดทบทวน และคิดต่อยอด หรือนำมาเป็นแรงบันดาลใจ กำลังใจ
ให้ก้าวเดินต่อไปในทางที่ถูกต้อง และหมั่นทำสิ่งนั้นสม่ำเสมอ
เพื่อพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีก
ผู้เขียนมีชีวิตในวัยเด็กอยู่ในช่วงยุค 70’s วัยร่ำเรียนหนังสืออยู่ในยุค 80’s
และเริ่มชีวิตการทำงานในยุค 90’s
ซึ่งมันเป็นช่วงชีวิตที่ผู้เขียนรู้สึกว่า มีความสนุกสนาน
มีความสุขกับการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขขั้นสุด ราวกับวิ่งอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์
จนมีคนค่อนขอดว่ายุค 80’s-90’s เป็นยุคโลกสวย
ที่ทุกสิ่งในโลกเต็มไปด้วยสีสัน ไม่ว่าจะวงการอะไร
มนุษย์ผู้คนยังไม่มีการแข่งขันกันมากมาย เอาเป็นเอาตายเหมือนยุคดิจิตอลในยุคนี้ สิ่งประดิษฐ์ ของสะสม
เรื่องราวไร้สาระแต่มีสาระสำหรับคนยุคนนั้น ล้วนเกิดในช่วงยุคนั้นทั้งสิ้น
อาทิ เกมบอย เพจเจอร์ รถทามิยา ทามาก็อตจิ
ของเล่นตุ๊กตุ่นตุ๊กตา โมเดลหุ่นยนต์ ซุปเปอร์ฮีโร่ แฟชั่นแต่งกายกางเกงขาบาน
รองเท้าส้นตึก เสื้อสายเดี่ยว เกราะอก ของสะสมพวกการ์ด เหรียญ แสตมป์
หรืออะไรก็แล้วแต่ แม้กระทั่งตู้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ ก็เกิดในยุคนั้น ฯลฯ
คิดดูว่ามนุษย์แบบผู้เขียนหรือคนที่มีชีวิตในยุคเดียวกัน
จะมีความสุข กลายเป็นมนุษย์สุขนิยมขนาดไหน
เพราะถูกหล่อหลอมมาด้วยเรื่องราวที่อยู่ในยุคโลกสวย
แต่พอผ่านชีวิตมาจนถึงยุคปัจจุบัน
ทุกสิ่งเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีได้มา ฆ่าทำลาย
สิ่งต่างๆ ที่เคยมีอยู่ในยุคโลกสวย (ขอใช้คำนี้แทนคำว่ายุคอนาล็อกแทน)
จนเกือบหมดสิ้น แม้ว่าผู้เขียนไม่ได้ต่อต้านสิ่งที่มาใหม่ แต่ก็รู้สึกใจหาย
และก็รู้สึกว่าตนเองต้องปรับตัวเป็นอันมาก
เพื่อให้สามารถอยู่บนโลกที่มีการเปลียนแปลงอยู่ตลอดเวลาในยุคนี้ให้ได้
บางครั้งคนที่เกิดมาในยุคดิจิตอล ก็มีข้อดี
ข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าคนยุคก่อนเป็นอันมาก เช่น เรียนรู้เทคโนโลยีได้ไวกว่า
เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เกมคอมพิวเตอร์ ไลฟ์สไตล์ที่เป็นปัจเจกและแปลกแยก
แตกต่างจากคนยุคก่อน
แต่ก็มีบางอย่างที่คนยุคก่อนได้เปรียบและเคยผ่านประสบการณ์ชีวิตในยุคโลกสวยมาก่อน
ซึ่งไม่อาจหาซื้อได้ด้วยเงิน หรือย้อนเวลากลับไปได้
ช่วงชีวิตนึง ผู้เขียนรู้สึกว่าตนเองเคยตัดสินใจผิดพลาด ทั้งๆ ที่ตนเองมีโอกาสที่จะได้เรียนสายวิทย์-คณิต และได้เข้าเรียนต่อ ม.4 ได้เลย (เนื่องจากอยู่ห้องคิง เพราะเรียนดี,ความประพฤติดี) ในสถาบันการศึกษาเดิม แต่กลับเลือกที่จะไปสอบเรียนต่อสายศิลป์ (อาชีวะ) ตามเพื่อน ในอีกสถาบันนึง นี่เป็นจุดหักเหแรก ที่ผิดพลาดของผู้เขียน ซึ่งผุ้เขียนคิดว่า ถ้าตอนนั้นเลือกที่จะเรียนต่อสายวิทย์-คณิต ตามที่อาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์แนะแนว ได้แนะนำไว้ ชีวิตการทำงานของผู้เขียนในปัจจุบันก็น่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (นี่คือความคิดที่เคยกล่าวโทษตนเองในอดีตที่ผ่านมา) ส่วนอีกจุดผิดพลาดนึง ซึ่งเป็นจุดหักเหในครั้งที่ 2 (ซึ่งผู้เขียนถือว่าเป็นจุดผิดพลาดมหันต์ครั้งใหญ่ของตนเอง) ก็คือนำเงินเก็บส่วนนึงไปลงทุนเล่นหุ้น แบบเก็งกำไร โดยไม่มีการประมาณตนหรือระมัดระวังเพียงพอ ทำให้เกิดความเสียหายจนหมดตัวและเป็นหนี้ตามมาอีกมาก จุดผิดพลาดในครั้งที่ 3 ก็คือ เลือกที่จะเอาเงินเก็บก้อนนึงของตนเอง (ที่สะสมมาจากการทำงานได้ระยะหนึ่ง) ไปเรียนต่อปริญญาโท แทนที่จะเอาไปลงทุนทำธุรกิจกับเพื่อนที่มีโอกาสทำกำไร และได้มีโอกาสเริ่มในการทำธุรกิจส่วนตัว มีประสบการณ์ทำธุรกิจด้วยตนเอง จุดผิดพลาดครั้งที่ 4 คือถูกเพื่อนที่ทำงานหลอกให้เข้าสู่ธุรกิจ MLM โดยอ้างว่าเป็นธุรกิจที่สามารถทำที่บ้านได้ โดยอาศัยอินเตอร์เน็ต แต่พอเข้าไปอบรมสัมมนาก็ถูกโน้มน้าวให้สมัครเป็นสมาชิก โดยช่วงแรกเขาจะพูดแต่ด้านดีของผลิตภัณฑ์ และผลประโยชน์ที่จะได้รับ แต่พอสมัครเข้าไปทำซักพัก เขาก็จะโน้มน้าวให้เราซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อทำยอดให้ได้ระดับ supervisor แล้วจะได้ส่วนลดในการสั่งซื้อจำนวนมากในฐานะ supervisor ก็เลยหลวมตัวทำตามไป มารู้ทีหลังว่ามันเป็นธุรกิจที่หาคนมาเป็นฐานต่อจากเราไปเรื่อยๆ จึงจะเติบโต สุดท้ายก็ต้องยอมถอนตัว คืนสินค้าไป แต่ก็ได้รับเงินกลับมาไม่ครบ กลายเป็นความสูญเสียครั้งที่ 4 แบบชนิดซื้อความรู้ด้วยความโง่และเสียเงินเป็นค่าสังเวยความโง่ไปอีก
ทั้งหลายเหล่านี้คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดในชีวิตของผู้เขียน ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตตามมา หรือทำให้ชีวิตพลิกผันไปในทางเลวร้าย ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเกิดจากการที่ไม่มีหลักคิด หรือกรอบแนวคิดที่ถูกต้องมากำกับ หรือไม่มีข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจ ไม่ได้มีข้อมูลที่ดีพอ หรือมากพอ ให้เห็นภาพผลดี ผลร้าย หรือโทษมหันต์ หากว่าตัดสินใจไปในแนวทางใด แนวทางหนึ่ง อย่างไม่รอบคอบ ซึ่งก็คือไมมี Mindset ที่ดี นี่คือสิ่งที่ผู้เขียนได้ผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายมาแล้ว จึงนำเรื่องนี้มาบอกเล่าเป็นอุทธาหรณ์ให้ผู้อ่านได้เห็นถึงผลที่จะติดตามมา ผู้เขียนขอไม่เล่าไปถึงว่า ผู้เขียนต้องเผชิญอะไรบ้าง จากการตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างละเอียด แต่ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า มันส่งผลแน่ๆ ต่อชีวิตเรา หลังจากนั้น หากว่าการตัดสินใจนั้น ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจเลือกทางที่ดีที่สุดให้กับชีวิตของเรา
ช่วงชีวิตนึง ผู้เขียนรู้สึกว่าตนเองเคยตัดสินใจผิดพลาด ทั้งๆ ที่ตนเองมีโอกาสที่จะได้เรียนสายวิทย์-คณิต และได้เข้าเรียนต่อ ม.4 ได้เลย (เนื่องจากอยู่ห้องคิง เพราะเรียนดี,ความประพฤติดี) ในสถาบันการศึกษาเดิม แต่กลับเลือกที่จะไปสอบเรียนต่อสายศิลป์ (อาชีวะ) ตามเพื่อน ในอีกสถาบันนึง นี่เป็นจุดหักเหแรก ที่ผิดพลาดของผู้เขียน ซึ่งผุ้เขียนคิดว่า ถ้าตอนนั้นเลือกที่จะเรียนต่อสายวิทย์-คณิต ตามที่อาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์แนะแนว ได้แนะนำไว้ ชีวิตการทำงานของผู้เขียนในปัจจุบันก็น่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (นี่คือความคิดที่เคยกล่าวโทษตนเองในอดีตที่ผ่านมา) ส่วนอีกจุดผิดพลาดนึง ซึ่งเป็นจุดหักเหในครั้งที่ 2 (ซึ่งผู้เขียนถือว่าเป็นจุดผิดพลาดมหันต์ครั้งใหญ่ของตนเอง) ก็คือนำเงินเก็บส่วนนึงไปลงทุนเล่นหุ้น แบบเก็งกำไร โดยไม่มีการประมาณตนหรือระมัดระวังเพียงพอ ทำให้เกิดความเสียหายจนหมดตัวและเป็นหนี้ตามมาอีกมาก จุดผิดพลาดในครั้งที่ 3 ก็คือ เลือกที่จะเอาเงินเก็บก้อนนึงของตนเอง (ที่สะสมมาจากการทำงานได้ระยะหนึ่ง) ไปเรียนต่อปริญญาโท แทนที่จะเอาไปลงทุนทำธุรกิจกับเพื่อนที่มีโอกาสทำกำไร และได้มีโอกาสเริ่มในการทำธุรกิจส่วนตัว มีประสบการณ์ทำธุรกิจด้วยตนเอง จุดผิดพลาดครั้งที่ 4 คือถูกเพื่อนที่ทำงานหลอกให้เข้าสู่ธุรกิจ MLM โดยอ้างว่าเป็นธุรกิจที่สามารถทำที่บ้านได้ โดยอาศัยอินเตอร์เน็ต แต่พอเข้าไปอบรมสัมมนาก็ถูกโน้มน้าวให้สมัครเป็นสมาชิก โดยช่วงแรกเขาจะพูดแต่ด้านดีของผลิตภัณฑ์ และผลประโยชน์ที่จะได้รับ แต่พอสมัครเข้าไปทำซักพัก เขาก็จะโน้มน้าวให้เราซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อทำยอดให้ได้ระดับ supervisor แล้วจะได้ส่วนลดในการสั่งซื้อจำนวนมากในฐานะ supervisor ก็เลยหลวมตัวทำตามไป มารู้ทีหลังว่ามันเป็นธุรกิจที่หาคนมาเป็นฐานต่อจากเราไปเรื่อยๆ จึงจะเติบโต สุดท้ายก็ต้องยอมถอนตัว คืนสินค้าไป แต่ก็ได้รับเงินกลับมาไม่ครบ กลายเป็นความสูญเสียครั้งที่ 4 แบบชนิดซื้อความรู้ด้วยความโง่และเสียเงินเป็นค่าสังเวยความโง่ไปอีก
ทั้งหลายเหล่านี้คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดในชีวิตของผู้เขียน ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตตามมา หรือทำให้ชีวิตพลิกผันไปในทางเลวร้าย ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเกิดจากการที่ไม่มีหลักคิด หรือกรอบแนวคิดที่ถูกต้องมากำกับ หรือไม่มีข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจ ไม่ได้มีข้อมูลที่ดีพอ หรือมากพอ ให้เห็นภาพผลดี ผลร้าย หรือโทษมหันต์ หากว่าตัดสินใจไปในแนวทางใด แนวทางหนึ่ง อย่างไม่รอบคอบ ซึ่งก็คือไมมี Mindset ที่ดี นี่คือสิ่งที่ผู้เขียนได้ผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายมาแล้ว จึงนำเรื่องนี้มาบอกเล่าเป็นอุทธาหรณ์ให้ผู้อ่านได้เห็นถึงผลที่จะติดตามมา ผู้เขียนขอไม่เล่าไปถึงว่า ผู้เขียนต้องเผชิญอะไรบ้าง จากการตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างละเอียด แต่ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า มันส่งผลแน่ๆ ต่อชีวิตเรา หลังจากนั้น หากว่าการตัดสินใจนั้น ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจเลือกทางที่ดีที่สุดให้กับชีวิตของเรา
กลับมาที่คำว่า Mindset อีกที ถามว่าคนเราจำเป็นต้องมี Mindset เป็นกรอบการดำเนินชีวิตหรือไม่
ผู้เขียนขอตอบแบบคนโง่ๆ ที่ไม่ได้มีภูมิความรู้อะไรว่า เคยคิดนะครับว่า มันไม่จำเป็น สำหรับคนในยุคก่อนนะ แต่ถ้าเป็นคนที่เกิดมาในยุคดิจิตอลแล้ว
จำเป็นจะต้องมีครับ เพราะว่าโลกทุกวันนี้ มันสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก
แบบไม่รู้กี่เท่า สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรามันพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดนิ่ง พลวัตต่างๆ
กระแสโลกาภิวัฒน์ ข่าวสาร และเทคโนโลยีมันหมุนเร็วมาก
ถ้าเรามีกรอบหรือระบบความคิดที่ดี มันจะสามารถทำให้เรามีหลักชัย ที่จะคิด ตัดสินใจ
หรือก้าวเดิน ไปในทางที่ถูกต้อง เหมาะสม และไม่พลั้งพลาดได้ง่าย หรือบางคนอาจจะมีที่ปรึกษาไว้คอยช่วยเหลือปรึกษาก็ได้
เป็นตัวช่วยเรื่อง Mindset ก็ได้เหมือนกัน แต่หากเรามี Mindset
เป็นของตนเองจะดีกว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ที่ปรึกษาของเรา
หรือคนไหน ที่มันเก่งจริง และคอยเป็นที่ปรึกษาให้เราได้ทุกเรื่อง
ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม (และยิ่งบางคนไปพึ่งพาหมอดู หมอเดาอะไรพวกนี้
ผู้เขียนไม่แนะนำครับ เพราะเกรงว่าจะถูกหลอกเอาเงินเสียมากกว่า)
คนเราสามารถเปลี่ยนแปลง Mindset หรือกรอบความคิดของเราได้ทุกเมื่อ หากเรามี Mindset ที่ดี ที่ถุูกต้องแล้ว เราจะอยู่ได้ในโลกที่วุ่นวาย
สับสน ในยุคนี้ได้ครับ แบบที่ว่าสามารถปรับตัว รับกับสถานการณ์ความเลวร้ายได้ทุกเรื่อง อย่างมีสติ ไม่พลุ่งพล่านไปกับกระแส หรือคนรอบข้างอย่างแน่นอน
อ้างอิงบทความใกล้เคียงจากลิ้งค์นี้
https://kindlestartup.com/mindset%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น