วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

โลก 360 องศา - (แผ่นดินไหวที่ไต้หวัน,ไวรัสซิการะบาด,เครื่องบินโซมาเลียมีรอยรั่ว,ผลเลือกตั้งคอคัสของอเมริกา)

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้า เหตุแผ่นดินไหว 6.4 ตามมาตราริกเตอร์ ทางตอนใต้ของไต้หวัน ซึ่งแรงสั่นสะเทือนทำให้อาคารที่พักอาศัยหลายแห่งพังถล่มว่า ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตแล้ว 5 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 318 คน ซึ่งในจำนวนนี้พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 60 คน และมีการยืนยันว่า มีผู้ติดอยู่ใต้ซากอาคารที่พักอาศัย 17 ชั้นอีกประมาณ 30 คน อย่างไรก็ตาม ทางการไต้หวันได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ และทีมกู้ภัย เร่งค้นหาผู้บาดเจ็บที่ติดอยู่ใต้ซากอาคารอย่างเต็มที่ เกิดเหตุแผ่นดินไหวทางตอนใต้ของไต้หวัน วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.4 ริกเตอร์  เมื่อเวลา 02.57 น.ตามเวลาในประเทศไทย ขณะที่สำนักสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐ รายงานว่า ศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงอยู่ที่เมืองไถ่หนาน ทางตอนใต้ ในระดับความลึก 10 กิโลเมตร ซึ่งแรงสั่นสะเทือนทำให้อาคารที่พักอาศัยสูง 17 ชั้น ทรุดตัวพังถล่ม  เบื้องต้นอาคารดังกล่าวมีห้องพักทั้งหมด 60 ห้อง สามารถช่วยประชาชนออกมาได้อย่างน้อย 69 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่พยายามเร่งช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ แต่ยังไม่สามารถระบุตัวเลขผู้เสียชีวิต หรือบาดเจ็บได้  สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มีตึกอย่างน้อย 4 หลัง พังถล่มลงมา จากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว เจ้าหน้าที่กู้ภัย เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่คาดว่าจะติดค้างตามอาคารต่างๆ และยังเกิดอาฟเตอร์ช็อคตามมาเป็นระยะด้วย

เอเจนซีส์/เอเอฟพี - ล่าสุดมีตัวเลขยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มไม่ต่ำกว่า 13 ราย และบาดเจ็บจำนวน 380 คน ส่วนยอดผู้สูญหายมีจำนวนนับสิบ และมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยไต้หวันสามารถดึงร่างเด็กชายอายุไม่เกิน 3 ปีพร้อมกับเหยื่อแผ่นดินไหวคนอื่นๆ ไม่ต่ำกว่า 230 ชีวิตออกมาจากใต้ซากตึกได้สำเร็จ โดยคนทั้งหมดถูกช่วยออกมาได้รอดชีวิตทั้งหมดจากอพาร์ตเมนต์สูง 17 ชั้น หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.4 แมกนิจูด ไหวรับวันขึ้นปีใหม่จีนในช่วงเช้ามืดเวลา 04.00 น.ของวันเสาร์ (6 ก.พ.) ทางตอนใต้ของไต้หวัน ใกล้กับเมืองไถหนัน รายงานล่าสุดจากสำนักงานหอการค้าและเศรษฐกิจไทย (TTEO) ในกรุงไทเปว่า ในเบื้องต้นไม่พบมีคนไทยอยู่ในรายชื่อผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต MSNBC สื่อสหรัฐฯรายงานวันนี้(6 ก.พ.) ถึงตัวเลขล่าสุดผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์แผ่นดินไหวไต้หวันว่า มียอดเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 13 คน ในขณะที่ตัวเลขผู้ได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 380 ราย ส่วนยอดสูญหายมีจำนวนหลายสิบคน ซึ่งในช่วงเช้าในวันเดียวกัน เดลีเมล์ สื่ออังกฤษ และเอเอฟพีรายงาน รายงานว่า มียอดตัวเลขผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 7 รายชีวิต รวมไปถึงเด็กทารกเพศหญิงอายุ 10 วัน รวมไปถึงเกรงว่าจะมีผู้ยังติดอยู่ใต้อาคารอีกไม่ต่ำกว่า 30 คนล่าสุด จากแผ่นดินไหวระดับ 6.4 แมกนิจูด เกิดขึ้นใกล้กับเมืองไถหนัน ทางตอนใต้ของไต้หวัน ในช่วงเช้ามืดเวลา 04.00 น.ของวันเสาร์ (6 ก.พ.) ซึ่งเป็นวันหยุดวันแรกเทศกาลตรุษจีนในไต้หวัน ทำให้ตึกอพาทเมนต์สูง 17 ชั้นที่มีรายงานว่ามีคนอาศัยอยู่ร่วม 200 ชีวิตถล่มลงมา ท่ามกลางตึกสูงอื่นๆในบริเวณใกล้เคียงที่ถล่มลงมาเช่นกัน ซึ่งมีรายงานว่ามีตึกอพาร์ตเมนต์ถึง 92 แห่งอยู่ในบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว สื่ออังกฤษรายงานว่า รัฐบาลไต้หวันได้ระดมเจ้าหน้าที่กู้ภัย และทหารจำนวนร่วม 1,200 คนทำงานแข่งกับเวลา เร่งค้นหาผู้รอดชีวิตที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังเหล่านี้  โดยเอพีรายงานเพิ่มเติมว่า สำนักงานกู้ภัยไต้หวันให้ข้อมูลว่า ในปฏิบัติการกู้ภัยนี้ทางไต้หวันใช้เจ้าหน้าที่จำนวนทั้งหมดถึง 1,236 คน ที่รวมไปถึงทหาร 840 นาย เฮลิคอปเตอร์จำนวน 6 ลำ และสุนัขค้นหาอีก 23 ตัว ซึ่งในการค้นหาร่างผู้ติดอยู่ใต้ซากตึก เดลีเมล์รายงานว่า ร่างเด็กทารกวัย 10 วันถูกพบเป็นศพนอนเสียชีวิตเคียงข้างกับชายวัย 50 ปี ใต้ซากตึกอพาร์ตเมนต์ และยังพบว่ามีชายวัย 40 ปีเสียชีวิตด้วยเช่นกัน รวมไปถึงหญิงวัย 55 ปี จากการรายงานของสำนักงานกู้ภัยเมืองไถหนัน นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้ให้ข้อมูลกับสถานีโทรทัศน์แชเนลนิวส์เอเชีย ว่ามีรายงานว่าในจุดอื่นมีการพบผู้เสียชีวิตด้วยเช่นกัน โดยพบว่ามีหญิงชาวไต้หวันอีกคนเสียชีวิตเนื่องมาจากแท็งก์น้ำขนาดใหญ่ตกลงมาทับร่างในขณะเกิดเหตุ สื่ออังกฤษรายงานเพิ่มเติมต่อว่า ทางหน่วยกู้ภัยไต้หวันยืนยันตัวเลขผู้ได้รับบาดเจ็บทั่วเมืองว่ามีราว 378 คน และยังพบว่าสาเหตุจากการบาดเจ็บอื่นเกิดมาจากถูกซากปรักหักพังตกลงมาทับ  และในขณะที่มีจำนวนประชาชนที่ถูกทางหน่วยกู้ภัยช่วยชีวิตออกมาจากใต้ตึกปรักหักพังทั่วไถหนันได้ พบว่ายอดยืนยันล่าสุดอยู่ที่ 230 คน ซึ่งรวมไปถึงเด็กชายชาวไต้หวันวัย 3 ปีที่ติดอยู่ใต้ซากอพาทเมนต์ขนาด 17 ชั้นแห่งนี้ โดยเขาถูกเจ้าหน้าที่กู้ภัยชายอุ้มออกมา โดยมีผ้าห่มห่อตัวไว้ในสภาพที่หนูน้อยมีอาการตื่นตกใจกลัว  และยังพบว่า ทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยไต้หวันสามารถช่วยเหลือเด็กคนอื่นๆ ออกมาได้เช่นกัน จากการรายงานผ่านภาพข่าวจากสื่อทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น เอพี รอยเตอร์ หรืออีพีเอ พบว่ามีทารกจำนวนหลายคนถูกเจ้าหน้าที่กู้ภัยลำเลียงช่วยเหลือออกมาได้สำเร็จในสภาพที่หนูน้อยเหล่านี้ยังคงเคลื่อนไหว ซึ่งหนึ่งในทารกที่รอดชีวิตถูกห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าห่มสีชมพูผืนใหญ่ในขณะที่หนูน้อยอยู่ในอ้อมแขนของเจ้าหน้าที่กู้ภัยหญิงไต้หวันกำลังเดินออกไปสู่ด้านนอก และมีกล้องทีวีตามถ่ายคนทั้งคู่อยู่ด้านหลัง โดยสื่ออังกฤษรายงานว่า ทารกรายนี้ถูกช่วยชีวิตออกมาได้จากใต้ซากตึกอพาทเมนต์ขนาด 17 ชั้นเช่นกัน และในปฏิบัติการกู้ภัยไต้หวัน สื่ออังกฤษชี้ว่าทางหน่วยกู้ภัยยังใช้เครนขนาดใหญ่เป็นเสมือนลิฟต์ช่วยให้คนที่ติดอยู่ตามตึกที่ปรักหักพังลงมา โดยจากภาพข่าวพบว่า มีหญิงชาวไต้หวันคนหนึ่งที่มีชีวิตรอดมาได้หลังเกิดเหตุ ได้ถูกช่วยชีวิตโดยการนั่งอยู่บนเครนยกสูงของทางหน่วยดับเพลิงเพื่อลงมาสู่เบื้องล่าง ในขณะที่มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยไต้หวันนั่งประกบเธอลงมาด้วย นอกจากนี้ สื่ออังกฤษยังรายงานเพิ่มเติมว่า ในขณะนี้ทางทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัยต่างทุมกำลังค้นหาผู้รอดชีวิตที่ติดอยู่ใต้ตึกอพาร์ตเมนต์สูง 17 ชั้นนี้ ที่ทางเจ้าหน้าที่เชื่อว่า ยังคงมีผู้ติดอยู่ด้านใต้ซากตึกแห่งนี้อีก 30 คน ด้านสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐฯ (ยูเอสจีเอส) แถลงว่า ในเบื้องต้นเกิดเหตุขึ้นก่อนเวลา 04.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันนี้ในไต้หวัน เป็นแผ่นดินไหวระดับตื้นที่มีความลึกเพียง10 กม. แต่สามารถทำให้มีผลกระทบร้ายแรงมากยิ่งขึ้นได้  และหลังจากนั้นมีรายงานการเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง ที่มีระดับความแรง 3.8 แมกนิจูด รายงานจากสำนักงานอุตุนิยมวิทยาไต้หวัน ซึ่งสื่ออังกฤษชี้ว่าแผ่นดินไหวที่วัดได้ในระดับสูงเกินกว่า 6 แมกนิจูดขึ้นไป ถือเป็นแผ่นดินไหวขั้นร้ายแรง โดยระดับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่สุดที่เคยวัดได้อยู่ที่ 8.9 แมกนิจูด ด้านประธานาธิบดีไต้หวัน หม่า อิง-จิว ได้แถลงกับนักข่าวก่อนเดินทางออกจากเมืองไถหนัน จุดเกิดเหตุ ยืนยันว่า ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายทั้งหมดในเบื้องต้นได้  สถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นยังไม่แน่ชัด ในขณะนี้ทางเราทำอย่างดีที่สุดในการกู้ภัยและช่วยเหลือผู้รอดชีวิตหม่าแถลง  ซึ่งพบว่าในช่วงที่เกิดแผ่นดินไหว กระแสไฟฟ้าได้ถูกตัดขาด ทำให้ชาวเมืองไถหนันถึง 168,000 คนต้องอยู่โดยไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่ภายหลังระบบไฟฟ้าสามารถกู้กลับมาได้ แต่ยังพบว่า มีประชาชนชาวไต้หวันอีก 900 คนที่ยังต้องอยู่โดยไม่มีไฟฟ้า  และในจากภาพข่าวที่รายงานโดยสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น ฟอร์โมซา ทีวี(Formosa TV)พบว่า ทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัย เจ้าหน้าที่ดับเพลิง และตำรวจได้รุมล้อมบริเวณตึกอพาทเมนต์สูง 17 ชั้นแห่งนี้ ซึ่งจากภาพข่าวทางโทรทัศน์พบว่า มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ที่ติดอยู่ด้านในส่งเสียงให้ได้ยินออกมาถึงบริเวณด้านนอก  และพบว่าพนักงานดับเพลิงได้ถือสายยางคอยฉีดน้ำหล่อเลี้ยงไม่ให้เกิดไฟปะทุขึ้น ในขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงอีกบางส่วนต่างแบกบันได และนำเครนเพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถปีนขึ้นไปบริเวณด้านบนของตัวอพาร์ตเมนต์ได้ซึ่งดูเหมือนว่าตึกแห่งนี้จะทรุดลงทั้งหมด และยังคงเห็นเสื้อผ้าของเด็กที่ตากอยู่บนราวแขวนติดอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ  โดยลี พัว มิน โฆษกประจำสำนักสำนักงานป้องกันอัคคีภัยรัฐบาลนครไถหนันให้ข้อมูลว่า ในตึกแห่งนี้มีครอบครัวอาศัยอยู่ถึง 60 ครอบครัวและทำให้เขาคาดการณ์ว่าน่าจะมีคนจำนวนมากถึง 240 ชีวิตอาศัยอยู่ภายในตึกแห่งนี้  และในเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 6.4 เขย่าไต้หวัน เอพีรายงานเพิ่มเติมว่า พบว่ามีประชาชนในประเทศจีน รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนด้วยเช่นกัน  ด้านสื่อไทยรายงานเพิ่มเติมในเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า จากการเปิดเผยของเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงต่างประเทศได้เปิดเผยเบื้องต้นถึงคนไทยในไต้หวันว่า สำนักงานหอการค้าและเศรษฐกิจไทย (TTEO)ที่มีฐานอยู่ในกรุงไทเปได้รายงานว่า ในการตรวจสอบเบื้องต้น ไม่พบมีคนไทยอยู่ในรายชื่อผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงนี้ แต่ทางกระทรวงต่างประเทศได้ขอให้คนไทยในบริเวณที่เกิดเหตุระมัดระวังการเดินทาง และหลีกเลี่ยงบริเวณตึกและอาคารที่ได้รับความเสียหาย และรวมไปถึงติดต่อลส่งข้อมูลในกลุ่มคนไทยที่รู้จักให้ได้รับทราบ และหากต้องการได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานไทย ทางกระทรวงการต่างประเทศขอให้คนไทยในไต้หวันติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ฮอตไลน์สำหนักงานหอการค้า และเศรษฐกิจไทย +886 952 238 931หรือแจ้งผ่านเฟซบุ๊ก โดยพบว่ามีจำนวนคนไทยอาศัยอยู่ในเมืองไถหนานราว 5,080 คนในขณะที่ตัวเลขคนไทยอาศัยอยู่ในไต้หวันมีทั้งหมด 65,785 คน

เอเอฟพี - ไวรัสซิกากำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในทวีปอเมริกา ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกเผยในวันพฤหัสบดี (28 ม.ค.) ด้วยคาดหมายว่าจะมีผู้ติดเชื้อสูงสุด 4 ล้านคน ขณะที่หน่วยงานสหประชาชาติแห่งนี้ต้องเรียกประชุมฉุกเฉินต้นเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อสรุปว่ามันเข้าข่ายภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศหรือไม่  นางมาร์กาเร็ต ชาน ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) เรียกประชุมฉุกเฉินในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสซิกา ซึ่งเป็นต้นตอที่ทำให้ทารกมีภาวะพิการตั้งแต่กำเนิด ในนั้นรวมถึงโรคศีรษะเล็ก โดยทารกที่คลอดในมารดาที่ติดเชื้อระหว่างการตั้งครรภ์จะมีศีรษะเล็กผิดปกติ  ระดับของสัญญาณเตือนสูงลิ่วนางชานบอก พร้อมเผยว่า การประชุมคณะกรรมาธิการฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลกในวันจันทร์หน้า จะเป็นการหาข้อสรุปว่าโรคระบาดนี้เข้าคุณสมบัติของภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศหรือไม่ ไวรัสนี้กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในทวีปอเมริกา ซึ่งประเทศและดินแดนต่างๆ 23 แห่งมีรายงานการพบผู้ติดเชื้อ  มาร์กอส เอสปินัล หัวหน้าฝ่ายโรคติดต่อและวิเคราะห์สุขภาพขององค์การอนามัยโลกประจำสำนักงานอเมริกา คาดหมายว่าภูมิภาคนี้อาจมีผู้ติดเชื้อไวรัสซิกา 3 ถึง 4 ล้านคน แต่ไม่ได้ให้กรอบเวลาที่การแพร่ระบาดจะพุ่งไปถึงระดับนั้น  หลังจากเบื้องต้นพบไวรัสชนิดนี้ในลิงตัวหนึ่งในป่าซิกา ของยูกันดาในปี 1947 โรคติดต่อนี้ก็สงบไป แต่ก็ก่ออาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ในมนุษย์บ้างเป็นบางครั้งบางคราว ซึ่งไม่น่ากังวลเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม ชานบอกว่า สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันนั้นต่างออกไปอย่างฉับพลันชานย้ำถึงความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า มีความเป็นไปได้ที่ซิกาอาจเกี่ยวข้องกับโรคศีรษะเล็กแต่แรกคลอดและความผิดปกติทางระบบประสาทที่เรียกว่ากลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร ความสัมพันธ์ระหว่างการติดเชื้อไวรัสซิกากับภาวะพิการตั้งแต่แรกคลอดและความผิดปกติทางระบบประสาทยังไม่ได้ข้อสรุป แต่ก็มีข้อสงสัยที่หนักแน่น  ด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกคนขององค์การอนามัยโลกเผยว่า การเรียกประชุมฉุกเฉินเกี่ยวกับไวรัสซิกาในวันจันทร์หน้า ส่วนหนึ่งก็เพื่อรับประกันว่าเจ้าหน้าที่ประเทศต่างๆ จะไม่กำหนดข้อจำกัดด้านการค้าและการเดินทางอย่างไม่เหมาะสม หนึ่งเรื่องสำคัญที่ทางผู้อำนวยการตัดสินใจเรียกประชุม ก็คือเพื่อรับประกันว่าจะไม่มีการใช้มาตรการที่ไม่เหมาะสมในหมู่ชาติสมาชิกในด้านการเดินทางและการค้าบรูซ เอลวาร์ด ผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกระบุ  เอสปินัลเตือนว่าซิกาสามารถไปได้ในทุกหนทุกแห่งที่มียุง เราต้องยอมรับเรื่องนี้ เราไม่ควรรอจนกระทั่งมันแพร่ระบาดไปทั่วโดยชี้ว่าไวรัสซิกาแตกต่างจากอีโบลา เนื่องจากมันจำเป็นต้องมีพาหะนำโรค ดังนั้นการควบคุมยุงจึงมีความสำคัญยิ่งในการควบคุมการระบาด  ก่อนหน้านี้ องค์การอนามัยโลกคาดหมายว่าซิกาจะแผ่ลามไปในทุกประทศของทวีปอเมริกา ยกเว้นแคนาดากับชิลี ขณะที่เวลานี้บราซิลคือชาติที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุด ท่ามกลางความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ที่น่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคนไปยังรีโอเดจาเนโรในเดือนสิงหาคม ในบราซิลพบเด็กแรกคลอดที่มีภาวะพิการแต่กำเนิดที่เชื่อว่ามีผลมาจากการติดเชื้อไวรัสซิกาแล้วอย่างน้อย 3,718 ราย นับตั้งแต่พบผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้พุ่งขึ้นผิดปกติทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศในเดือนตุลาคม ในนั้นมีเด็กเสียชีวิต 49 ราย หลังจากก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อเฉลี่ยแล้วแค่ปีละราวๆ 160 คนเท่านั้น  ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันหรือวิธีรักษาผู้ติดเชื้อซิกา ที่มีอาการคล้ายไข้เลือดออกและโรคชิคุนกุนยา โดยทำให้เกิดไข้อ่อนๆ เป็นผื่นคัน และตาแดง ผู้ติดเชื้อราว 80% ไม่แสดงอาการ ทำให้ยากที่สตรีมีครรภ์จะรับรู้ว่าตนเองติดเชื้อหรือไม่  นอกจากในภูมิภาคที่กำลังเกิดการระบาดแล้ว เวลานี้ยังเริ่มพบผู้ติดเชื้อที่อยู่นอกภูมิภาคเหล่านั้นด้วย โดยเป็นผู้ที่เคยเดินทางไปยังประเทศซึ่งมีการระบาด เช่น โปรตุเกสพบผู้ติดเชื้อ 5 คน และทั้ง 5 เพิ่งเดินทางกลับจากบราซิล นอกจากนั้นยังพบผู้ติดเชื้อในลักษณะนี้ 8 คนในสหรัฐฯ คือ 4 คนที่นิวยอร์ก และในแคลิฟอร์เนีย, มินนิโซตา, เวอร์จิเนีย และอาร์คันซอส์ รัฐละ 1 คน
เอเอฟพี - ไวรัสซิกากำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในทวีปอเมริกา ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกเผยในวันพฤหัสบดี (28 ม.ค.) ด้วยคาดหมายว่าจะมีผู้ติดเชื้อสูงสุด 4 ล้านคน ขณะที่หน่วยงานสหประชาชาติแห่งนี้ต้องเรียกประชุมฉุกเฉินต้นเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อสรุปว่ามันเข้าข่ายภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศหรือไม่  นางมาร์กาเร็ต ชาน ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) เรียกประชุมฉุกเฉินในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสซิกา ซึ่งเป็นต้นตอที่ทำให้ทารกมีภาวะพิการตั้งแต่กำเนิด ในนั้นรวมถึงโรคศีรษะเล็ก โดยทารกที่คลอดในมารดาที่ติดเชื้อระหว่างการตั้งครรภ์จะมีศีรษะเล็กผิดปกติ  ระดับของสัญญาณเตือนสูงลิ่วนางชานบอก พร้อมเผยว่า การประชุมคณะกรรมาธิการฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลกในวันจันทร์หน้า จะเป็นการหาข้อสรุปว่าโรคระบาดนี้เข้าคุณสมบัติของภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศหรือไม่ ไวรัสนี้กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในทวีปอเมริกา ซึ่งประเทศและดินแดนต่างๆ 23 แห่งมีรายงานการพบผู้ติดเชื้อ  มาร์กอส เอสปินัล หัวหน้าฝ่ายโรคติดต่อและวิเคราะห์สุขภาพขององค์การอนามัยโลกประจำสำนักงานอเมริกา คาดหมายว่าภูมิภาคนี้อาจมีผู้ติดเชื้อไวรัสซิกา 3 ถึง 4 ล้านคน แต่ไม่ได้ให้กรอบเวลาที่การแพร่ระบาดจะพุ่งไปถึงระดับนั้น  หลังจากเบื้องต้นพบไวรัสชนิดนี้ในลิงตัวหนึ่งในป่าซิกา ของยูกันดาในปี 1947 โรคติดต่อนี้ก็สงบไป แต่ก็ก่ออาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ในมนุษย์บ้างเป็นบางครั้งบางคราว ซึ่งไม่น่ากังวลเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม ชานบอกว่า สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันนั้นต่างออกไปอย่างฉับพลัน  ชานย้ำถึงความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า มีความเป็นไปได้ที่ซิกาอาจเกี่ยวข้องกับโรคศีรษะเล็กแต่แรกคลอดและความผิดปกติทางระบบประสาทที่เรียกว่ากลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร ความสัมพันธ์ระหว่างการติดเชื้อไวรัสซิกากับภาวะพิการตั้งแต่แรกคลอดและความผิดปกติทางระบบประสาทยังไม่ได้ข้อสรุป แต่ก็มีข้อสงสัยที่หนักแน่น  ด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกคนขององค์การอนามัยโลกเผยว่า การเรียกประชุมฉุกเฉินเกี่ยวกับไวรัสซิกาในวันจันทร์หน้า ส่วนหนึ่งก็เพื่อรับประกันว่าเจ้าหน้าที่ประเทศต่างๆ จะไม่กำหนดข้อจำกัดด้านการค้าและการเดินทางอย่างไม่เหมาะสม หนึ่งเรื่องสำคัญที่ทางผู้อำนวยการตัดสินใจเรียกประชุม ก็คือเพื่อรับประกันว่าจะไม่มีการใช้มาตรการที่ไม่เหมาะสมในหมู่ชาติสมาชิกในด้านการเดินทางและการค้าบรูซ เอลวาร์ด ผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกระบุ  เอสปินัลเตือนว่าซิกาสามารถไปได้ในทุกหนทุกแห่งที่มียุง เราต้องยอมรับเรื่องนี้ เราไม่ควรรอจนกระทั่งมันแพร่ระบาดไปทั่วโดยชี้ว่าไวรัสซิกาแตกต่างจากอีโบลา เนื่องจากมันจำเป็นต้องมีพาหะนำโรค ดังนั้นการควบคุมยุงจึงมีความสำคัญยิ่งในการควบคุมการระบาด  ก่อนหน้านี้ องค์การอนามัยโลกคาดหมายว่าซิกาจะแผ่ลามไปในทุกประทศของทวีปอเมริกา ยกเว้นแคนาดากับชิลี ขณะที่เวลานี้บราซิลคือชาติที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุด ท่ามกลางความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ที่น่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคนไปยังรีโอเดจาเนโรในเดือนสิงหาคม  ในบราซิลพบเด็กแรกคลอดที่มีภาวะพิการแต่กำเนิดที่เชื่อว่ามีผลมาจากการติดเชื้อไวรัสซิกาแล้วอย่างน้อย 3,718 ราย นับตั้งแต่พบผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้พุ่งขึ้นผิดปกติทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศในเดือนตุลาคม ในนั้นมีเด็กเสียชีวิต 49 ราย หลังจากก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อเฉลี่ยแล้วแค่ปีละราวๆ 160 คนเท่านั้น  ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันหรือวิธีรักษาผู้ติดเชื้อซิกา ที่มีอาการคล้ายไข้เลือดออกและโรคชิคุนกุนยา โดยทำให้เกิดไข้อ่อนๆ เป็นผื่นคัน และตาแดง ผู้ติดเชื้อราว 80% ไม่แสดงอาการ ทำให้ยากที่สตรีมีครรภ์จะรับรู้ว่าตนเองติดเชื้อหรือไม่  นอกจากในภูมิภาคที่กำลังเกิดการระบาดแล้ว เวลานี้ยังเริ่มพบผู้ติดเชื้อที่อยู่นอกภูมิภาคเหล่านั้นด้วย โดยเป็นผู้ที่เคยเดินทางไปยังประเทศซึ่งมีการระบาด เช่น โปรตุเกสพบผู้ติดเชื้อ 5 คน และทั้ง 5 เพิ่งเดินทางกลับจากบราซิล นอกจากนั้นยังพบผู้ติดเชื้อ

เอเอฟพี หน่วยข่าวกรองโซมาเลียซึ่งทำหน้าที่สอบสวนกรณีเครื่องบินโดยสาร ดาลโล แอร์ไลน์ส ทะลุเป็นรูโหว่ขณะขึ้นบินเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เผยภาพจากกล้องวงจรปิดซึ่งแสดงให้เห็นว่า มีกลุ่มบุคคลต้องสงสัยมอบคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปซึ่งภายในซุกซ่อน ระเบิดให้แก่ผู้โดยสารคนหนึ่งบนเที่ยวบินนี้ เหตุระเบิดซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่แล้ว (2 ก.พ.) ระหว่างที่เครื่องบินแอร์บัสลำนี้กำลังเดินทางจากสนามบินนานาชาติกรุงโมกาดิชูไปยังจิบูตี ส่งผลให้ลำตัวเครื่องบินด้านขวาใกล้กับปีกเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ และมีผู้โดยสารเสียชีวิต 1 ราย แต่กัปตันยังสามารถนำเครื่องกลับมาลงจอดฉุกเฉินที่กรุงโมกาดิชูได้อย่างปลอดภัย  สำนักงานความปลอดภัยและข่าวกรองแห่งชาติโซมาเลีย (NISA) แถลงว่า ภาพจากกล้องวงจรปิดที่เผยแพร่เมื่อวานนี้ (7) แสดงให้เห็นว่า ผู้โดยสารซึ่งเป็น มือระเบิดรับคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปมาจากชาย 2 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นสวมเสื้อแจ็กเก็ตคล้ายหน่วยรักษาความปลอดภัย  เรากำลังสอบปากคำผู้ต้องสงสัยราว 15 คนที่ถูกจับกุมเพราะอาจมีส่วนพัวพันกับคดีนี้เจ้าหน้าที่ข่าวกรองโซมาเลียซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อ ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี  จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ระเบิดถูกซ่อนมาในคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปที่ผู้โดยสารคนหนึ่งพกขึ้นเครื่อง... กล้องวงจรปิดสามารถจับภาพกิจกรรมบางอย่างได้ ซึ่งทำให้เชื่อว่าเหตุการณ์นี้น่าจะมีผู้ร่วมวางแผนหลายคน ซึ่งส่วนใหญ่ถูกจับกุมได้แล้ว และเจ้าหน้าที่กำลังสอบปากคำพวกเขาอยู่  เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า เรื่องนี้น่าจะเป็นอุบัติเหตุซึ่งเกิดจากความกดอากาศที่ลดลงอย่างกะทันหัน แต่จากการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญทั้งโซมาเลียและต่างชาติ ทำให้รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมและการบิน อาลี อะหมัด จามา ออกมายืนยันเมื่อวันเสาร์ (6) ว่า เป็นการ ลอบวางระเบิดอานุภาพของระเบิดทำให้ลำตัวเครื่องบินแอร์บัส A321 ทะลุเป็นช่องกว้างราว 1 เมตร หลังจากทะยานขึ้นฟ้าจากกรุงโมกาดิชูไปได้แค่ 15 นาที  ผู้โดยสารที่เสียชีวิตมีชื่อว่า อับดุลาฮี อับดิซาลาม ซึ่งเจ้าหน้าที่คาดว่าถูกแรงระเบิดอัดจนร่างกระเด็นหลุดออกจากลำตัวเครื่องบิน และยังมีผู้โดยสารที่บาดเจ็บเล็กน้อยอีก 2 คน  วลาดิมีร์ โวโดปิเว็ก นักบินชาวเซอร์เบีย ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เซอร์เบียฉบับหนึ่งว่า ตนสงสัยตั้งแต่แรกว่าน่าจะเป็นระเบิด และที่สามารถนำเครื่องลงจอดได้อย่างปลอดภัยก็เพราะระบบนำร่องไม่ได้รับความเสียหาย  สนามบินโมกาดิชูมีการป้องกันอย่างเข้มงวด เนื่องจากอยู่ติดกับฐานทัพของสหภาพแอฟริกา (African Union) ซึ่งได้ส่งทหารราว 22,000 นายเข้ามาช่วยสนับสนุนรัฐบาลโซมาเลียกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธ อัล-เชบับ

สำนักข่าวไทย (Mcot) -การเลือกตั้งคอคัสที่ไอโอวาเมื่อสัปดาห์ก่อน คนอเมริกันต้องตกตะลึงเมื่อผลปรากฏว่า ส.ว.เท็ดครูซ จากพรรคริพับลิกัน สามารถบดขยี้มหาเศรษฐีโดนัลด์ ทรัมป์ ไปได้ ชนิดหักปากกาโพลล์ ส.ว.เท็ดครูซ เป็นใคร ส.ว.หนุ่มจากรัฐเท็กซัส วัย 45 ปีผู้นี้คือ นักการเมืองขวาจัดชนิดตกขอบ ผู้มากประสบการณ์ หากจำกันได้ ตอนที่สหรัฐมีปัญหาเรื่องกฎหมายงบประมาณไม่ผ่านสภา จนถึงขั้นจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ Shutdown ต้องปิดทำการหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ เพราะรัฐบาลถังแตกไม่สามารถจ่ายเงินเดือนข้าราชการได้   ส.ว.เท็ดครูซ ผู้นี้ที่เป็นตัวตั้งตัวตีเตะถ่วงในสภา จนโอบามากินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวัน ถ้าเท็ดครูซ เกิดชนะเลือกตั้งขึ้นมา เขาจะกลายเป็นประธานาธิบดีผู้ที่มีหัวอนุรักษ์นิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศ และถ้าครูซชนะเลือกตั้ง เขายังจะกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่มีเชื้อสายฮิสแพนิค เพราะคุณพ่อของเขาเป็นคนคิวบา  ส่วนโดนัลด์ ทรัมป์ นักธุรกิจรุ่นใหญ่ วัย 69 ปี มั่นใจว่าจะชนะที่นิวแฮมป์เชียร์แน่ๆ หลังพลาดท่า สว.ครูซ ที่ไอโอวายกแรก เพราะที่นิวแฮมป์เชียร์ไม่ค่อยมีผู้ออกเสียงที่มีหัวอนุรักษ์นิยมขวาจัดมากนัก และโพลล์ทั่วประเทศตอนนี้ของฝั่งเขายังคงมีคะแนนนิยมนำโด่ง รอดูทรัมป์จะเอาคืนในรัฐนิวแฮมป์เชียร์ได้หรือไม่ ส่วนการแข่งขันในเดโมแครต นี่น่าดูน่าชมมาก เพราะว่าเลือกตั้งที่ไอโอวายกแรก นางฮิลลารี คลินตัน ชนะ ส.ว.แซนเดอร์ส์ ไปแบบไม่สวย นั่นคือเฉือนกันที่จุดทศนิยมนิดเดียวคือ คลินตัน ได้ 49.8% ส.ว.แซนเดอร์ส์ ได้ 49.6% ถือได้ว่าเสมอกัน ดังนั้นเลือกตั้งนิวแฮมป์เชียร์ จะเป็นตัวชี้วัดว่า ใครกันแน่ที่แรงกว่ากัน ฮิลลารี คลินตัน คนไทยรู้จักเธอดี แต่ ส.ว.แซนเดอร์ส์ เป็นใคร  คุณปู่วัย 74 ปีผู้นี้ เป็นนักการเมืองหัวเอียงซ้าย ต่อต้านกลุ่มทุมนิยมวอลล์สตรีท ชูนโยบายทำให้โครงการสาธารณสุขเป็นสากล จะขึ้นค่าแรงคนอเมริกัน จากปัจจุบัน ชม.ละกว่า 500 บาท จะขึ้นภาษีคนรวย จะจัดการสถาบันการเงินที่เอาเปรียบ และจะเปิดโอกาสให้ทุกคนเรียนฟรีในระดับมหาวิทยาลัย ใครจะได้ใจคนอเมริกันไป

(เครดิตอ้างอิง : คอลัมน์แปลข่าวต่างประเทศ , MGR online )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น