วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

เดินชมหนังสือ หนังหา สัปดาห์แห่งการอ่าน


ในช่วง 10 ปีมานี้ ผมแทบจะเรียกได้ว่าเดินงานสัปดาห์หนังสือหรืองานมหกรรมหนังสือระดับชาติแทบจะทุกครั้งและทุกปี ที่ศูนย์สิริกิตต์ ชอบบรรยากาศของงานที่ดูคึกคัก ชอบผู้คนที่มาเดินในงาน ส่วนใหญ่จะเป็นคนหนุ่มสาวหน้าตาดี มีรสนิยม ได้เพลิดเพลินกับการแวะชมหนังสือบู้ทนู้นบู้ทนี้ อย่างมีความสุข แต่ช่วงหลังมีเวลาแวะไปชมได้ครั้งละ 1 วัน ครั้งนึงเดินชมได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมง ก็จะต้องรีบกลับแล้ว เพราะด้วยเวลา กิจธุระ และการเดินทางที่ไม่ค่อยจะสะดวก ผมชอบที่จะไปเดินงานเพียงคนเดียว ไม่ชอบไปกับเพื่อนหรือคนรู้จัก เพราะจะทำให้ผมมีเวลาที่จะพินิจพิเคราะห์พิจารณา หรือละเลียดดื่มด่ำกับหนังสือน้อยลง และต้องทำเวลาให้เร็ว จึงทำให้ความสุขในการเดินงานของผมมันลดน้อยถอยลง เพราะผมเป็นคนต้องใช้เวลากับการเลือกซื้อของนาน ไม่เว้นแม้แต่หนังสือ หากไม่มีข้อมูลที่มากพอมาก่อน จะไม่ตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มใดโดยง่าย อีกทั้งผมจะตั้งงบประมาณใว้ในแต่ละครั้งเสมอ ยกเว้นบางปีที่มีหนังสือน่าสนใจจำนวนมาก ก็อาจจะซื้อเกินงบประมาณบ้าง แต่ช่วงหลังมานี้ผมซื้อน้อยลง และก็ซื้อหนังสือในร้านหนังสือเพิ่มขึ้น เพราะมีหลายเล่มไม่ได้เปิดตัวในงานสัปดาห์หนังสือ มนต์เสน่ห์ของหนังสือที่น่าสนใจสำหรับผมก็ลดลง บ่อยครั้งที่ไปเดินงานหนังสือแล้วไม่ได้หนังสือกลับบ้าน หรือได้ในปริมาณที่น้อยเล่มมาก ไม่ใช่เพราะเรื่องราคาหรือส่วนลดน้อยไป แต่เป็นทื่เนื้อหาไม่มีอะไรใหม่และวนเวียนซ้ำๆ เพียงแต่เปลี่ยนหน้าปก หรือรูปแบบ แต่เนื้อหาไม่ได้มีอะไรที่ใหม่หรือน่าสนใจ ผมว่างานเขียนดีๆ ในบ้านเรามีน้อยลง โดยเฉพาะงานวรรณกรรมดีๆ ภายหลังผมถึงนิยมอ่านหนังสือแปล หรือวรรณกรรมแปลจากต่างประเทศเสียส่วนใหญ่ ซึ่งมีหลากหลายแนวให้เลือก แล้วแต่ความสนใจของผมในช่วงเวลาไหน อยากอ่านงานวรรณกรรม ช่วงไหนอาจเปลี่ยนไปอ่านงานที่เป็น HOW TO หรือหนังสือแนวบริหารธุรกิจการจัดการดีๆ บางทีก็อยากอ่านงานปรัชญา ศาสนา เป็นต้น


รีวิวหนังสือเด่นๆ ที่น่าสนใจในงานสัปดาห์หนังสือ ครั้งนี้

สำนักพิมพ์แรกที่ผมมักจะโฉบเข้าไปดูก่อนเสมอ ก็คือ สำนักพิมพ์เนชั่นบุ้ค หนังสือที่ผมสนใจจะอยู่ในหมวดบริหารจัดการ การเงินส่วนบุคคล หรือพวกแนวการลงทุน ซึ่งสำนักพิมพ์นี้จะมีงานเขียนดีๆ แนวนี้ออกมามาก อย่างครั้งนี้หนังสือเปิดตัวใหม่ที่น่าสนใจ ก็คือ marketing 3.0 , long tail strategy , มีงานเขียนของคุณ joey yaab ซึ่งแกเป็นหมอดูฮวงจุ้ยชื่อดังของไต้หวัน งานเขียนมีรูปเล่มน่าสนใจ และเนื้อหาที่ดี ส่วนงานแปลพวกวรรณกรรมต่างประเทศก็ยังมีอยู่หลากหลายเรื่อง รวมถึงหนังสือแนวมังงะหรือการ์ตูน ก็ยังมี อีกทั้งแนวสอนภาษาอังกฤษซึ่งเป็นจุดเด่นของค่ายนี้ก็ยังมีเล่มใหม่มาเปิดตัวทุกครั้ง ช่วงหลังจะเป็นงานเขียนของคุณ คริสโตเฟอร์ ไร้ท สมัยก่อนจะเป็นงานเขียนของแอนดรูว์ บิ๊กก และงานของครูเคท พวกแนวตกแต่งบ้าน ตกแต่งร้าน หนังสือเกี่ยวกับอาหาร หรือแนวฮาวทู ค่ายนี้ก็มีออกมาใหม่อยู่เสมอ รวมถึงงานเขียนของ celebrity คนดัง ก็ไม่เคยขาด แต่ปีนี้หรือครั้งนี้ดูไฮไลท์ของบู้ทเนชั่นจะไม่มีอะไรโดดเด่น จึงดูคนน้อยลงไปถนัดตา

สำนักพิมพ์อมรินทร์พริ้นติ้ง หรือร้านนายอินทร์ เป็นอีกบู้ทนึงที่ผมจะพลาดไม่ได้ที่จะโฉบเข้าไปดู และมักจะไม่ผิดหวังกับค่ายนี้เลย
มีงานวรรณกรรมแปลดีๆ จากต่างประเทศมานำเสนออยู่เสมอ และเป็นงาน best seller ที่ติดอันดับขายดีทั้งในงานและของต่างประเทศ สำหรับปีนี้ มีงานเขียน เรื่อง bought ซึ่งเป็นงานแปลที่ขายดีในระดับโลก หรือ international best seller มีงานเขียนเล่มใหม่ของคุณจิรนันท์ พิตรปรีชา ชื่อ เดอะพาวเวอร์ แนวจิตวิทยาสร้างแรงบันดาลใจ ซึ่งเป็นแนวที่เธอถนัด ภายหลังประสบความสำเร็จจาก the Secret
มีงานเขียนของท่าน ว.วชิรเมธี พวกแนวหนังสือตกแต่งบ้านก็เยอะมากมาย และงานวรรณกรรมซีไรท์เก่าๆ ก็ยังคงมีอยู่ให้ซื้อหา รวมถึงงานวรรณกรรมที่ได้รางวัลนายอินทร์อวอร์ด

สำนักพิมพ์มติชน ผมถือเป็นไฮไลท์ของงานในปีนี้ มีหนังสือหัวใหม่เปิดตัวจำนวนมากและน่าสนใจ เช่น อีกทั้งเป็นค่ายที่มีนักเขียนแม่เหล็ก คอยเสิร์ฟงานใหม่ๆ เปิดตัวในงานชุกมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นหนังสือของหนุ่มเมืองจันท์ ,นิ้วกลม มีงานเขียนเก่า ๆ แนวการเมือง ของวาสนา นาน่วม มีงานวรรณกรรมแปลจากต่างประเทศ หลายเล่มน่าสนใจ หนังสือที่ดูจะเป็นไฮไลท์ของบู้ทหรืองานครั้งนี้ อย่าง 100 สิ่งประดิษฐ์ของจีนที่เป็น"ต้นกำเนิด 100 สิ่งแรกของโลก" ผลงาน ของโรเบิร์ต เทมเปิ้ล ที่มีเนื้อหาว่าด้วย 100 สิ่งประดิษฐ์ที่จีนคิดค้นให้กับโลก เป็นหนังสือที่ท้าทายความเชื่อของคนทั้งโลก ที่ว่าชาวจีนคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ในหลายด้าน ทั้งวิศวกรรม การพิมพ์ อุตสาหกรรม ดาราศาสตร์ การเดินเรือก่อนคนตะวันตกร่วมหลายพันปี และเป็นหนังสือที่ได้รับการสนับสนุนจากยูเนสโก จนมีการแปลมากถึง 43 ภาษา และได้รับรางวัลหนังสือระดับชาติในอเมริกาถึง 5 รางวัล วิวัฒนาการแรกของโลก เป็นปกแข็งหนาเล่มใหญ่ มีงานเขียนแปลแนววิทยาศาสตร์ดีๆ  หนังสือของหนุ่มเมืองจันท์ และนิ้วกลม ยังคงได้รับความนิยมในบู้ทอย่าง่ต่อเนื่อง และจะมีงานเล่มใหม่เปิดตัวในงานแทบทุกครั้ง ครั้งนี้ นิ้วกลมเปิดตัวหนังสือใหม่ ชื่อว่า ความสุขโดยสังเกตุ ส่วนหนุ่ม เมืองจันท์ ก็ออกหนังสือมาประชันกัน ชื่อว่า ฟาร์มเพาะอารมณ์ขัน  ซึ่งเป็นหนังสืออ่านสบายๆ ชิลด์ๆ เหมือนกัน  ด้านนักเขียนที่มีแบรนด์เป็นของตัวเอง และมีสำนักพิมพ์เป็นของตนเองอย่างคุณวินทร์ เลียววาริณ ก็มาเปิดตัวหนังสือ 2 เล่มใหม่ในงานนี้ คือ  ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล กับ 2 ปีกของความฝัน  เล่มแรกเป็นแนววิทยาศาสตร์ เป็นภาคต่อของเล่มแรก คือปลาที่ว่ายในสนามฟุตบอล ส่วนเล่มหลังเป็นแนวจิตวิทยาสร้างแรงบันดาลใจ  ไม่เคยผิดหวังกับหนังสือของวินทร์ซักเล่ม ทุกเล่มจะมีจุดเด่นหรือแนวทางต่างๆกัน แล้วแต่ความชอบ แต่ผมคิดว่าคนรุ่นใหม่จะอินกับงานเขียนของวินทร์ได้โดยง่าย และเป็น 1 ในนักเขียนรุ่นใหม่ที่เขียนได้หลากหลายแนวทางมาก และก็ดีในทุกๆ แนวทาง

ส่วนอาเจ้ จิตรา ก่อนันทเกียรติ ก็เป็นอีกคนนึงที่มีแบรนด์เป็นของตนเอง หนังสือของเธอเยอะมาก ในวงการผมถือว่าเธอคือเบอร์ 1 ฝ่ายหญิงมั๊ง ที่มีงานออกมาชุกชุมมาก ที่ไม่นับงานวรรณกรรมหรือแปล เธอเป็นกูรูด้านจีนอีกคนนึงของเมืองไทย น่าสนใจครับมีหลายเล่ม ขอแนะนำ อาปา เพราะเป็นการเขียนเชิงนวนิยายเล่มแรกของเธอ

สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ ผมไม่ค่อยได้ซื้อหนังสือของสำนักพิมพ์นี้ซักเท่าไรในช่วง 2-3 ปีมานี้ ไม่ค่อยมีงานที่น่าสนใจ แต่งวดนี้ไปได้หนังสือชื่อว่า รหัสลับบู๊ลิ้ม ที่เขียนโดยคุณ พชร มาเล่มเดียว และก็รองานรวมเล่มของคุณต่อพงษ์ จากสำนักพิมพ์เดียวกัน เพราะขี้เกียจตามอ่านงานเขียนแกในคอลัมน์บนเว็บ Astv ผจก นอกเหนือจากนั้นงานเขียนของคนอื่นก็มีหลายคนน่าสนใจ  เช่น งานเขียน ดร.ธรณ์,คุณรุ่งมณี เมฆโสภณ

สำนักพิมพ์ซีเอ็ด มีงานเขียนใหม่ๆ ที่โดดเด่น พวกแนวการบริหารงาน บริหารเงิน ลงทุน เช่น ดร.นิเวศน์ คุณภาววิทย์ กลิ่นประทุม (คลื่นลูกใหม่)  งานแปลหนังสือของสตีฟ จ็อบส์ ,วอร์เรน บัฟเฟต ซีเอ็ดจะเด่นแนวหนังสือวิชาการ พวกไอที รวมุถึงแนวบริหาร จัดการต่างๆ ทีเรียกว่า How to ปีนี้ที่เด่นๆ ก็ได้แก่

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

ภาษาเพลงกับกลุ่มเป้าหมาย

เพลง  เบาๆ ของ ศิลปิน Singular  สังกัด Sony Music
กลายเป็นเพลงดังแห่งปีจากการมอบรางวัลของหลายสถาบัน เราจึงอยากนำเนื้อหาของเพลงและอยากให้ผู้อ่านไปลองฟังดู เพลงนี้ยังประกอบในโฆษณาสินค้ากาแฟยี่ห้อเบอร์ดี้ ด้วย คิดว่าน่าจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในช่วงนี้ ได้เป็นอย่างดี ในภาวะที่ข่าวสารบ้านเมือง เศรษฐกิจ รวมถึงต่างประเทศมันช่างประดังประเด สับสนวุ่นวายในชีวิตเสียเหลือเกิน เพลงนี้จึงเหมาะกับการนำมาบำบัดจิตใจในช่วงนี้ของคนไทยเสียจริงๆ เลย  ความหมายก็ soft ตรงกับชื่อเพลงดีด้วย

เนื้อเพลง : เบา เบา
ศิลปิน : Singular ซิงกูล่า
อัลบัม : เพลงใหม่ Singular

ใจหนึ่งใจ จะต้องการอะไร ให้มันมากมาย ให้มันวุ่นวาย

เพียงเธอนั้นใส่ใจกัน เบา เบา พอให้สองเรา

ได้ทำอะไรมากมายในตอนนี้ ฮืม..

*บางเวลาไม่เป็นไร ถ้าเธออยู่ไกล

บางเวลาฉันเข้าใจ ถ้าลืมกันไป

บาวเวลาไม่เป็นใจ ก็ไม่ต้องเสียดาย ปล่อยมันไปก่อนนะ

**คิดถึงฉันสักครั้ง ถ้าไม่ได้คิดถึงใคร

ทำตัวตามสบาย ถ้าเจอกันในความฝัน

มีเวลาดีๆก็บอกให้ฉันได้ฟัง

ไม่มากเกินไปกว่านั้น ค่อยๆ รักกันเบาๆ อือ หึ อืม…..

เธอกับฉัน ยังต้องเดินทางไกล คงไม่สายไป

ให้เวลากับใจได้เรียนรู้ โอ้ว….โอ…..

ซ้ำ *,** *,**

ค่อยๆรักกันเบาๆ ค่อยๆรักกันเบาๆ

http://www.musicdee.com/%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B2-singular-%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B9%88.htm





 หน่วง โดยวง room 39 ซึ่งเป็นเพลงที่ฮิตที่สุดอีก 1 เพลงในปลายปีที่ผ่านมา



เพลงนี้ชอบเป็นการส่วนตัวของแหนม รณเดช ถือเป็นเพลงแจ้งเกิดเลยก็ว่าได้ ให้ฉันดูแลเธอ รักเธอได้มั๊ย




วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

มหันตภัยครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เป็นรองแค่สงครามโลกครั้งที่ 2 เท่านั้น







เกิดแผ่นดินไหว 8.8 ริคเตอร์ ในญี่ปุ่น ชาวกรุงโตเกียววิ่งแตกตื่นลงมาจากอาคาร สึนามิกวาดรถและอาคารลงทะเล เกิดแผ่นดินไหววัดแรงสั่นสะเทือนได้ 8.8 ริคเตอร์ ที่อาคารหลายแห่งในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น สามารถรับความรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนได้ ประชาชนพากันวิ่งหนีออกจากอาคารด้วยความตื่นตระหนก นอกจากนี้ ยังเกิดคลื่นยักษ์สึนามิพัดถล่ม ส่งผลให้เรือหลายลำพุ่งชนชายฝั่ง และกวาดเอารถยนต์บนถนน ในเมืองชายฝั่งลงไปในน้ำด้วย ที่เมืองมิยางิ ที่อยู่ชายฝั่งของเกาะฮอนชู มีรายงานผู้บาดเจ็บแล้วหลายคน แต่ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตในขณะนี้ ภาพจากโทรทัศน์ ได้แสดงให้เห็นน้ำสายน้ำที่กำลังท่วมเป็นบริเวณกว้าง     แผ่นดินไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่าย ทำให้อาคารหลายแห่งในกรุงโตเกียว ที่ได้ชื่อว่ามีประชากรอาศัยอยู่มากที่สุดถึง 30 ล้านคน สั่นสะเทือน มีรายงานเหตุเพลิงไหม้อย่างน้อย  6 แห่ง ในกรุงโตเกียว ซึ่งขณะนี้ระบบรถไฟใต้ดินได้ถูกระงับบริการโดยสิ้นเชิง มีเสียงไซเรนดังกระหึ่มทั่วเมือง

สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยา ระบุว่า จุดที่เกิดแผ่นดินไหว อยู่ห่างไปทางตะวันออกเฉียง เหนือของกรุงโตเกียวราว 382 กิโลเมตร ซึ่งญี่ปุ่นตั้งอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า วงแหวนแห่งไฟที่เป็นศูนย์กลางของภูเขาไฟ และแผ่นดินไหว ขณะที่กรุงโตเกียว ได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในเมืองที่ตั้งอยู่ในจุดที่อันตรายที่สุด เนื่องจากตั้งอยู่บนจุดที่มีการบรรจบกันของรอยเลื่อน 3 แห่ง คือ ยูเรเซีย , แปซิฟิก และฟิลิปปินส์ ซี หลังเกิดแผ่นดินไหว มีการออกคำเตือนสึนามิ ทั้งในญี่ปุ่น ไต้หวัน รัสเซีย หมู่เกาะมาเรียน่า ฟิลิปปินส์ เกาะกวม หมู่เกาะมาแชลส์ อินโดนีเซีย ปาปัว นิวกินี นาอูรู ไมโครนีเซีย และฮาวาย   ในส่วนของความปลอดภัยของโรงงานนิวเคลียร์ และรถไฟหัวกระสุนนั้น ได้รับการออกแบบมาให้ปิดการทำงานโดยอัตโนมัติ เมื่อเกิดแผ่นดินไหว และอาคารหลายแห่งก็ผ่านการออกแบบมาเพื่อให้ทนรับแรงสั่นสะเทือนได้ รวมถึงใช้เหล็กและคอนกรีตอย่างหนา ที่ใช้งบประมาณมหาศาลในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา

ด้านสำนักงานพยากรณ์อากาศของไต้หวัน ได้เตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือ ให้ระวังภัยสึนามิ จากผลพวงแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น เช่นเดียวกับรัสเซีย ที่ออกประกาศเตือนภัยสึนามิ ที่หมู่เกาะคูริล พร้อมกับอพยพประชาชนส่วนฟิลิปปินส์ ได้เตือนประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ชายฝั่งด้านตะวันออก แต่ยังไม่มีคำสั่งอพยพ แต่ให้ระวังภัยจากสึนามิ

ด้านสถานีโทรทัศน์ NHK รายงานว่า มีควันไฟสีดำพวยพุ่งขึ้นมาจากอาคาร โอไดบะ ชานกรุงโตเกียว ซึ่งแรงสั่นสะเทือนสามารถรู้สึกได้ถึงกรุงปักกิ่งของจีน มีการเตือนเรื่องคลื่นสูง 6 เมตร ที่จังหวัดมิยางิ นอกจากนี้ ยังแพร่ภาพสึนามิพัดถล่มพื้นที่ทางเหนือ ทำให้รถยนต์ รถบรรทุก บ้านและอาคารหลายหลัง ถูกกวาดลงน้ำเมือง โอนาฮามะ ใจจังหวัดฟูกุชิม่า


เพลง WHEN WE MAKE A HOME

ศิลปิน Sadao Watanabe

WHEN WE MAKE A HOME

Sadao Watanabe

( A lovely home...hoo..hoo)

When we make a home,

when our love has gronw

when all our apprehensions fade,

and we can say forever.

When we share our dreams,

everything we own

we'll build a life together,

when we make a home.

Safe and warm,(safe and worm)

We sheltered from the storm

(so happy together)

When we make a home together,love

will last forever.

Now, our love is young,(hoo..hoo)

facing the unknown (forever more)

but we'll find joy together,

when we make a home.

Solo...

( A lovely home...hoo..hoo)

When our hearts are one,

Though our minds are two

when we can cherish everyday,

And fill our lives with laughter.

We will dance and sing,

in the setting sun

we're make a home together,

when our hearts are one.

Safe and warm, (safe and warm)

we sheltered from the storm

(so happy together)

When we make a home together,love

will last forever.

Now, our love is young,(hoo..hoo)

facing the unknown (forever more)

but we'll find joy together,

when we make a home.

Safe and warm,(safe and warm)

we sheltered from the storm

(so happy together)

When we make a home together,love

will last forever.

Now, our love is young,(hoo..hoo)

facing the unknown (forever more)

but we'll find joy together,

when we make a home.



สถานการณ์ล่าสุด ญี่ปุ่นวิกฤติระดับ6 เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 4 ฟูกูชิมะ เกิดไฟไหม้ซ้ำในเช้าตรูวันนี้ ล่าสุดจนท.สามารถควบคุมได้แล้ว


วันนี้ 16 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุด สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองโซมะ ประเทศญี่ปุ่นว่า เมื่อเช้าวันนี้ เกิดเพลิงไหม้ที่เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์อีกครั้ง หนึ่งวันหลังจากโรงงานนิวเคลียร์ระเบิดปล่อยสารกัมมันตรังสีออกมา จนสร้างความตื่นตกใจไปทั่วญี่ปุ่น และทำให้รัฐบาลต้องเร่งควบคุมวิกฤตนิวเคลียร์ ที่มีสาเหตุมาจากแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

นายฮาจิมิ โมตูฟูกุ โฆษกของบริษัทโตเกียว อิเล็กทริก พาวเวอร์ โค. ผู้ดำเนินการด้านโรงงานนิวเคลียร์เปิดเผยว่า

อาคารของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 4 ที่โรงงานนิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ไดอิจิ เกิดไฟลุกไหม้ แต่เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว โดยใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงเพลิงจึงสงบ ส่วนดัชนี นิคเคอิ ตลาดหุ้นโตเกียวช่วงเช้า ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.23 หลังจากเมื่อ 2 วันก่อนมีการเทขายหุ้นนิคเคอิครั้งใหญ่ในรอบ 24 ปี เนื่องจากหวั่นเกรงอันตรายจากนิวเคลียร์ โดยดัชนีนิคเคอิพุ่งขึ้น 536 จุด อยู่ที่ 9,141.15 จุด ขณะที่ ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่น อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบอีก 3.5 ล้านล้านเยน หรือราว 1.2 ล้านล้านบาท

ด้าน แอปเปิล ค่ายมือถือสมาร์ทโฟนประกาศเลื่อนวางจำหน่ายไอแพด 2 ในสัปดาห์หน้าที่ญี่ปุ่นออกไปอีก หลังเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิ นาตาลี เคอร์ริส โฆษกแอปเปิลบอกว่า ทางบริษัทเลื่อนการจำหน่ายไอแพด 2 ในญี่ปุ่น ขณะที่ ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของแอปเปิลในเมืองเซนได ยังคงปิดทำการ ทั้งนี้ ไอแพด 2 มีกำหนดวางจำหน่ายที่ญี่ปุ่นและประเทศต่างๆ อีก 24 ชาติในวันที่ 25 มีนาคม อย่างไรก็ตาม ทางแอปเปิลไม่ได้ระบุวันใหม่สำหรับการเริ่มขายไอแพด 2 ในญี่ปุ่น

ขณะที่ไฟกระพือลุกไหม้ ณ เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 4 ณ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะเป็นแห่งที่ 1 อีกครั้งในช่วงเช้าตรู่วันนี้(16) โดยเวลานี้เจ้าหน้าอยู่ระหว่างควบคุมเพลิงอยู่  "เราได้แจ้งเหตุไปยังเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและหน่วยดับเพลิงในทันที" โฆษกของโตเกียว อิเล็กทริก พาวเวอร์ (เท็ปโก)บริษัทที่ได้รับสัมปทานดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในจังหวัดฟูกูชิมะกล่าว พร้อมระบุว่าคนงานรายหนึ่งยืนยันว่ามีควันพวยพุ่งออกมาจากหลังคาที่ครอบตัวเตาปฏิกรณ์หมายเลข 4

เตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้เกิดระเบิดไปแล้วก่อนนี้เมื่อวันอังคาร(15) อันสร้างความเสียหายแก่หลังคาของตัวอาคาร อย่างไรก็ตามในเหตุเพลิงไหม้ล่าสุดยังไม่มีรายงานระบุถึงขอบเขตความเสียหายครั้งนี้

สำหรับเหตุแผ่นดินไหว  9.2 ริคเตอร์ในประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้ นำไปสู่การถล่มของคลื่นยักษ์สึนามิ ทำให้พื้นที่ชายฝั่งทะเลหลายพื้นที่ได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง

ผู้คนเสียชีวิตไปแล้วกว่า 6 พันศพ (ตัวเลขผู้เสียชีวิตยังไม่นิ่ง) หายสาญสูญอีก 15,000 คน ขณะที่ทั่วโลกต่างยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือญี่ปุ่นอย่างไม่ขาดสาย เพื่อค้นหาผู้รอดชีวิต และฟื้นฟูประเทศ แต่ปัญหาใหญ่ขณะนี้เป็นเรื่องวิกฤติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดรอบที่ 2 โดยมีการรั่วไหลของกัมมันตรังสี ทั้งนี้รัฐบาลญี่ปุ่นสั่งอพยพผู้คนออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วน พร้อมยืนยันว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

สถานการณ์ล่าสุด เหตุแผ่นดินไหว 9.2 ริกเตอร์ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยยอดผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติขณะนี้อยู่ ที่ 185 ราย สูญหาย 741 คนจาก 9 เขตปกครอง ในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันออกของประเทศ รวมถึงในกรุงโตเกียว ขณะที่สำนักข่าวเกียวโดคาดว่า ยอดผู้เสียชีวิตที่แท้จริงอาจจะเกิน 1,000 ราย นอกจากนี้ยังพบบ้านเรือนประชาชนในจังหวัดฟุกุชิมะ กว่า 1,800 หลังได้รับความเสียหาย   ขณะ ที่นายกรัฐมนตรีนาโอโตะ คัง ของญี่ปุ่น เดินทางออกจากรุงโตเกียวตั้งแต่เวลา 06.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยเฮลิคอปเตอร์ เพื่อตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย และโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ หลังพบปัญหาที่เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ จนทางโรงไฟฟ้าต้องตัดสินใจระบายอากาศ เนื่องจากแรงดันที่เพิ่มสูงขึ้นอาจก่อความเสียหายอย่างรุนแรงต่อโรงไฟฟ้า ซึ่งจากการตรวจสอบจากสำนักงานอุตสาหกรรมและความปลอดภัยนิวเคลียร์ 8 ครั้งที่ผ่านมา พบว่า ระดับสารกัมมันตรังสีอยู่ในระดับปกติ ขณะที่สหรัฐอเมริกาได้ทำการส่งสารหล่อเย็นมายังโรงไฟฟ้าดังกล่าวแล้ว ด้าน เจ้าหน้าที่กู้ภัย ยังไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ถูกทำลายด้วยคลื่นสึนามิได้ หลังคำประกาศเตือนภัยยังไม่ถูกยกเลิก ส่วนภาพรวมของความเสียหายยังไม่เป็นที่แน่ชัด   ส่วนเหตุอาฟเตอร์ช็อก 6.2 ริกเตอร์ บนพื้นดินทางชายฝั่งตะวันตกของเกาะ ที่ความลึกเพียง 1 เมตร จากระดับผิวดิน เมื่อเวลา 03.59 น.ตามเวลามท้องถิ่น หรือตรงกับเวลา 01.59 น. ตามเวลาในประเทศไทย ซึ่งจากการเปิดเผยของตำรวจญี่ปุ่น ระบุว่า ยังไม่ได้รับแจ้งผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ แต่ได้รับรายงานเหตุดินและหิมะถล่มในเมืองโตคามาชิ ขณะที่เมืองซูนัน ก็มีหิมะถล่มลงมาเช่นกัน   ทาง ด้านประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นประเทศหนึ่งที่มีความเสี่ยงต่อเหตุสึนามิ ล่าสุด ทางการอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า ภูเขาไฟการันเกตัง ที่ได้ชื่อว่ามีการปะทุบ่อยที่สุดลูกหนึ่งของอินโดนีเซีย ได้เกิดการปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังจากเกิดแผ่นดินไหว และสึนามิในประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้ลาวาและกลุ่มแก๊สพวยพุ่งออกมา และไหลลงไปตามเชิงเขา จนต้องมีการอพยพประชาชนอย่างเร่งด่วน    สำหรับภูเขาไฟการันเกตัง ซึ่งมีความสูง 5,853 ฟุต ตั้งอยู่บนเกาะเซียอู ในหมู่เกาะสุลาเวสี และเพิ่งจะปะทุครั้งสุดท้าย ไปเมื่อเดือนสิงหาคม ทั้งนี้คาดว่า การปะทุครั้งล่าสุดเกิดจากรอยเลื่อนแปซิฟิก มีการเคลื่อนตัวจนเป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหว และเกิดสึนามิ ทำให้ภูเขาไฟดังกล่าวปะทุขึ้นมา   ขณะ ที่ประเทศฟิลิปปินส์ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวของฟิลิปปินส์ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ได้เกิดคลื่นสึนามิจำนวน 4 ลูก พัดเข้าสู่ชายฝั่งฟิลิปปินส์ ทางชายฝั่งของจังหวัดคากายัน ภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง แต่ไม่มีรายงานความเสียหายใด ๆ เพราะสึนามิ ทั้ง 4 ลูก มีความสูงเฉลี่ยแค่เพียง 30 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร เท่านั้น  แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีการประกาศเตือนภัยสึนามิ ใน 19 จังหวัด ตลอดแนวชายฝั่งด้านตะวันออก และได้มีการประกาศให้ประชาชนอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย บริเวณชุมชนชายฝั่งของจังหวัดคากายัน 7,000 คน และ จังหวัดอิซาเบลลา ที่มีประชาชนอพยพออกจากพื้นที่กว่า 3,200 คนแล้ว

ขณะ ที่ประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันยังไม่พบคนไทยบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต จากเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว ได้ดำเนินการประสานหน่วยงานท้องถิ่นของญี่ปุ่นและชมรม/สมาคมคนไทยในญี่ปุ่น ในการแจ้งข้อมูลคนไทยที่อาจได้รับผลกระทบ หรือต้องการความช่วยเหลือแล้ว   ด้านสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซากา อยู่ระหว่างการประสานกับคนไทยในเขตคันไซ ว่าได้รับผลกระทบ หรือ ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่อย่างไร นอกจากนี้ ทางกระทรวงการต่างประเทศ ยังได้ประสานไปยังกองทัพอากาศ และบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ในการเตรียมเครื่องบินพิเศษ หากจำเป็นต้องใช้ในภารกิจช่วยเหลือคนไทย และได้ประสานกระทรวงสาธารณสุข ในการเตรียมความพร้อมด้านทีมแพทย์ หากได้รับการร้องขอจากฝ่ายญี่ปุ่น

One Up on SET เหนือกว่าตลาดหุ้นไทย

One Up on SET เหนือกว่าตลาดหุ้นไทย
วิธีใช้สิ่งที่คุณรู้ ทำเงินในตลาดหุ้น เงินไม่ได้อำมหิต ถ้าคุณรู้วิธีใช้และควบคุมมัน


บทความนี้จะเป็นคอลัมน์ใหม่ ที่จะมีเป็นตอนๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจ สืบเนื่องจากผู้เขียนได้แรงบันดาลใจมาจาก 2 อย่างด้วยกัน คือ 1 เมื่อได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Wall Street 2 money never sleeps จบ และ 2.เมื่อหยิบหนังสือชื่อว่า One Up on Wall Street ที่เขียนโดย ปีเตอร์ ลินซ์ร่วมกับ จอห์น ร็อธไชด์ แปลโดย อ.ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มาอ่านจนจบ (ซื้อมาตั้งนานหลายปีแล้ว แต่เพิ่งจะเอามาเปิดอ่านดู) มันช่างสอดคล้องเหมาะเหม็งกันมากๆ ระหว่างภาพยนตร์เรื่องนั้นกับหนังสือเล่มนี้ เพราะคำโปรยในหนังสือดังกล่าวบอกเอาไว้ว่า “วิธีใช้สิ่งที่คุณรู้อยู่แล้ว ในการทำเงินในตลาดหุ้น” อะไรคือสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว เดี๋ยวจะได้อธิบายต่อไปในบทความนี้ ส่วนคำโปรยของหนังใช้คำว่า money never sleeps เงินไม่มีวันหลับ อันนี้ก็เห็นจะจริง เพราะตราบใดที่คุณมีวิธีที่จะใช้หรือควบคุมมันให้ทำงานให้คุณแล้ว มันก็พร้อมที่จะสร้างประโยชน์โภชน์ผลให้กับคุณอย่างคุ้มค่าทีเดียว แต่ในขณะเดียวกันหากคุณไม่รู้วิธีการที่จะใช้มันหรือควบคุมมันแล้วหล่ะก็ มันก็พร้อมที่จะสร้างหายนะให้กับคุณได้อย่างมหาศาลเช่นเดียวกัน นี่คือสัจจธรรม แต่ความเชื่อที่ว่าเงินคือพระเจ้า หรือ เราทุกคนพร้อมที่จะเป็นทาสของเงินนั้น มันเป็นความเชื่อที่โลกของทุนนิยมเขาศรัทธาและละไว้ในฐานที่เข้าใจกันเสียมากกว่า ไม่มีใครเขาจะหยิบมาพูดกันหรอก มันเชยมาก เพราะธรรมชาติของมนุษย์มันก็มีอยู่ 2 อย่างเท่านั้น คือโลภ หรือกลัว (นี่คือตรรกะของโลกทุนนิยมเท่านั้น ไม่ใช่ในโลกพระพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนามีเรื่องของอิทัปปัจจตา เป็นตัวป้องกันกิเลสได้) โลภ หรือกลัว จึงเป็นตัวกระตุ้นที่โลกของทุนนิยมนำมาใช้เป็นตัวล่อหรือพาหะ ให้นำไปสู่การสร้างความมั่งคั่ง หรือหายนะให้กับเหยื่อตัวเล็กตัวน้อย ทั้งแมงเม่าหรือช้าง ผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า money game ด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงินออกมาใหม่ นับแต่ในอดีตเริ่มก่อตั้งทุนนิยมมา ซึ่งก็เพิ่งจะมีมาไม่เกิน 200 ปีมานี้เอง โดยอเมริกาเป็นประเทศแม่แบบหรือผู้ริเริ่มคิดค้นขึ้นมา สมัยก่อนอาจจะซื้อขายแลกเปลี่ยนโดยใช้ระบบหมูไปไก่มา หรือ counter trade พอระบบการเงินดีขึ้น จนมีการก่อตั้งธนาคารก็จะมีตลาดการเงินเกิดขึ้นมา เช่น ตลาดพันธบัตร ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน ระบบการใช้เช็คจ่ายแทนเงินสด จนมาถึงระบบบัตรเครดิต และสมัยปัจจุบันมีระบบ pay-pal วิวัฒนาการของตลาดทุนก็มาจากอเมริกานั่นแหละคิดค้นขึ้นมา ที่เรียกว่า ตลาดหุ้น มีตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า หรือที่เรียกว่า ฟิวเจอร์ หรือ ออฟชั่น และก็มีตลาดตราสารหนี้ ส่วนตราสารทางการเงินก็มีการพัฒนากันมาเรื่อยๆ จนมาถึงที่เรียกว่า ซับไพร์ม และ ซีดีโอ ที่เป็นบ่อเกิดหายนะของโลก จากวิกฤติซับไพร์มและกลายเป็นวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ของอเมริกา เมื่อ 2 ปีก่อน จนทำให้บรรษัทระดับโลกหลายแห่งต้องล้มละลาย วานิชธนกิจชั้นนำระดับโลกต้องเจ๊ง ล้มละลายปิดตัวเองไป และยังผลความเสียหายมาจนถึงทุกวันนี้ จนรัฐบาลอเมริกาต้องเข้ามาแทรกแซง ผ่านมาตรการ QE 1 และ QE 2 ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่นำไปสู่รากฐานหรือต้นตอที่แท้จริงของปัญหาหรือไม่ หรือเป็นเพียงซุกขยะไว้ใต้พรหม หรือการตักน้ำดีไปผสมกับน้ำเสีย เพื่อให้มันเจือจางและสะอาดขึ้น จะใช่ทางออกของปัญหาหรือไม่ เหล่านักเศรษฐศาสตร์และนักลงุทนทั่วโลกเขากำลังวิตกอยู่ ก็คงจะต้องหาทางแก้กันต่อไป ทีนี้ขอมาเข้าประเด็นในส่วนของวิเคราะห์วิจารณ์ ภ.เรื่อง Wall Stree 2 money never sleeps ก่อนอื่นขอท้วงติงชื่อภาษาไทยของหนังเรื่องนี้หน่อยว่าตั้งได้ไม่ตรงกับเนื้อหาซักเท่าไหร่ เขาตั้งว่า เงินอำมหิต อันนี้ตามความเข้าใจของผู้เขียนคิดว่า เงินมันไม่มีชีวิตจิตใจ มันจึงไปทำใจดำอำมหิตกับใครเขาไม่ได้หรอก คนต่างหากที่เป็นผู้ใช้หรือควบคุมมัน หากใช้และควบคุมไปในทางที่ถูกต้อง เงินนั้นมันก็เป็นเงินที่สร้างกุศลผลบุญ เช่น เงินที่นำไปบริจาคเข้ามูลนิธิของหลวงตามหาบัว เพื่อไปไว้ใช้เป็นทุนสำรองของประเทศ อย่างนี้เรียกว่า เงินทำบุญ แต่ถ้าผู้ใช้หรือควบคุมมันนำเงินไปใช้ในทางที่ไม่ดี เช่น ไปใช้ซื้อขายยาเสพติด การพนัน เงินโกงคอรัปชั่น เงินที่ได้จากการปั่นหุ้น เหล่านี้เราจะเรียกมันว่า เงินบาป และคนที่ทำเช่นนั้น เราเรียกเขาว่าเป็นคนอำมหิต ไม่ใช่เงินอำมหิต ส่วนเรื่องราวและเนื้อหาในภาค 2 นี้ดำเนินไปโดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาคแรกแต่อย่างใด เพียงแต่มีตัวละครจากภาคแรกมาเล่นด้วย หนังหยิบเอาเรื่องราวกลโกงของผู้บริหารวานิชธนกิจแห่งหนึ่ง ที่ฉ้อฉลทั้งในส่วนของการสร้างราคา มูลค่าธุรกิจ สร้างสตอรี่ ปล่อยข่าวลือ ปั่นราคาหุ้น อีกทั้งฉ้อฉลผู้ถือหุ้นหรือผู้บริหารในองค์กรที่อยู่ในแวดวงเดียวกัน ด้วยการใช้เล่ห์กลแบบอันแรก ปล่อยข่าว ทุบราคาหุ้น และบีบบังคับหักคอให้ผู้บริหารในองค์กรคู่แข่งต้องขายกิจการในราคาต่ำกว่ามูลค่าความเป็นจริง แบบที่เรียกว่าเล่นงานจนเขาเจ๊งและบีบให้เขาขายกิจการมาในราคาต่ำ จากนั้นจึงเข้าไปช้อนซื้อ และปัดฝุ่นใหม่ ดันราคาขึ้นมาต่อ วิธีการนี้คล้ายๆ ตอนที่ประเทศไทยเปิด BIBF เกิดวิกฤติการต้มยำกุ้ง ปิด 56 ไฟแนนซ์ มีการตั้งองค์กรที่เรียกว่า ปรส.เพื่อมาปรับโครงสร้างหนี้กิจการที่ล้ม ก็คือ 56 ไฟแนนซ์ เหล่านั้น จากนั้นรัฐบาลไทยก็ให้สัมปทานแก่วานิชธนกิจของโลกอย่าง เลห์แมนบราเธ่อร์ ,เมอริล ลินซ์ ,เจพีมอร์แกน ,มอร์แกน สแตนเล่ย์โกลด์แมนแซ็คท์ เข้ามาเขมือบกิจการอสังหาริมทรัพย์ของบรรดากิจการที่ล้มเหล่านั้นในราคาถูกแสนถูก แล้วขายทอดตลาดได้กำไรกลับออกนอกประเทศไป ปรากฎว่ากรรมเวรมีจริง เพราะภายหลังจากปีนั้นคือปี 2540 จนมาถึงปี 2551 ไอ้บริษัทโจรอย่างเลห์แมนบราเธ่อร์ ก็ถึงกาลอวสาน เพราะเป็นต้นตอของปัญหาวิกฤติซับไพร์มที่ทำให้บริษัทตัวเองต้องล้มละลาย และรัฐบาลอเมริกาก็เลือกที่จะไม่อุ้มกิจการตัวนี้ แต่หันไปอุ้มซิตี้แบ็งค์ เอไอเอ และเจนเนอรัลมอเตอร์แทน ส่วนรายของเจพีมอร์แกน เมอริลลินซ์ มอร์แกนสแตนเล่ย์ และโกลแมนแซ็คท์ รอดตายไปอย่างหวุดหวิด เพราะสามารถหาพันธมิตรผู้ร่วมทุนมาช่วยกอบกุ้สถานะของกิจการไว้ได้ นี่คือผลกรรมที่มันทำกับประเทศไทยไว้จริงๆ กรรมตามทันเอาในชาตินี้จริงๆ

กลับเข้ามาสู่เนื้อหาของหนังต่อ ผู้บริหารวานิชธนกิจท่านนั้นที่ถูกบีบให้ขายกิจการไปในราคาต่ำ ถูกย่ำยีเกียรติยศศักดิศรีจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นพ่อบุญธรรมหรือผู้มีพระคุณของพระเอกในเรื่อง พระเอกจึงหวังเข้าไปแก้แค้นโดยเขาไปติดสอยห้อยตามหรือสามารถซื้อใจเข้าไปทำงานกับศัตรูคู่อริคนนั้นได้ และหวังจะทำลายเข้าถ้ามีโอกาส แต่แผนกลับไม่เป็นไปตามนั้น เขารู้ทันก่อน พระเอกจึงตัดสินใจไปหาอดีตวานิชธนกรผู้เคยต้องคดีติดคุกจากข้อหาปั่นหุ้น และเป็นคนเดียวกับพ่อตาหรือพ่อแท้ๆของแฟนตัวเอง ซึ่งพ่อกับลูกสาวก็ไม่ถูกกัน ความหลังฝังใจในอดีตที่พ่อทิ้งแม่และลูกไป และต้องไปติดคุก จนทำให้น้องชายต้องคดียาเสพติด และเสียชีวิต ภายหลังพระเอกเป็นตัวเชื่อมให้พ่อตาและแฟนสาวคืนดีกันได้ แต่พ่อตาก็ยังเป็นเสือเฒ่าที่อันตรายอยู่วันยังค่ำ นางเอกได้เตือนพระเอกไว้แต่ไม่เชื่อ เขาหลอกเอาเงินจากลูกสาวหรือเงินของแฟนตัวเองไป จนทำให้พระเอกกับนางเอกต้องเลิกรากัน เพราะเจ้าเงินก้อนนั้น มันเป็นความหวังสุดท้ายที่พระเอกจะเอาไว้แก้เกมเล่นงานคู่อริ แต่ก็ต้องมาเสียรู้ให้กับขรัวเฒ่า พ่อตาจอมเจ้าเล่ห์ของตนเอง นี่คือบทสรุปของหนัง ซึ่งเรื่องย่อและบทวิจารณ์ที่สมบูรณ์เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ เป็นดังนี้

Wall Street 2 : Money Never Sleeps (วอล สตรีท: เงินอำมหิต) เป็นหนังภาคต่อเรื่องแรกของผู้กำกับ โอลิเวอร์ สโตน และ เป็นภาคต่อที่ทิ้งระยะห่างจากภาคแรก Wall Street (1987) นานถึง 23 ปี


หนังดำเนินเรื่องราวในปี 2001 เมื่อกอร์ดอน เก็กโก้ (Michael Kirk Douglas ไมเคิล ดักลาส) ก้าวออกมาจากเรือนจำ ที่ซึ่งเขาต้องโทษคุมขังเป็นเวลานาน 7 ปี ในคดีปั่นหุ้น อย่างโดดเดี่ยวโดยไม่มีลูกสาว หรือ เพื่อนร่วมงานที่วอลสตรีทมารับ… เขากลายเป็นคนนอกวงการที่ยังไม่ละทิ้งปรัชญาเดิมคือ ความโลภ – โลภแล้วรุ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้ความจริงในขณะที่อยู่ในคุกว่า เวลาเป็นสิ่งเดียวที่มีค่าเช่นกัน !!


เจค มัวร์ (Shia Saide LaBeouf ไชอา ลาบัฟ) วอลล์สตรีหนุ่มไฟแรง ผู้ซึ่งได้ วินนีย์ (Carey Hannah Mulligan แครีย์ มัลลิแกน) ลูกสาวเก็กโก้เป็นแฟนสาว ธุรกิจของเขากำลังตกอยู่ในความเสียหาย และ ต้องเผชิญความเจ็บปวดจากการสูญเสียที่ปรึกษา/อาจารย์คนแรกในชีวิต หลุยส์ ซาเบล (Frank A. Langella, Jr. แฟรงค์ ลานเจลลา) จากการปรักปรำของคู่แข่งทางธุรกิจ เบร็ตตัน เจมส์ (Josh James Brolin จอช โบรลิน) และ สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือ การล้างแค้น โดยได้เก็กโก้ เป็นผู้เปิดเผยข้อมูลว่าทำไม หลุยส์ ซาเบล จึงถูกหักหลังโดยเพื่อนที่เป็นนายธนาคาร… ความสัมพันธ์ถูกก่อตัวขึ้นมาเพื่อที่ เจค จะได้ล้างแค้นให้กับการสูญเสียของ เคลเลอร์ ซาเบล และเพื่อช่วยให้เก็กโก้ ได้สานสัมพันธ์ใหม่กับลูกสาว โดยมีชีวิตน้อยๆในครรภ์ของวินนีย์ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เก็กโก้ต้องตัดสินใจเลือกระหว่างเงินตรา และ เวลาที่เหลืออยู่..กับครอบครัว


Wall Street 2 เป็นหนัง Drama (ชีวิต) ซึ่งแตกต่างจากภาคแรกที่เป็นหน้ง Crime/Drama (อาชญากรรม/ชีวิต) เขียนบทโดย อัลแลน โลบ (Allan Loeb)


บท และ การตัดต่อยังไม่ดี ด้วยไม่แสดงประเด็นให้ชัดเจน ไม่กระชับ และ ไม่ชูประเด็น …จึงทำให้หนังขาดจุดเด่นไปโดยปริยาย


หนังเปิดเรื่อง ให้ตัวละครทุกตัวโยงใย สัมพันธ์กันบนความขัดแย้งของปมปัญหาเรื่อง เงิน (เหมือน)จะต้องเฉือดเชือนกันให้แตกหัก แต่กลับดำเนินเรื่อง ด้วยการอธิบายความสัมพันธ์ของตัวละคร อาทิ เก็กโก้ กับ วินนีย์ลูกสาว , เจค กับ วินนีย์ , เจค ก้บแม่-ซิลเวีย มัวร์ (Susan Sarandon ซูซาน ซารานดอน) หรือ เจค กับ หลุยส์ ซาเบล โดยที่ยังไม่ทิ้งเรื่องราวของตลาดหุ้น Wall Street จึงทำให้หนังดูยืดเยื้อ จืดชืด ไม่เร้าใจ ด้วยจับไม่ได้ว่าหนังจะอธิบายความหมายของ Money Never Sleeps อย่างไร เพราะจุดจบ คือ การต้ดสินใจที่เลือกครอบครัว มากกว่า เงิน… ซึ่งเป็นการจบที่คาดเดาได้


ไมเคิล ดักลาส รักษามาตรฐานทางการแสดงได้ดี(เช่นในภาคแรก) เช่นเดียวกับ ไชอา ลาบัฟ, แคร์รี่ มัลลิแกน และ นักแสดงคนอื่นๆ ที่แสดงได้ดีสมบทบาท ภาพ / เพลงประกอบ คอสตูม และ องค์ประกอบของหนังโดยรวมดี


เนื่องจาก Wall Street 2 พลิกจากหนังแนวอาชญากรรมทางการเงิน มาเป็นหนังชีวิต จึงอาจทำให้คนที่เคยดูภาคแรกมาแล้วผิดหวัง !! และ อดไม่ได้ที่จะเอาหนังทั้งสองภาคมาเปรียบเทียบกัน … ด้วย Wall Street ภาคแรกสมบูรณ์ และ น่าประทับใจมากกว่า.


มาดูเรื่องย่อและบทวิจารณ์จาภภาคแรกกัน


Black Monday หรือ จันทร์ทมิฬ คือ วันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 1987 (พ.ศ. 2530) มีความสำคัญ ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกตกโดยทั่วกัน ดาวน์โจนส์ตก 22% คือราว 500 จาก 1,700 จุด


และในวันที่ 11 ธ.ค.1987 ก็มี Wall Street : วอลสตรีท หุ้นมหาโหด ออกมาฉาย


Wall Street เป็นเหตุการณ์ในปี ค.ศ.1985 เกิดขึ้น ณ ตลาดหุ้น Wall Street เป็นเรื่องราวที่แฉเบื้องหลังธุรกิจค้าหุ้นแห่งยุค 80 ของโบร็คเกอร์หนุ่มผู้ใฝ่ฝันทะเยอทะยานที่จะประสบผลสำเร็จด้านการเงิน บั๊ด ฟ็อกซ์ (Charlie Sheen ชาร์ลี ชีน) ผู้ซึ่งโชคชะตานำพาให้ได้พบกับราชาแห่งวอลสตรีทอย่าง กอร์ดอน เก็กโก้ (Michael Kirk Douglas ไมเคิล ดักลาส) ผู้มีปรัชญาว่า ” โลภแล้วรุ่ง ” ฟ็อกซ์เดินตามปรัชญาของเก็กโก้ และ ยอมทำทุกอย่างถึงแม้จะเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมายหลักทรัพย์ ฟ็อกซ์ได้ทุกอย่างๆรวดเร็วทั้งเงินทอง และ ผู้หญิง โดยมีเก็กโก้เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง…และสอนให้เข้ามาสู่หนทางร่ำรวยด้วยการเล่นหุ้น และ เข้าถึงข้อมูลโดยไม่ต้องเลือก ” วิธีการ “


..แล้วงานใหญ่ก็มาถึง เมื่อเก็กโก้ให้ฟ็อกเกลี่ยกล่อมพ่อของเขา คาร์ล ฟอกซ์ (Martin Sheen มาร์ติน ชีน – ผู้เป็นพ่อของ Charie Sheen ทั้งในชีวิตจริงและในหนัง) ซึ่งเป็นหัวหน้าช่างบำรุงเครื่อง และ หัวหน้าสหภาพแรงงานของบริษัทสายการบินเล็กๆ ชื่อ บลูสตาร์ ให้ยอมร่วมมือในการเทกโอเวอร์บริษัท หลังจากที่หุ้นตกต่ำ และมีราคาถูกมานาน ซึ่งเทียบไม่ได้กับสินทรัพย์จำนวนมหาศาลของบริษัทโดยมีข้อตกลงว่า หลังจากที่ได้กิจการเขาจะให้ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของบริษัทแก่ฟ็อกซ์ แต่เก็กโก้กลับหักหลังโดยแยกส่วนสินทรัพย์ของบริษัทออกขายทำกำไร แล้วปล่อยให้กิจการดิ่งลงนรก… พนักงานถูกลอยแพ พ่อของฟ็อกต้องตกงานโดยที่ฟ็อกซ์ก็ทำอะไรไม่ได้ เป็นเหตุให้ฟ็อกยอมร่วมมือกับตำรวจที่สืบสวนการกระทำที่ผิดกฏหมายหลักทรัพย์ และ ในที่สุด เก็กโก้ต้องชดใช้กรรมในคุก ในคดีปั่นหุ้น


หนังประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วยเป็นผลงานกำกับ และ เขียนบทของ โอลิเวอร์ สโตน (Oliver Stone) นักสร้างภาพยนตร์เจ้าของรางวัลออสการ์ ที่สะท้อนภาพนักธุรกิจชั้นสูงชาว อเมริกัน ผ่านวงการตลาดหุ้นระดับมืออาชีพ ที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด แม้ว่าฉากหลังของหนังจะอาศัยตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเป็นหลัก แต่ในขณะเดียวกัน ก็สะท้อนเบื้องหลัง – เบื้องลึกของผู้คน โลกธุรกิจ และ ความโลภ …


หนังมีเนื้อหาที่สอดรับกับสถานการณ์ โดยออกฉายในอเมริกาเมื่อ 11 ธค.1987 หลังเหตุการณ์ Black Monday (19 ต.ค.1987) วันที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปั่นป่วนอย่างรุนแรงเป็นประวัติการณ์นับแต่มีตลาดหุ้นเกิดขึ้นบนโลกใบนี้


และ ดำเนินเรื่องด้วยประเด็นที่เด่นชัดคือ เรื่องของ เงิน ด้วยลีลาอันตื่นเต้นเร้าใจของการหักเหลี่ยมเฉือนคม ชิงไหวชิงพริบกันด้วยยุทธวิธี และ กลเกมส์ทางธุรกิจการเงิน


ส่งผลให้ ไมเคิล ดั๊กลาส ในบทบาท กอร์ดอน เก็กโก้ (Gordon Gekko) ได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมปี 1987 ด้วยบุคลิกท่าทางสงบเลือดเย็น สีหน้าเรียบเฉย และ แววตาฉลาดแกมโกง


เก็กโก้เป็นตัวละครที่สะท้อนภาพของคนที่เป็นสุดยอดในระบบทุนนิยมอย่างเห็นได้ชัด เห็นได้จากการที่เขาพูดถึงข้อดีของ “ความอยาก” (greed) ต่อหน้าพนักงาน และ บริษัทที่เขากำลังจะเทกโอเวอร์ได้อย่างน่าสนใจไว้ว่า


“..ประเด็นคือ ในโลกที่ดีกว่านี้ ความอยากคือ สิ่งดี (Greed is good)…ความอยากมีทุกรูปแบบ อยากเพื่อชีวิต อยากเพื่อเงิน อยากเพื่อรัก อยากเพื่อความรู้ ทำให้มนุษย์พัฒนาขึ้น…ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้เทลดาร์ เปเปอร์ (ชื่อบริษัทที่เขาจะเทกโอเวอร์) อยู่รอดเท่านั้น แต่มันยังทำให้บรรษัทที่ขัดข้องอย่าง อเมริกา อยู่รอดด้วย…” และ เก็กโก้ก็เดินตามปรัชญานี้ จนเขาพบชัยชนะด้านเงินทอง


หนังแสดงประเด็นรอง คือ ความไม่ลงรอยทางความคิด ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งระหว่างฟอกซ์ และ คาร์ลผู้เป็นพ่อ สะท้อนให้เห็นแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ และ เงินตรา ระหว่าง คุณค่าของคน กับ มูลค่าของเงิน ซึ่งมีความสำคัญ และ มีผลต่อการตัดสินใจและการกระทำหลายๆ อย่างของ บั๊ด ฟอกซ์ ตัวเอกของเรื่องเป็นอย่างมาก

สิ่งที่เราได้จากหนังเรื่องนี้ก็คือ 1.ความโลภมันมักมาบังตาเรา ทำให้เราตกลงไปในหลุมพรางของเจ้ามือหรือเซียนหุ้นที่เขาจ้องจะงาบเงินเรานั่นแหละ หากเราไปหลงต้องมนต์เสน่ห์ เชื่อในภาพมายา จินตนาการหรือมูลค่าธุรกิจอะไรก็ไม่รู้ที่เราไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับมันอย่างแท้จริง และบ่อยครั้ง ทั้งๆ ที่เรารู้ เราก็ยอมที่จะตกลงไปในหลุมพรางที่เขาขุดล่อเราเอาไว้จนได้ เพราะเรามักคิดว่าเราจะไม่ใช่คนสุดท้ายที่ปีนจากหลุมศพนั้น แต่หารู้ไม่ว่าเขาได้วางแผนมาอย่างเป็นกระบวนการ และเวลามันทำงานมันทำกันเป็นทีม เป็นระบบ ทันทีที่เรารู้กระจ่างแจ้งในทุกประเด็นเมื่อใด เมื่อนั้นหายนะมันมารออยู่ตรงหน้าคุณแล้ว ยากที่จะกลับหลังหันและวิ่งหนีได้ทัน 2.เงินจะไม่มีวันเล่นงานเราหรืออำมหิตแก่เราได้ ถ้าเรารู้วิธีที่จะใช้หรือควบคุมมันไว้ได้

เพราะเวลาที่เราใช้เงิน เรารู้ว่าเรามีอยู่เท่าไหร่ และเราใช้มันเท่าที่เรามีอยู่ ไม่เกินจากที่เรามี และเราควบคุมมันได้ ก็เพราะว่าเรารู้ว่าเส้นทางที่มันเดินไปนั้นเรารู้ว่ามันเดินไปในเส้นทางไหน ถนนอะไร ตรอกซอกซอยอะไร และจะไปถึงจุดหมายปลายทางตรงไหน ไม่มีวันที่มันจะออกนอกลู่นอกทางจากเส้นทางที่เรากำหนดไว้ เพราะเรารู้เส้นทางของเงินเป็นอย่างดี เหมือนกับที่เราเอาไปลงทุนในสิ่งไหนแล้วเรารู้ในสิ่งที่เราไปลงทุนว่ามันคืออะไร เราจึงควบคุมความเสี่ยงได้หมด ถ้าเสี่ยงมากยิ่งควบคุมมากหรืออาจตัดสินใจไม่ลงทุนเลยก็ยังได้ เราจึงตัดตอนความหายนะที่จะมาถึงเราได้หมดทุกประตู



มาถึงวิเคราะห์วิจารณ์หนังสือชื่อ One Up on Wall Street เหนือกว่าวอลสตรีท เขียนโดย ปีเตอร์ ลินซ์ กับ จอห์น ร็อธไชด์

แปลโดย อ.ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร “วิธีใช้สิ่งที่คุณรู้อยู่แล้ว ในการทำเงินในตลาดหุ้น”

สิ่งที่คุณรู้คืออะไรในความหมายของหนังสือนี้ ก็คือตัวธุรกิจ หรือบริษัท หรือกิจการ ที่คุณนำเงินไปลงทุนซื้อหุ้นเขา คุณรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเขา ถ้าคุณไม่รู้อะไรเลย อย่านำเงินไปลงทุน หรือรู้บ้างแต่ไม่มาก ก็ยังเสี่ยงอยู่มาก เหมือนเราคบเพื่อน คบแฟน ถ้าเรารู้น้อยมากเกี่ยวกับแฟนเราหรือเพื่อนเรา มันก็เสี่ยงมากที่เรากับเขาอาจปิดบังความจริงบางอย่างซึ่งมีผลต่อความสัมพันธ์ การเผชิญสถานการณ์ปัญหาในอนาคต ที่เกินจะคาดเดา และอาจทำให้ผิดหวังได้ แต่ในกรณีของเงินที่นำไปลงทุนแล้ว ผลลัพธ์มันไม่ใช่เรื่องของความผิดหวังแต่จะเป็นหายนะ หรือเจ๊งหมดตัวได้ ก่อนที่จะกล่าวถึงสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้วต้องมาพิจารณาถึงสิ่งที่คุณควรจะรู้เสียก่อน ว่ามีอะไรบ้าง ในกรณีของนักลงทุนที่จะเข้าไปลงทุนในหุ้น คุณควรรู้อะไรบ้างที่เป็นหลักพื้นฐานเบื้องต้นเสียก่อน ได้แก่ ความรู้พื้นฐานด้านเศรษฐศาสตร์ เช่น วิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค จุลภาค นโยบายการเงิน การคลัง เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย ค่าเงินสกุลหลักๆ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เป็นต้น ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับตัวบริษัทหรือตัวอุตสาหกรรมโดยรวมของธุรกิจที่ลงทุน อาจใช้หลักวิเคราะห์ swot , แผนผัง BCG, five force model , ความรู้พื้นฐานด้านการเงินและบัญชี ความรู้ด้านอัตราส่วนทางการเงินของธุรกิจ เช่น P/E , P/B , ROA , ROE , งบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด ,ความรู้เกี่ยวกับศัพท์ในแวดวงตลาดเงินตลาดทุน และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ , ความรู้เกี่ยวกับทฤษฏีวิเคราะห์ทางเทคนิคต่างๆ เช่น ทฤษฎีดาว, เส้นเทรนด์ไลน์ , กราฟแท่งเทียน , อินดิเคเตอร์ต่างๆ การดูแนวรับ-แนวต้าน การดูวอลุ่มและราคา , ความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาการลงทุน ทั้งหมดนี้เป็นแค่เบื้องต้นเท่านั้น ที่เป็นพื้นฐานในการนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้น ยังมีเรื่องของการวิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ เช่น การเมือง ตลาดหุ้นต่างประเทศ สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ภัยธรรมชาติ ก่อการร้าย พฤติกรรมผู้บริโภคในด้านต่างๆ ฯลฯ


คีย์เวิร์ดที่สำคัญของหนังสือ One Up on Wall Street ก็คือ ปิเตอร์ ลินซ์ เป็นอดีตนักวิเคราะห์และวานิชธนากรหนุ่มดาวรุ่งก่อนจะผันตัวเองมาเป็นผู้บริหารกองทุนใหญ่ชื่อ แม็คเจลสัน และเป็น 1 ในเซียนหุ้นไม่กี่คนในโลกที่ได้รับการยอมรับว่าเก่ง บอกว่าหุ้นมี 6 ประเภท คือหุ้นโตช้า หุ้นแข็งแกร่ง หุ้นวัฏจักร หุ้นโตเร็ว หุ้นทรัพย์สินมาก และหุ้นเทิร์นอราวด์ (ฟื้นคืนชีพ) ลินซ์ บอกว่าเขาจะมองหากิจการหรือธุรกิจที่เขาสนใจก่อนโดยวิเคราะห์ธุรกิจ อุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์ คู่แข่ง สินทรัพย์ ศักยภาพการทำกำไร เจ้าของหรือผู้บริหาร โอกาสทางธุรกิจในอนาคต จากนั้นจะนำเอาธุรกิจหรือกิจการนั้นมาจัดหมวดหมู่ ให้อยู่ตามประเภทที่เขาจัดไว้ จากนั้นจึงเลือกลงทุนในกลุ่มที่เขาสนใจ เขาบอกว่ากองทุนแม็คเจลสัน ของเขาใช่ว่าจะประสบความสำเร็จในการลงทุนเสมอไป บางครั้งเขาก็เคยลงทุนผิดพลาด เลือกหุ้นผิด จริงๆ แล้วอาชีพเขาบางครั้งก็เปรียบเหมือนแมวมองของวงการบันเทิง คือต้องมีสายตาที่แหลมคม เขาจะหลีกเลี่ยงหุ้นที่นักวิเคราะห์หรือกองทุนใหญ่ๆให้ความสนใจลงทุน เพราะถ้าเมื่อไหร่หุ้นตัวไหนถูกนักวิเคราะห์หรือกองทุนใหญ่ๆ เข้ามาสนใจหรือมอนิเตอร์เสียแล้ว หุ้นตัวนั้นมูลค่าของมันจะแพงเกินความเป็นจริง ซึ่งเขาจะไม่สนใจ เขาจะมองหาธุรกิจที่ยังไม่มีใครเห็นหรือสนใจ แต่เขาค้นพบว่ามันมีมูลค่ามากกว่าราคาพื้นฐานในขณะนั้น และอนาคตสามารถทำกำไรได้ และเขาเห็นว่าหุ้นที่จะเป็นหุ้นสมบูรณ์แบบและเป็นหุ้น 10 เด้ง ได้มักเป็นหุ้นที่มีชื่อธรรมดา ๆ เป็นธุรกิจพื้นฐานธรรมดา ๆ ทำในสิ่งน่าเบื่อ ๆ ซ้ำๆ ซากๆ แต่โตไปเรื่อยๆ เฉื่อยๆ และจนถึงจุดนึง เมื่อนักวิเคราะห์หรือกองทุนสถาบันมาเห็น ราคามันก็จะปรับขึ้นไปหลายๆ เด้ง

หุ้นที่ลินซ์ลงทุนแล้วประสบความสำเร็จและเขาชอบมาก จะอยู่ในกลุ่มของหุ้นแข็งแกร่ง หุ้นทรัพย์สินมาก และหุ้นฟื้นคืนชีพ

เพราะมันทำเงินให้เขามากมาย วิธีวิเคราะห์หุ้นของลินซ์อย่างง่ายๆก็คือ เขาจะดูที่ความสามารถในการทำกำไร ดูราคาต่อกำไร หรือ P/E ถ้าสูงไปเขาอาจไม่ลงทุน หรือรอเวลาให้มันปรับตัวลงมาก่อน แต่หุ้นที่เขาจะหลีกเลี่ยงไม่ลงทุนก็คือหุ้นที่มักมีข่าวลือในด้านบวกมากๆ มีสตอรี่ดีๆ แบบเหลือเชื่อ และเป็นหุ้นที่ทำกิจการงานแบบสลับซับซ้อน เต็มไปด้วยเทคโนโลยี เพราะมันจะมาเร็ว เคลมเร็ว และก็ไปเร็ว แบบชนิดไม่ทันตั้งตัวหรือแก้ไขข้อผิดพลาดใดๆ ได้ทัน

สิ่งที่เราจะได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ก็คือ คุณก็จะรู้วิธีใช้สิ่งที่คุณรู้ ทำเงินในตลาดหุ้นหน่ะสิ ตามชื่อคำโปรยหนังสือเลย ตามนั้น ขอคอนเฟิร์ม ฟันทิ้งแถมให้อีก ถ้าคุณผู้อ่านเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือยังมีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนน้อยขอแนะนำให้อ่านหนังสือเล่มนี้ เป็น 1 ในหนังสือการลงทุนที่นักลงทุนทุกคนควรผ่านตา และยังมีอีกหลายเล่มของสำนักพิมพ์ฟิเดลลิตี้ รายละเอียดข้างล่างนี้

เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่  http://www.fp.co.th/

วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

รำลึกดาวรุ่งผู้ล่วงลับ ดาวดับที่ลับร่วง 1


ในทุกๆ ปี วงการบันเทิงทั้งของไทยและเทศ (มายาฮอลลีวู้ด) จะมีดาวดวงใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ เพื่อมาประดับวงการทั้งวงการเพลง วงการภาพยนตร์ วงการละคร,ซีรี่ย์  หรือวงการศิลปะ กีฬา แฟชั่น อะไรก็ตามที่เป็นโลกมายา อย่างไม่รู้จบสิ้น แต่เมื่อมีดาวเกิดใหม่ ก็จะมีดาวดับหรือดาวร่วงที่ตกจากฟากฟ้าเกิดขึ้นอยู่เช่นกัน เปรียบเสมือนสัจจธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นไตรลักษณ์ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เป็นวังวนแห่งกฎธรรมชาติที่ไม่มีใครจะสามารถฝืนกฎข้อนั้นไปได้





 วงการบันเทิงต่างประเทศ


เจมส์ ดีน

เอลวิส เพรสลี่ย์

บรู๊ซลี และ แบรนดัน ลี

ริเวอร์ ฟินิกซ์

ฮีธ เลดเจอร์

เติ้ง ลี่จวิน

เลสลี่ จาง

ไมเคิล แจ็คสัน

วงการบันเทิงของไทย

มิตร ชัยบัญชา

สุรพล สมบัติเจริญ

จตุพล ภูอภิรมย์

อธิป ทองจินดา

จอห์น ดีแลน

ธรรพ์ โทณะวณิก

พุ่มพวง ดวงจันทร์

ยอดรัก สลักใจ





เธอเกิดมา เพื่อเป็นผู้สร้าง ความสุข ให้กับมวลขน


เธอเกิดมา เพื่อเป็นศิลปินโดยแท้ เป็นดาวประดับบนท้องฟ้า

เป็นแสงสว่าง กลางใจ มวลมหาประชาชน และของฉัน








เธอได้สร้าง แรงศรัทธา ความฝัน แรงบันดาลใจ ให้กับใครอีกหลายคน

และแล้ว เธอก็มาจาก โลกนี้ไป จากกันไปตลอดชาติ

อยากจะบอกว่า เราคงจะไม่ลาขาดกันตลอดไปหรอก

เพราะเธอได้มาอยู่ในใจฉันแล้ว อย่างไม่มีวันลืม................


 
กระแสข่าวเกี่ยวกับดาราดาวดับ ที่ลงใน นสพ.บางกอกทูเดย์ 
 
เกิดกระแส “ดาวดับ” ขึ้นในวงการบันเทิงอีกแล้ว เพราะเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมีผู้ใหญ่ในแวดวงบันเทิงต่างทะยอยเสียชีวิตลงด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ว่าจะเป็น หม่อมเจ้าทิพยฉัตร ฉัตรชัย,รุจน์ รณภพ, บัณฑิต ฤทธิ์ถกล และ ครูพยงค์ มุกดาล่าสุดทำเอาคนในวงการเดียวกัน ตลอดจนผู้คนทั่วไปตกใจกับข่าวคนบันเทิงรุ่นใหม่จบชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกันนั่นคือ ดีเจเนส-ธนดล นิลนพรัตน์ เสียชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือด และเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีขึ้นสมอง กับ อดีตนักร้อง หมอแจ๊ค-น.พ.พรเดชา สุขารมณ์ ที่มีข่าวว่าพลัดตกจากคอนโดมิเนียมของตัวเอง ย่านซอยศูนย์วิจัยด้วยกรณีดังกล่าวทำให้หวนนึกไปยัง 2 ดาวดับไปก่อนหน้านี้ที่มีสาเหตุการจบชีวิตใกล้เคียงกัน โดยจะขอเปรียบเทียบกันเป็นคู่ ๆ ระหว่าง ธรรม์ โทณะวณิก กับ แจ๊ค สุขารมณ์ และ ดีเจโจ้-อัครพล ธนะวิทวิลาศ กับ ดีเจเนส-ธนดล นิลนพรัตน์“ธรรม์ โทณะวณิก” พระเอกวัยรุ่นที่กำลังมาแรง ใครๆ ก็รู้จัก มีผลงานทั้ง ภาพยนตร์ ละคร ถ่ายแฟชั่นนิตยสารวัยรุ่นชั้นนำ และเดินแบบ ทำให้เห็นถึงอนาคตในวงการบันเทิงสดใสอย่างแน่นอน เขาประเดิมผลงานที่ใครๆ บอกว่าเป็นเหมือนลาง ซึ่งละครเรื่องแรก ชื่อ ถนนสายสุดท้าย (ปี 2537) ส่วนภาพยนตร์เรื่องแรกคือ กระโปรงบานขาสั้น (ปี 2536) โดยมีการตีความว่า สาเหตุการเสียชีวิต ในขณะนั้นอายุ 21 ปี คือ การกระโดดอพาร์ตเมนท์ที่เขาพักลงมาเสียชีวิต การกระโดดลงมาก็คล้ายกระโดดร่มที่บานเหมือนกระโปรง ส่วนขาสั้นมาจากพอตกลงมาขากระแทกพื้นก็ทำให้สั้นลง (ช่างคิดจัง) ธรรม์มีคุณพ่อเป็นหมอชื่อ น.พ.วรุณ โทณะวณิก คุณแม่เป็นนักเขียนชื่อดัง อิราวดี นนนท์ เจ้าของนามปากกา “น้ำอบ” ซึ่งก่อนเสียชีวิตธรรม์ก็ได้แสดงละครที่นำมาจากบทประพันธ์ของคุณแม่คือเรื่อง คือหัตถาครองพิภพ โดยตัวละครก็คือตัวของธรรม์เอง แต่ถ่ายทำได้เพียง 2-3 ฉาก เสียชีวิตก่อนจึงได้นำ อั๊ต-อัษฎา พานิชกุล มารับบทนี้แทนธรรม์เสียชีวิตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2538 เวลา 23.00 น. ซึ่งไม่ทราบสาเหตุของการกระโดดตึก แต่มีการสันนิษฐานว่า อาจจะพลัดตกจากที่พัก ด้วยการเมายา หรือไม่ก็อกหักทางด้าน แจ๊ค สุขารมณ์ หรือ น.พ.พรเดชา สุขารมณ์ มีคุณพ่อเป็นหมอเช่นกันคือ น.ท.นายแพทย์เดชา สุขารมณ์ เจ้าของโรงพยาบาลเดชา โดยก่อนเสียชีวิต แจ๊ครับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแห่งนี้ แจ๊คเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการเป็นศิลปินออกอัลบั้มเพลงหลายชุด อาทิ Soul Seaching ส่วนเพลงฮิตติดหู อาทิ ไม่มีแล้ว ซึ่งก็มีคนตั้งข้อสังเกตว่า เพลงฮิตชื่อเป็นเหมือนลางคือ ไม่มีแล้ว (คนชื่อแจ๊ค) แจ๊คเคยให้สัมภาษณ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ว่า ขณะนี้ทำงาน 2 อย่างควบคู่กันไปทั้งงานเพลงและงานแพทย์ ซึ่งงานเพลงยังไม่ได้ทิ้ง จริงๆ แล้วไม่ห่างไปไหน ยังมีงานเพลงประกอบโฆษณา ร้องและแต่งเพลงประกอบละคร แต่คนจะไม่ค่อยรู้ว่าเป็นคนร้องหรือคนแต่ง ทั้งนี้ในการทำงาน 2 อย่างพร้อมกันนั้น โดยในด้านการวางแผนจะคล้ายๆ กัน ส่วนที่ต่างกันตรงที่ว่า งานเพลงเราประสานงานกับคนน้อยมาก การทำงานเราจะอยู่กับตัวเองมากกว่า ทำเพลงไปตามใจชอบของตัวเอง แต่งานบริหารเราจะต้องประสานกับทุกฝ่าย หลายๆ คน ถ้าไม่รับผิดชอบก็เหมือนเราเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ในเรื่องของการปรับตัว “ผมไม่ต้องปรับอะไรมากเพราะด้วยอาชีพจริงๆ ของผมนั่นเป็นหมอที่รักษาคนไข้อยู่แล้ว ส่วนเพลงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมเหมือนกัน ทุกวันนี้ผมยังแต่งเพลงอยู่ จะมีสตูดิโอเล็ก มีเปียโนอยู่ที่คอนโดมิเนียม และที่ทำงานช่วงว่างจากการอยู่เวรผมก็จะไปนั่งเล่นถือเป็นการคลายเครียดได้ ในรถของผมก็ยังมีคอมพ์มีคีย์บอร์ดเล็กๆ ติดรถ ตอนนี้ก็มีเพลงที่แต่งไว้หลายเพลง คิดว่าถ้าสบโอกาสเมื่อไหร่คงได้ออกอัลบั้มเพลงในสไตล์เพลงแนวอาร์แอนด์บีให้ได้ฟังกัน และถ้าเพลงเหล่านั้นแฟนเพลงให้การต้อนรับ นั่นคงจะเป็นโบนัสของชีวิต”ทั้งนี้ แจ๊ค สุขารมณ์ เคยต้องคดีในข้อหาทำร้ายร่างกายเลขานุการสาวบาดเจ็บ สำหรับกรณีที่เขาเสียชีวิตเมื่อค่ำวันที่ 8 พฤษภาคม 2553 นั้น ยังอยู่ในข้อสันนิษฐานว่า ตกจากคอนโดมิเนียม ย่านซอยศูนย์วิจัย หรือสะพานลอยบริเวณโรงพยาบาลกรุงเทพ รวมทั้งสาเหตุการตายมาจากอุบัติเหตุหรือการฆ่าตัวตายกันแน่ ซึ่งคล้ายข้อสงสัยกรณีธรรม์เสียชีวิต แล้ววันและเดือนเสียชีวิตก็ไม่ห่างกันมากนัก โดยในขณะนั้นทั้งทางโรงพยาบาลศิริราชและทั้งครอบครัวได้ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียด สำหรับสภาพศพนั้นคือ กะโหลกแตกและสันหลังหัก ส่วนศพนำบำเพ็ญกุศล ณ วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร

กรณีของ 2 ดีเจคลื่นดัง ระหว่าง ดีเจโจ้-อัครพล ธนะวิทวิลาศ กับ ดีเจเนส-ธนดล นิลนพรัตน์ ซึ่งเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ด้วยโรคร้ายกำเริบ สำหรับดีเจโจ้ เกิดเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2514 เป็นดีเจคลื่นเอไทม์มีเดีย Hot Wave 91.5 FM และ EFM 94 FM และเป็นพิธีกรทีวีหลายรายการ อาทิ เกมวัดดวง คู่กับ ไก่-สมพล ปิยะพงศ์สิริ มีเอกลักษณ์ที่อารมณ์ดี เรียกเสียงหัวเราะได้ตลอด เหตุเกิดจากเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2549 ดีเจชื่อดังถูกตรวจพบก้อนเนื้อร้ายหรือมะเร็งบริเวณตับ หลังจากที่วางแผนเที่ยวปีใหม่ แต่รู้สึกเจ็บท้องจึงเข้าไปตรวจเช็คร่างกายที่โรงพยาบาลกรุงเทพ และแพทย์ตรวจพบก้อนเนื้อในตับว่าเป็น
ก้อนเนื้อร้าย โดยดีเจชื่อดังกล่าวถึงอาการของเขาในวันแถลงข่าว“รู้สึกดีมากๆ รู้สึกสดชื่นตลอดเวลา ส่วนการรักษาตัวนั้น แพทย์จะเป็นคนดูแล แต่ส่วนตัวแล้ว ทั้งร่างกายและจิตใจเข้มแข็งมาก และไม่ได้รู้สึกว่าเกิดเรื่องร้ายกับชีวิต รู้สึกเสมอว่าข้างหน้ายังมีทางออก เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องหาทางออกให้ได้ และยอมรับว่าไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร” ดีเจเป้-วิศวะ กิจตันขจร เพื่อนสนิท กล่าวว่า รู้จักกันตั้งแต่ตอนที่ดีเจโจ้เข้ามาทำงานที่บริษัท เอไทม์ โดยการแนะนำของโปรดิวเซอร์ ซึ่งเขาก็มองว่าคนคนนี้น่าจะตลกดี และจากนั้นเวลามีคอนเสิร์ตก็มักจะได้เป็นพิธีกรคู่กันตลอด เพราะยิงมุกรับกันได้ด้วยดี ตัวตนจริงๆ ของโจ้จะเป็นคนที่ซีเรียสตลอดเวลา ที่เป็นเวลาทำงาน จะไม่ใช่คนที่ตลกตลอดเวลา แต่จะคิดตลอดว่าจะทำอย่างไรให้งานออกมาดีที่สุด “โจ้เป็นคนที่เครียดกับงานตลอด ชีวิตอยู่กับงาน ซึ่งในช่วงหลังงานของแต่ละคนจะเยอะมากทำให้ผมกับโจ้ไม่ค่อยได้เจอกัน วิถีชีวิตจะแยกออกจากกัน ตอนที่รู้ว่าโจ้ป่วยยังส่งเอสเอ็มเอสไปให้กำลังใจเลย มีโอกาสเจอกันครั้งหนึ่งโจ้ยังมีกำลังใจที่ดีมากๆ มีคนดูแลที่ดี ยังพูดเลยว่า สู้อยู่”ก่อนที่จะเสียชีวิต ดีเจโจ้มีรายการที่รับผิดชอบทั้งสิ้น 4 รายการ คือรายการ "ไฟวไลฟ์" ซึ่งแกรมมี่ต้องหาคนมาทำหน้าที่แทน รายการ "คอซองเกม" ก็เปลี่ยนรูปแบบรายการ จึงยกเลิกได้ รายการ "อันซีนทีวี" ก็หมดสัญญา เจ้าตัวจึงเหลือเพียงรายการ "เกมวัดดวง" ซึ่งเป็นรายการที่ถ่ายทำนอกสถานที่ แต่ดีเจเป็นพิธีกรเปิดนำเข้า บันทึกเทปที่สตูดิโอเท่านั้น ถือว่าเป็นงานที่ไม่หนักมาก จึงอนุญาตให้ทำต่อได้ ส่วนรายการวิทยุ ก็ยุติการจัด นอกจากนี้หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ดีเจเสียชีวิตในอายุ 35 ปี เกิดวันที่ 25 พฤศจิกายน 2514 เมื่อนำเลขปีเกิดสองตัวท้ายรวมกันก็ได้เท่ากับเลข 5 และเสียชีวิตในวันที่ 5 เมษายน เวลา 22.45 น. รวมถึงก่อนหน้านี้ยังจัดรายการวิทยุอยู่ที่คลื่น 91.5 และ 93.5 รายการโทรทัศน์ที่รับหน้าที่พิธีกรก็เป็นรายการที่ออกอากาศอยู่ทางโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 จึงคิดว่า เจ้าตัวน่าจะผูกพันกับเลข 5 มากก่อนที่จะรู้ว่าเกิดโรคร้าย ดีเจโจ้วางแผนไว้ว่าจะแต่งงานภายในปีนี้กับ จุ๊บ-นันทิยา พุทธาโภคาทรัพย์ แฟนสาว โดยเตรียมซื้อเรือนหอไว้เป็นที่เรียบร้อย และเมื่อนายอัครพลทราบว่าป่วยเป็นโรคร้าย แฟนสาวยังคงคอยเป็นกำลังใจเคียงข้าง คอยดูแลจนวาระสุดท้ายของชีวิตเขาเสียชีวิตลงอย่างสงบขณะมีอายุ 35 ปี ด้วยโรคมะเร็งตับกำเริบ เมื่อเวลาประมาณ 22.45 น. วันที่ 5 เมษายน 2549 ณ โรงพยาบาลรามคำแหง โดยมีญาติและเพื่อนสนิทหลายคนเฝ้าดูแลจนกระทั่งหมดลม ศพได้ตั้งบำเพ็ญกุศล ณ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขนทางด้านเพื่อนเคยร่วมอาชีพที่เพิ่งเสียชีวิตลงแบบช็อคผู้คนเช่นกันคือ เนส-ธนดล นิลนพรัตน์ อดีตดีเจหนุ่มชาวชุมพรแห่งคลื่น Hot Wave คลื่นเดียวกับดีเจโจ้ ได้เสียชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือด และเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีขึ้นสมอง เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2553 ณ โรงพยาบาลเลิดสิน ด้วยวัยเพียง 25 ปี วันและเดือนห่างจากดีเจโจ้เสียชีวิตเพียงเดือนเศษๆ ก่อนเสียชีวิตดีเจเนสได้ทำงานเป็นพิธีกรบริษัท ป๊อบไลน์ รายการคลับเอเชี่ยน และ รายการป๊อบ ไซด์ ออฟ ไลฟ์ ทางช่องเคเบิล POP Channel ทั้งนี้เนสได้ขอลาพักงานเพื่อไปรักษาตัวนาน 1 เดือน ตามคำแนะนำของแพทย์ หลังร่างกายผ่ายผอมลง เพราะเบื่ออาหาร และตรวจพบมีความผิดปกติในช่องท้องเกี่ยวกับตับและไต เป็นโรคตับอักเสบ โดยก่อนหน้านี้เขาได้พยายามฝืนร่างกายตัวเองไม่ยอมพัก เนื่องจากเป็นเสาหลักของครอบครัว อีกทั้งยังเพิ่งเปิดร้านเบเกอรี่ให้แม่ จึงอยากทำงานให้เต็มที่เนสเกิดวันที่ 1 กรกฎาคม 2528 สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ อินเตอร์ฯ โดยเคยพากย์เสียงตัวละครใน Game online Talesrunner เป็นตัว นาซิส กระทั่งได้รับการติดต่อจากต้นสังกัดของ Game online Talesrunner ประเทศเกาหลี ขอใช้ชื่อ “เนส” ในตัวละครว่า “เนสสึ ” นอกจากนี้ยังขอเพลง “GO!!” กับ เพลงหัวใจฉันเป็นของเธอ ที่เนสฝากเสียงร้องไว้ ให้เป็นเพลงประกอบเกมออนไลน์ จึงทำให้ความฝันของเนสที่อยากจะเป็นนักร้องเป็นจริง กับอัลบั้มแรกในชีวิตแนวอาร์แอนด์บี แดนซ์ ที่ใช้ชื่ออัลบั้มว่า PLAYทั้งนี้อุบัติเหตุและโรคทั้งหลายมักเกิดขึ้นกับคนทุกคน โดยหลายคนก็รู้ตัว แต่อีกหลายคนก็ไม่รู้ตัว ทว่าสำหรับคนบันเทิงแล้วเหตุสำคัญมาจากการโหมทำงานอย่างหนัก จึงทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ กระทั่งนำไปสู่สาเหตุอันน่าเศร้าใจ

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

เดอะสตาร์ไม่ใช่เรียลลิตี้ แต่เป็นละครซีรี่ย์เรตติ้งสูงสุดของเอ็กซ์แซ็กท์

ถูกแล้วครับ คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ อยากจะบอกว่า เดอะสตาร์ไม่ใช่รายการเรียลลิตี้โชว์ประกวดร้องเพลงธรรมดาๆ แต่แท้ที่จริงแล้วคือละครชีวิตน้ำเน่าเรื่องนึงที่ทำเป็นซี่รี่ย์ต่อๆ กันมา ปีนี้ก็เป็นปีที่ 7 แล้ว ปรากฏว่าเรตติ้งถล่มทลาย ถึงขนาดมีการทำสำรวจวิจัยโดยบริษัทสำรวจเรตติ้งพบว่า เดอะสตาร์ปี 5 รอบชิงแชมป์ เรตติ้งเดอะสตาร์นำหน้าละครไพร์มไทม์ของช่อง 7 และช่อง 3 ขาดลอย และก็ฮิตติดลมบนมาตลอดตั้งแต่นั้นมา มิพักต้องนำไปเปรียบเทียบกับรายการประกวดร้องเพลงรายการอื่นซึ่งเป็นคู่แข่งอย่างไม่เห็นฝุ่น เหตุเพราะว่า บ.เอ็กซ์แซ็กท์เขาวางตำแหน่งทางการตลาดของรายการเขาเป็นละครเรื่องนึง มิใช่รายการเกมส์โชว์ หรือเรียลลิตี้โชว์ ใดๆ อันนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ และตอบคำถามข้อสงสัยต่างๆ ของคนดูทั้งประเทศได้ว่า เฮ้ยทำไมมันถึงได้เป็นรายการเรียลลิตี้โชว์ที่ดราม่ากันสุดๆ เลย ดูชีวิตของผู้เข้าประกวดแต่ละคนแล้ว มันช่างน่าสงสาร น่าเศร้า ชีวิตรันทด บีบน้ำตากันสุดๆ ราวกับดูรายการฝันที่เป็นจริง วงเวียนชีวิต อย่างไรไม่รู้ บอกไม่ถูก ความเป็นจริงก็คือเป็นแผนการตลาดที่ได้ถูกวางมาไว้อย่างแยบยลแล้ว ชนิดเซียนการตลาดเรียกพี่ทีเดียว สำหรับคุณบอย ถกลเกียรติแห่งเอ็กซ์แซ็กท์ คุณบอยได้นำจุดเด่นข้อดี 2 อย่างของละครกับเรียลลิตี้โชว์มาผนวกกัน ข้อดีของละครไทยที่จะดึงดูดผู้ชมไว้ได้ตัวละครเอกต้องน่าสงสาร มีที่มาที่ไป มีแบ็กกราวด์เบื้องหลังที่ชวนติดตาม ตามแบบฉบับปั้นดินให้เป็นดาว คนดูถึงจะติดตามลุ้นในตอนต่อๆ ไป ส่วนข้อดีของเรียลลิตี้โชว์ ซึ่งต้นฉบับมาจากเมืองนอก อย่าง The American Idol หรือ Britain's Got Talent เป็นการเฟ้นหาความสามารถ เสน่ห์ ของผู้เข้าแข่งขัน ผ่านการคอมเม้นท์จากคอมเม้นต์เตเตอร์ประจำรายการในแต่ละสัปดาห์ เพื่อหาพัฒนาการที่ดียิ่งขึ้นของผู้เข้าแข่งขัน (เน้นว่าพัฒนาการนะ เขาไม่ได้ดูว่าคุณร้องเพลงได้ดีเสมอต้นเสมอปลาย สม่ำเสมอจึงจะดี แต่เขาจะหาพัฒนาการที่ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละสัปดาห์ คนไหนมีพัฒนาการดีขึ้นจนถึงจุดพีค จะเป็นผู้ชนะในที่สุด และเสน่ห์ที่น่าสนใจบนเวที) นี่คือที่มาที่ไปว่าทำไมคุณบอยจึงได้วัตถุดิบดีๆ หลายคนมาใช้กับงานละครเวทีของคุณบอยได้ตลอด จากเวทีประกวดเดอะสตาร์ จริงๆ น่าจะเปลี่ยนชื่อรายการใหม่จาก ค้นฟ้าคว้าดาว มาเป็นปั้นดินให้เป็นดาว จึงจะตรงกับคอนเซ็ปต์รายการนะ


วิเคราะห์จุดแข็งของรายการ เดอะสตาร์ ที่เรียลลิตี้อื่นๆ ไม่มี หรือมีไม่เท่า

1.มีความดราม่าสุด ๆ เหมือนดูละคร จะมีการให้ข้อมูลแบ็คกราวด์ ชีวิตส่วนตัว ครอบครัว ของผู้เข้าแข่งขันพอสังเขป เน้นความยากจนของฐานะครอบครัว ภาระครอบครัว จุดมุ่งหมาย ความมุ่งมั่น ความมานะพยายามที่จะผ่านเข้ารอบไปใหได้ เพื่อเปลี่ยนชีวิต กอบกู้สถานะครอบครัว ให้ได้ หากได้กลายไปเป็นเดอะสตาร์ 8 คนสุดท้าย สิ่งเหล่านี้เป็นธีมหลักของรายการเพื่อสร้างจุดร่วมของคนดูให้เอาใจช่วย เหมือนดูละครน้ำเน่าเรืองนึงนั่นแหละ เพียงแต่เปลี่ยนจากตัวละครแห้งๆ ที่เราจับต้องไม่ได้ มาเป็นตัวละคร (ผู้เข้าแข่งขัน) ที่เราจับต้องได้ มีส่วนร่วมชี้ชะตาเขาได้ ผ่านการโหวตให้คะแนน

2.สร้างตัวละครวายร้าย (ตัวอิจฉา) ประจำรายการ ซึ่งนั่นก็คือ คอมเม้นต์เตเตอร์ฝีปากกล้า 3 คน ที่มีคาแรกเตอร์ต่างๆ กัน แต่ปากจัดพอๆ กัน คนนึงคอยอวยผู้เข้าแข่งขัน เปรียบเหมือนตัวประกอบเพื่อนนางเอกหรือพระเอก คนนึงคอยจิกกัดด่า ข่มเหงตัวละคร เปรียบเสมือนตัวอิจฉาของเรื่อง บางครั้งมีแทะโลมตัวละครพระเอก นางเอกด้วย เพื่อเป็นสีสันของละครน้ำเน่าให้ชวนติดตาม หรือคนดูจะได้คอยเอาใจช่วย บางครั้งเหมือนมีการเขียนสคริปต์บท วางบทบาทไว้หมดแล้ว ว่าใครเป็นพระเอก นางเอก สามารถเดาตอนจบได้ด้วย ว่าสุดท้ายแล้วใครจะเป็นผู้ชนะในรายการ ให้ดูที่บทบาทของกรรมการคอมเม้นท์เตเตอร์ทั้ง 3 คนนั่นแหละ ว่าเอาใจช่วยคนไหนเป็นพิเศษหรือไม่

3. การสร้างฐานแฟนคลับ จากมหาชน(นับจำนวนโหวตในรายการ) ซึ่งจะกลายไปเป็นฐานลูกค้าเป้าหมายที่สามารถนำเอาไปคำนวณได้ว่าหากปล่อยซิงเกิ้ลของศิลปินเดอะสตาร์คนใดออกไปจะได้รับการตอบรับมากน้อยเพียงใด ให้ดูที่ฐานแฟนคลับของคนๆ นั้น ซึ่งแน่นอนกว่าการปั้นศิลปินหน้าใหม่ขึ้นมาซัก 1 คน ซึ่งยังไม่สามารถประเมินกระแสตอบรับจากแฟนเพลงได้แน่ชัด ซึ่งเป็นการเสี่ยงในยุคที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมาย และเทปซีดีขายยาก

4. สามารถนำเมล็ดพันธุ์จากเดอะสตาร์ไปต่อยอดได้ ภายหลังจากจบรายการไปแล้ว บางคนมีศักยภาพจะเป็นศิลปินร้องเพลง บางคนเหมาะจะเป็นนักแสดงอย่างเดียว หรือบางคนมีความสามารถถึงขั้นเล่นละครเวที บางคนเป็นได้แค่พิธีกร แล้วแต่ความสามารถ ความถนัด ของแต่ละคน ซึ่งคนใดมีศักยภาพจะได้รับการโปรโมต ซัพพอร์ตงานให้อย่างต่อเนื่องภายใต้ศิลปินในสังกัดเอ็กซ์แซ็กท์ และโปรโมตผ่านสื่อทุกสื่อในเครือจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ ซึ่งเป็นบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่สุดของไทย ซึ่งจะทำให้ได้รับความนิยมแพร่หลายและมากกว่าจากเวทีประกวดอื่นๆ

5. ทีมงานเบื้องหลังทั้งส่วนของค่ายเพลงและค่ายละครนั้นแข็งแกร่งกว่า เป็นมืออาชีพในด้านนั้นๆ เนื่องจากทำเพลงและละครป้อนสื่อชั้นนำอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งเป็นทีมงานชั้นแนวหน้าในวงการ จึงได้เปรียบกว่าศิลปินจากเวทีประกวดอื่นๆ ที่หากไม่ได้สังกัดค่ายเพลงหรือค่ายละครชั้นนำ ย่อมมีผลงานดังสู้ไม่ได้

วิเคราะห์อย่างไรว่าใครจะเป็นผู้ชนะในเวทีเดอะสตาร์

1 รูปร่าง หน้าตา ท่าทาง เสน่ห์ และคาแรกเตอร์ สำคัญลำดับหนึ่ง รองลงไปถึงจะมาเน้นเรื่องของเสียงร้อง ความสามารถในการร้องเพลง เพราะเวทีนี้ไม่ได้เน้นหาผู้ชนะในการประกวดร้องเพลง ถ้าจะเน้นเสียงต้องไป KPN AWARD ซึ่งช่วงหลังๆ ได้เปลี่ยนคอนเซ็ปต์ไปเป็นเรียลลิตี้เหมือนกับเวทีอื่นๆ แล้ว ซึ่งได้ทำให้เอกลักษณ์ จุดแข็งที่ดีด้านเวทีประกวดอันดับ 1 ได้ลดลงไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ซึ่งอยากให้ผู้จัดคงรักษาจุดแข็งของสถาบันเวทีประกวดถ้วยพระราชทานเอาไว้

2.เค้นศํกยภาพทุกด้านออกมา และพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ของผู้แข่งขัน โดยที่ทีมงานครูผู้ฝึกสอนเป็นกูรูในแต่ละด้านคอยให้คำปรึกษาหรือฝึกสอนอยู่แล้ว โดยไม่ได้เน้นเรื่องของการเรียนการสอนมากมายอะไร เพราะเขาเคี่ยวเฉพาะกะทิๆ หัวๆ จริงๆ บอกเคล็ดลับกันไปเลย ไม่มีกั๊ก เพราะรายการนี้ไม่ใช่เรียลลิตี้ เขาไม่ได้เน้นให้คุณผู้ชมคอยตามติดชีวิตผุ้เข้าแข่งขันมากนัก เพราะทักษะในด้านต่างๆ ต้องใช้เวลาในการฝึกฝน และแม้ภายหลังกลายไปเป็นศิลปินแล้วก็ยังต้องศึกษาเรียนรู้อยู่ไม่รู้จบ เพื่อพัฒนาความสามารถให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ใครจะก้าวไปเป็นซุปเปอร์สตาร์ได้ต้องมีจุดนี้ จะขอยกตัวอย่างให้ดูก็ได้ อย่างบี้ สุกฤษฏ์ วิเศษแก้ว เราแทบไม่ได้เห็นทักษะที่ดีอะไรเลยของเขาในช่วงที่เขาอยู่ในรายการ แต่มาฉายแววความสามารถภายหลังจากจบรายการไปแล้ว แต่ที่เราได้เห็นเขาจริงๆ ตลอดช่วงในรายการก็คือ เสน่ห์และพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ของเขา ซึ่งมันฉายแววความเป็นเดอะสตาร์มาต้งแต่ตอนนั้นเอง

ตั้งข้อสังเกตสำหรับเดอะสตาร์ ทั้ง 6 ปี ที่ผ่านมาเพื่อจะวิเคราะห์ว่าใครจะเป็นเดอะสตาร์คนที่ 7 ในปีนี้

ปีที่ 1 สนเป็นแชมป์ จิ๋วเป็นรองแชมป์ ผู้เข้ารอบ 8 คน แบ่งเป็น ชาย 4 คน หญิง 4 คน เท่ากัน

ปีที่ 2 เอ็มเป็นแชมป์ นิกเป็นรองแชมป์ ผู้เข้ารอบ 8 คน แบ่งเป็น ชาย 3 คน หญิง 5 คน

ปีที่ 3 อาร์เป็นแชมป์ บี้เป็นรองแชมป์ ผู้เข้ารอบ 8 คน แบ่งเป็น ชาย 4 คน หญิง 4 คนเท่ากัน (เหมือนปีแรก)

ปีที่ 4 แก้มเป็นแชมป์ รุจเป็นรองแชมป์ ผู้เข้ารอบ 8 คน แบ่งเป็น ชาย 5 คน หญิง 3 คน (กลับกันกับปี 2)

ปีที่ 5 สิงโตเป็นแขมป์ ดิวเป็นรองแชมป์ ผู้เข้ารอบ 8 คน แบ่งเป็น ชาย 4 คน หญิง 4 คน (เหมือนปี 1, 3)

ปีที่ 6 กันเป็นแชมป์ ริทเป็นรองแชมป์ ผู้เข้ารอบ 8 คน แบ่งเป็น ชาย 6 คน หญิง 2 คน (ปีนี้ผู้ชายเด่น,ผู้หญิงน้อย)

ปีที่ 7 ปีล่าสุด มีผู้เข้ารอบ 8 คน แบ่งเป็น ชาย 4 คน หญิง 4 คน (เหมือนปี 1,3,5)

ปีใดที่แชมป์ เป็นคนที่คณะกรรมการทั้ง 3 คนเชียร์และ popular vote (มหาชนเชียร์) ตรงกัน ปีนั้น แชมป์เดอะสตาร์ถือว่าเป็นเอกฉันท์ ภายหลังมาเป็นเศิลปินมีผลงานเพลง จะได้รับผลตอบรับจากแฟนเพลงท่วมท้น และผลงานจะเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง

หากปีใดที่แชมป์ เป็นคนที่คณะกรรมการทั้ง 3 คนเชียร์ แต่ popular vote(มหาชนเชียร์) ไปเชียร์อีกคนนึง ปีนั้นแชมป์เดอะสตาร์ไม่เป็นเอกฉันท์ ภายหลังมาเป็นศิลปินมีผลงานเพลง จะได้รับผลตอบรับจากแฟนเพลงสู้คนที่ได้รองแชมป์ไม่ได้ และคนที่ได้รองแชมป์จะดังกว่า อีกทั้งผลงานเป็นที่นิยมมากกว่า

ตัวอย่างของปีที่แชมป์ เป็นคนที่ทั้งคณะกรรมการ 3 คนเชียร์ และตรงกับมหาชนเชียร์ ได้แก่ ปี 2,4,6 ก็คือ เอ็ม,แก้ม,และกัน เดอะสตาร์ ทั้ง 3 แชมป์นี้ มีผลงานอย่างต่อเนื่องและเป็นนักร้องคุณภาพที่คนทั้งประเทศให้การยอมรับและมีผลงานคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เรียกว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงในวงการต่อไปได้

ส่วนตัวอย่างของปีที่แชมป์ เป็นคนที่คณะกรรมการ 3 คนเชียร์ แต่ไม่ตรงกับมหาชนเชียร์ ได้แก่ ปี 1,3,5 นั่นก็คือ สน, อาร์ และน้องสิงโต เดอะสตาร์ จะเห็นว่าพอภายหลังมาเป็นศิลปินมีผลงานซิงเกิ้ลแล้วสู้รองแชมป์ของพวกเขาไม่ได้ ได้แก่ จิ๋ว-นิว, บี้ และดิว ไม่บอกว่าใครผิดถูก แต่ทัศนะของคณะกรรมการเมื่อไม่ตรงกับมหาชน ทำให้ผู้นั้นได้เป็นแชมป์ก็จริงแต่เมื่อมามีผลงานออกมาแล้ว การตอบรับย่อมสู้คนที่เป็นขวัญใจมหาชนไม่ได้ และไม่เกี่ยวกับความสามารถเพราะอาจสูสี แต่เกี่ยวกับเสน่ห์เมื่อตอนอยู่ในรายการ กับเสน่ห์ภายหลังจากจบออกจากรายการ มันเปลี๋ยนไป รองแชมป์ฉายแววขึ้นมา และพัฒนาการทางการร้องเขาดีกว่า และก็เหมือนหวยล็อคจริงๆ เลยเกี่ยวกับตัวเลขกับเวทีนี้ที่มันสามารถจับมาสัมพันธ์กันได้ เช่น ผู้เข้ารอบ 8 คน ชาย 4 หญิง 4 ดันตรงกัน ในปี 1,3,5 และก็ปีนี้ปี 7 ด้วย ซึ่งเป็นเลขคี่ทั้งหมด และเป็นปีที่แชมป์ เป็นคนที่คณะกรรมการกับมหาชนเชียร์ ไม่ตรงกันด้วย

ดังนั้น ถ้าจะใช้สมมติฐานดังกล่าวข้างต้นวิเคราะห์หรือสรุปแล้วหล่ะก็ แชมป์ของปี 7 นี้ อาจจะเป็นแชมป์ที่คณะกรรมการอาจเชียร์ แต่จะไม่ตรงกับที่มหาชนเชียร์ก็เป็นได้ นั่นแสดงว่าคนที่เป็นรองแชมป์ปีนี้จะดังกว่าแชมป์และมีผลงานเพลงเป็นที่ยอมรับมากกว่า ซึ่งจะเป็นใครกันนั้น (รายชื่อ 8 คนสุดท้าย อยู่แนบท้ายด้านล่างบทความ) อันนี้เป็นการเดาแบบมีตรรกะรองรับแล้ว ซึ่งผลอาจจะไม่เป็นไปตามนี้ก็ได้ แต่การติดตามละครเรื่องเดอะสตาร์ 7 นี้ มันดูง่าย ไม่ซับซ้อน เหมือนดูละครตบจูบทั่วไปนั่นแหละ คุณสามารถเดาตอนจบได้อย่างง่ายๆ ก็คือถ้าคณะกรรมการทั้ง 3 คน เอาใจช่วยคนไหนเป็นพิเศษหล่ะก็คนนั้นแหละมีแววเป็นแชมป์สูง แต่จะจบแบบแฮ็ปปี้เอ็นดิ้ง เหมือนแชมป์ปี 2,4,6 หรือไม่ ต้องคอยติดตามกันต่อไปจนจบ

หมายเลข 1 ตูมตาม
นายยุธนา เปื้องกลาง (ตูมตาม) Mr.Yuttana Puangklang
(ToomTam)
วันเดือนปีเกิด 16 พฤศจิกายน 2534
อายุ 19 ปี
ส่วนสูง 177 เซนติเมตร
น้ำหนัก 67 กิโลกรัม
การศึกษา จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 โรงเรียนห้วยน้ำหอมวิทยาคาร
กำลังศึกษาที่ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต คณะนิเทศศาสตร์ การประชาสัมพันธ์
ที่อยู่ (ปัจจุบัน) นครสวรรค์
นักแสดงที่ชื่นชอบ พี่เคน ธีรเดช
The Star คนโปรด พี่โตโน่ The Star
เพลงของ The Star ที่ชอบ ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว ของพี่ดิว The Star 5



หมายเลข 2 จูเนียร์

นายกรวิชญ์ สูงกิจบูลย์ (จูเนียร์) Mr. Kornrawich Sungkitbook
(Junior)
วันเดือนปีเกิด 13 มิถุนายน 2534
อายุ 19 ปี
ส่วนสูง 170 เซนติเมตร
น้ำหนัก 56 กิโลกรัม
การศึกษา ปริญญาตรี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สาขามัลติมีเดีย
ที่อยู่ (ปัจจุบัน) เชียงราย
นักแสดงที่ชื่นชอบ พี่เคน ธีรเดช / แพนเค้ก
The Star คนโปรด พี่ริท The Star
เพลงของ The Star ที่ชอบ เพื่อดาวดวงนั้น


หมายเลข 3 กวาง
นางสาว กรวรรณ สุทธิวงษ์ (กวาง) Gorawon Suttiwon (Kwang)
วันเดือนปีเกิด 1 สิงหาคม 2531
อายุ 22 ปี
ส่วนสูง 160 เซนติเมตร
น้ำหนัก 42 กิโลกรัม
การศึกษา มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ คณะบริหารธุรกิจ สาขา การจัดการ ปี 4
ที่อยู่ (ปัจจุบัน) สมุทรปราการ
นักแสดงที่ชื่นชอบ พี่กบ สุวนันท์
The Star คนโปรด พี่จิ๋ว พี่นิว น้องแก้ม พี่ดิว The Star
เพลงของ The Star ที่ชอบ อดใจรอ, รักคือการให้, ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว


หมายเลข 4 ซิลวี่
นางสาว ภาวิดา มอริจจิ (ซิลวี่) Pavida Moriggi (Silvy)
วันเดือนปีเกิด 3 ตุลาคม 2538
อายุ 15 ปี
ส่วนสูง 167 เซนติเมตร
น้ำหนัก 70 กิโลกรัม
การศึกษา มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนขจรเกียรติศึกษา
ที่อยู่ (ปัจจุบัน) ภูเก็ต
นักแสดงที่ชื่นชอบ แน็ค ชาลี ไตรรัตน์ ดีเจเดย์ (ชอบมากกกกกก!><)
The Star คนโปรด พี่แก้ม The Star
เพลงของ The Star ที่ชอบ Hug ของพี่บี้ The Star / It’s Alright ของบี้เดอะสตาร์
นักร้องที่ชื่นชอบ Lady Gaga, ดา เอ็นโดฟิน, Travis Mccoy


หมายเลข 5 แอมป์
นายสิริพงศ์ ชูศักดิ์สกุลวิบูล (แอมป์) Mr.Siripong Chusaksakulwiboon (Amp)
วันเดือนปีเกิด 2 พฤศจิกายน 2532
อายุ 21 ปี
น้ำหนัก 178 เซนติเมตร
น้ำหนัก 60 กิโลกรัม
การศึกษา ชั้นปีที่ 3 คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่อยู่ (ปัจจุบัน) กทม.
นักแสดงที่ชื่นชอบ ตุ๊กกี้
The Star คนโปรด นิว จิ๋ว The Star 1
นักร้องที่ชื่นชอบ อ๊อฟ ปองศักดิ์


หมายเลข 6 นท
นางสาว นท พยายางกูร (นท) Note Panayanggool (Note)
วันเดือนปีเกิด 22 กุมภาพันธ์ 2536
อายุ 17 ปี
ส่วนสูง 160 เซนติเมตร
น้ำหนัก 46 กิโลกรัม
การศึกษา โรงเรียนนานาชาติเกรซ เชียงใหม่
ที่อยู่ (ปัจจุบัน) เชียงใหม่
นักแสดงที่ชื่นชอบ เต้ย จริณพร, เจ มณฑล, โน้ต อุดม, เต๋อ, จิ๊บบี้-ตะวัน
เพลงของ The Star ที่ชอบ พี่เมย์ The Star4 , พี่โตโน่ The Star6
นักร้องที่ชื่นชอบ ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว ดิว The Star5 ชอบความหมา

หมายเลข 7 แอปเปิ้ล
นางสาว อิษฎ์อาณิก อินทรสูต (แอปเปิ้ล) Aitanik Intarasut (Apple)
วันเดือนปีเกิด 1 กันยายน 2537
อายุ 16 ปี
ส่วนสูง 171 เซนติเมตร
น้ำหนัก 45 กิโลกรัม
การศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม
ที่อยู่ (ปัจจุบัน) กำแพงเพชร
นักแสดงที่ชื่นชอบ พี่เชียร์ ทิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์
The Star คนโปรด พี่แกรนด์, พี่สิงโต The Star
เพลงของ The Star ที่ชอบ หมดเวลาแก้ตัว, เสียงของคนเจ็บ
นักร้องที่ชื่นชอบ พี่ดา เอนโดฟิน, Wonder Girls (Kim Yu Bin)


หมายเลข 8 เนส
นาย ยุทธนา กานิล (เนส) Mr. Yuttana Kanil (Nes)
วันเดือนปีเกิด 31 พฤษภาคม 2531
อายุ 22 ปี
ส่วนสูง 180 เซนติเมตร
น้ำหนัก 67 กิโลกรัม
การศึกษา โรงเรียนพาณิชยการลานนาเชียงใหม่
จบระดับชั้น ปวส.2 สาขา การจัดการธุรกิจท่องเที่ยว
ที่อยุ่(ปัจจุบัน) เชียงใหม่
นักแสดงที่ชื่นชอบ พี่สน ยุกต์
The Star พี่บี้ The Star
เพลงของ The Star ที่ชอบ เพลงรัก
นักร้องที่ชื่นชอบ บอย พีชเมคเกอร์

คำสอนของหลวงตาบัว (พระอริยสงฆ์แห่งยุค)

ประวัติ

พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสัมปันโน) หรือ หลวงตามหาบัว เดิมมีชื่อว่า "บัว โลหิตดี" ท่านเกิดวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2456 ณ ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ท่านมีพี่น้องทั้งหมด 16 คน ในวัยเด็กท่านเป็นคนที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา โดยได้ทำบุญตักบาตรกับผู้ใหญ่อยู่เสมอ
เมื่อท่านอายุครบอุปสมบทแล้ว บิดาและมารดาของท่านปรารถนาที่จะให้ท่านบวชด้วยหวังพึ่งใบบุญจากการบวชของท่าน แต่ท่านก็ไม่ตอบรับแต่ประการใด ซึ่งทำให้บิดาและมารดาของท่านถึงกับน้ำตาไหล ด้วยเหตุนี้ทำให้ท่านกลับมาพิจารณาถึงการออกบวชอีกครั้ง ในที่สุดจึงได้ตัดสินใจที่จะออกบวชโดยท่านได้กล่าวกับมารดาว่า "เรื่องการบวชจะบวชให้ แต่ว่าใครจะมาบังคับไม่ให้สึกไม่ได้นะ บวชแล้วจะสึกเมื่อไหร่ก็สึก ใครจะมาบังคับว่าต้องเท่านั้นปีเท่านี้เดือนไม่ได้นะ" ซึ่งมารดาของท่านก็ตกลงตามที่ท่านขอ   ท่านอุปสมบทเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2477 ที่วัดโยธานิมิตร ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี โดยมีพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) จากวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี เป็นพระอุปัชฌาย์ โดยได้ฉายานามว่า "ญาณสมฺปนฺโน" แปลว่า "ถึงพร้อมแล้วด้วยการหยั่งรู้" ท่านมีความเคารพเลื่อมในเรื่องการภาวนาและกรรมฐาน ท่านได้สอบถามวิธีการภาวนาจากพระอุปัชฌาย์ของท่านและได้รับการแนะนำให้ภาวนาว่า "พุทโธ" ท่านจึงปฏิบัติภาวนาและเดินจงกรมเป็นประจำ

ในระหว่างนั้นท่านเริ่มเรียนหนังสือทางธรรมและศึกษาเกี่ยวกับพุทธประวัติ รวมทั้งพุทธสาวก โดยหลังจากที่พุทธสาวกเหล่านั้นได้รับพระโอวาทจากพระพุทธเจ้าแล้วจะเดินทางไปบำเพ็ญในป่าอย่างจริงจังจนสำเร็จอรหันต์ ทำให้ท่านเกิดความเลื่อมใสและมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติเพื่ออรหัตผลให้จงได้ โดยตั้งสัจอธิษฐานว่า เมื่อเรียนจบเปรียญ 3 ประโยคแล้วจะออกปฏิบัติกรรมฐานโดยถ่ายเดียว


อย่างไรก็ตาม ท่านยังมีข้อสงสัยว่า ถ้าท่านดำเนินตามแนวทางปฏิบัติตามพระสาวกเหล่านั้น ท่านจะสามารถบรรลุถึงจุดที่ท่านเหล่านั้นบรรลุหรือไม่ รวมทั้งยังสงสัยว่ามรรคผลนิพพานจะมีอยู่เหมือนครั้งพุทธกาลหรือไม่ ความสงสัยเหล่านี้ทำให้ท่านมีความมุ่งหวังที่จะได้พบกับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซึ่งท่านมีความเชื่อมั่นว่าท่านอาจารย์มั่นจะสามารถไขปัญหานี้ให้ท่านได้

ท่านเดินทางศึกษาพระปริยัติในหลายแห่ง อาทิ วัดสุทธจินดา จังหวัดนครราชสีมา, วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร โดยมีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธัมมธโร)เป็นอาจารย์สอนปริยัติธรรม หลังจากนั้น ท่านได้เดินทางไปเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ ในเวลานั้นพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านได้อาราธนานิมนต์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เพื่อขอให้ไปจำพรรษาที่จังหวัดอุดรธานี พระอาจารย์มั่นรับนิมนต์นี้และได้เดินทางมาพักที่วัดเจดีย์หลวงเป็นการชั่วคราวจึงทำให้ท่านได้พบกับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นครั้งแรก ท่านศึกษาทางปริยัติที่วัดแห่งนี้ จนกระทั่ง ท่านสอบได้นักธรรมเอกและเปรียญ 3 ประโยคในปี พ.ศ. 2484 นับเป็นปีที่ท่านบวชได้ 7 พรรษา

หลังจากสำเร็จการศึกษาทางปริยัติ ท่านเดินทางไปจังหวัดนครราชสีมาเพื่อปฏิบัติกรรมฐานได้ระยะหนึ่ง จึงเดินทางไปจังหวัดสกลนครโดยตั้งใจจะไปถวายตัวเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์มั่น โดยพระอาจารย์มั่นรับท่านเป็นลูกศิษย์และได้พูดขึ้นว่า


...ท่านมาหามรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน? ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ฟ้าอากาศเป็นฟ้าอากาศ แร่ธาตุต่าง ๆ เป็นของเขาเอง เขาไม่ได้เป็นมรรคผลนิพพาน เขาไม่ได้เป็นกิเลส กิเลสจริง ๆ มรรคผลจริง ๆ อยู่ที่ใจ ขอให้ท่านกำหนดจิตจ่อด้วยสติที่หัวใจ ท่านจะเห็นความเคลื่อนไหวของทั้งธรรมของทั้งกิเลสอยู่ภายในใจ แล้วขณะเดียวกัน ท่านจะเห็นมรรคผลนิพพานไปโดยลำดับ...— มั่น ภูริทัตโต

คำกล่าวนี้ทำให้ท่านเชื่อมั่นว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่จริงและเชื่อมั่นในพระอาจารย์มั่นที่พูดไขข้อข้องใจได้ตรงจุดแห่งความสงสัย ท่านรักษาระเบียบวินัยข้อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด หลังจากศึกษาอยู่กับพระอาจารย์มั่นในพรรษาที่ 2 ท่านเริ่มหักโหมความเพียรในการปฏิบัติกรรมฐาน จนกระทั่ง ผิวหนังบริเวณก้นช้ำระบมและแตกในที่สุด จนพระอาจารย์มั่นได้เตือนว่า "กิเลสมันไม่ได้อยู่กับร่างกายนะ มันอยู่กับจิต" ซึ่งท่านก็น้อมรับคำเตือนของพระอาจารย์มั่นทันที

อย่างไรก็ตาม ด้วยจริตนิสัยของท่านในเรื่องการภาวนานั้นถูกกับการอดอาหารเพราะทำให้ธาตุขันธ์เบาสบาย การตั้งสติทำสมาธิภาวนาก็ง่าย และช่วยให้การบำเพ็ญจิตภาวนาเจริญขึ้นได้เร็วกว่าขณะที่ออกฉันตามปกติ ถึงแม้จะมีผู้คัดค้านก็ไม่ทำให้ท่านเปลี่ยนใจได้ ด้วยท่านพิจารณาแล้วว่าพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุอดอาหารเพื่อบำเพ็ญจิตตภาวนาได้ แต่ไม่ใช่เพื่อการโอ้อวดหรืออดเพียงอย่างเดียวโดยไม่ฝึกฝนด้านจิตภาวนาเลยซึ่งไม่เกิดประโยชน์อันใด ดังนั้น ท่านจึงใช้อุบายนี้เพื่อบำเพ็ญจิตตภาวนาเรื่อยมา

ในพรรษาที่ 10 ของท่าน ท่านฝึกสมาธิจนมั่นคงหนักแน่นและสามารถอยู่ในสมาธิได้เท่าไหร่ก็ได้ ท่านมีความสุขอย่างยิ่งจากที่จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ท่านติดอยู่ในขั้นสมาธิอยู่ถึง 5 ปี โดยไม่ก้าวหน้าสู่ขั้นปัญญา จนกระทั่ง พระอาจารย์มั่นจึงให้อุบายเพื่อให้ท่านออกพิจารณาทางด้านปัญญาและเตือนท่านว่า "...สมาธิของพระพุทธเจ้า สมาธิต้องรู้สมาธิ ปัญญาต้องรู้ปัญญา อันนี้มันเอาสมาธิเป็นนิพพานเลย มันบ้าสมาธินี่ สมาธินอนตายอยู่นี่หรือเป็นสัมมาสมาธิ..." ท่านจึงออกจากสมาธิและพิจารณาทางด้านปัญญาต่อไป

ด้วยเหตุที่โยมมารดาของท่านล้มป่วยเป็นอัมพาต ท่านจึงพาโยมมารดาของท่านกลับมารักษาตัวที่บ้านตาดอันเป็นบ้านเกิดของท่าน หลังจากที่โยมมารดาของท่านรักษาตัวหายขาดแล้ว ท่านจึงพิจารณาเห็นว่าโยมมารดาของท่านก็อายุมากแล้ว การจะพาไปอยู่ในถิ่นถุรกันดารเพื่อการปลีกวิเวกห่างจากผู้คนตามนิสัยของท่านก็จะทำให้โยมมารดาท่านลำบาก ประจวบเหมาะกับเวลานั้นชาวบ้านตาดมีความประสงค์อยากให้ท่านตั้งวัดขึ้นที่นั่นเช่นกัน โดยชาวบ้านได้ร่วมกันถวายที่ดินให้เป็นที่ตั้งวัด ดังนั้น วัดป่าบ้านตาดจึงเริ่มก่อตั้งขึ้น ณ หมู่บ้านบ้านตาด ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 ต่อมา กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศตั้งขึ้นเป็นวัดในพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2513 โดยให้ชื่อว่า "วัดเกษรศีลคุณ"

หลวงตามหาบัวมีอาการอาพาธลำไส้อุดตัน และมีปอดติดเชื้อมานานกว่า 6 เดือน คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง และมีการสร้างกุฏิปลอดเชื้อให้แก่หลวงตา แต่อาการอาพาธไม่ดีขึ้น จนเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 02.49 น. ตรวจพบสมองของหลวงตาหยุดทำงานใน ต่อมา ตรวจพบม่านตาขยายไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองที่ฝ่ามือฝ่าเท้า ออกซิเจนในเลือดมีค่าเท่ากับ 0 จากนั้นเวลา 03.53 น. ความดันโลหิตมีค่าเท่ากับ 0 หัวใจหยุดเต้นและหยุดการหายใจ สิริอายุได้ 97 ปี 5 เดือน 18 วัน 77 พรรษา


พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จแทนพระองค์ไปทรงเป็นประธานในพิธีถวายน้ำหลวงสรงศพหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน และทรงวางพวงมาลาหลวง พวงมาลาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พวงมาลาส่วนพระองค์ และพวงมาลาของพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานโกศโถและทรงรับพระพิธีธรรมไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ 7 วัน และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานบำเพ็ญพระราชกุศล 1 วัน โดยโปรดให้พระเทพสารเวที ผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เป็นผู้แทนพระองค์เดินทางมาร่วมประกอบพิธีธรรม จากนั้นจึงเปิดให้พ่อค้า ประชาชน ส่วนราชการต่าง ๆ เป็นเจ้าภาพตลอดไป

ส่วนพินัยกรรมที่ท่านเขียนไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 นั้น สรุปความได้ว่า ให้นำทองคำที่ได้รับบริจาคไปหลอม ส่วนเงินสดที่ได้รับบริจาคให้นำไปซื้อทองคำ แล้วนำมาหลอมรวมและมอบให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อเป็นทุนสำรองเงินตราของฝ่ายบำบัดธนาคารแห่งประเทศไทย และไม่มีเจตนาให้นำไปใช้ในงานอื่น นอกจากใช้เป็นเงินทุนสำรองของประเทศ โดยตั้งพระสุดใจ ทันตมโน รองเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด เป็นผู้จัดการมรดก รวมทั้ง ตั้งคณะกรรมการจัดงานศพและจัดการดูแลทรัพย์สินทั้งปวงอีกจำนวน 9 คน

ด้านสาธารณสุขการสงเคราะห์ด้านสาธารณสุขนั้นเป็นสิ่งที่ท่านเอาใจใส่มาโดยตลอด โดยท่านสอนเสมอว่า "มนุษย์เราไม่ว่าจะยากดีมีจนล้วนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน ดังนั้นท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน ควรช่วยเหลือเกื้อกูลกันเพราะหากมนุษย์ไม่ช่วยสงเคราะห์มนุษย์ด้วยกันแล้วใครจะช่วย เรื่องความเจ็บป่วยนั้น เจ็บไปแค่หนึ่งแต่ครอบครัวก็ป่วยด้วยความห่วงใยอีกเท่าไหร่ ดังนั้น จึงควรเห็นใจกัน"  ท่านมักจะออกเยี่ยมโรงพยาบาลต่าง ๆ เป็นประจำพร้อมนำข้าวสารอาหารแห้ง เครื่องใช้ต่าง ๆ ไปมอบให้โรงพยาบาลอยู่เสมอ โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารท่านก็จะให้ความช่วยเหลือในทุก ๆ ด้านทั้งอาหารการกินและเครื่องมือแพทย์ ส่วนโรงพยาบาลที่อยู่บริเวณอู่ข้าวอู่น้ำท่านจะช่วยเหลือทางด้านเครื่องมือแพทย์ไป ก่อนที่จะสงเคราะห์ด้านปัจจัย ท่านจะพิจารณาถึงความจำเป็นของเครื่องมือ รวมถึงกิริยามารยาของหมอพยาบาลในการปฏิบัติต่อผู้ป่วยว่าเป็นยังไง จะสามารถนำเครื่องมือที่ท่านมอบให้ไปใช้เพื่อประโยชน์แก่ผู้ป่วยได้จริงไหม และเมื่อมีโอกาสอันควร ท่านจะแสดงธรรมเตือนหมอพยาบาลและเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลอยู่เสมอ


ท่านได้ให้การสงเคราะห์ทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการให้ปัจจัยในการซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ รถพยาบาล ที่ดิน สร้างและปรับปรุงตึกของโรงพยาบาล เป็นต้น รวมทั้ง ก่อตั้งกองทุนและมูลนิธิขึ้นหลายแห่งเพื่อช่วยเหลือคนพิการหรือผู้ป่วยที่ไร้ยาก เช่น กองทุนช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยากจนและไร้ที่พึ่ง มูลนิธิรวมเมตตามหาคุณ นอกจากนี้้ ท่านยังให้ความอนุเคราะห์สถานพยาบาลต่าง ๆ มากกว่า 200 แห่ง ไม่เฉพาะในจังหวัดอุดรธานีเท่านั้น แต่ท่านยังสงเคราะห์สถานพยาบาลหลายแห่งในอีกหลายจังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าและลาวด้วย

สงเคราะห์หน่วยงานราชการเนื่องจากท่านได้พิจารณาว่าหน่วยงานราชการต่าง ๆ มีหน้าที่โดยตรงในการช่วยเหลือ บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชน ดังนั้น เมื่อหน่วยงานราชการต่าง ๆ เช่น สถานีตำรวจภูธร สถานีรถไฟจังหวัด ทัณฑสถานหญิง กรมราชทัณฑ์ มาขอความช่วยเหลือ ถ้าท่านพิจารณาเห็นสมควร ท่านก็จะช่วยเหลือเต็มที่ทั้งในด้านอาหารการกิน เครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึง การก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ มากราบท่าน ท่านก็มักแสดงธรรมเพื่อให้ข้อคิดแก่เจ้าหน้าที่เหล่านั้น เช่น อย่ายึดติดลาภยศสรรเสริญ อย่ากินบ้านกินเมือง อย่าเห็นแก่ตัวให้เห็นประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง

โครงการช่วยชาติ โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนโครงการช่วยชาติ โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า โครงการผ้าป่าช่วยชาติ เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2540 เนื่องจากท่านเดินทางไปแจกสิ่งของตามโรงพยาบาลในถิ่นทุรกันดารทำให้ทราบว่าโรงพยาบาลต่าง ๆ มีหนี้สินเป็นอันมากซึ่งเกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เปลี่ยนไป อันเป็นผลมาจากวิกฤติทางการเงินของประเทศ ท่านรู้สึกสลดใจเป็นอันมากจึงดำริที่จะช่วยชาติโดยน้อมนำให้ชาวไทยทั่วประเทศร่วมกันบริจาคทองคำ เงินดอลลาร์ เงินสกุลต่างประเทศ และเงินบาท เพื่อช่วยชาติบ้านเมืองที่กำลังประสบสภาวะเศรษฐกิจและสังคมตกต่ำให้ฟื้นฟูและผ่านพ้นไปด้วยดี โดยเงินทองที่ได้มาจากการบริจาคนี้จะยกให้กับธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อนำเข้าบัญชีฝ่ายออกบัตร (คลังหลวง) ทั้งหมด

โครงการช่วยชาติ โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้รับเงินบริจาคเป็นปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2541 เป็นเงินจำนวน 2,500 ดอลลาร์สหรัฐ และเริ่มดำเนินโครงการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2541 โดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเป็นประธานเปิดโครงการ[20] ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553 ได้มอบเงินเข้าคลังหลวงรวมทั้งสิ้น 15 ครั้ง รวมเป็นทองคำแท่งทั้งสิ้น 967 แท่ง จำนวน 12,079.8 กิโลกรัม หรือ 388,000 ออนซ์ ส่วนเงินตราต่างประเทศประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 15,000 ล้านบาท

สมณศักดิ์พระครูสัญญาบัตร ที่ "พระครูญาณวิสุทธาจารย์" เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2511

พระราชาคณะ ชั้นราช ที่ "พระราชญาณวิสุทธิโสภณ" เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2536

พระราชาคณะ ชั้นธรรม ที่ "พระธรรมวิสุทธิมงคล" เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542