เอเจนซีส์ -
ผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา
ปักหลักเหนียวแน่นอยู่ในบริเวณศูนย์กลางทางการเงินระดับโลกของเขตบริหารพิเศษแห่งนี้เมื่อวันจันทร์
(29 ก.ย.)
หลังสามารถยืนหยัดท้าทายแม้ถูกตำรวจปราบจลาจลประเคนทั้งแก๊สน้ำตา สเปรย์พริกไทย
และกระบอง หวังสลายการชุมนุมในวันอาทิตย์ (28 ) ทางด้านจีนแถลงคัดค้านการดำเนินการผิดกฎหมายที่สร้างความวุ่นวายให้สังคม
พร้อมเตือนต่างชาติงดแทรกแซงกิจการภายในของแดนมังกรหรือสนับสนุนกิจกรรมผิดกฎหมาย การประท้วงเล่นเอาเถิดเจ้าล่อและปะทะกับตำรวจเป็นเวลานานหลายชั่วโมง
ซึ่งยืดเยื้อถึงช่วงกลางคืนวันอาทิตย์
ถือเป็นเหตุการณ์วุ่นวายครั้งใหญ่ที่สุดบนเกาะฮ่องกง อย่างไรก็ดี ในวันจันทร์ (29)
ตำรวจปราบจลาจลได้ถอนกำลังออกไป ปล่อยให้ผู้ประท้วงยึดถนนสำคัญ 3
สายในย่านศูนย์กลางการเงิน พวกผู้ประท้วงต่างเพิกเฉยต่อการเรียกร้องของรัฐบาลท้องถิ่นฮ่องกงให้เดินทางกลับบ้าน
มิหนำซ้ำยังเตรียมพร้อมรับมือ หากตำรวจพยายามยึดพื้นที่คืนรอบใหม่ ผู้ประท้วงมากมายหลับอยู่ริมถนนหรือหลบแดดอยู่ภายใต้ร่ม
ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของการประท้วงครั้งนี้ โดยที่มีบางคนเรียกขานการต่อสู้คราวนี้ว่า
“การปฏิวัติร่ม” เพราะนอกจากจะใช้บังแดดแล้ว
ผู้ชุมนุมยังใช้ร่มเป็นปราการป้องกันสเปรย์พริกไทยจากตำรวจ ต้นเหตุของการประท้วงครั้งนี้มาจากการที่ปักกิ่งปฏิเสธการมอบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ให้แก่ฮ่องกง
โดยเมื่อเดือนที่แล้ว รัฐสภาจีนประกาศว่า คนฮ่องกงสามารถเลือกผู้นำของตนเองแบบ “1คน1เสียง” ได้ในปี 2017
แต่ผู้สมัครจะต้องผ่านการคัดสรรจากคณะกรรมการที่สนับสนุนปักกิ่งเสียก่อน
ส่งผลให้คนฮ่องกงจำนวนมากออกมาประณามว่า เป็น “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ทั้งนี้นอกจากเรียกร้องให้ปักกิ่งยกเลิกแนวทางปฏิบัติดังกล่าวแล้ว
ผู้ชุมนุมยังต้องการให้เหลียง ชุนอิง
ผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกงออกจากตำแหน่งอีกด้วย ที่ย่านแอดมิรัลตี้
ซึ่งเป็นจุดที่มีผู้ชุมนุมกลุ่มใหญ่ที่สุดและเป็นที่ตั้งของบรรษัทข้ามชาติจำนวนมาก
ผู้คนหลั่งไหลมารวมตัวกันราว 20,000 คนในช่วงบ่ายวันจันทร์
นอกจากนี้ยังมีการชุมนุมที่มีผู้เข้าร่วมหลักพันบนถนนสำคัญหลายสายในมองก๊อกและคอสเวย์เบย์
ซึ่งเป็นแหล่งชอปปิ้งหลักของเกาะแห่งนี้ ขณะเดียวกัน ผู้ประท้วงราว 1,000 คนสวมหน้ากากชุมนุมอยู่หน้าสถานีตำรวจแห่งหนึ่งที่มีการจัดแถลงข่าวปกป้องสิทธิในการใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมเมื่อคืนวันอาทิตย์ เฉิง ตั๊กเกียง
ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจฮ่องกงแถลงว่า มีการยิงแก๊สน้ำตา 87 ครั้งใน
9 จุด
เนื่องจากตำรวจไม่มีทางเลือกอื่นขณะที่ถูกผู้ชุมนุมพยายามฝ่าแถวของตำรวจที่กั้นอยู่ นอกจากนี้ ตำรวจยังเผยว่า
ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 41 คน ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ 12 คน และจับกุมผู้ประท้วง
78 คนข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการ ชุมนุมโดยผิดกฎหมาย
ทำร้ายเจ้าพนักงาน และก่อกวนสถานที่สาธารณะ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม
สมาคมทนายความฮ่องกงได้ออกมาประณามการใช้กำลังเกินเหตุของตำรวจต่อผู้ชุมนุมอย่างสงบ สุรยา เทวา
ศาสตราจารย์นิติศาสตร์จากซิตี้ ยูนิเวอร์ซิตี้ในฮ่องกง ชี้ว่า
ยากที่จะคาดเดาสถานการณ์ต่อไป เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่มีแนวโน้มยอมอ่อนข้อ
นอกจากนี้ ในระยะยาวผู้ประท้วงอาจขยายวงมากขึ้น สัปดาห์ที่แล้ว
นักศึกษาประท้วงไม่เข้าเรียนและเป็นแกนนำเดินขบวนไปยังที่ทำการรัฐบาลในช่วงสุดสัปดาห์
โดยที่ “อ็อกคิวพาย เซนทรัล” กลุ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย
ซึ่งเดิมนัดแนะชักชวนชาวฮ่องกงให้เข้าร่วมต่อสู้แบบอารยะขัดขืนตั้งแต่วันที่ 1
ตุลาคม อันเป็นวันชาติจีน
ได้รีบต่อยอดโดยประกาศให้เข้าร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักศึกษาตั้งแต่บัดนี้ การประท้วงครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงที่สุดสำหรับพรรคคอมมิวนิสต์จีนนับจากเหตุการณ์นองเลือดที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี
1989 โดยหากปักกิ่งเลือกใช้กำลังปราบปรามเช่นเดียวกับที่เทียนอันเหมิน
ก็จะกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจระบบตลาดของฮ่องกง
แต่หากไม่รับมือด้วยความเด็ดขาดเพียงพอก็อาจทำให้ผู้ต่อต้านรัฐบาลในแผ่นดินใหญ่ได้ใจและมีการประท้วงปะทุตัวมากขึ้น ในวันจันทร์ หวา ชุนอิง
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศแดนมังกรแถลงที่กรุงปักกิ่งว่า รัฐบาลจีนไม่เห็นด้วยกับ “การดำเนินการผิดกฎหมายที่บ่อนทำลายหลักนิติธรรมและความมั่นคงของสังคม”
พร้อมทั้งปรามประเทศใดๆ ก็ตามไม่ให้แทรกแซงกิจการภายในของจีน
หรือให้การสนับสนุนกิจกรรมผิดกฎหมายอย่างเช่น กิจกรรมของกลุ่มอ็อกคิวพาย เซ็นทรัล “ฮ่องกงคือฮ่องกงของประเทศจีน” โฆษกหญิงผู้นี้ประกาศ ขณะที่เหลียง ผู้ว่าการฮ่องกง
ปฏิเสธข่าวลือในสื่อสังคมที่ว่า ตนมีแผนขอกำลังทหารจีนมาสลายการชุมนุม จากการประท้วงที่ต่อเนื่องถึงวันจันทร์
ส่งผลให้โรงเรียนและสถานธุรกิจมากมายต้องปิดทำการ ระบบขนส่งมวลชนติดขัด
ขณะที่ตลาดหุ้นแม้เปิดทำการ แต่ดัชนีฮั่งเส็งร่วงลงถึง 1.90% เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า หากการประท้วงยืดเยื้อยาวนานอาจกระทบต่อฮ่องกง
ซึ่งเป็นตลาดแห่งสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชียนอกจากนี้
ทางการฮ่องกงยังประกาศยกเลิกแผนจุดดอกไม้ไฟเฉลิมฉลองวันชาติจีนในวันที่ 1 ตุลาคม ขณะเดียวกัน
นักท่องเที่ยวที่เดินทางสู่ฮ่องกงลดลงอย่างชัดเจนโดยเฉพาะจากจีน ขณะที่อเมริกา
ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ออกคำเตือนประชาชนที่ต้องการเดินทางไปยังเกาะแห่งนี้ ทั้งนี้
อังกฤษส่งมอบฮ่องกงคืนให้จีนในปี 1997 ภายใต้การปกครอง “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ซึ่งรับประกันว่า
ฮ่องกงจะได้รับเสรีภาพหลายอย่างที่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ไม่เคยได้รับ
ซึ่งรวมถึงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการประท้วง ทว่า ชาวฮ่องกงจำนวนมากกังวลว่า
เสรีภาพเหล่านี้ถูกบ่อนทำลาย มิหนำซ้ำปักกิ่งยังแทรกแซงทางการเมือง ทางด้านกงสุลอเมริกันประจำฮ่องกงออกคำแถลงสั้นๆ
เรียกร้องให้ทุกฝ่ายอดกลั้นจากการกระทำใดๆ ก็ตามที่อาจทำให้สถานการณ์บานปลาย ขณะที่อังกฤษแสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของฮ่องกง
และเรียกร้องให้สองฝ่ายเจรจากันเพื่อ “ความคืบหน้าอย่างมีนัยของประชาธิปไตย”
บนเกาะแห่งนี้ ทั้งนี้อังกฤษซึ่งเป็นผู้ปกครองฮ่องกงแบบอาณานิคมมากว่า 100 ปี ก่อนจะส่งมอบคืนให้แก่จีนในปี 1997 นั้น
ถูกนักวิชาการวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดว่าเป็นพวก “มือถือสาก ปากถือศีล” เนื่องจากในตอนที่ตนเองปกครองฮ่องกงอยู่นั้น
ก็ไม่เคยยอมให้พลเมืองของอาณานิคมแห่งนี้ได้สิทธิเลือกตั้งทั่วไปเลย
เอเอฟพี
–
การปะทุอย่างกะทันหันและไร้สัญญาณเตือนของภูเขาไฟออนทาเกะในภาคกลางของญี่ปุ่นเป็นปรากฏการณ์ที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
จึงทำให้หน่วยงานท้องถิ่นไม่สามารถป้องกันเหตุล่วงหน้าได้
ผู้เชี่ยวชาญด้านภูเขาไฟจากฝรั่งเศสให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้(28) หลังจากสงบนิ่งมานานเกือบ
35 ปี ภูเขาไฟออนทาเกะความสูง 3,067 เมตรได้ตื่นจากความหลับใหลเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา(27)
และปลดปล่อยเถ้าถ่าน ไอน้ำ และหินร้อนลงสู่ลาดเขา
ซึ่งเป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมของบรรดานักปีนเขา ฌาคส์-มารี
บาร์แดงต์เซฟฟ์ นักภูเขาไฟวิทยาจากมหาวิทยาลัย Paris-Sud Orsay และมหาวิทยาลัย Cergy-Pontoise ระบุว่า
การปะทุในลักษณะนี้เกิดขึ้นไม่บ่อย
“โดยทั่วไปแล้ว หากภูเขาไฟกลับมามีพลังอีกครั้งภายในระยะเวลา 30-40 ปี ซึ่งถือว่าสั้นมาก จะต้องมีสัญญาณเตือนอย่างต่ำ 24-72 ชั่วโมง จะมีการเคลื่อนตัวของแมกมา แผ่นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย และอุณหภูมิเปลี่ยนแปลง” บาร์แดงต์เซฟฟ์ ระบุ พร้อมชี้ว่า ช่วงเวลาดังกล่าวเพียงพอที่ทางการจะประกาศอพยพประชาชน หรือสั่งห้ามเข้าไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่มีความเสี่ยง
อย่างไรก็ดี การปะทุที่ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าแค่ไม่กี่นาทีเช่นนี้ ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
การปะทุของภูเขาไฟออนทาเกะซึ่งคร่าชีวิตนักปีนเขาไปแล้วกว่า 30 ราย ไม่เพียงปัจจุบันทันด่วน แต่ยังมีอันตรายสูงมาก เนื่องจากเกิดขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนอย่างคับคั่ง
ภูเขาไฟลูกนี้เป็นที่รู้จักกว้างขวางในหมู่นักปีนเขา ซึ่งนิยมมาเที่ยวกันในช่วงปลายเดือนกันยายนเพื่อชมความงดงามของใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง
“ด้วยปัจจัยต่างๆ รวมกัน การปะทุครั้งนี้จึงกลายเป็นหายนะ” บาร์แดงต์เซฟฟ์ กล่าว พร้อมชี้ว่ายังพอจะมีคำอธิบายอื่นๆ อีกสำหรับการปะทุแบบไร้สัญญาณล่วงหน้าเช่นนี้
“ธารแมกมาอาจจะแทรกมาตามรอยแตกของหิน และพุ่งขึ้นในคราวเดียว ซึ่งพบน้อยมาก”
“โดยทั่วไปแล้ว หากภูเขาไฟกลับมามีพลังอีกครั้งภายในระยะเวลา 30-40 ปี ซึ่งถือว่าสั้นมาก จะต้องมีสัญญาณเตือนอย่างต่ำ 24-72 ชั่วโมง จะมีการเคลื่อนตัวของแมกมา แผ่นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย และอุณหภูมิเปลี่ยนแปลง” บาร์แดงต์เซฟฟ์ ระบุ พร้อมชี้ว่า ช่วงเวลาดังกล่าวเพียงพอที่ทางการจะประกาศอพยพประชาชน หรือสั่งห้ามเข้าไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่มีความเสี่ยง
อย่างไรก็ดี การปะทุที่ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าแค่ไม่กี่นาทีเช่นนี้ ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
การปะทุของภูเขาไฟออนทาเกะซึ่งคร่าชีวิตนักปีนเขาไปแล้วกว่า 30 ราย ไม่เพียงปัจจุบันทันด่วน แต่ยังมีอันตรายสูงมาก เนื่องจากเกิดขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนอย่างคับคั่ง
ภูเขาไฟลูกนี้เป็นที่รู้จักกว้างขวางในหมู่นักปีนเขา ซึ่งนิยมมาเที่ยวกันในช่วงปลายเดือนกันยายนเพื่อชมความงดงามของใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง
“ด้วยปัจจัยต่างๆ รวมกัน การปะทุครั้งนี้จึงกลายเป็นหายนะ” บาร์แดงต์เซฟฟ์ กล่าว พร้อมชี้ว่ายังพอจะมีคำอธิบายอื่นๆ อีกสำหรับการปะทุแบบไร้สัญญาณล่วงหน้าเช่นนี้
“ธารแมกมาอาจจะแทรกมาตามรอยแตกของหิน และพุ่งขึ้นในคราวเดียว ซึ่งพบน้อยมาก”
ทั้งนี้
ยังมีการปะทุแบบอื่นๆ ที่น่ากลัวไม่แพ้กัน เช่น แบบ hydrovolcanic
และ phreatomagmatic เป็นต้น
“บนภูเขาไฟส่วนใหญ่จะมีน้ำขังอยู่ เมื่อแมกมาเคลื่อนตัวสู่ผิวโลกพร้อมกับคลื่นความร้อนมหาศาล น้ำเหล่านั้นจะระเหยเป็นไออย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เกิดแรงดันสูงคล้ายหม้อแรงดันไอน้ำ” ผู้เชี่ยวชาญภูเขาไฟจากเมืองน้ำหอม อธิบาย
“หากแรงดันนั้นมากเกินกว่าที่พื้นดินเบื้องบนจะต้านทานไหว หินจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หรือที่เรียกว่า ระเบิดกรวดภูเขาไฟ (cinder bomb)” ซึ่งการปะทุลักษณะนี้อันตรายมากเป็นพิเศษ เพราะเกิดขึ้นชั่วพริบตาโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ เลย
บาร์แดงต์เซฟฟ์ ยอมรับว่า หากยังไม่มีอุปกรณ์ตรวจวัดแผ่นดินไหวที่ซับซ้อนกว่าในปัจจุบัน “เราก็คงป้องกันอะไรไม่ได้” ในสถานการณ์เช่นนี้
ล่าสุด ยังไม่มีข้อสันนิษฐานใดได้รับการยืนยันว่าเป็นสาเหตุการปะทุของภูเขาไฟออนทาเกะ
บาร์แดงต์เซฟฟ์ ระบุว่า ออนทาเกะ เป็นภูเขาไฟที่ “คลาสสิก” แห่งหนึ่งในญี่ปุ่น
“ญี่ปุ่นเป็นดินแดนของภูเขาไฟและมีธรณีพลศาสตร์ที่ซับซ้อน ภูเขาไฟแต่ละลูกจะสลับกันปะทุไปเรื่อยๆ” เขากล่าว พร้อมอธิบายต่อว่า ภูเขาไฟเหล่านี้เสี่ยงต่อการระเบิดโดยธรรมชาติ และเถ้าถ่านที่ลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าราว 11 กิโลเมตร ก็ถือเป็นมาตรฐานปกติ
“แต่สิ่งที่ไม่ธรรมดาก็คือ การปะทุที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย” เขากล่าวทิ้งท้าย
“บนภูเขาไฟส่วนใหญ่จะมีน้ำขังอยู่ เมื่อแมกมาเคลื่อนตัวสู่ผิวโลกพร้อมกับคลื่นความร้อนมหาศาล น้ำเหล่านั้นจะระเหยเป็นไออย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เกิดแรงดันสูงคล้ายหม้อแรงดันไอน้ำ” ผู้เชี่ยวชาญภูเขาไฟจากเมืองน้ำหอม อธิบาย
“หากแรงดันนั้นมากเกินกว่าที่พื้นดินเบื้องบนจะต้านทานไหว หินจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หรือที่เรียกว่า ระเบิดกรวดภูเขาไฟ (cinder bomb)” ซึ่งการปะทุลักษณะนี้อันตรายมากเป็นพิเศษ เพราะเกิดขึ้นชั่วพริบตาโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ เลย
บาร์แดงต์เซฟฟ์ ยอมรับว่า หากยังไม่มีอุปกรณ์ตรวจวัดแผ่นดินไหวที่ซับซ้อนกว่าในปัจจุบัน “เราก็คงป้องกันอะไรไม่ได้” ในสถานการณ์เช่นนี้
ล่าสุด ยังไม่มีข้อสันนิษฐานใดได้รับการยืนยันว่าเป็นสาเหตุการปะทุของภูเขาไฟออนทาเกะ
บาร์แดงต์เซฟฟ์ ระบุว่า ออนทาเกะ เป็นภูเขาไฟที่ “คลาสสิก” แห่งหนึ่งในญี่ปุ่น
“ญี่ปุ่นเป็นดินแดนของภูเขาไฟและมีธรณีพลศาสตร์ที่ซับซ้อน ภูเขาไฟแต่ละลูกจะสลับกันปะทุไปเรื่อยๆ” เขากล่าว พร้อมอธิบายต่อว่า ภูเขาไฟเหล่านี้เสี่ยงต่อการระเบิดโดยธรรมชาติ และเถ้าถ่านที่ลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าราว 11 กิโลเมตร ก็ถือเป็นมาตรฐานปกติ
“แต่สิ่งที่ไม่ธรรมดาก็คือ การปะทุที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย” เขากล่าวทิ้งท้าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น