ยุทธการตีผึ้ง
ต่อหัวเสือแตกรัง เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เองของสหรัฐ
นับจากเหตุการณ์ช็อคโลก
เครื่องบินพาณิชย์ 2 ลำ
(สายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ ไฟล์ท 11,สายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์
ไฟล์ท 175) ถูกจี้บังคับวิ่งเข้าชนตึกแฝด
เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ทั้ง 2 อาคาร เมื่อวันที่ 11 sep
2001 โดยผู้ร่วมก่อการที่คาดว่าจะเป็นผู้ก่อการร้ายชาวมุสลิม
ที่ภายหลังสหรัฐได้ออกมาชี้เป้าว่าเป็นฝีมือของพวกอัลกอฮิดะห์ นำโดยนายอุสมะห์
บินลาเดน ยังมีเครื่องบินของสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ ไฟล์ท 77 ที่พุ่งไปตกบริเวณใกล้กับเพนตาก้อน และสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ ไฟล์ท 93
ที่ผู้ก่อการต้องการจี้บังคับแต่ไม่สำเร็จ
โดยผู้โดยสารบนเครื่องบินช่วยกันต่อสู้และกอบกู้สถานการณ์เอาไว้ได้
(จนเป็นที่มาของ ภ.เรื่อง United 93) ที่มีเป้าหมายคืออาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน
ดี.ซี. นั่นแหละ ทั้งหมดนี้นำความเสียหายมาสู่ทั้งสหรัฐและของโลก มีผู้เสียชีวิตมากกว่า
3,000 คน สูญหาย 227 คน
โดยมีผู้ร่วมก่อการร้ายประมาณ 19 คน นอกเหนือจากประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตในเหตการณ์แล้วยังมีนักผจญเพลิงหรือนักดับเพลิงก็เสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากด้วย
และนี่เป็นที่มาที่ทำให้ ปธน.จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ของสหรัฐ (ในขณะนั้น) ประกาศทำสงครามถล่มอัฟกานิสถาน
ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของพวกตาลีบัน
ซึ่งเป็นผู้ให้ที่พักพิงแก่พวกอัลกอฮิดะห์ของอุสมะห์ บินลาเดน เป็นที่มาของปฏิบัติการพายุทะเลทราย
หนที่ 2 (หนแรกคือสงครามอ่าวเปอร์เซีย ถล่มอิรักหนแรก สมัย
ปธน.จอร์จ บุช ผู้พ่อ) ข้ออ้างที่สหรัฐร่วมกับนาโต้ ทำการบุกถล่มอิรักหน 2 ก็คือ ใส่ร้ายว่าอิรักมีอาวุธนิวเคลียร์
จึงมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปจัดการ แรกๆ
ทำเป็นส่งเจ้าหน้าที่จากองค์การสหประชาชาติเข้าไปค้นหา
อ้างว่าไม่ได้รับความร่วมมือจากอิรัก
พออิรักเริ่มมีท่าทีอ่อนข้อยอมให้กองกำลังทหารจากนานาชาติเข้าไปตรวจสอบได้อย่างละเอียด
ก็ไม่ทันเสียแล้ว สหรัฐฝืนมติสหประชาชาติด้วยการบุกโจมตีอิรักโดยทันที
โดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากประเทศพันธมิตร และเสียงวีโต้จากชาติสมาชิกหลักอย่างจีน
รัสเซีย จึงเป็นที่มาของการบุกทำลายประเทศอิรักอย่างย่อยยับ จับกุมตัวผู้นำอย่างนายซัดดัม
ฮุสเซ็น ขึ้นศาลทหารระหว่างประเทศ ภายหลังถูกศาลตัดสินแขวนคอ
และสหรัฐยังเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการหนุนผู้นำคนใหม่ลงสมัครเลือกตั้งชิงตำแหน่งผู้นำคนใหม่ของอิรัก
ท่ามกลางความขัดแย้ง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ทั้งซุนหนี่ ชีอะห์ และพวกชาวเคิร์ดอีก จนขาดดุลยภาพ
และแตกแยกกันมากขึ้น กลายเป็นรัฐที่ล้มเหลว ผู้นำที่สหรัฐและชาติพันธมิตรยุโรปหนุนหลังก็มีสถานะง่อนแง่น
จนต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำอีกในเวลาต่อมา มีการลอบสังหารผู้นำจากกลุ่มเสียผลประโยชน์ฝ่ายตรงข้ามและฝ่ายต่างๆ
จนท้ายที่สุดจำต้องจัดตั้งรัฐบาลที่มีแกนนำร่วมจากกลุ่มและฝ่ายต่างๆ
เพื่อให้สามารถแบ่งผลประโยชน์ลงตัวและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
สหรัฐนั้นคงกองกำลังทหารไว้ในอ่าวเปอร์เซียร่วมๆ 40,000 นาย
ในจำนวนนี้มีทหารจากชาติสมาชิกนาโต้ และพันธมิตรของสหรัฐร่วมอยู่ด้วยเกินครึ่ง
เป็นเวลากว่า 10 ปี จนเมื่อนายบารัค ฮุสเซน โอบาม่า
ก้าวขึ้นเป็น ปธน.ผิวสีของสหรัฐ จึงมีนโยบายที่จะถอนกำลังทหารออกจากอิรัก เมื่อปี 2011 สหรัฐประกาศว่าสงครามอิรักยุติลงอย่างเป็นทางการแล้ว
และก็ทยอยถอนกำลังทหารออกจากอิรักจนหมด และเมื่อปี 2ปีมานี้สหรัฐสามารถเด็ดหัวหรือสังหารผู้นำใหญ่สุดของอัลไคด้าตัวสำคัญอย่างอุสมะห์
บินลาเดนได้ที่ปากีสถานซึ่งเป็นแหล่งกบดานลับ โดยที่รัฐบาลของปากีสถานเองก็ไม่รู้
ซึ่งนั่นเป็นการหยามเกียรติและตบหน้าผู้นำของปากีสถานอย่างชัดเจน
จนเกิดความขัดแย้งและสัมพันธภาพของสหรัฐกับปากีสถานก็ไม่ดีเหมือนเก่าแล้ว บทบาทและความแข็งกร้าวของอิหร่านมีมากขึ้นตลอดช่วง
10 ปีมานี้ กลายเป็นคู่ขัดแย้งใหม่ในตะวันออกกลางของสหรัฐ
เหตุการณ์สงครามกลางเมืองในซีเรียที่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่สงบ อีกทั้งมีข่าวว่าพวกตาลีบันกลับมามีอิทธิพลใหม่ในอัฟกานิสถาน
พร้อมๆ ด้วยเกิดการแตกสาขาและผู้นำขบวนการอัลกอฮิดะห์คนใหม่ต่อจากอุสมะห์ บินลาเดน
และล่าสุด การถือกำเนิดขึ้นของกลุ่มกองโจรที่สถานปนาตัวเองขึ้นมาใหม่ในนาม “ไอเอสไอเอส” ซึ่งก่อปฏิบัติเย้ย ท้าทายโลกตะวันตกหลายอย่าง
และกำลังเป็นภัยคุกคามใหม่ ซึ่งอาจะจะมาแทนหรือมาสมทบกับพวกอัลกอฮิดะห์ก็เป็นได้
จึงเป็นที่มาของเมื่อ 2วันก่อน โอบาม่าประกาศกร้าวจะโจมตีและทำลายกลุ่มไอเอสให้ราบคาบ
ซึ่งพวกไอเอสท้าทายสหรัฐและแนวร่วมชาติตะวันตก ด้วยคลิปขู่จะตัดคอนักข่าวชาวอเมริกันและชาติอื่น
หากว่าสหรัฐยังไม่เลิกแทรกแซงกิจการภายในของอิรักและชาติมุสลิมในตะวันออกกลาง ผู้เขียนจึงคิดว่านี่คงจะเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของปฏิบัติการพายุทะเลทรายครั้งที่
3 อีกเป็นแน่ และความวุ่นวาย ขัดแย้ง สงครามในอิรักจะยังไม่จบ
และอาจเป็นจุดเล็กๆ ของจิกซอว์อีก 1 ใบไปสู่ภาพใหญ่ที่เรียกว่าสงครามโลกครั้งที่
3 ในอนาคต อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าอย่าลืมนะว่าความขัดแย้งที่แผ่ซ่านอยู่ในเวลานี้
ทั้งในอียิปต์ ลิเบีย ซีเรีย อิรัก ยูเครน ฉนวนกาซาร์
ต่างล้วนมีสหรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องหนุนหลังด้วยทุกที่
ยังไม่นับความขัดแย้งที่สหรัฐมีอยู่กับจีน บริเวณคาบสมุทรเกาหลีอีก
ยังไม่นับรวมภัยจากโรคร้ายอีโบล่า ภัยธรรมชาติ เอาแค่ภัยจากก่อการร้ายอย่างเดียว
สหรัฐและชาติยุโรปรับไหวมั๊ยหล่ะ พลอยทำให้ประเทศต่างๆ เดือดร้อนไปทั่วโลก
เพราะว่าผลประโยชน์ของสหรัฐมีอยู่กระจัดกระจายไปทั่วโลก
บางทีผู้ก่อการร้ายมันก็ไม่จำเป็นต้องลงมือในประเทศสหรัฐเอง เหมือนเหตุการณ์ 9/11
เพราะนับจากวันนั้น โลกก็ไม่เคยสงบสุขอีกเลย เวลาจะขึ้นเครืองบิน
มีข้อห้ามเยอะแยะ การตรวจตราละเอียดถี่ยิบ
มาตรฐานความปลอดภัยทำให้ไปริดรอนสิทธิส่วนบุคคลของนักเดินทางทั่วโลกวุ่นวายไปหมด นี่ยังไม่นับปริศนาของเครืองบินสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์
เที่ยวบิน MH 370 ที่สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ก็ล้วนมีส่วนเกี่ยวโยงไปยังสหรัฐอีกเช่นกัน
ทำให้รู้สึกเลยว่าเหตุการณ์ต่างๆ บนโลกนี้
อยู่ในการควบคุมของประเทศอย่างสหรัฐคอยกดปุ่มบังคับอยู่
และชาติทุกชาติต้องเล่นไปตามเกมที่สหรัฐกำหนดนั่นเอง ระวังนะ
ยุทธการตีผึ้งและต่อหัวเสือแตกรัง มันจะย้อนมารุมต่อยและเล่นงานคนตีเอง สหรัฐจนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยสรุปบทเรียนของตนเอง
ชอบเรียนรู้ที่จะผูกปมซ่อนเงื่อน สร้างปัญหาขึ้นมา
แต่ไม่เคยเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหาของโลกใบนี้ให้ใครได้เลย ยิ่งเข้าไปแก้
เข้าไปแทรกแซงก็ยิ่งบานปลาย ดูอย่างประเทศในโลกมุสลิม กับกระแสอาหรับสปริงสิ
จนป่านนี้มีประเทศไหนสงบสุขได้ซักประเทศนึงไหม
เพราะเมื่อทุกคนลุกขึ้นมาเรียกร้องประชาธิปไตย
มันจะตามมาด้วยการเปิดประเทศให้เป็นเสรี ตามมาด้วยเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
และสุดท้ายก็จะล่มสลาย กลายเป็นเหยื่อของประเทศมหาอำนาจทุกทีไป
ตามสูตรสำเร็จของไอ้กันมัน จึงมีคำกล่าวที่ว่า “อย่าไปเดินตามก้นไอ้กันมันมากเกินไป
เวลานี้ประเทศมันก็ไม่ต่างจากจักรรวรรดิโรมันที่กำลังจะล่มสลาย” อยู่แล้ว
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันที่ 10 กันยายน ประธานาธิบดีบารัค
โอบามาของสหรัฐอเมริกาประกาศกร้าวว่า จะโจมตีกลุ่มรัฐอิสลาม
(ไอเอสหรืออีกชื่อหนึ่งคือไอซิล) ในซีเรีย และขยายวงของปฏิบัติการในอิรัก
โดยเขาแถลงผ่านทางโทรทัศน์ในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ว่า กลุ่มไอซิลที่ฆ่าตัดหัวนักข่าวชาวอเมริกันไป
2 ราย และยึดครองดินแดนส่วนหนึ่งทั้งในอิรักและซีเรีย
ถือเป็นกลุ่มที่โหดเหี้ยมอำมหิตมากเป็นพิเศษ
แม้ว่าจะวัดด้วยมาตรฐานที่นองเลือดของภูมิภาคตะวันออกกลางก็ตาม "จุดประสงค์ของเราชัดเจน เราจะบั่นทอนกำลัง และทำลายไอซิลในท้ายที่สุด
ด้วยยุทธศาสตร์ต่อต้านการก่อการร้ายอย่างครอบคลุมและยั่งยืน"
โอบามากล่าวในการนำสหรัฐเข้าสู่สงครามในต่างประเทศอีกครั้ง และว่า
"ผมขอพูดให้ชัดว่า
เราจะตามล่าผู้ก่อการร้ายที่คุกคามประเทศของเราไม่ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน
นั่นหมายความว่า ผมจะไม่ลังเลในการจัดการกับไอซิลในซีเรีย เช่นเดียวกับในอิรัก
นี่เป็นหลักการที่เป็นหัวใจสำคัญในตำแหน่งประธานาธิบดีของผม หากคุณคุกคามอเมริกา
คุณจะไม่มีทางอยู่อย่างปลอดภัย" ทว่าโอบามาระบุอย่างชัดเจนในการกล่าวสุนทรพจน์เป็นเวลา
14 นาทีว่า สงครามต่อสู้การก่อการร้ายครั้งนี้จะไม่เดินตามรอยสงครามภาคพื้นดินอันเหน็ดเหนื่อยในอิรักและอัฟกานิสถานเมื่อทศวรรษที่ผ่านมา
"จะไม่มีการส่งทหารอเมริกันเข้าไปสู้รบในดินแดนของต่างชาติ" โอบามากล่าว ข่าวระบุด้วยว่า นับเป็นครั้งที่ 5 แล้วที่โอบามากล่าวต่อหน้าประชาชนชาวอเมริกันให้ตระหนักถึงมรดกตกทอดของเหตุการณ์โจมตีของผู้ก่อการร้ายเมื่อ
11 กันยายน พ.ศ.2544 หรือ 9/11 ซึ่งแต่ละครั้งที่เขาต้องกล่าวสุนทรพจน์ในวันครบรอบเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวนั้น
โอบามาได้ปรับแต่งสารให้เหมาะสมกับช่วงเวลา และประเด็นต่างๆ อาทิ การรับใช้ชาติ
การกลับมายืนหยัด ความอดกลั้นและความปรองดอง ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่เป็นการตอบสนองภัยคุกคามของกลุ่มก่อการร้าย
ก่อนหน้าวันครบรอบเหตุการณ์ 9/11 ปีนี้ โอบามาบอกว่า
"เราไม่สามารถขจัดร่องรอยของความชั่วร้ายให้หมดไปจากโลกได้
และแม้กลุ่มก่อการร้ายเล็กๆ ก็มีความสามารถในการสร้างความเสียหายใหญ่หลวงได้
นั่นยังคงเป็นเรื่องจริงในวันนี้" ผลสำรวจของศูนย์วิจัยพิวระบุว่า 6
ใน 10 ของชาวอเมริกันตอนนี้
กังวลอย่างมากกับการผงาดขึ้นมาของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงทั่วโลก
ที่นับว่าสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2550 ขณะที่ผลสำรวจของเอ็นบีซี
นิวส์ร่วมกับวอลสตรีท เจอร์นัล ระบุว่า 47 เปอร์เซ็นต์ของชาวอเมริกันรู้สึกปลอดภัยน้อยกว่าช่วงก่อนหน้าเหตุการณ์
9/11 โดยมี 26 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
ซึ่งต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น
2,996 คนจากเหตุวินาศกรรมครั้งนี้ ประกอบด้วยโจรจี้เครื่องบิน 19 คน
และเหยื่อ 2,977 คนเหยื่อนี้แบ่งเป็น 246
คนบนเครื่องบินทั้งสี่เครื่อง (ซึ่งไม่มีผู้รอดชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว), 2,606 คนในนครนิวยอร์ก
ซึ่งมีทั้งที่อยู่ในอาคารระฟ้าทั้งสองและบนพื้นดิน และ 125 คนที่อาคารเพนตากอน
เหยื่อเกือบทั้งหมดเป็นพลเรือน แต่มีทหาร 55 นายเสียชีวิตที่เพนตากอน
11
กันยายน
·
19:45 น.
เครื่องบินโดยสารของอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 11
จากบอสตันเข้าชนอาคารเหนือ (อาคาร 1 เป็นอาคารที่มีเสาอากาศเห็นได้ชัด)
ของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ แล้วฉีกตัวอาคารเป็นช่องพร้อมทั้งเกิดเพลิงไหม้
·
20:03 น. เครื่องบินโดยสารของยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 175
จากบอสตันเช่นกัน พุ่งเข้าชนอาคารใต้ (อาคาร 2) ของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
และเกิดระเบิดรุนแรง
·
20:43 น.
เครื่องบินโดยสารเที่ยวบินที่ 77 ของอเมริกันแอร์ไลน์ ชนอาคารเพนตากอน
เกิดควันไฟพวยพุ่ง มีการอพยพคนในทันที
·
21:10 น.
บางส่วนของอาคารเพนตากอนถล่ม
ขณะเดียวกันก็มีรายงานการตกของเครื่องบินโดยสารของยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่
93 ที่เขตชนบทของซอมเมอร์เซ็ต รัฐเพนซิลวาเนีย
ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของพิตส์เบิร์ก
·
21:13 น.
อาคารที่ทำการของสหประชาชาติเริ่มขนย้ายผู้คน โดยเป็นคนของสำนักงานใหญ่จำนวน 4,700 คน และจากยูนิเซฟกับฝ่ายอื่นของสหประชาชาติอีก 7,000 คน
·
21:28 น. อาคารเหนือ
ของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ถล่มยุบตัวลง คล้ายถูกตอกด้วยเสาเข็มจากด้านบน
เกิดฝุ่นอันหนาทึบ และเศษหักพังกระจายไปทั่ว
·
21:45 น.
อาคารที่ทำการของรัฐทุกอาคารในวอชิงตันอพยพคนทั้งหมด
·
21:48 น.
ตำรวจได้ยืนยันว่ามีเครื่องบินตกที่ซอมเมอร์เซ็ต
·
22:18 น. อเมริกัน
แอร์ไลน์ รายงานเรื่องเครื่องบินที่ถูกปล้น โดยเที่ยวบินที่ 11 เป็นเครื่องโบอิ้ง
767-200ER
มีลูกเรือ 11 คน และผู้โดยสาร 81 คน
ซึ่งกำลังเดินทางไปยังลอสแอนเจลิส ส่วนเที่ยวบินที่ 77 เป็นเครื่อง 757-200
กำลังเดินทางไปลอสแอนเจลิส โดยมีผู้โดยสาร 58 คน ลูกเรือ 6 คน เครื่อง 767-200ER
เป็นลำที่ชนอาคารเหนือของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และเครื่อง 757-200
ชนอาคารเพนตากอน
·
22:26 น.
ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ รายงานเรื่องเครื่องบินที่ถูกปล้นว่า เที่ยวบินที่ 93
ออกจากนิวอาร์ก รัฐเดลาแวร์ ไปยังซานฟรานซิสโก และตกที่เพนซิลวาเนีย
·
22:59 น.
ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ รายงานเรื่องเครื่องบินเที่ยวบินที่ 175
ที่กำลังเดินทางไปลอสแอนเจลิสว่า มีผู้โดยสาร 56 คน ลูกเรือ 9 คน
โดยเป็นลำที่ชนอาคารใต้ของเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์
·
23:04 น.
สนามบินลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นที่หมายของเครื่องบิน 3 ลำ อพยพคนทั้งหมด
·
23:15 น.
สนามบินซานฟรานซิสโกซึ่งเป็นที่หมายของเครื่องบินเที่ยวบินที่ 93 อพยพคนทั้งหมด
12
กันยายน
·
04:20 น. อาคาร 7
ของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ซึ่งไม่มีคนอยู่แล้วได้ถล่มลงมา
โดยเกิดจากความเสียหายที่เกิดขึ้นหลังจากอาคาร 1 และอาคาร 2 (อยู่คนละฝั่งถนน)
ถล่มลงก่อนหน้านี้ และอาคารรอบ ๆ บริเวณก็มีเพลิงไหม้ด้วย
·
04:30 น.
เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลรายงานว่าเครื่องบินที่ตกในเพนซิลวาเนียอาจจะมีเป้าหมายในการชน
แคมป์เดวิด หรือ ทำเนียบขาว หรือ อาคารรัฐสภา อาคารใดอาคารหนึ่ง
·
06:45 น.
ตำรวจนิวยอร์กรายงานว่า มีเจ้าหน้าที่สูญหาย 78 นาย
และเชื่อว่าพนักงานดับเพลิงประมาณ 200 นายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
·
08:22 น.
เพลิงไหม้ที่อาคารเพนตากอนยังควบคุมไม่ได้ แต่สามารถจำกัดเขตการลุกลามได้แล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น