วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

ยุทธจักรนักการเมือง ตอน การเมืองว่าด้วยเรื่องของฌ้อปาอ๋อง


ฌ้อปาอ๋อง เป็นเรื่องราวที่เล่าถึงเหตุการณ์และการชิงไหวชิงพริบ ของการศึกระหว่างแคว้นฉู่กับรัฐฉิน โดยฝ่ายแคว้นฉู่ มีการแย่งชิงการนำกันระหว่างแม่ทัพเอก 2 คน ก็คือฌ้อปาอ๋องหรือเซี่ยงหวี่ คุมกำลังใหญ่ของฝ่ายแคว้นฉู่ กับหลิวปัง ที่คุมกำลังของพวกฮั่น ซึ่งทั้ง 2 คนเป็นแม่ทัพเอกผู้จงรักภักดีต่ออ๋องฉู่ เข้าต่อสู้และขับไล่พวกรัฐฉิน ซึ่งเป็นระบอบทรราชย์ สืบทอดอำนาจมาจากยุคจิ๋นซีฮ่องเต้  หลังจาก จิ๋นซีฮ่องเต้ รวมแผ่นดินจีนทั้งหมดไว้ได้ ก็สถาปนาตนเป็นฮ่องเต้ องค์แรกของจีน แต่ด้วยกฏหมายและการปกครองที่เข้มงวด โหดเหี้ยมทารุน ทำให้เกิดกบฏขึ้น โดยกลุ่มที่ลุกขึ้นต่อต้าน มีอยู่ 2 กลุ่มคือ กลุ่มของ หลิวปัง และ เซี่ยงอวี่ โดยทั้ง 2 กลุ่มได้ให้สัญญากันว่า หากใครตีเมืองเสียนหยาง เมืองหลวงฉิน (จิ๋น) ได้ก่อนจะได้เป็นฮ่องเต้ ..
กองทัพของ เซี่ยงอวี่ หรือ ฌ้อปาอ๋องนั้น มีกำลังพลที่แข็งแกร่ง แม่ทัพมากความสามารถ รวมไปถึงยอดกุนซือ อย่าง ฟ่านเจิง ที่คอยช่วยเหลือเรื่องกลยุทธในการรบให้กับ เซี่ยงอวี่ มากมาย ส่วนกองทัพของ หลิวปัง(เล่าปัง)นั้น ก็มี ยอดขุนพล เก่งไม่แพ้เซี่ยงอวี่ ที่มีชื่อในประวัติศาสตร์ อันโด่งดัง 3 คน นั้นคือ หันซิ่น จางเหลียง และ เซียวเหอ แต่เมื่อเทียบกองกำลังแล้ว หลิวปัง มีน้อยกว่ามาก แต่ด้วยกลอุบาย หลิวปังสามารถบุกตียึดเมืองเสียนหยางได้ก่อน แต่ด้วยกำลังพล มีน้อย คิดว่าไม่สามารถต้านทานกองกำลังเซี่ยงอวี่ได้แน่ จึงยอมเปิดเมือง รับเซี่ยงอวี่ และบอกว่า ตนนั้นเพียงแค่เข้ามารักษาเมืองไว้..

ก่อนที่หลิวปังจะเปิดเมืองยอมแพ้เซี่ยงอวี่นั้น มีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ที่กลายเป็นคำพูด หรือ สุภาษิตจีนมาจนถึงทุกวันนี้ นั้นคือ 鸿门 (หงเหมินเหยียน) ตามชื่อเรื่อง นั้นคือ งานเลี้ยงที่หงเหมิน ซึ่งเป็นชื่อตำบล ที่เซี่ยวหวี่ จัดงานเลี้ยงเพื่อที่จะพบปะพูดคุยกับหลิวปัง ซึ่งในงานเลี้ยง กุนซือ ฟ่านเจิง ของเซี่ยงอวี่ พยายามบอกให้ เซี่ยงอวี่ ฆ่าหลิวปังทิ้งซะ เพื่อที่จะไม่ได้เป็นภัยในภายหลัง แต่ เซี่ยงอวี่ก็ใจอ่อน ปล่อยให้หลิวปังรอดกลับไป ..
วลี หงเหมินเหยียน จึงกลายเป็นวลี ที่บอกว่าเป็น อุบายที่เชิญไปเพื่อฆ่าทิ้งนั้นเอง แต่ หลังจากที่หลิวปัง ชนะเซี่ยงอวี่ แล้ว เขาได้สถาปนา ราชวงศ์ฮั่น ขึ้น และตอนนี้เอง ที่หลิวปังได้มีอำนาจสูงสุด เขาเริ่มหวาดระแวง คนรอบข้างเขาทุกคน ที่ช่วยรบสร้างชาติกันมา ทุกคนล้วนแล้วแต่ถูกกำจัดไปทีละคน ทีละคน เรื่องหวาดระแวง และฆ่าคนที่ร่วมสู้รบกันมา มีให้เห็นในประวัติศาสตร์แทบทุกยุค ทุกสมัย จนเกิดเป็นภาษิต อย่างจีนว่า 鸟尽弓藏,兔死狗烹 แปลเป็นไทยในทำนองว่า ไม่มีนกแล้วธนูก็ไร้ความหมาย ไม่มีกระต่ายให้ล่าแล้วหมาล่าเนื้อก็ถูกนำไปฆ่ากิน หรือ เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล นั้นเอง

สงครามฉู่-ฮั่น”  White Vengeance (2011, ฌ้อปาอ๋อง ศึกแผ่นดินไม่สิ้นแค้น) เป็นงานที่หยิบเอาการรบพุ่งครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์จีนที่เรียกว่า สงครามฉู่-ฮั่นมาดัดแปลงเป็นหนัง โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า งานเลี้ยงที่หงเหมินอันเป็นจุดเปลี่ยนของยุคสมัยมาตีความ เพิ่มแง่มุมใหม่ ๆ ลงไป เรื่องราวในหนังเกิดขึ้นในยุคปลายราชวงศ์ฉินที่ราษฎรพากันลุกฮือขึ้นก่อกบฏ จนเกิดกองกำลังหลายสายในความวุ่นวายครั้งนี้ หนึ่งก็คือกองทัพที่มี เซี่ยงหวี่ หรือ ฌ้อปาอ๋อง นักรบหนุ่มผู้ห้าวหาญที่เกิดมาในตระกูลขุนนางของแคว้นฉู่เป็นผู้นำ ส่วนอีกหนึ่งคือกองทัพ ที่มี หลิวปัง ขุนนางระดับล่างของก๊กฉิน ที่มีพื้นเพเดิมมาจากครอบครัวชาวนาผู้ยากไร้เป็นผู้นำ  ในช่วงแรกทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะเป็นพันธมิตร ที่มีอุดมการณ์ร่วมกันดี แต่แล้วเมื่อ เซี่ยงหวี่ ได้ชัยในการรบ เข้าใกล้สู่การกรีฑาทัพเข้าเมืองเสียนหยาง กลับเป็นกองทัพของ หลิวปัง ที่ชิงเข้าเมืองก่อน สร้างความไม่พอใจให้แก่เซี่ยงหวี่เป็นอย่างยิ่ง แม้จะยังไม่ถึงขั้นแตกหัก แต่ความบาดหมางก็เริ่มส่อเค้าขึ้น  แม้จะเข้าเมืองหลวงช้ากว่า แต่ด้วยกำลังพลที่มากที่สุดกองกำลังของ เซี่ยงหวี่ ยังคงถือสิทธิ์ในการปกครองประเทศ เขาประกาศตั้งตัวเองเป็นฌ้อปาอ๋องที่มีความหมายว่า อ๋องแห่งฌ้อผู้ยิ่งใหญ่ขณะเดียวกันก็แต่งตั้งให้ หลิวปัง มีบรรดาศักดิ์เป็น "ฮั่นอ๋อง"  เหตุการณ์ที่เรียกกันว่า งานเลี้ยงที่หงเหมิน เกิดขึ้นหลังจากนั้นนั่นเอง เมื่อ เซี่ยงหวี่ ได้จัดงานเลี้ยง เชิญ หลิวปัง มาเพื่อหวังจะฆ่าทิ้งกำลังเสียนหนามนี้ซะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ ในบางมุมมองว่ากันว่าเพราะ ฌ้อปาอ๋อง เห็นแก่ความเป็นพี่เป็นน้องที่เคยมีมา สุดท้าย หลิวปัง ก็เอาตัวรอดไปได้ สงครามครั้งใหญ่กินเวลาหลายปี ซึ่งลงเอ่ยด้วยผลลัพธ์แห่งความพ่ายแพ้ของฝ่าย เซี่ยงหวี่ และการเชือดคอตัวเองตายข้างริมแม่น้ำอู่เจียง อย่างที่ทุกคนรู้กัน   White Vengeance เลือกที่จะให้ภาพ งานเลี้ยงที่หงเหมินเป็นเหมือนสนามประลองของทั้งสองฝ่าย เป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม ที่แต่ละฝั่งได้ประกาศความเป็นศัตรูต่อกันอย่างชัดเจนแล้ว และถึงเวลาของการต่อสู้ในยกแรก เป็นการปะทะกันทางสติปัญญา, ชิงไหวชิงพริบ และการแผนการที่ต้องวางหมากกันหลายตลบ  เป็นแผนซึ่งเริ่มต้นขึ้นด้วยงานเลี้ยงในวันนั้น, เริ่มต้นจากกระดานหมากล้อมอันดุเดือน แต่กว่าจะไปจบเอาก็กินเวลาหลังจากนั้นอีกหลายปี แม้ในงานเลี้ยงครั้งนั้นทั้ง หลิวปัง และจางเหลียง ผู้เป็นกุนซือจะดูเหมือนพ่ายแพ้แบบหมดทางสู้ แต่นั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสงครามอันยาวนานเท่าเนั้น
มาวิเคราะห์ตัวละครเซี่ยงหวี่ และความผิดพลาดอันนำมาซึ่งจุดจบของเซี่ยงหวี่

เซี่ยงอวี่ (项羽) เขาเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจกล้าหาญมากที่สุดในรอบหลายพันปีของประวัติศาสตร์จีน เขาสามารถแบกรับความกดดันจากความเป็นวีระบุรุษของรุ่นพ่อถ่ายมาสู่รุ่นของเขา หลิวปังมีตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองฮุยจี (Huiji) ตอนที่หลิวปังรุกขึ้นก่อกบฎต่อราชวงศ์ฉิน หลังจากสงครามจูหลู่ (Julu) กองทัพของเขาได้ข้ามแดนเข้าปกครองดินแดนเป่าฉิน (Baoqin) และสร้างความหวาดกลัวไปทั่ว

เซี่ยงอวี่ไม่ได้เก่งกาจกล้าหาญในการรบเท่านั้น แต่ยังได้สร้างผลงานเพลงชิ้นเอกเรียกว่า เพลงก่ายเซี่ย (垓下歌, Gaixia Ge) ซือหม่า เฉียน เขียนถึงเขาว่า 大政皆由羽出,号称西楚霸王,权同皇帝。位虽不终,近古以来未尝有也” น่าจะแปลว่า งานใหญ่ระดับประเทศมีแต่เซี่ยงอวี่ออกหน้า รู้จักในนามว่า ซีฉู่ป๋าหวางมีอำนาจเสมอกษัตริย์ แม้ในสุดท้ายจะไม่สำเร็จ แต่ร่ำลือกันจากโบราณตราบจนถึงปัจจุบันการปรากฎตัวของเซี่ยงอวี่ เพื่อสร้างปรากฎการณ์ของประวัติศาสตร์จีน และเขียนเป็นตำนานอมตะ เซียงหวี่ได้ชื่อว่าเป็นจอมอสูรแห่งสงคราม เพราะอายุแค่สิบกว่าๆ ก็กระโดดเข้านำทัพให้แก่ท่านลุงของเขานามเซี่ยงเหลียง และสร้างประวัติการรบที่งดงามมาโดยตลอด จนเมื่อเซียงเหลียงตายลงในการทำศึกระหว่างทัพฉู่กับทัพฉิน ทัพฉินนำโดยนายพลจางฮั่น บริเวณสมรภูมที่ติงเตา ฉู่อ๋องส่ง ซ่งอี้มานำทัพแทนเซี่ยงเหลียง แต่เมื่อคนนำทัพไม่ยอมออกรบ เป็นกองสนับสนุนให้กับเซี่ยงหวี่ ตามแผนการรบ เซี่ยงหวี่ก็เลยบุกเข้าไปยังกองบัญชาการ ตัดหัวผู้แทนพระองค์เสีย ก่อนที่จะประกาศตัวเป็นแม่ทัพใหญ่เสียเอง เซี่ยงหวี่นั้นขึ้นเป็นผู้บัญชาการศึกของกองทัพใหญ่ที่สุดของแคว้นฉู่ ในขณะนั้นมีอายุเพียง 24 ปี เท่านั้น  

ในสงครามผู้แพ้คือผู้จ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม ผู้ชนะจะได้ไปทั้งหมด ได้ทั้งอำนาจและความชอบธรรม
-การศึกที่เพิงเฉิง ซึ่งเซี่ยงหวี่สู้อุตส่าห์นำทัพ 30,000  ชนะทหาร 600,000 ได้สำเร็จ แต่แทนที่จะบดขยี้ทัพของหลิวปัง แต่กลับหยุดทัพแล้วรอว่าเมื่อไหร่ หลิวปังจะมาขอเจรจาเพื่อแลกเอาเชลย (ทั้งๆ ที่เชลยเหล่านั้นคือ พ่อ แม่ ลูก ของหลิวปัง ซึงผู้สถาปนาราชวงศ์ถังได้ทิ้งเอาไว้ระหว่างที่หลบหนี)

-เมื่อลูกน้องของหลิวปังอย่าง ซื่อหม่าฉิน และตงยี่ มาขอสวามิภักดิ์ เซี่ยงหวี่ไม่ฟังคำทัดทานจากฟ่านเจิง ที่ปรึกษาอันดับหนึ่งว่าเป็นแผนการซื้อเวลาหนีให้แก่หลิวปัง แถมยังให้ทหารทั้ง 2 คนนี้ไปตามล่าหลิวปังเสียอีก เหตุนี้หลิวปังจึงหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย
-ฟ่านเจิงเคยคุกเข่าขอร้องให้เซียงหวี่เชื่อตนเองซักครั้ง นั่นคือ ให้เซี่ยงหวี่ยกทัพใหญ่ข้ามฝั่งไปทุ่มโจมตีทัพหลิวปังและบดขยี้ให้ตายที่เขตฮั่นจงเสีย โดยไม่ต้องไปสนใจการศึกทางเหนือและตะวันออกที่มีหันซิ่น และเผิงเย่ แม่ทัพฝ่ายฮั่น อีก 2 คน นอกหนือจากหลิวปัง ถ้าจ้ดการหลิวปังได้ แม่ทัพทั้ง 2 ก็จะพร้อมยินยอมมาร่วมมือกับฝ่ายตน เซี่ยงหวี่กว่าจะตัดสินใจทำตาม ก็เป็นจังหวะที่หลิวปังยอมยกธงขาวมาขอทำสัญญาสงบศึกกับฝ่ายฉู่ ฟานเจิงไม่เห็นด้วยกับการสงบศึกและถอนกำลังของฝ่ายฉู่ อีกทั้งเซี่ยงหวี่ยังมีความเชื่ออีกว่าหลิวปังคงไม่คิดก่อการอะไรอีก คงคิดยอมแพ้จริงๆ จากนั้นจึงยอมคืนเชลยศึกที่เคยจับมาตั้งแต่ครั้งสงครามฉู่ฉินครั้งแรก เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ฟานเจิงกราบขอลาออกทันที เพื่อกลับไปบ้านเกิดที่ซูโจว เพราะเชื่อว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของเซี่ยงหวี่คือความพินาศของฝ่ายฉู่อย่างแท้จริง ภายหลังทำสนธิสัญญาได้ไม่นาน ขณะที่ทัพฉู่กำลังยกกลับไปนั้น จู่ๆ หลิวปังก็ประกาศฉีกสัญญาดังกล่าว พร้อมกับยกกองทัพไปซุ่มโจมตีกองทัพฉู่ทันที สงครามบริเวณนี้เรียกว่า สงครามที่กุ้ยหลิง เซี่ยงหวี่ต้องเผชิญกับการรับมือ และการลอบตีตลบหลังของหลิวปัง แต่เขาก็สามารถเอาชนะหลิวปังในสนามรบนี้ได้สำเร็จ ด้วยความโกรธเขายกทัพกลับเข้าสู่พื้นที่ศัตรูอีกครั้ง แต่เซีย่งหวี่ก็ไม่สามารถสังหารหลิวปังได้เช่นกัน เพราะหลิวปังใช้วิธีหนีเข้าไปหลบในป้อมปราการของตน ไม่ยอมออกมาสู้และเมื่อทัพเซี่ยงหวี่ยกทัพตามไปตี ก็ต้องเผชิญกับทัพของหันซิ่น และเผิงเย่ ที่ยกกำลังมาตัดเส้นทางส่งเสบียงของกองทัพฉู่ได้สำเร็จ กลายเป็นว่าเซี่ยงหวี่โดนปิดล้อมให้เผชิญกับความเหนื่อยล้าและหิวโหย นี่คือสิ่งที่ฟ่านเจิงได้ทำนายเอาไว้แล้วว่า กองทัพฉู่และแคว้นฉู่จะต้องล่มสลายเพราะการตัดสินใจพลาดของเซี่ยงหวี่

-เซี่ยงหวี่ตัดสินใจฝ่าด่านกลับไปตามทางเพื่อกลับแคว้นฉู่ให้ได้ แต่มาเจอหันซิ่น ที่จัดคนซุ่มโจมตีริดรอนกำลังถอย เสียแรงและกำลังใจไปเรื่อยๆ การวางกลลวงของจางเหลียงและหันซิ่นทำให้ทัพฉู่ไปติดกับอยู่ในหุบเขาที่เรียกว่าไก่เซี่ย (Gaixia) ที่นี่เองที่หวีจี ภริยารักของเขาถูกทัพฮั่นจับตัวไว้เป็นเชลย เซี่ยงหวี่ตัดสินใจสั่งการให้ทหารส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปตามทางเอกเพื่อกลับไปสู่แผ่นดินฉู่ให้เร็วที่สุด ตัวเขาจะพาทหารคนสนิทเพียงไม่กี่นายไปตามหาหวีจีคืนมา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นช่วง 2 เดือนหลังจากทำสัญญาสงบศึก
-ทหารราวหนึ่งพันคนที่ตามเซี่ยงหวี่ไปด้วย สามารถปฏิบัติการชิงตัวประกันได้สำเร็จ แต่หารู้ไม่ว่าตัวประกันที่ได้มานั้นเป็นเพราะหันซิ่นจงใจปลอยตัวไว้ในหุบเขาที่ว่า จากนั้นหันซิ่นก็ปฏิบัติการโจมตีทั้ง 10 ทิศ นั้นคือการล้อม ตี แหย่ จนกระทั่งกองร้อยของฉู่นั้นแทบไม่เหลือสภาพจิตใจที่จะต่อสู้อีกเลยเพราะไม่รู้จะออกจากกรงและกับดักนี้อย่างไร ปฏิบัติการทำลายทางจิตวิทยาของหันซิ่นยังคงมีต่อไป เมื่อถึงค่ำคืน หันซิ่นก็สั่งทหารฮั่นและเชลยศึกฉู่ที่จับได้ ร้องเพลงพื้นเมืองของชาวฉู่จากสี่ทิศ (Chu Song from Four Sides) เนื้อหาและทำนองเพลงนั้น ทำให้กองทัพของเซี่ยงหวี่หมดแรงที่จะสู้ เพราะคิดถึงบ้าน ครอบครัว ลูกเมีย เรียกได้ว่าอ่อนแอถึงขีดสุด ทหารส่วนหนึ่งแอบหนีทัพกลางดึก อีกจำนวนหนึ่งก็เข้ามาขอร้องให้เซี่ยงหวี่ขอยอมแพ้ เหตุการณ์นี้ทำให้ “หวี่จี” ซึ่งถือว่าตัวเองต้องรับผิดชอบที่ทำให้สามีและทหารคนสนิทต้องมาติดอยู่ในหุบเขานี้ นางจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ด้วยการฆ่าตัวตาย เพื่อให้เซี่ยงหวี่และทหารเสือซึ่งมีอยู่ราว 800 นายได้ฉุกคิด การตายของหวี่จี ทำให้เซี่ยงหวี่ตัดสินใจที่จะฝ่าทะลวงออกจากหุบเขากลับไปแดนฉู่ให้สำเร็จ ความสามารถในการรบของเซี่ยงหวี่แสดงให้เห็นแบบสุดยอดก็คราวนี้ เพราะเป็นครั้งแรกที่เขาได้สู้กับหันซิ่น ผลก็คือ หันซิ่นต้องเป็นฝ่ายล่าถอย เขานำทหารทั้ง 800 คนหนีรอดไปได้จากกับดักนั้น แต่ความที่ไม่รู้เหนือรู้ใต้ ทำเอาเซี่ยงหวี่เสียเวลากับเส้นทางไปมาก ขณะเดียวกันยังมีทหารของฮั่นอีก 5,000 นาย ที่ตามติดมา สุดท้ายเซี่ยงหวี่มาถึงริมน้ำอู่เจียง เซี่ยงหวี่นั้นทำหน้าที่เป็นสุดยอดแม่ทัพจนนาทีสุดท้าย เมื่อเขาสั่งการให้ทหารที่หลงเหลือลงเรือข้ามไปทั้งสิ้นโดยที่เขารับหน้าที่ต่อต้านกองกำลังของฮั่นแต่เพียงผู้เดียว ตามบันทึกก็บอกว่าคนเดียวก็ยังสามารถฆ่าทหารฮั่นไปได้อีก 100 นาย แต่ด้วยบาดแผลและความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ทำให้เซี่ยงหวี่ไม่มีแรงเหลืออีก หูของเซี่ยงหวี่นั้นได้ยินคำสั่งของทหารที่ล้อมเข้ามาว่า หลิวปังสั่งให้จับเป็น ยิ่งทำลายความอหังการ์ของเขาเข้ามาอีก เซี่ยงหวี่ไม่ยอมถูกจับเป็นเชลยแก่ใครก็ตาม เขาจึงตัดสินใจใช้ดาบเชือดคอตัวเอง จบชีวิตบริเวณริมแม่น้ำอู่เจียง ขณะที่เขามีอายุได้เพียง 30 ปี แม้ว่าเรือข้ามฟากจะมารอรับและสามารถพาเขาส่งไปยังดินแดนฉู่ได้ก็ตาม ความตายของเซี่ยงหวี่ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่จนถึงทุกยุคสมัยว่าเหตุใดเขาต้องฆ่าตัวตาย เพราะเพียงแค่ข้ามฝั่งไปได้ สถานการณ์ทุกอย่างก็ยังมีสิทธิพลิกผัน เพราะที่เจียงตง กองทัพใหญ่ของเขายังอยู่ที่นั่น แถมเขายังพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ต่างลงความเห็นมุ่งไปทางเรื่องสภาพของจิตใจ และความตายของหวี่จี  มีส่วนให้เซี่ยงหวี่หมดกำลังใจ เป็นเหตุให้เขาตัดสินใจเชือดคอตายตามคนรักไปครองรักกันในภพหน้า

วิเคราะห์ตัวละครหลิวปัง และลีลาชั้นเชิงที่ทำให้เขาก้าวขึ้นสู่บัลลังก์อำนาจ สถาปนาตนเองเป็น ฮั่นเกาจง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น
หลิวปัง(刘邦) คนส่วนใหญ่คิดว่า หลิวปังไม่มักใหญ่ใฝ่สูง แต่หลิวปังยังคงมีหนทางของตัวเอง หลิวปังเติบโตจากการเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยปกครองเขตเล็กๆห่างจากเมือง 10 ไมล์ ข้าราชการเล็กๆเหล่านั้นมีรายได้ดีและเป็นผู้มีชื่อเสียงในเขตนั้นๆ ปี 206 BC หลิวปังเป็นคนแรกๆที่ออกมาต่อต้านราชวงศ์ฉิน หลังการต่อสู้ระหว่างรัฐฉู่ และรัฐฮั่นของหลิวปัง หลิวปังชนะเด็ดขาดและรวบรวมประเทศจีนขึ้นใหม่ สถาปนาราชวงศ์ฮั่นปกครองประเทศจีน หลิวปังไม่ใช่นักการทหาร แต่เป็นนักการเมือง นักจิตวิทยา และนักปกครองที่หาใครเปรียบมิได้ เขาสามารถดึงตัวผู้มีความสามารถเข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก มีทั้งยอดกุนซือผู้มองการณ์ไกลอย่างจางเหลียง ผูกสัมพันธ์เป็นพันธมิตรร่วมกับสุดยอดนายทหารอย่างหันซิ่น และฝานไขว้ สามารถทำให้นายอำเภอเขตเล็กๆ กลายเป็นคนใหญ่โตขึ้นมา เมื่อการศึกกับรัฐฉินใกล้ถึงบทสรุปของมัน ฉู่อ๋อง นายเหนือหัวของทั้งหลิวปังและเซี่ยงหวี่ เรียกตัวคนทั้งคู่เข้ามาทำสัญญากันว่า หากว่าทัพของใครก็แล้วแต่สามารถบุกทะลวงเข้าไปถึงเมืองเสียนหยาง(ปัจจุบันอยู่ใกล้เมืองซีอาน) อันเป็นเมืองหลวงของของรัฐฉินได้ก่อน คนผู้นั้นจะได้เป็น “อ๋องแห่งกวนจง” อันเป็นที่ราบและอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญในตอนเหนือ ทัพของเซี่ยงหวี่นั้นควบคุมกองกำลังทหารอยู่ถึง 4 แสน บุกไปทางตะวันออก ขณะทีทัพของหลิวปังมีกำลังทหารเพียงแค่ 1 แสน บุกเข้าไปทางตะวันตก บรรดาราษฏรประชาชนนั้นพร้อมรับผู้ที่จะมาเป็นเจ้าปกครองคนใหม่ แต่ขอเลือกคนดีที่สุดเป็นพอ ช่วงเวลานั้นแม้ว่าจะมีขุนศึกอยู่หลายคน แต่คนที่สร้างเนื้อสร้างตัวบนความเชื่อใจของมวลชนนั้นดูเหมือนจะมีแค่กองทัพของหลิวปังเท่านั้น เพราะไปที่ไหน หลิวปังก็สั่งห้ามทหารมิให้ปล้นชิง ทำร้ายประชาชน ซึ่งต่างกับกองกำลังทหารของเซี่ยงหวี่ ประชาชนต่างครั่นคร้ามในชื่อเสียงที่ไม่ดี เมื่อชนะศึกที่ไหนก็ปล่อยให้ทหารอุ้มฆ่า ปล้น จี้ ข่มขืน เผาเมือง ดังนั้นเมื่อเห็นว่ากองทัพเซี่ยงหวี่จะเดินทางมา ชาวบ้านมักจะต่อต้านกันอย่างหนักหน่วง ทัพของหลิวปังสามารถบุกเข้าไปยังกวนจงได้ก่อนเซี่ยงหวี่ ที่ทำการทุกอย่างโดนหลิวปังส่งทหารเข้าไปคุมได้หมด ในขณะที่ทัพของเซียงหวี่มัวเสียเวลาอยู่กับการต่อสู้กับนายพลจางฮั่นของทัพฉินอยู่นาน และเมื่อจางฮั่นล่วงรู้ว่าทัพฉินอย่างไรก็ต้องพ่ายแพ้ จึงยอมสวามิภักดิ์ต่อเซี่ยงหวี่โดยดี เมื่อทัพของของหลิวปังเข้าสู่กวนจง แม้แต่ฮ่องเต้ของรัฐฉินก็ยังยอมแพ้ต่อหลิวปัง เมื่อเซี่ยงหวี่ทราบเรื่องจึงคิดที่จะทำศึกกับหลิวปังโดยทันที แต่กุนซือของเซี่ยงหวี่อย่างฟ่านเจิง เสนอแผนการที่แยบยลด้วยการจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับหลิวปัง เพื่อจะวางแผนสังหารหลิวปังเสีย เป็นที่มาของงานเลี้ยงมรณะหรือที่เรียกว่า งานเลี้ยงหงเหมิน (Feast of Hong Gate) เซี่ยงหวี่นั้นมีสายสืบอยู่ในกองทัพของหลิวปัง นามว่าเกาหวูชาง เป็นผู้ส่งรายงานมาให้เซี่ยงหวี่ทราบว่า จริงๆ แล้วหลิวปังคิดตั้งตัวเป็นเจ้ามานานแล้ว ด้วยการสร้างภาพสุดๆ กับชาวเมืองในเรื่องความเมตตา เกาหวูชางยังแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ยังมีสัญญาลับๆ ที่ฮ่องเต้แคว้นฉิน คิดที่จะแต่งตั้งหลิวปังเป็นผู้ว่าการแคว้นฉินแทนด้วย และตัวของหลิวปังมีโอกาสได้พบกับบรรดาคหบดีของแคว้นด้วยตนเอง ซึ่งฟานเจิง กุนซือของเซี่ยงหวี่มองว่า การสร้างภาพเป็นคนดีของหลิวปัง และการไปขอเข้าพบบรรดาคหบดี เป็นหนึ่งในกุศโลบายที่จะตั้งเป็นเจ้าของหลิวปังจริงๆ แต่ไส้ศึกที่วางไว้ของแต่ละฝ่ายไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เซี่ยงป๋อเป็นลุงของเซี่ยงหวี่ ดันเป็นเพื่อนกับหลิวปัง เซี่ยงป๋อกลับนำข้อมูลที่เซี่ยงหวี่ล่วงรู้ไปแจ้งต่อจางเหลียง กุนซือของหลิวปังให้รับทราบจนวางแผนรับมือ จางเหลียงแนะนำให้หลิวปังเชิญเซี่ยงป๋อมาพบอย่างเป็นทางการและมอบเงินทองของมีค่าที่ได้จากเมืองเสียนหยางให้ แถมยังสัญญาวาจะยกลูกชายของหลิวปังให้แต่งงานกับลูกสาวของเซี่ยงป๋อเสียด้วย เซี่ยงป๋อจึงกลับไปพูดรับประกันกับเซี่ยงหวี่ว่าหลิวปังจะไม่ทรยศอย่างแน่นอน และเมื่อเซี่ยงหวี่เข้าสู่กวนจง หลิวปังเมื่อพบหน้าเซี่ยงหวี่ก็ประกาศความยิ่งใหญ่ของเซี่ยงหวี่ในทันที ยกความดีความชอบให้กับเซี่ยงหวี่ ที่สามารถต่อสู้รับศึกกับจางฮั่นจนสามารถได้ชัยชนะ การเดินทางของเขาสู่กวนจงถือเป็นความโชคดีที่เซี่ยงหวี่ล้วนประทานให้ แถมที่เข้ามาควบคุมเมืองไว้ก่อนก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเซี่ยงหวี่เข้าสู่เสียนหยางได้อย่างสะดวก การป้อยอของหลิวปังได้ผล ในงานเลี้ยงหงเหมิน เซี่ยงหวี่ยังไม่ยอมยกมือทำสัญญาณให้กับมือสังหารลงมือเสียที ฟานเจิงนั้นขยิบตาแล้วขยิบตาอีกให้เซี่ยงหวี่ตัดสินใจลงมือ สุดท้ายเมื่อนายไม่ยอมทำ ฟ่านเจิงก็เลยกระซิบให้เซี่ยงจวงซึ่งเป็นญาติของเซี่ยงหวี่ เป็นมือสังหารที่เตรียมเอาไว้ออกมาร่ายรำดาบทันที

“จิ๋นซีฮ่องเต้เหตุเพราะไร้เมตตาและเหตุผลจึงฆ่าคนนับไม่ถ้วน แต่เป็นเหตุให้ทัพของแคว้นต่างๆ ก่อการปฏิวัติขึ้นมา การตกลงเรื่องว่าใครเข้ามาที่กวนจงก่อน จะได้เป็นอ๋องแห่งกวนจงนั้น คนทั้งแผ่นดินล้วนทราบเรืองนี้ แต่ท่านหลิวปังก็ไม่ได้คิดทำเช่นนั้น เมื่อยกกองทัพเข้ามาได้ก็รักษาเมืองพร้อมถอนทัพใหญ่ไปอยูที่ป้าชาง เพื่อเตรียมยกเมืองให้แก่ท่าน การนี้คนทั่วไปก็รู้ดี แม้นความดีความชอบรางวัลต่างๆ ก็ยังไม่ยอมรับ แต่เพียงแค่มีคนบอกว่าหลิวปังคิดเป็นอื่นท่านก็หลงเชื่อแล้ว ท่านใช้กำลังเดินรอยตามจิ๋นซีหรือไม่?   พอฟังเช่นนี้ เซียงหวี่ถึงกับสั่งให้หยุดการแสดงระบำดาบพร้อมรินสุราคารวะฝานไขว้ทันที หลิวปังได้ทีก็แสร้างทำเป็นมึนเมา แล้วเดินออกจากกระโจม อ้างว่าจะไปปัสสาวะ ฝานไขว้เป็นคนประคองออกไปพร้อมกัน เมื่อออกมาได้ไกลแล้ว ทั้งคู่ก็หนีกลับไปที่ค่ายของตนเอง ก่อนจากไป หลิวปังยังมอบทั้งหยกประดับชิ้นงามและถ้วยหยกให้กับจางเหลียงนำไปมอบให้กับฟ่านเจิง กุนซือของเซียงหวี่ เซี่ยงหวี่นั้นพอเห็นทั้งหยกสวยๆ แถมกินคำเยินยออย่างเต็มอิ่ม พร้อมกับคำทัดทานจากลุงของตนเองก็เลยยอมปล่อยตัวหลิวปังกลับไปแต่โดยดี ฟ่านเจิงถึงกับชักดาบฟันถ้วยหยกขาดเป็น 2 ท่อน พร้อมกับกล่าววาจาไว้ว่า “ชะรอยอนาคตแผ่นดินจะตกเป็นของหลิวปังเป็นแม่นมั่น”  การทำนายของฟ่านเจิงภายหลังก็กลายเป็นจริง เพราะหลังจากนั้นหลิวปังก็ตั้งตนในเขตกันดารทางตะวันตก ส่วนเซี่ยงหวี่ทำสงครามอย่างโหดเหี้ยม ทั้งลอบสังหารนายเก่า ตั้งตัวเป็นฉู่อ๋อง (หรือคนไทยเรียกฌ้อปาอ๋อง) ทางตะวันออก สุดท้ายเซี่ยงหวี่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามที่ไกเซี่ย สงครามระหว่างฉู่-ฮั่น ซึ่งกินเวลากว่า 4 ปี เซี่ยงหวี่จบชีวิตด้วยการเชือดคอตนเองที่ริมแม่น้ำอู่เจียงพร้อมนางสนมหวี่จี ส่วนหลิวปังสถาปนาตนเองเป็นปฐมกษัตริย์ฮั่นเกาจงรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่ง ปกครองประเทศต่อมาอีก 400 ปีเศษ
-ความสำเร็จของหลิวปัง ไม่อาจมองข้ามแม่ทัพหันซิ่นและฝานไขว้ หลิวปังนั้นซื้อใจหันซิ่นด้วยการให้สํญญาว่าหากหันซิ่นยอมเข้ามาสวามิภักดิ์ร่วมมือกับตน จะยกให้เป็นอ๋องปกครองดินแดนบางส่วน        

ภาพยนตร์ The Last Supper สร้างขึ้นเพื่อเป็นภาพยนตร์ลำดับเหตุการณ์ของสงครามในยุคนั้น เรื่องราวจะเป็นลำดับเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างเซี่ยงอวี่ และ หลิวปัง เป็นหลัก การรณรงค์เพื่อขยายความขัดแย้งระหว่างรัฐฉู่ และ รัฐฮั่น
เรื่องราวเริ่มที่หลิวปังตั้งตัวที่เปยเซียน (Peixian) ทำสงครามที่จูหลู่ (Julu) การศึกที่เพิงเฉิง (Pengceng) การประชุมและแบ่งเมืองกับรัฐฉู่ การตีเมืองตงเฉิง (Dongceng) และสงครามอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ภาพยนตร์แสดงถึงการก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์ราชวงศ์ฮั่นของหลิวปัง ฮองเฮาเข้ามามีบทบาทและอำนาจ แย่งชิงพื้นที่บางส่วนของประเทศ

เรื่องย่อของภาพยนตร์ The Last Supper
ประเทศจีนเมื่อสองพันปี การจราจลของข้าราชบริพารต่อต้านการปกครองระบบเผด็จการของกษัตริย์ราชวงศ์ฉินเกิดขึ้นทั่วทุกหนทุกแห่ง นอกเมืองหลวงมีแต่สงครามนองเลือด ประชาชนละทิ้งเมืองหนีไปอาศัยในป่าลึก เกิดสงครามและความอดอยากไปทั่ว มีการเดินหมากการเมืองไปทั่วเพื่อรักษาแผ่นดินที่ลุกโชนนี้ เป็นชตาก่อกำเนิดการเปลี่ยนแปลงวีระบุรุษในยุคนี้เพื่อจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีน  เซี่ยงอวี่ และ หลิวปัง สองผู้นำการจลาจลเพื่อต่อต้านระบบเผด็จการของราชวงศ์ฉิน นำกำลังทหารของตนต่อสู้เพื่อเสรีภาพและร่วมกันต่อสู้ตลอดเส้นทาง แม้จะถูกป้องกันโดยกองทัพที่มีจำนวนมหาศาลและมั่งคั่งของราชวงศ์ฉิน ต่อสู้กระชั้นชิดมุ่งสู่ศูนย์กลางอำนาจราชวงศ์ฉิน

เหตุการณ์ลำดับในประวัติศาสตร์ล้วนคดเคี้ยวและคลุมเครือ แต่คนเดียวเท่านั้นที่จะได้เป็นกษัตริย์ เซี่ยงอวี่ผู้ไม่เคยแพ้และนิสัยหุนหันพลันแล่นพลาดโอกาสในการสังหารหลิวปังในงานเลี้ยงอาหารค่ำหงเหมินเหยี่ยน ต้องพ่ายแพ้และฆ่าตัวตายริมแม่น้ำอู่เจียง (Wujiang River) โดยการร่ำไห้ร่ำลาจากหยูจวี้ คนรักของเขา หลิวปัง หลู่จือ ฮองเฮาของหลิวปัง หานซิ่น จางเหลียง และ เซียวเหอ ต่อสู้ครั้งสุดท้ายจนได้ครอบครองพระราชวังที่สวยงาม และคฤหาสน์อันหรูหรา ปกครองประเทศจีน ราชวงศ์ของหลิวปังดูเหมือนปีที่ถูกลืมอันยาวนาน เกิดความหวาดระแวงสงสัยในพันธมิตรที่ร่วมรบแม้แต่เพื่อนพ้องพี่น้องที่ร่วมกันสู้ศึกตั้งแต่เริ่มต้น การฆ่าฟันประหัดประหารเพื่อนพ้องพี่น้องและพันธมิตรเริ่มต้นในกำแพงของอาณาจักรราชวงศ์ฮั่นนี้ เป็นข่าวลือที่แพร่กระจายอย่างเงียบๆ


และเมื่อบรรดาตัวละครต่างๆในเรื่องฌ้อปาอ๋องกลับชาติมาเกิดในดินแดนสาระขัณฑ์ในยุคนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร
-กองทัพของเซี่ยงหวี่ตั้งตัวเป็นทัพใหญ่แห่งมวลมหาประชาชน ต้องการโค่นล้มรัฐฉิน ระบอบทรราชย์ใหม่ที่โกงกิน ขายชาติ เสวยสุข ลุแก่อำนาจ ปกครองประเทศด้วยความอยุติธรรม 2 มาตรฐาน มีมวลชนเป็นของตนเอง ข่มเหงรังแกฝ่ายตรงกันข้าม ใช้กองกำลังใต้ดินเที่ยวเข่นฆ่าสังหารคนที่เป็นปฏิปักษ์หรืออยู่ตรงกันข้ามกับตนเอง ปกครองแผ่นดินยิ่งนาน ปรากฏความเสียหาย ฉิบหายไปทุกหย่อมหญ้า ทุกองคาพยพ ความทุกข์เข็ญขจรกระจายไปทั่วผืนแผ่นดิน จนเมื่อเซียงหวี่ออกมานำทัพขับไล่ ทำให้เกิดกลุ่มสนับสนุนจำนวนมากมาเข้าร่วม หนึ่งในนั้นก็คือฟ่านเจิง แต่ความที่เซี่ยงหวี่เป็นคนเย่อหยิ่ง เชื่อมั่นในตนเอง ไม่ฟังคำฟ่านเจิง เชื่อในพลังอำนาจของมวลมหาประชาชนของตนซึ่งมีออกมาร่วมเป็นสิบล้านคน ทำทุกอย่าง ทั้งบุกเข้าไปยึดหน่วยงานราชการ แผนปฏิบัติการชัทดาวน์กวนจง ปิดสี่แยก บุกยึดทำเนียบรัฐฉิน ปิดสี่แยกสำคัญในตัวเมืองเสียนหยาง จนการจราจรเป็นอัมพาต ก็ไม่ได้ผล การชุมนุมยืดเยื้อกว่า 6 เดือนมิอาจจะเผด็จศึกรัฐฉินได้ ด้วยผู้นำฉินใช้แผนแมวไล่จับหนู หนีไปเรื่อยๆ ไม่ยอมลาออก แม้นว่าจำนวนคนที่มากมายกว่า 10 ล้านคน ต้องถือว่าเป็นความชอบธรรมที่อานารยชนทั่วโลกต่างชื่นชมและให้การยอมรับว่าโดยทางนิตินัยไม่อาจถือว่าได้รับชัยชนะ แต่ในทางรัฐศาสตร์รูปธรรมต้องถือว่าสามารถสร้างองค์รัฏฐาธิปัตย์ด้วยการให้กองทัพของหลิวปังมาหนุนหลัง ฟ่านเจิงจึงเสนอแผนให้ลุงกำนันเซี่ยงหวี่เชิญนายพลหลิวปัง หรือไปกดดันบีบบังคับให้หลิวปังเลือกหรือแสดงจุดยืนว่าจะอยู่ข้างฝ่ายประชาชนหรือไม่ แต่หลิวปังกลับยืนยันว่าจะยืนอยู่ข้างแผ่นดินเป็นหลัก ต้องสงวนจุดยืนเป็นกลาง ทั้งๆที่รู้อยู่ว่ารัฐฉินหมดความชอบธรรม เป็นระบอบอำนาจชั่วอุบาทว์ แต่ก็ยังไม่ยอมเปลืองตัวลงมาเป็นฝ่ายหนุนเซี่ยงหวี่สร้างองค์รัฏฐาธิปัตย์เสียที

-ข้างฝ่ายหลิวปังนั้นเชี่ยวชาญการสร้างภาพ พยายามรักษาระยะห่างของความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างฮ่องเต้ฉินกับอ๋องฉู่ หรือแม้กระทั่งกับเซี่ยงหวี่เองก็มิอาจจะยื่นมือไปช่วยเหลือจนออกนอกหน้าได้ ยิ่งตอกย้ำความไม่เป็นเอกภาพในองคาพยพที่ออกมาต่อสู้ขับไล่ระบอบทรราชย์รัฐฉิน ไม่สามารถปิดเกมได้เสียที จนกุนซือฝ่ายเซี่ยงหวี่ท่านอื่นที่ไม่ใช่ฟ่านเจิงเสนอแผนการที่ให้ สมาชิกวุฒิสภาของฝ่ายฉิน คัดเลือกตัวประธานคนใหม่และได้คนที่เป็นฝ่ายฉู่ เสนอรายชื่ออ๋องคนใหม่ขึ้นปกครองแคว้นฉู่ต่อไป แต่ก็ถูกคัดค้านจากฝ่ายฉิน ด้วยการให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าจะสามารถทำได้หรือไม่ เหตุว่ารัฐบาลของฝ่ายฉินยังรักษาการณ์ในตำแหน่งผู้ปกครองรัฐฉินอยู่ แม้นว่าจะประกาศยุบสภาฉินแล้วแต่ยังได้สิทธิปกครองฉินต่อไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งอ๋องฉินคนใหม่ มีการถกเถียงเรื่องประเด็นการปฏิรูปแผ่นดินก่อนเลือกตั้ง หรือเลือกตั้งก่อนปฏิรูปแผ่นดิน ถกเถียงวิวาทะกันอย่างสุดกำลัง หาฝ่ายใดเป็นผู้ชอบธรรมหรือ เสนอแนวคิดทางออกให้กับสังคมได้ จนหลิวปังเสนอให้ทั้ง 2 ฝายมาเจรจากัน ในงานเลี้ยงที่เรียกว่า  งานเลี้ยงสโมสรกองทัพบก  ซึ่งฟ่านเจิงเคยเสนอให้เซี่ยงหวี่กดดันหลิวปังให้แสดงจุดยืน แต่เซียงหวี่ไม่ฟังคำ ยังคงคิดว่าหลิวปังยืนอยู่ข้างตนเอง และเมื่อถูกเชิญให้ไปร่วมในการปรึกษาหารือ 2 ฝ่าย โดยมีหลิวปังเป็นคนกลางในการรับฟังและเจรจาสงบศึก ก่อนหน้านั้นหลิวปังประกาศกฏอัยการศึกควบคุมเมืองกวนจงเอาไว้ ตั้งแต่กลางดึกของคืนก่อนประชุมปรึกษาหารือที่สโมสรกองทัพบกเพียง 1 สัปดาห์ ซึ่งเป็นสัญญาณลับของการยึดอำนาจในที่สุดในวันที่ 2 ของการเจรจา 2 ฝ่ายที่ไม่ได้ผลและล่มไม่เป็นท่า หลิวปังตัดสินใจปิดห้องประชุมและประกาศยึดอำนาจการปกครองรัฐฉิน โดยมีผู้ร่วมก่อการเป็นเหล่าผู้นำกองทัพของฝ่ายฮั่นเกือบทั้งหมด ตามมาด้วยการประกาศคำสั่งต่างๆมากมาย ให้ผู้นำทุกฝ่ายต้องมารายงานตัว รวมถึงเซี่ยงหวี่ ผู้นำกองกำลังต่างๆ ที่สนับสนุนฝ่ายฉิน และฝ่ายของฉู่ทุกคน ยกเว้นฮ่องเต้ของฝ่ายฉิน และฮ่องเต้ของฝ่ายฉู่

-หลิวปังถือกฎเหล็กให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตาม 3 ข้อ คือ 1. คืนความสุขให้แก่ราษฏรด้วยการเข้าไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหลายอย่าง อาทิ ปัญหา มอเตอร์ไซด์วิน รถตู้ สลากกินแบ่ง ค้าขายหาบเร่แผงลอย ปัญหาจราจร ปัญหาคนร้าย มาเฟีย กองกำลังทีติดอาวุธ ยาเสพติด วัยรุ่นตีกัน ราคาสินค้าแพง เป็นต้น  2 .ขอเวลาในการทำการจัดการปัญหาต่างๆ ของบ้านเมืองและจะคืนอำนาจการปกครองแก่ประชาชนด้วยการจัดเลือกตั้ง แต่พันธกิจหลักๆ คือตั้งสภานิติบัญญัติขึ้นมาเพื่อหาตัวผู้นำคนใหม่ปกครองแผ่นดินชั่วคราว จัดตั้งสภาปฏิรูปแผ่นดิน เพื่อแก้ปัญหาสำคัญต่างๆ ให้เสร็จสิ้นก่อนมีการเลือกตั้ง จัดตั้งรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีบริหารแผ่นดินฉิน-ฉู่ ฮั่น ให้สามารถก้าวเดินต่อไปได้ โดยมีโร้ดแม็ปประมาณ 1 ปี ก่อนคืนอำนาจให้กับราษฏรต่อไป   3. คิดถึงนะ ....บลา ๆๆ (เหล่าข้าราชการ แม่ทัพต่างๆ ภาคธุรกิจ หันหน้ามองหน้า มองตากัน มึนงงกับกฎเหล็กข้อนี้)
-ท่ามกลางการขึ้นสถาปนาตนเองเป็นผู้นำแผ่นดินของหลิวปัง งานแรกก็ต้องเผชิญปัญหากลิ่นโชยของการจัดซื้อจัดหาเครื่องเป่าหลอด ที่มีราคาแพง ราคาสูงเกือบตัวละ 140,000 ตำลึง ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดต้องการบริหารแผ่นดินด้วยแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจแบบพอเพียงขององค์ฮ่องเต้ จึงสั่งสอบสวนและสุดท้ายก็ให้ยกเลิกการจัดซื้อเครื่องเป่าหลอดล็อตนี้ไปโดยปริยาย ท่ามกลางเสียงครหานินทาไปทั่วแผ่นดิน

-ปัญหาของปู่ต้าไถ สำนักเชื้อเพลิงพลังงานของรัฐฉิน ที่ขูดเลือดขูดเนื้อชาวบ้านมานาน และความไม่โปร่งใสของสัญญาสัมปทานรอบใหม่ที่ปู่ต้าไถ ต้องการเปิดประมูลสัมปทานรอบใหม่ ไม่ยอมคืนสิทธิ์ท่อเชื้อเพลิงพลังงานให้แก่รัฐ ทั้งที่ศาลตัดสินคืนสิทธิ์มานาน จนเกิดกระแสการเดินให้ข้อมูลของชาวบ้านราษฏรในนามขาหุ้นพลังงาน แต่กลุ่มราษฏรเหล่านี้กลับถูกจับกุมโดยอ้างเรื่องการชุมนุมเกินกว่า 5 คน ตามกฏอัยการศึก ทั้งที่ทีเป็นการชุมนุมโดยสงบและทำเพื่อผลประโยชน์ของคนทั้งประเทศ จนเกิดวิวาทะระหว่างฝ่ายปู่ต้าไถกับแกนนำเรียกร้องการปฏิรูประบบพลังงานเสียใหม่ นำปู่ต้าไถกลับมาเป็นของแผ่นดิน ตามมาด้วยการจัดเสวนาให้ข้อมูลระหว่าง 2 ฝ่ายโดยมีหลวงจีนพุทธอิสระเป็นเจ้าภาพร่วมชุมนุม และฝ่ายภาครัฐก็เชื้อเชิญให้เหล่าแกนนำจอมยุทธ์ไปสมัครเป็นตัวแทนในการสรรหาคณะกรรมการปฏิรูปเสียสิ แล้วคิดว่าเรื่องคงจบ ว่าไปโน่น
-ชนวนของสำนักเชื้อเพลิงพลังงานจะเป็นจุดชี้ขาดว่า รัฐบาลของหลิวปังจะมีความจริงใจที่จะเข้ามาแก้ปัญหาบ้านเมือง ต้องการปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริงหรือไม่  ยังมีปัญหาที่รอการแก้ไขของหลิวปังอีกมาก ตั้งแต่ ปัญหาการขายสลากเกินราคา, ปัญหาเศรษฐกิจยังไม่ฟื้น ข้าวของแพง ,ปัญหาสินค้าเกษตรหลายตัว เช่น ยางพารา, ปัญหาการศึกษาของราษฏรที่ถดถอยล้าหลัง ,ปัญหาตีกันของเด็กช่างวัยรุ่น ,ปัญหาการทุจริตของแวดวงราชการ การจัดซื้อจัดจ้าง ,ปัญหาแรงงานต่างด้าว สิทธิมนุษย์ชน ค้ามนุษย์ ,ปัญหามาเฟียตำรวจกับการการหาผลประโยชน์สิ่งผิดกฎหมาย, ปัญหาเรื่องการแบ่งแยกดินแดน และแบ่งปันพื้นที่บริเวณเขาพระวิหาร, ปัญหาภาพลักษณ์การท่องเที่ยวที่เกิดจากการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมาถูกฆาตกรรมในแผ่นดิน, ปัญหายาเสพติด ,ปัญหาความรุนแรงใน3 จว.ชายแดนภาคใต้ และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นงานที่ท้าทายขีดความสามารถของรัฐบาลหลิวปังมาก เพราะช่วงเวลาของการฮันนีมูน ราษฏรโจษจันชื่นชมที่สามารถมากวาดล้างระบอบอำนาจชั่วรัฐฉินลงได้ แก้ปัญหาความขัดแย้งแบ่งฉิน แบ่งฉู่ ลงได้ชั่วคราว แต่หลังจากนี้คือบททดสอบที่แท้จริงของสิ่งที่เรียกว่าผลงานเท่านั้น จะเป็นตัววัดความศรัทธาที่ประชาชนมีให้หรือไม่อย่างแท้จริง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น