เอเจนซีส์/เอเอฟพี -
ล่าสุดมีตัวเลขยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มไม่ต่ำกว่า 13 ราย
และบาดเจ็บจำนวน 380 คน ส่วนยอดผู้สูญหายมีจำนวนนับสิบ
และมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยไต้หวันสามารถดึงร่างเด็กชายอายุไม่เกิน 3
ปีพร้อมกับเหยื่อแผ่นดินไหวคนอื่นๆ ไม่ต่ำกว่า 230 ชีวิตออกมาจากใต้ซากตึกได้สำเร็จ
โดยคนทั้งหมดถูกช่วยออกมาได้รอดชีวิตทั้งหมดจากอพาร์ตเมนต์สูง 17 ชั้น หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.4 แมกนิจูด
ไหวรับวันขึ้นปีใหม่จีนในช่วงเช้ามืดเวลา 04.00 น.ของวันเสาร์
(6 ก.พ.) ทางตอนใต้ของไต้หวัน ใกล้กับเมืองไถหนัน
รายงานล่าสุดจากสำนักงานหอการค้าและเศรษฐกิจไทย (TTEO) ในกรุงไทเปว่า
ในเบื้องต้นไม่พบมีคนไทยอยู่ในรายชื่อผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต MSNBC สื่อสหรัฐฯรายงานวันนี้(6 ก.พ.)
ถึงตัวเลขล่าสุดผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์แผ่นดินไหวไต้หวันว่า
มียอดเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 13 คน ในขณะที่ตัวเลขผู้ได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นอยู่ที่
380 ราย ส่วนยอดสูญหายมีจำนวนหลายสิบคน ซึ่งในช่วงเช้าในวันเดียวกัน เดลีเมล์ สื่ออังกฤษ และเอเอฟพีรายงาน
รายงานว่า มียอดตัวเลขผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 7 รายชีวิต
รวมไปถึงเด็กทารกเพศหญิงอายุ 10 วัน รวมไปถึงเกรงว่าจะมีผู้ยังติดอยู่ใต้อาคารอีกไม่ต่ำกว่า
30 คนล่าสุด จากแผ่นดินไหวระดับ 6.4 แมกนิจูด
เกิดขึ้นใกล้กับเมืองไถหนัน ทางตอนใต้ของไต้หวัน ในช่วงเช้ามืดเวลา 04.00 น.ของวันเสาร์ (6 ก.พ.)
ซึ่งเป็นวันหยุดวันแรกเทศกาลตรุษจีนในไต้หวัน ทำให้ตึกอพาทเมนต์สูง 17 ชั้นที่มีรายงานว่ามีคนอาศัยอยู่ร่วม 200 ชีวิตถล่มลงมา
ท่ามกลางตึกสูงอื่นๆในบริเวณใกล้เคียงที่ถล่มลงมาเช่นกัน
ซึ่งมีรายงานว่ามีตึกอพาร์ตเมนต์ถึง 92 แห่งอยู่ในบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว
สื่ออังกฤษรายงานว่า รัฐบาลไต้หวันได้ระดมเจ้าหน้าที่กู้ภัย และทหารจำนวนร่วม 1,200
คนทำงานแข่งกับเวลา
เร่งค้นหาผู้รอดชีวิตที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังเหล่านี้ โดยเอพีรายงานเพิ่มเติมว่า
สำนักงานกู้ภัยไต้หวันให้ข้อมูลว่า
ในปฏิบัติการกู้ภัยนี้ทางไต้หวันใช้เจ้าหน้าที่จำนวนทั้งหมดถึง 1,236 คน ที่รวมไปถึงทหาร 840 นาย เฮลิคอปเตอร์จำนวน 6
ลำ และสุนัขค้นหาอีก 23 ตัว ซึ่งในการค้นหาร่างผู้ติดอยู่ใต้ซากตึก
เดลีเมล์รายงานว่า ร่างเด็กทารกวัย 10 วันถูกพบเป็นศพนอนเสียชีวิตเคียงข้างกับชายวัย
50 ปี ใต้ซากตึกอพาร์ตเมนต์ และยังพบว่ามีชายวัย 40 ปีเสียชีวิตด้วยเช่นกัน รวมไปถึงหญิงวัย 55 ปี
จากการรายงานของสำนักงานกู้ภัยเมืองไถหนัน นอกจากนี้
เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้ให้ข้อมูลกับสถานีโทรทัศน์แชเนลนิวส์เอเชีย
ว่ามีรายงานว่าในจุดอื่นมีการพบผู้เสียชีวิตด้วยเช่นกัน โดยพบว่ามีหญิงชาวไต้หวันอีกคนเสียชีวิตเนื่องมาจากแท็งก์น้ำขนาดใหญ่ตกลงมาทับร่างในขณะเกิดเหตุ
สื่ออังกฤษรายงานเพิ่มเติมต่อว่า
ทางหน่วยกู้ภัยไต้หวันยืนยันตัวเลขผู้ได้รับบาดเจ็บทั่วเมืองว่ามีราว 378 คน และยังพบว่าสาเหตุจากการบาดเจ็บอื่นเกิดมาจากถูกซากปรักหักพังตกลงมาทับ และในขณะที่มีจำนวนประชาชนที่ถูกทางหน่วยกู้ภัยช่วยชีวิตออกมาจากใต้ตึกปรักหักพังทั่วไถหนันได้
พบว่ายอดยืนยันล่าสุดอยู่ที่ 230 คน
ซึ่งรวมไปถึงเด็กชายชาวไต้หวันวัย 3 ปีที่ติดอยู่ใต้ซากอพาทเมนต์ขนาด
17 ชั้นแห่งนี้ โดยเขาถูกเจ้าหน้าที่กู้ภัยชายอุ้มออกมา
โดยมีผ้าห่มห่อตัวไว้ในสภาพที่หนูน้อยมีอาการตื่นตกใจกลัว และยังพบว่า
ทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยไต้หวันสามารถช่วยเหลือเด็กคนอื่นๆ ออกมาได้เช่นกัน
จากการรายงานผ่านภาพข่าวจากสื่อทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น เอพี รอยเตอร์ หรืออีพีเอ
พบว่ามีทารกจำนวนหลายคนถูกเจ้าหน้าที่กู้ภัยลำเลียงช่วยเหลือออกมาได้สำเร็จในสภาพที่หนูน้อยเหล่านี้ยังคงเคลื่อนไหว
ซึ่งหนึ่งในทารกที่รอดชีวิตถูกห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าห่มสีชมพูผืนใหญ่ในขณะที่หนูน้อยอยู่ในอ้อมแขนของเจ้าหน้าที่กู้ภัยหญิงไต้หวันกำลังเดินออกไปสู่ด้านนอก
และมีกล้องทีวีตามถ่ายคนทั้งคู่อยู่ด้านหลัง โดยสื่ออังกฤษรายงานว่า
ทารกรายนี้ถูกช่วยชีวิตออกมาได้จากใต้ซากตึกอพาทเมนต์ขนาด 17 ชั้นเช่นกัน และในปฏิบัติการกู้ภัยไต้หวัน
สื่ออังกฤษชี้ว่าทางหน่วยกู้ภัยยังใช้เครนขนาดใหญ่เป็นเสมือนลิฟต์ช่วยให้คนที่ติดอยู่ตามตึกที่ปรักหักพังลงมา
โดยจากภาพข่าวพบว่า มีหญิงชาวไต้หวันคนหนึ่งที่มีชีวิตรอดมาได้หลังเกิดเหตุ
ได้ถูกช่วยชีวิตโดยการนั่งอยู่บนเครนยกสูงของทางหน่วยดับเพลิงเพื่อลงมาสู่เบื้องล่าง
ในขณะที่มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยไต้หวันนั่งประกบเธอลงมาด้วย นอกจากนี้ สื่ออังกฤษยังรายงานเพิ่มเติมว่า
ในขณะนี้ทางทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัยต่างทุมกำลังค้นหาผู้รอดชีวิตที่ติดอยู่ใต้ตึกอพาร์ตเมนต์สูง
17 ชั้นนี้ ที่ทางเจ้าหน้าที่เชื่อว่า
ยังคงมีผู้ติดอยู่ด้านใต้ซากตึกแห่งนี้อีก 30 คน ด้านสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐฯ (ยูเอสจีเอส) แถลงว่า
ในเบื้องต้นเกิดเหตุขึ้นก่อนเวลา 04.00 น.
ตามเวลาท้องถิ่นของวันนี้ในไต้หวัน เป็นแผ่นดินไหวระดับตื้นที่มีความลึกเพียง10
กม. แต่สามารถทำให้มีผลกระทบร้ายแรงมากยิ่งขึ้นได้ และหลังจากนั้นมีรายงานการเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า
5 ครั้ง ที่มีระดับความแรง 3.8 แมกนิจูด
รายงานจากสำนักงานอุตุนิยมวิทยาไต้หวัน
ซึ่งสื่ออังกฤษชี้ว่าแผ่นดินไหวที่วัดได้ในระดับสูงเกินกว่า 6 แมกนิจูดขึ้นไป ถือเป็นแผ่นดินไหวขั้นร้ายแรง
โดยระดับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่สุดที่เคยวัดได้อยู่ที่ 8.9 แมกนิจูด
ด้านประธานาธิบดีไต้หวัน หม่า อิง-จิว
ได้แถลงกับนักข่าวก่อนเดินทางออกจากเมืองไถหนัน จุดเกิดเหตุ ยืนยันว่า
ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายทั้งหมดในเบื้องต้นได้ “สถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นยังไม่แน่ชัด
ในขณะนี้ทางเราทำอย่างดีที่สุดในการกู้ภัยและช่วยเหลือผู้รอดชีวิต” หม่าแถลง ซึ่งพบว่าในช่วงที่เกิดแผ่นดินไหว
กระแสไฟฟ้าได้ถูกตัดขาด ทำให้ชาวเมืองไถหนันถึง 168,000 คนต้องอยู่โดยไม่มีไฟฟ้าใช้
แต่ภายหลังระบบไฟฟ้าสามารถกู้กลับมาได้ แต่ยังพบว่า มีประชาชนชาวไต้หวันอีก 900
คนที่ยังต้องอยู่โดยไม่มีไฟฟ้า และในจากภาพข่าวที่รายงานโดยสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น
ฟอร์โมซา ทีวี(Formosa TV)พบว่า ทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัย
เจ้าหน้าที่ดับเพลิง และตำรวจได้รุมล้อมบริเวณตึกอพาทเมนต์สูง 17 ชั้นแห่งนี้ ซึ่งจากภาพข่าวทางโทรทัศน์พบว่า
มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ที่ติดอยู่ด้านในส่งเสียงให้ได้ยินออกมาถึงบริเวณด้านนอก และพบว่าพนักงานดับเพลิงได้ถือสายยางคอยฉีดน้ำหล่อเลี้ยงไม่ให้เกิดไฟปะทุขึ้น
ในขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงอีกบางส่วนต่างแบกบันได และนำเครนเพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถปีนขึ้นไปบริเวณด้านบนของตัวอพาร์ตเมนต์ได้ซึ่งดูเหมือนว่าตึกแห่งนี้จะทรุดลงทั้งหมด
และยังคงเห็นเสื้อผ้าของเด็กที่ตากอยู่บนราวแขวนติดอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ โดยลี พัว มิน
โฆษกประจำสำนักสำนักงานป้องกันอัคคีภัยรัฐบาลนครไถหนันให้ข้อมูลว่า “ในตึกแห่งนี้มีครอบครัวอาศัยอยู่ถึง 60 ครอบครัว”
และทำให้เขาคาดการณ์ว่าน่าจะมีคนจำนวนมากถึง 240 ชีวิตอาศัยอยู่ภายในตึกแห่งนี้
และในเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 6.4 เขย่าไต้หวัน
เอพีรายงานเพิ่มเติมว่า พบว่ามีประชาชนในประเทศจีน รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนด้วยเช่นกัน ด้านสื่อไทยรายงานเพิ่มเติมในเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า
จากการเปิดเผยของเสข วรรณเมธี
อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงต่างประเทศได้เปิดเผยเบื้องต้นถึงคนไทยในไต้หวันว่า
สำนักงานหอการค้าและเศรษฐกิจไทย (TTEO)ที่มีฐานอยู่ในกรุงไทเปได้รายงานว่า
ในการตรวจสอบเบื้องต้น
ไม่พบมีคนไทยอยู่ในรายชื่อผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงนี้
แต่ทางกระทรวงต่างประเทศได้ขอให้คนไทยในบริเวณที่เกิดเหตุระมัดระวังการเดินทาง
และหลีกเลี่ยงบริเวณตึกและอาคารที่ได้รับความเสียหาย
และรวมไปถึงติดต่อลส่งข้อมูลในกลุ่มคนไทยที่รู้จักให้ได้รับทราบ
และหากต้องการได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานไทย
ทางกระทรวงการต่างประเทศขอให้คนไทยในไต้หวันติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ฮอตไลน์สำหนักงานหอการค้า
และเศรษฐกิจไทย +886 952 238 931หรือแจ้งผ่านเฟซบุ๊ก โดยพบว่ามีจำนวนคนไทยอาศัยอยู่ในเมืองไถหนานราว
5,080 คนในขณะที่ตัวเลขคนไทยอาศัยอยู่ในไต้หวันมีทั้งหมด 65,785
คน
เอเอฟพี
- ไวรัสซิกากำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในทวีปอเมริกา
ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกเผยในวันพฤหัสบดี (28 ม.ค.) ด้วยคาดหมายว่าจะมีผู้ติดเชื้อสูงสุด 4
ล้านคน
ขณะที่หน่วยงานสหประชาชาติแห่งนี้ต้องเรียกประชุมฉุกเฉินต้นเดือนกุมภาพันธ์
เพื่อสรุปว่ามันเข้าข่ายภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศหรือไม่ นางมาร์กาเร็ต ชาน
ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) เรียกประชุมฉุกเฉินในวันที่
1 กุมภาพันธ์ เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสซิกา
ซึ่งเป็นต้นตอที่ทำให้ทารกมีภาวะพิการตั้งแต่กำเนิด ในนั้นรวมถึงโรคศีรษะเล็ก
โดยทารกที่คลอดในมารดาที่ติดเชื้อระหว่างการตั้งครรภ์จะมีศีรษะเล็กผิดปกติ “ระดับของสัญญาณเตือนสูงลิ่ว”
นางชานบอก พร้อมเผยว่า
การประชุมคณะกรรมาธิการฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลกในวันจันทร์หน้า
จะเป็นการหาข้อสรุปว่าโรคระบาดนี้เข้าคุณสมบัติของภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศหรือไม่
“ไวรัสนี้กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในทวีปอเมริกา
ซึ่งประเทศและดินแดนต่างๆ 23 แห่งมีรายงานการพบผู้ติดเชื้อ” มาร์กอส เอสปินัล
หัวหน้าฝ่ายโรคติดต่อและวิเคราะห์สุขภาพขององค์การอนามัยโลกประจำสำนักงานอเมริกา
คาดหมายว่าภูมิภาคนี้อาจมีผู้ติดเชื้อไวรัสซิกา 3 ถึง 4
ล้านคน แต่ไม่ได้ให้กรอบเวลาที่การแพร่ระบาดจะพุ่งไปถึงระดับนั้น หลังจากเบื้องต้นพบไวรัสชนิดนี้ในลิงตัวหนึ่งในป่าซิกา
ของยูกันดาในปี 1947 โรคติดต่อนี้ก็สงบไป
แต่ก็ก่ออาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ในมนุษย์บ้างเป็นบางครั้งบางคราว
ซึ่งไม่น่ากังวลเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม ชานบอกว่า “สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันนั้นต่างออกไปอย่างฉับพลัน”
ชานย้ำถึงความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า
มีความเป็นไปได้ที่ซิกาอาจเกี่ยวข้องกับโรคศีรษะเล็กแต่แรกคลอดและความผิดปกติทางระบบประสาทที่เรียกว่ากลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร
“ความสัมพันธ์ระหว่างการติดเชื้อไวรัสซิกากับภาวะพิการตั้งแต่แรกคลอดและความผิดปกติทางระบบประสาทยังไม่ได้ข้อสรุป
แต่ก็มีข้อสงสัยที่หนักแน่น” ด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกคนขององค์การอนามัยโลกเผยว่า
การเรียกประชุมฉุกเฉินเกี่ยวกับไวรัสซิกาในวันจันทร์หน้า
ส่วนหนึ่งก็เพื่อรับประกันว่าเจ้าหน้าที่ประเทศต่างๆ
จะไม่กำหนดข้อจำกัดด้านการค้าและการเดินทางอย่างไม่เหมาะสม “หนึ่งเรื่องสำคัญที่ทางผู้อำนวยการตัดสินใจเรียกประชุม
ก็คือเพื่อรับประกันว่าจะไม่มีการใช้มาตรการที่ไม่เหมาะสมในหมู่ชาติสมาชิกในด้านการเดินทางและการค้า”
บรูซ เอลวาร์ด ผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกระบุ เอสปินัลเตือนว่าซิกาสามารถไปได้ในทุกหนทุกแห่งที่มียุง
“เราต้องยอมรับเรื่องนี้
เราไม่ควรรอจนกระทั่งมันแพร่ระบาดไปทั่ว” โดยชี้ว่าไวรัสซิกาแตกต่างจากอีโบลา
เนื่องจากมันจำเป็นต้องมีพาหะนำโรค
ดังนั้นการควบคุมยุงจึงมีความสำคัญยิ่งในการควบคุมการระบาด ก่อนหน้านี้
องค์การอนามัยโลกคาดหมายว่าซิกาจะแผ่ลามไปในทุกประทศของทวีปอเมริกา
ยกเว้นแคนาดากับชิลี ขณะที่เวลานี้บราซิลคือชาติที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุด
ท่ามกลางความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน
ที่น่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคนไปยังรีโอเดจาเนโรในเดือนสิงหาคม ในบราซิลพบเด็กแรกคลอดที่มีภาวะพิการแต่กำเนิดที่เชื่อว่ามีผลมาจากการติดเชื้อไวรัสซิกาแล้วอย่างน้อย
3,718 ราย
นับตั้งแต่พบผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้พุ่งขึ้นผิดปกติทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศในเดือนตุลาคม
ในนั้นมีเด็กเสียชีวิต 49 ราย
หลังจากก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อเฉลี่ยแล้วแค่ปีละราวๆ 160 คนเท่านั้น ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันหรือวิธีรักษาผู้ติดเชื้อซิกา
ที่มีอาการคล้ายไข้เลือดออกและโรคชิคุนกุนยา โดยทำให้เกิดไข้อ่อนๆ เป็นผื่นคัน
และตาแดง ผู้ติดเชื้อราว 80% ไม่แสดงอาการ
ทำให้ยากที่สตรีมีครรภ์จะรับรู้ว่าตนเองติดเชื้อหรือไม่ นอกจากในภูมิภาคที่กำลังเกิดการระบาดแล้ว
เวลานี้ยังเริ่มพบผู้ติดเชื้อที่อยู่นอกภูมิภาคเหล่านั้นด้วย
โดยเป็นผู้ที่เคยเดินทางไปยังประเทศซึ่งมีการระบาด เช่น โปรตุเกสพบผู้ติดเชื้อ 5
คน และทั้ง 5 เพิ่งเดินทางกลับจากบราซิล
นอกจากนั้นยังพบผู้ติดเชื้อในลักษณะนี้ 8 คนในสหรัฐฯ คือ 4
คนที่นิวยอร์ก และในแคลิฟอร์เนีย, มินนิโซตา,
เวอร์จิเนีย และอาร์คันซอส์ รัฐละ 1 คน
เอเอฟพี
- ไวรัสซิกากำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในทวีปอเมริกา
ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกเผยในวันพฤหัสบดี (28 ม.ค.) ด้วยคาดหมายว่าจะมีผู้ติดเชื้อสูงสุด 4
ล้านคน
ขณะที่หน่วยงานสหประชาชาติแห่งนี้ต้องเรียกประชุมฉุกเฉินต้นเดือนกุมภาพันธ์
เพื่อสรุปว่ามันเข้าข่ายภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศหรือไม่ นางมาร์กาเร็ต ชาน
ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) เรียกประชุมฉุกเฉินในวันที่
1 กุมภาพันธ์ เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสซิกา
ซึ่งเป็นต้นตอที่ทำให้ทารกมีภาวะพิการตั้งแต่กำเนิด ในนั้นรวมถึงโรคศีรษะเล็ก
โดยทารกที่คลอดในมารดาที่ติดเชื้อระหว่างการตั้งครรภ์จะมีศีรษะเล็กผิดปกติ “ระดับของสัญญาณเตือนสูงลิ่ว”
นางชานบอก พร้อมเผยว่า
การประชุมคณะกรรมาธิการฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลกในวันจันทร์หน้า
จะเป็นการหาข้อสรุปว่าโรคระบาดนี้เข้าคุณสมบัติของภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศหรือไม่
“ไวรัสนี้กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในทวีปอเมริกา
ซึ่งประเทศและดินแดนต่างๆ 23 แห่งมีรายงานการพบผู้ติดเชื้อ” มาร์กอส เอสปินัล
หัวหน้าฝ่ายโรคติดต่อและวิเคราะห์สุขภาพขององค์การอนามัยโลกประจำสำนักงานอเมริกา
คาดหมายว่าภูมิภาคนี้อาจมีผู้ติดเชื้อไวรัสซิกา 3 ถึง 4
ล้านคน แต่ไม่ได้ให้กรอบเวลาที่การแพร่ระบาดจะพุ่งไปถึงระดับนั้น หลังจากเบื้องต้นพบไวรัสชนิดนี้ในลิงตัวหนึ่งในป่าซิกา
ของยูกันดาในปี 1947 โรคติดต่อนี้ก็สงบไป
แต่ก็ก่ออาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ในมนุษย์บ้างเป็นบางครั้งบางคราว
ซึ่งไม่น่ากังวลเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม ชานบอกว่า “สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันนั้นต่างออกไปอย่างฉับพลัน” ชานย้ำถึงความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
ว่า มีความเป็นไปได้ที่ซิกาอาจเกี่ยวข้องกับโรคศีรษะเล็กแต่แรกคลอดและความผิดปกติทางระบบประสาทที่เรียกว่ากลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร
“ความสัมพันธ์ระหว่างการติดเชื้อไวรัสซิกากับภาวะพิการตั้งแต่แรกคลอดและความผิดปกติทางระบบประสาทยังไม่ได้ข้อสรุป
แต่ก็มีข้อสงสัยที่หนักแน่น” ด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกคนขององค์การอนามัยโลกเผยว่า
การเรียกประชุมฉุกเฉินเกี่ยวกับไวรัสซิกาในวันจันทร์หน้า
ส่วนหนึ่งก็เพื่อรับประกันว่าเจ้าหน้าที่ประเทศต่างๆ
จะไม่กำหนดข้อจำกัดด้านการค้าและการเดินทางอย่างไม่เหมาะสม “หนึ่งเรื่องสำคัญที่ทางผู้อำนวยการตัดสินใจเรียกประชุม
ก็คือเพื่อรับประกันว่าจะไม่มีการใช้มาตรการที่ไม่เหมาะสมในหมู่ชาติสมาชิกในด้านการเดินทางและการค้า”
บรูซ เอลวาร์ด ผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกระบุ เอสปินัลเตือนว่าซิกาสามารถไปได้ในทุกหนทุกแห่งที่มียุง
“เราต้องยอมรับเรื่องนี้
เราไม่ควรรอจนกระทั่งมันแพร่ระบาดไปทั่ว” โดยชี้ว่าไวรัสซิกาแตกต่างจากอีโบลา
เนื่องจากมันจำเป็นต้องมีพาหะนำโรค
ดังนั้นการควบคุมยุงจึงมีความสำคัญยิ่งในการควบคุมการระบาด ก่อนหน้านี้
องค์การอนามัยโลกคาดหมายว่าซิกาจะแผ่ลามไปในทุกประทศของทวีปอเมริกา
ยกเว้นแคนาดากับชิลี ขณะที่เวลานี้บราซิลคือชาติที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุด
ท่ามกลางความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน
ที่น่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคนไปยังรีโอเดจาเนโรในเดือนสิงหาคม ในบราซิลพบเด็กแรกคลอดที่มีภาวะพิการแต่กำเนิดที่เชื่อว่ามีผลมาจากการติดเชื้อไวรัสซิกาแล้วอย่างน้อย
3,718 ราย
นับตั้งแต่พบผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้พุ่งขึ้นผิดปกติทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศในเดือนตุลาคม
ในนั้นมีเด็กเสียชีวิต 49 ราย
หลังจากก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อเฉลี่ยแล้วแค่ปีละราวๆ 160 คนเท่านั้น ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันหรือวิธีรักษาผู้ติดเชื้อซิกา
ที่มีอาการคล้ายไข้เลือดออกและโรคชิคุนกุนยา โดยทำให้เกิดไข้อ่อนๆ เป็นผื่นคัน
และตาแดง ผู้ติดเชื้อราว 80% ไม่แสดงอาการ
ทำให้ยากที่สตรีมีครรภ์จะรับรู้ว่าตนเองติดเชื้อหรือไม่ นอกจากในภูมิภาคที่กำลังเกิดการระบาดแล้ว
เวลานี้ยังเริ่มพบผู้ติดเชื้อที่อยู่นอกภูมิภาคเหล่านั้นด้วย
โดยเป็นผู้ที่เคยเดินทางไปยังประเทศซึ่งมีการระบาด เช่น โปรตุเกสพบผู้ติดเชื้อ 5
คน และทั้ง 5 เพิ่งเดินทางกลับจากบราซิล
นอกจากนั้นยังพบผู้ติดเชื้อ
เอเอฟพี – หน่วยข่าวกรองโซมาเลียซึ่งทำหน้าที่สอบสวนกรณีเครื่องบินโดยสาร
ดาลโล แอร์ไลน์ส ทะลุเป็นรูโหว่ขณะขึ้นบินเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
เผยภาพจากกล้องวงจรปิดซึ่งแสดงให้เห็นว่า
มีกลุ่มบุคคลต้องสงสัยมอบคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปซึ่งภายในซุกซ่อน “ระเบิด” ให้แก่ผู้โดยสารคนหนึ่งบนเที่ยวบินนี้ เหตุระเบิดซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่แล้ว
(2 ก.พ.)
ระหว่างที่เครื่องบินแอร์บัสลำนี้กำลังเดินทางจากสนามบินนานาชาติกรุงโมกาดิชูไปยังจิบูตี
ส่งผลให้ลำตัวเครื่องบินด้านขวาใกล้กับปีกเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่
และมีผู้โดยสารเสียชีวิต 1 ราย
แต่กัปตันยังสามารถนำเครื่องกลับมาลงจอดฉุกเฉินที่กรุงโมกาดิชูได้อย่างปลอดภัย สำนักงานความปลอดภัยและข่าวกรองแห่งชาติโซมาเลีย
(NISA) แถลงว่า ภาพจากกล้องวงจรปิดที่เผยแพร่เมื่อวานนี้ (7)
แสดงให้เห็นว่า ผู้โดยสารซึ่งเป็น “มือระเบิด”
รับคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปมาจากชาย 2 คน
ซึ่งหนึ่งในนั้นสวมเสื้อแจ็กเก็ตคล้ายหน่วยรักษาความปลอดภัย “เรากำลังสอบปากคำผู้ต้องสงสัยราว
15 คนที่ถูกจับกุมเพราะอาจมีส่วนพัวพันกับคดีนี้” เจ้าหน้าที่ข่าวกรองโซมาเลียซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อ ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี “จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า
ระเบิดถูกซ่อนมาในคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปที่ผู้โดยสารคนหนึ่งพกขึ้นเครื่อง...
กล้องวงจรปิดสามารถจับภาพกิจกรรมบางอย่างได้
ซึ่งทำให้เชื่อว่าเหตุการณ์นี้น่าจะมีผู้ร่วมวางแผนหลายคน
ซึ่งส่วนใหญ่ถูกจับกุมได้แล้ว และเจ้าหน้าที่กำลังสอบปากคำพวกเขาอยู่” เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า
เรื่องนี้น่าจะเป็นอุบัติเหตุซึ่งเกิดจากความกดอากาศที่ลดลงอย่างกะทันหัน
แต่จากการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญทั้งโซมาเลียและต่างชาติ
ทำให้รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมและการบิน อาลี อะหมัด จามา ออกมายืนยันเมื่อวันเสาร์ (6)
ว่า เป็นการ “ลอบวางระเบิด” อานุภาพของระเบิดทำให้ลำตัวเครื่องบินแอร์บัส A321 ทะลุเป็นช่องกว้างราว
1 เมตร หลังจากทะยานขึ้นฟ้าจากกรุงโมกาดิชูไปได้แค่ 15
นาที ผู้โดยสารที่เสียชีวิตมีชื่อว่า
อับดุลาฮี อับดิซาลาม ซึ่งเจ้าหน้าที่คาดว่าถูกแรงระเบิดอัดจนร่างกระเด็นหลุดออกจากลำตัวเครื่องบิน
และยังมีผู้โดยสารที่บาดเจ็บเล็กน้อยอีก 2 คน วลาดิมีร์ โวโดปิเว็ก นักบินชาวเซอร์เบีย
ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เซอร์เบียฉบับหนึ่งว่า
ตนสงสัยตั้งแต่แรกว่าน่าจะเป็นระเบิด และที่สามารถนำเครื่องลงจอดได้อย่างปลอดภัยก็เพราะระบบนำร่องไม่ได้รับความเสียหาย สนามบินโมกาดิชูมีการป้องกันอย่างเข้มงวด
เนื่องจากอยู่ติดกับฐานทัพของสหภาพแอฟริกา (African Union) ซึ่งได้ส่งทหารราว
22,000 นายเข้ามาช่วยสนับสนุนรัฐบาลโซมาเลียกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธ
อัล-เชบับ
สำนักข่าวไทย (Mcot) -การเลือกตั้งคอคัสที่ไอโอวาเมื่อสัปดาห์ก่อน
คนอเมริกันต้องตกตะลึงเมื่อผลปรากฏว่า ส.ว.เท็ดครูซ จากพรรคริพับลิกัน
สามารถบดขยี้มหาเศรษฐีโดนัลด์ ทรัมป์ ไปได้ ชนิดหักปากกาโพลล์ ส.ว.เท็ดครูซ
เป็นใคร ส.ว.หนุ่มจากรัฐเท็กซัส วัย 45 ปีผู้นี้คือ
นักการเมืองขวาจัดชนิดตกขอบ ผู้มากประสบการณ์ หากจำกันได้
ตอนที่สหรัฐมีปัญหาเรื่องกฎหมายงบประมาณไม่ผ่านสภา จนถึงขั้นจะทำให้เกิดปรากฏการณ์
Shutdown ต้องปิดทำการหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ
เพราะรัฐบาลถังแตกไม่สามารถจ่ายเงินเดือนข้าราชการได้ ส.ว.เท็ดครูซ ผู้นี้ที่เป็นตัวตั้งตัวตีเตะถ่วงในสภา
จนโอบามากินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวัน ถ้าเท็ดครูซ เกิดชนะเลือกตั้งขึ้นมา
เขาจะกลายเป็นประธานาธิบดีผู้ที่มีหัวอนุรักษ์นิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศ
และถ้าครูซชนะเลือกตั้ง
เขายังจะกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่มีเชื้อสายฮิสแพนิค เพราะคุณพ่อของเขาเป็นคนคิวบา ส่วนโดนัลด์ ทรัมป์
นักธุรกิจรุ่นใหญ่ วัย 69 ปี
มั่นใจว่าจะชนะที่นิวแฮมป์เชียร์แน่ๆ หลังพลาดท่า สว.ครูซ ที่ไอโอวายกแรก
เพราะที่นิวแฮมป์เชียร์ไม่ค่อยมีผู้ออกเสียงที่มีหัวอนุรักษ์นิยมขวาจัดมากนัก
และโพลล์ทั่วประเทศตอนนี้ของฝั่งเขายังคงมีคะแนนนิยมนำโด่ง
รอดูทรัมป์จะเอาคืนในรัฐนิวแฮมป์เชียร์ได้หรือไม่ ส่วนการแข่งขันในเดโมแครต
นี่น่าดูน่าชมมาก เพราะว่าเลือกตั้งที่ไอโอวายกแรก นางฮิลลารี คลินตัน ชนะ
ส.ว.แซนเดอร์ส์ ไปแบบไม่สวย นั่นคือเฉือนกันที่จุดทศนิยมนิดเดียวคือ คลินตัน ได้ 49.8%
ส.ว.แซนเดอร์ส์ ได้ 49.6% ถือได้ว่าเสมอกัน
ดังนั้นเลือกตั้งนิวแฮมป์เชียร์ จะเป็นตัวชี้วัดว่า ใครกันแน่ที่แรงกว่ากัน ฮิลลารี คลินตัน คนไทยรู้จักเธอดี แต่ ส.ว.แซนเดอร์ส์ เป็นใคร
คุณปู่วัย 74
ปีผู้นี้ เป็นนักการเมืองหัวเอียงซ้าย
ต่อต้านกลุ่มทุมนิยมวอลล์สตรีท ชูนโยบายทำให้โครงการสาธารณสุขเป็นสากล
จะขึ้นค่าแรงคนอเมริกัน จากปัจจุบัน ชม.ละกว่า 500 บาท
จะขึ้นภาษีคนรวย จะจัดการสถาบันการเงินที่เอาเปรียบ
และจะเปิดโอกาสให้ทุกคนเรียนฟรีในระดับมหาวิทยาลัย ใครจะได้ใจคนอเมริกันไป
(เครดิตอ้างอิง :
คอลัมน์แปลข่าวต่างประเทศ , MGR online )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น