วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

How to...Book,Management wisdom by The Guru






ในรอบ 10-20 ปีมานี้ มีหนังสือที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจและมีอิทธิพลต่อผู้อ่านทั่วโลกไม่กี่เล่ม ซึ่งสามารถสร้างยอดขายอย่างถล่มทลายและถูกกล่าวขวัญกันอย่างมากทั่วโลก ทั้งในสหรัฐอเมริกา และในประเทศไทยก็ซื้อลิขสิทธิ์หนังสือเหล่านั้นมาแปลเป็นไทยซึ่งรายละเอียดเนื้อหาเป็นอย่างไรกันบ้าง ทาง บก.หยิกแกมหยอก ขอนำมาลงไว้เพียงบางเล่ม ดังนี้

7 อุปนิสัยพัฒนาสู่ผู้มีประสิทธิผลสูง หรือ The Seven Habits of Highly Effective People เป็นหนังสือวิชาการ แขนง จิตวิทยา เป็นหนึ่งในหนังสือที่ได้รับการนิยมมากที่สุดในโลก มีการแปลในภาษาต่างๆ แล้วมากกว่า 34 ภาษา จำหน่ายไปแล้วกว่า 15 ล้านเล่มทั่วโลก เป็นหนังสือ ที่ว่าด้วยอุปนิสัยต่างๆ ทั้ง 7 ของมนุษย์ ซึ่งเป็นที่มักใช้ในการอ้างอิงของหมู่นักจัดการ นักวิชาการ นักจิตวิทยา เขียนโดย สตีเฟน อาร์. โคว์วีย์ นักจิตวิทยา
และยังมี อุปนิสัยที่ 8 : จากประสิทธิผลสู่ความยิ่งใหญ่ ที่เขียนต่อจาก 7 อุปนิสัย และ 7 อุปนิสัยให้วัยรุ่นเป็นเลิศ ที่ลูกของเขา ฌอน โคว์วีย์ เขียน
ในประเทศไทย พิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2541 โดยสำนักพิมพ์ se-ed เรียบเรียงโดย สงการณ์ จิตสุทธิภากร และ นิรันดร์เกชาคุปต์ ต่อมา เมื่อหมดลิขสิทธ์ สำนักพิมพ์ DMG ได้ซื้อลิขสิทธ์มาจัดทำใหม่เรียบเรียงโดย นพดล เวชสวัสดิ์
หลักของ 7 อุปนิสัย ที่ สตีเฟน อาร์. โคว์วีย์เขียน 7 ขั้นดังต่อไปนี้
1. ต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นทำก่อน (Be Proactive)
เวลาที่เราต้องการอะไร หรือต้องการจะเริ่มอะไรสักอย่าง จะต้องมีตัวกระตุ้น และตัวกระตุ้นจะทำให้เกิดการตอบสนอง ดังนั้น หากเราเป็นผู้เริ่มก่อน หรือเป็นตัวกระตุ้น การตอบสนองจะตามมา แต่การที่เราจะทำสิ่งใด ก็ควรอยู่ในขอบเขตที่ทุกคน สามารถยอมรับได้
2. เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ (Begin with the End in Mind)
การที่เราจะเริ่มต้น ก่อนอื่นมันมักจะมาจากสิ่งที่เราคิดในใจ หลักของ "เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ" นั้นคือการทำสองครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นในจิตใจ และครั้งที่สอง คือการทำให้สิ่งที่เราคิดเป็นจริง แต่การที่เราจะทุ่มแค่แรงใจอย่างเดียวก็ไม่สามารถเกิดประสิทธิผลได้ มันอยู่กับว่าเราเทความพยายามไปในสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ และต้องมีศูนย์รวมในตนเองและเป็นการที่เราดำเนินชีวิต และตัดสินใจได้จากฐานความชัดเจนในเป้าหมายชีวิตของเรา สามารถปฏิเสธอย่างไม่รุ้สึกผิดหากสิ่งนั้นไม่ตรงเป้าประสงค์หลักของเรา
3. ทำตามลำดับความสำคัญ (Put First Things First.)
อุปนิสัยที่ 3 เป็นเหมือนภาคปฏิบัติของ อุปนิสัยที่ 1 และ 2 ซึ่งมีทั้ง การจัดการบริหารเวลา, รู้จักปฏิเสธ, ตารางเวลา เพื่อให้เราทำสิ่งที่สำคัญมากที่สุดก่อน วิธีง่ายๆ ที่จะลองทำคือ เขียนรายชื่อสิ่งที่เราอยากทำ และ เราควรทำ ทำสัญญาลักษณ์แบ่งมันออกเป็น 3 ระดับ คือ สำคัญมากเร่งด่วน, สำคัญมากแต่ไม่เร่งด่วน, ไม่สำคัญมากแต่เร่งด่วน. และทำตามลำดับ สิ่งที่เป็นปัญหาคือเรามักจะถูกแทรกแซงความสนใจไปกับเรื่องที่เร่งด่วนแต่อาจไม่สำคัญต่อเป้าหมายหลัก ส่วนเรื่องที่สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน เป็นการช่วยทำให้เพิ่มศักยภาพต่อการบรรลุเป้าหมายเช่น การออกกำลังกาย ใช้เวลาเพื่อการทบทวนเนื้อหาวิชานั้นเราละเลยไป เชื่อว่าหากเราค้นว่า "สิ่งใดที่จะทำให้เป้าหมายสำเร็จได้ดีขึ้น ณ วันนี้" เราจะทำสิ่งนั้นได้ และจะชัดเจนในการจัดการสิ่งที่เร่งด่วนแต่ไม่สำคัญต่อเป้าหมายเราได้
4. คิดแบบ ชนะ/ชนะ (Think Win-Win)
จริงๆ แล้วมนุษย์มีกรอบความคิด 6 แบบที่กระทำต่อกัน หนึ่งในนั้นคือ การคิดแบบชนะ/ชนะ คือไม่มีผู้แพ้ เป็นข้อตกลงหรือการแก้ไขปัญหาต่างๆ เป็นไปเพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แต่อย่างไรเสีย ก็ขึ้นอยู่กับสถาณการณ์แต่ละสถาณการณ์ ว่าควรใช้แบบอื่นหรือไม่ หากไม่สามารถหาข้อตกลงแบบ คุณก็ชนะ ฉันก็ชนะได้ ก็ตกลงว่า "จะไม่ตกลง" ณ ขณะนี้เพื่อลดสถานการณ์ที่ มีผู้หนึ่งผู้ใดต้องแพ้ จุดตั้งต้นคือต้องเห็นคุณค่าในตนเอง และเห็นความproactiveที่มีค่าของผู้อื่น (I'm Ok, You're Ok.)บทนี้เน้นการแก้ปัญหาโดยศาลควรเป็นทางเลือกท้ายสุดเพราะมีเพียง แพ้ หรือ ชนะ เท่านั้น
5. เข้าใจคนอื่นก่อนจะให้คนอื่นเข้าใจเรา (Seek First to Understand, Then to be Understood.)ก่อนบอกความต้องการหรือสิ่งที่เราคิดแล้วอยากให้ผู้อื่นยอมรับ เราต้องให้ความสำคัญและเข้าใจมุมมองของผู้อื่นต่อเรื่องนั้นๆอย่างลึกซึ้งก่อน ลดการปะทะกัน
6. ประสานพลังสร้างสิ่งใหม่ (Synergize)เกิดจากการยอมรับในคุณค่าของตนเอง และเข้าใจในความแตกต่างที่ผู้อื่นมีมุมมอง ลดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่สร้างสรรค์ซึ่งปิดกั้นความคิดดีๆของกลุ่มคนที่อยู่ด้วยกัน มีเพียงความพยามในการเข้าใจในสิ่งที่ตอนแรกเหมือนจะไม่เห็นด้วยเท่านั้น
7. ลับเลื่อยให้คมอยู่เสมอ (Sharpen the saw)

เจาะจุดแข็ง ผู้เขียน Marcus buckingham และ Donald clifton แปลโดย เอท แย้มประทุม โดยผู้เขียนให้แนวคิดไว้ว่า
องค์การส่วนใหญ่มีสมมติฐานผิด คือ ทุกคนเรียนรู้ในเรื่องใดก็ได้แทบทุกเรื่อง กับ การพัฒนาที่ดีที่สุดคือการพัฒนาจุดอ่อน แต่สิ่งที่ควรจะเป็นคือ ควรมุ่งเน้นการพัฒนาจุดแข็งที่เยื่ยมที่สุดของคนผู้นั้น แทนที่จะไปสนใจจุดอ่อน รวมถึงแต่ละคนมีจุดแข็งที่แตกต่างกัน จุดแข็งแต่ละคนอาจเรียกว่า พรสวรรค์ และ พรสวรรค์ของแต่ละคนจะยั่งยืนและเป็นพิเศษเฉพาะตัว

จุดแข็งมีแบบแผนอยู่ 34 แบบ จุดแข็ง มาจากการผสมผสนระหว่าง พรสวรรค์ ( talents) ความรู้ (knowledge) และทักษะ ( skills) พรสวรรค์เป็นแบบแผนของความคิด ความรู้สึก หรือพฤติกรรม ที่มาของพรสวรรค์ มาจากการพัฒนากาทางสมอง กรรมพันธุ์ การเลี้ยงดู หรือประสบการณ์ในวัยเด็ก

ในหนังสือบอกว่าคนเราแต่ละเคนเป็นปัจเจกชนที่มีความแตกต่างกัน แต่ละคนจะมองโลกไม่เหมือนกัน และตอบสนองต่อโลกด้วยวิธีที่แตกต่างกัน เราสามารถติดตามร่องรอยของพรสวรรค์ได้จากปรากฎการณ์ต่อไปนี้

1. การสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองแบบที่เกิดขึ้นเองในทันทีทันใด
2. ความปรารถนาอย่างแรงกล้ว โดยเฉพาะในวัยเยาว์
3. การเรียนรู้ได้เร็ว
4. สิ่งที่ทำแล้ว รู้สึกดี

การหาจุดแข็งจะหาได้จากการทำแบบสอบถามที่เรียกว่า strenghthsfinder profile ซึ่งต้องเข้าไปทำในเวบไซด์ http://www.strengthsfinder.com ซึ่งในหนังสือแต่ละเล่มจะมีรหัสเฉพาะ ใช้ได้ครั้งเดียว เมื่อทำเสร็จก็จะรู้จุดแข็ง 5 ข้อของตัวเองในทันที หลังจากลองทำแล้วก็ได้จุดแข็งมา 5 อย่าง คือ บัญชาการ ความคิด ผู้สร้างความสำเร็จ ป้อนข้อมูล แข่งขัน ซึ่งเขาก็มีคำอธิบายในรายละเอียดเอาไว้ทั้งแบบย่อและแบบเต็ม (หาอ่านได้ในหนังสือ)

บัญชาการ ผู้ที่มีคุณสมบัติในการบัญชาการจะชอบปรากฏตัวนำหน้า และสามารถเข้าควบคุมสถานการณ์พร้อมทั้งทำหน้าที่ตัดสินใจได้อย่างดี
ความคิด ผู้ที่มีคุณสมบัติความคิดจะสนอกสนใจกับความคิด และสามารถค้นพบความเกี่ยวเนื่องระหว่างปรากฏการณ์ที่ดูเหมือนจะแตกต่างกัน
ผู้สร้างความสำเร็จ ผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นผู้สร้างความสำเร็จจะทำงานหนักและมีพลังอดทนสูง คนเหล่านี้มีความสุขกับการได้ทำสิ่งต่างๆ ตลอดเวลาและสร้างสรรค์ผลงานอยู่เสมอ
ป้อนข้อมูล ผู้ที่มีคุณสมบัติของการป้อนข้อมูลจะกระหายใคร่เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา พวกเขามักจะสะสมและจัดเก็บบันทึกข้อมูลทุกชนิด
การแข่งขัน ผู้ที่มีคุณสมบัติในการแข่งขันจะวัดความก้าวหน้าของตนกับผลงานของผู้อื่น คนเหล่านี้จะพยายามมาเป็นที่หนึ่งและชอบการแข่งขันสูง


จะว่าไปก็ตรงอยู่เหมือนกัน ในหนังสือก็จะมีวิธีการจัดการกับคนที่มีพรสวรรค์ทุกแบบ ว่าจะต้องให้ทำงานลักษณะไหน ใช้งานอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่เมื่อพูดถึงจุดแข็ง ก็จะต้องมีคำถามเกี่ยวกับจุดอ่อน

ซึ่งในหนังสือหรือแบบสอบถามก็ไม่ได้บอกจุดอ่อนของเราให้รู้ แต่บอกวิธีการจัดการกับสิ่งที่เราคิดว่าเป็นจุดอ่อน ประมาณว่า ทำให้ดีขึ้นเล็กน้อย หาตัวช่วยอื่น ใช้จุดแข็งมากลบ สุดท้ายก็เลิกทำมันเหอะ ประมาณนี้“องค์กรที่ยิ่งใหญ่นั้น ไม่เพียงแค่ต้องยอมรับความจริงที่ว่าพนักงาน แต่ละคนต่างกันไป แต่องค์กรจะต้องใช้ประโยชน์จากความแตกต่างเหล่านั้นด้วย”
หลักสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จและความสุขอย่างใหญ่หลวงคือการ ใช้จุดแข็งของตัวเอง ไม่ใช่การแก้ไขจุดอ่อน
ก้าวแรกก็คือการรู้ว่าคุณมีจุดแข็งใดบ้าง หนังสือเล่มนี้ให้มุมมองที่แตกต่าง เมื่อได้อ่านจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคำพูดที่ว่า “ใช้คนอย่างไรให้ถูกกับงาน” และ “ทำไมต้องฝึกคนให้เก่งยิ่งขึ้น...”
เจาะจุดแข็ง เป็นการประยุกต์ใช้ทฤษฎีที่เสนอไว้ในหนังสือ First, Break All the Rules มีรากฐานมาจากการวิจัยหลายปีของเดอะ แกลลัพ ออแกไนเซชั่น ที่เขียนด้วยวิสัยทัศน์อันพิเศษผิดธรรมดาในด้านบุคคลและองค์กรที่ปฏิบัติได้เป็นเลิศ และวิสัยทัศน์นี้ได้มาจากการยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคลและจุดแข็งของ แต่ละคนที่พิเศษเฉพาะตัว
หนังสือชั้นเยี่ยมนี้จะช่วยผู้อ่านค้นพบจุดแข็งเฉพาะตัวที่จะนำไปใช้ให้ เป็นประโยชน์ รวมถึงวิธีการอันหลากหลายในการปฏิบัติต่อบุคคลที่มีลักษณะ พรสวรรค์ต่างกัน และช่วยผู้บริหารในการกำกับดูแลพนักงานที่มีจุดแข็งผิดแผกกัน


หนังสือ วิธีชนะมิตรและจูงใจคน (How to Win Friends and Influence People) เล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1937 ด้วยยอดพิมพ์จำนวน 5,000 เล่ม ทั้งเดล คาร์เนกี้ และสำนักพิมพ์ไซมอน ชูสเตอร์ เองต่างก็ไม่คาดหวังว่า หนังสือเล่มนี้จะขายดีมากมายเกินระดับปานกลางแต่แล้วทั้งสองฝ่ายก็ต้องประหลาดใจที่หนังสือเล่มนี้กลายเป็นที่กล่าว ขวัญเกรียวกราวไปทั้งวงการเพียงชั่วข้ามคืนเดียว ต้องมีการพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้เพียงพอแก่ความต้องการของสาธารณชนที่ เพิ่มมากขึ้น หนังสือ วิธีชนะมิตรและจูงใจคน นี้ได้รับการจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การพิมพ์ว่า เป็นหนึ่ง ในหนังสือขายดีสุดยอดตลอดกาลของโลก เนื้อหาของหนังสือตรงใจและความต้องการของมนุษย์ เป็นยิ่งกว่าปรากฏการณ์ของความคลั่งไคล้นิยมกันอย่างกว้างขวางในยุคหลัง เศรษฐกิจตกต่ำ โดยดูได้จากหลักฐานยอดจำหน่าย ซึ่งแม้จะล่วงเข้ายุคทศวรรษ 80 แล้ว ก็ยังขายดีต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้งเป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษ ต่อมา เดล คาร์เนกี้ เคยพูดไว้ครั้งหนึ่งว่า การหาเงิน 1 ล้านดอลลาร์นั้นง่ายกว่าการเรียบเรียงถ้อยคำเป็นภาษาอังกฤษ วิธีชนะมิตรและจูงใจคน ได้กลายเป็นถ้อยคำเหล่านั้น คัดจากบทกวี ถ่ายข้อความจากฉันทลักษณ์มาเป็นร้อยแก้ว เก็บเรื่องที่เขียนล้อเลียนมากล่าวถึง โดยมีตั้งแต่การ์ตูนการเมือง จนถึงเรื่องแต่จากนวนิยายต่างๆ นับไม่ถ้วน หนังสือเล่มนี้ได้รับการแปลเผยแพร่เป็นภาษาต่างๆ เกือบทุกภาษาที่ผู้คนในโลกใช้เขียนกันอยู่ คนแต่ละรุ่นได้พบว่าเป็นหนังสือที่ใช้ได้ตลอดกาล และยังตรงกับความต้องการ สิ่งนี้ก็นำเรามาสู่คำถามที่มีเหตุผลกล่าวคือ “ทำไมต้องปรับปรุงหนังสือที่ได้รับการพิสูจน์ และยังคงมีพลังในตัวเอง….เป็นที่ชื่นชมรักใคร่ในระดับโลก เล่มนี้ด้วย” เพราะอะไรจึงไปยุ่งวุ่นวายความสำเร็จระดับนั้นอีก? เพื่อตอบคำถามนี้ เราจะต้องตระหนักว่า ตัวเดล คาร์เนกี้เองนั้นเป็นนักปรับปรุงงานของตัวเองอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ วิธีชนะมิตรและจูงใจคน ถูกเขียนขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ให้ใช้เป็นตำราประกอบการสอน ตามหลักสูตรการพูดในที่ชุมนุมชนและมนุษยสัมพันธ์ของเขา และในปัจจุบันก็ยังคงใช้ในหลักสูตรต่างๆ เหล่านั้นอยู่ จวบจน คาร์เนกี้ ได้ถึงแก่อนิจกรรมในปี ค.ศ.1955 เขาได้ปรับปรุงและแก้ไขตัวหลักสูตร เพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้ตรงกับความต้องการของประชากร ซึ่งเพิ่มจำนวนสูงมากขึ้นทุกที รวมทั้งมีวิวัฒนาการอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีใครอีกแล้วที่จะละเอียดอ่อนต่อกระแสความเปลี่ยนแปลงของการดำเนินชีวิต ในปัจจุบันมากยิ่งไปกว่า เดล คาร์เนกี้ เขาจะปรับปรุงและแก้ไขปรับเปลี่ยนวิธีการสอนอยู่ตลอดเวลา เขาปรับปรุงหนังสือ การพูดเพื่อสัมฤทธิ์ผล (Effective Speaking) หลายครั้งหลายหนด้วยกัน ซึ่งถ้าเขามีชีวิตยืนยาวต่อมา ตัวเขาเองนั่นแหละจะเป็นผู้ปรับปรุงเนื้อหาของ วิธีชนะผูกมิตรและจูงใจคน เพื่อสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่บังเกิดขึ้นในโลกนับตั้งแต่ทศวรรษ 30 บุคคลผู้มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมากในหนังสือนี้เป็นคนดัง และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ในขณะหนังสือเล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรก แต่สำหรับผู้อ่านในปัจจุบัน พวกเขาเหล่านั้นอาจไม่เป็นที่รู้จัก ตัวอย่างบางตัวอย่างและวลีที่หยิบยกมา ดูเก่าเป็นของโบราณและล้าสมัยสำหรับสภาพสังคมปัจจุบัน เหมือนกับนวนิยายในยุคพระราชินีวิคตอเรีย ทำให้เนื้อหาสำคัญและพลังความน่าสนใจโดยรวมของหนังสือเล่มนี้ย่อหย่อนลงไป

ฉะนั้น วัตถุประสงค์ของเราในการปรับปรุงครั้งนี้ จึงเพื่อให้ภาพความชัดเจนและขยายขอบข่ายของหนังสือนี้สำหรับผู้อ่านยุคใหม่ โดยไม่แตะต้องกระทบเนื้อหาสาระที่มีอยู่เดิมเราไม่ได้ “เปลี่ยน” วิธีชนะมิตรและจูงใจคน ยกเว้นเพียงแต่ให้แบบฝึกหัด 2 – 3 อย่าง และเพิ่มเติมตัวอย่างใหม่ๆ เข้าไปบ้างเล็กน้อย ในสไตล์การเขียนอ่านได้เรื่อยๆ เบาสบาย ตามแบบสำนวนอารมณ์ดีของคาร์เนกี้แม้แต่คำตลาดที่ใช้กันในยุคทศวรรษ 1930 ก็ยังปรากฏอยู่ในหนังสือนี้ เดล คาร์เนกี้เขียนเหมือนตัวเขาพูด ในลีลาที่เต็มไปด้วยความแจ่มใส ร่าเริง ใช้การสนทนาในแบบเปิดเผยเป็นกันเองดังนั้น เสียงของคาร์เนกี้จึงยังคงพูดกับผู้อ่านทุกท่าน เต็มไปด้วยพลังแห่งความกระตือรือร้นมากเช่นเดิม ทั้งในหนังสือนี้และผลงานการเขียนของเขา ในแต่ละปีมีผู้คนหลายพันคนทั่วโลกได้รับการอบรมในหลักสูตรการสอนของ คาร์เนกี้เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกที และคนอีกเป็นจำนวนมากหลายพันคนก็กำลังอ่านและศึกษาหนังสือว่าด้วย วิธีชนะมิตรและจูงใจคน และกำลังได้รับการกระตุ้นสร้างแรงบันดาลใจให้นำเอาหลักการต่างๆ ในหนังสือนี้ ไปช่วยปรับชีวิตของพวกเขาดีขึ้นกว่าเดิมเพื่อผู้อ่าน และผู้สนใจศึกษา เราจึงเสนอการปรับปรุงครั้งนี้ด้วยใจอันมุ่งมั่น นำเอาเครื่องมือที่สานสาระ และรังสรรค์เอาไว้อย่างดีเยี่ยมมาขัดให้สดใสและ เฉียบคม

โดโรธี คาร์เนกี้
(นางเดล คาร์เนกี้)

การติดต่อกับผู้อื่นอาจเป็นปัญหาสำคัญที่สุดที่ท่านจะต้องเผชิญ โดยเฉพาะถ้าท่านเป็นนักธุรกิจ มันเป็นปัญหาสำคัญมากสำหรับท่าน ซึ่งหนังสือเล่มนี้จะเป็นเสมือนกุญแจที่จะทำให้ท่านได้รู้ถึง รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการพูดให้ชนะมิตรและการพูดจูงใจคนให้ได้มีประสิทธิภาพ มันจะทำให้ท่านนั้นก้าวไปสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงานได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ตอนที่ 1 : เทคนิคพื้นฐานในการปฏิบัติต่อผู้อื่น
1. ถ้าอยากได้น้ำผึ้ง ก็อย่าเตะรังผึ้ง
2. เคล็ดลับอันยิ่งใหญ่ในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คน
3. “ผู้ใดทำสิ่งนี้ได้ โลกจะอยู่กับเขา ผู้ใดทำไม่ได้จะมีชีวิตโดดเดี่ยวอ้างว้าง”

ตอนที่ 2 : หกวิธีทำให้ผู้อื่นชอบคุณ
1. ทำสิ่งนี้แล้วคุณจะเป็นที่ต้อนรับทุกแห่งหน
2. วิธีง่ายๆ เพื่อสร้างความประทับใจแรกที่ดี
3. ถ้าคุณไม่ทำสิ่งนี้คุณก็จะมีแต่ปัญหา
4. วิธีง่ายๆ เพื่อการเป็นคู่สนทนาที่ดี
5. วิธีสนใจผู้อื่น
6. วิธีทำให้ผู้อื่นชอบคุณทันที

ตอนที่ 3 : วิธีจูงใจคนให้คล้อยตามความคิดของคุณ
1. ขึ้นชื่อว่าการโต้เถียงแล้วยังไงคุณก็ไม่มีทางชนะ
2. วิธีนี้สร้างศัตรูได้แน่นอน และวิธีหลีกเลี่ยงให้ห่างไกลศัตรู
3. ถ้าคุณผิด ก็จงยอมรับ
4. น้ำผึ้งหนึ่งหยด
5. เคล็ดลับของโสเครติส
6. รับมือกับเสียงบ่น ปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นผู้พูด
7. วิธีได้รับความร่วมมือจากคนอื่น
8. สูตรซึ่งใช้ได้ผลมหัศจรรย์สำหรับคุณ
9. สิ่งที่ทุกคนต้องการ
10. วิธีจูงใจที่ทุกคนชอบ
11. ในภาพยนตร์ก็ทำ…ในทีวีก็ทำ…แล้วทำไมคุณถึงไม่ทำ
12. เมื่อวิธีอื่นไม่ได้ผล ลองวิธีนี้ดู

ตอนที่ 4 : จงเป็นผู้นำ วิธีเปลี่ยนผู้อื่นโดยปราศจากความรู้สึกขุ่นเคืองหรือสร้างความเกลียดชัง
1. ถ้าคุณต้องการชี้ข้อบกพร่องนี่คือวิธีเริ่มต้น
2. วิธีตำหนิวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่ทำให้ใครเกลียดคุณ
3. พูดถึงความผิดพลาดของคุณก่อน
4. ไม่มีใครชอบทำตามคำสั่ง
5. ปล่อยให้อีกฝ่ายได้รักษาหน้าของเขาไว้
6. วิธีกระตุ้นและส่งเสริมผู้อื่นสู่ความสำเร็จ
7. ขนานนามดีมีหลักยึด
8. จงทำให้ข้อบกพร่องดูเหมือนว่าแก้ไขได้ง่าย
9. ทำให้ผู้อื่นยินดีทำสิ่งที่คุณต้องการ


พ่อรวย สอนลูก (Rich Dad Poor Dad)
เป็นหนังสือที่ให้แนวคิดในการสร้างตัว สร้างชีวิต เพื่อนำพาชีวิตให้หลุดพ้นไปจากสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่า "สนามแข่งหนู" เพื่อไปยังเส้นทางด่วนที่นำไปสู่ความมั่งคั่งและนำไปสู่อิสรภาพทางการเงิน ซึ่งให้ทั้งคำสอนและคำแนะนำเกี่ยวกับความรู้เรื่องการเงิน ซึ่งไม่เคยมีใครสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนแม้กระทั่งในโรงเรียน คนส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาเรื่องการเงิน ซึ่งเป็นเพราะโรงเรียนไม่เคยสอนวิชาการเงิน ผลที่เกิดขึ้นก็คือ คนส่วนใหญ่จะทำงานเพื่อเงิน และไม่เคยรู้วิธีใช้เงินทำงานแทนเรา หนังสือเล่มนี้จะแสดงให้เห็นว่า การทำงานเพื่อเงินเดือนสูง ไม่ช่วยให้ร่ำรวยได้, "บ้าน" ไม่ใช่ทรัพย์สินอย่างที่คนส่วนใหญ่คิดกัน แต่มันคือหนี้สินต่างหาก, โรงเรียนไม่เคยสอนเรื่องการเงินให้เด็กเลย, ความแตกต่างของคำว่า "ทรัพย์สิน" และ "หนี้สิน" , วิธีสอนลูกเรื่องการเงินและวิธีประสบความสำเร็จทางการเงินแม้ว่าการเรียนแบบเก่าๆ จะยังมีความสำคัญ แต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับโลกปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้จึงให้ความรู้เรื่องการเงินและวิธีใช้เงินที่ดีที่สุด

สรุปเนื้อหา “ Rich Dad Poor Dad “ by Robert T. Kiyosaki
พ่อแท้ๆ ของผู้เขียน มีตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมการศึกษาของรัฐฮาวาย ในหนังสือผู้เขียนเรียกว่า Poor Dad
ผู้เขียนมีเพื่อนที่สนิทมากตั้งแต่เด็กๆ ชื่อ ไมค์ และพ่อของไมค์เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในกิจการหลายๆ อย่าง จนมีอาณาจักรที่ใหญ่โต ในหนังสือผู้เขียนเรียกว่า Rich Dad
ตอนที่หนึ่ง พ่อรวย – พ่อจน
พ่อทั้งสองของผู้เขียนต่างก็เป็นคนดี มีผู้เคารพนับถือมาก แต่มีคำสอนเรื่องการดำรงชีวิตที่แตกต่างกันสุดขั้ว ผู้เขียนได้รับฟังคำสอนที่แตกต่างกันทั้ง 2 ด้านตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ทำให้ผู้เขียนต้องรู้จักวิเคราะห์พิจารณาในคำสอนตั้งแต่เด็ก
พ่อจน พ่อรวย
ความรักเงิน เป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้าย การขาดเงิน เป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้าย
คนรวยควรเสียภาษีมากๆ เพื่อช่วยคนจน ภาษีทำโทษคนขยัน ให้รางวัลคนขี้เกียจ
เรียนมากๆ จะได้ทำงานกับบริษัทที่มั่นคง เรียนมากๆ จะได้ซื้อบริษัทที่มั่นคง
พ่อไม่รวย เพราะพ่อมีลูก พ่อต้องรวย เพราะพ่อมีลูก
ห้ามพูดเรื่องเงินตอนทานข้าว ชอบคุยเรื่องเงินตอนทานข้าว
เรื่องเงินทองต้องปลอดภัยไว้ก่อน ต้องรู้จักวิธีจัดการกับความเสี่ยง
บ้าน เป็นการลงทุนและทรัพย์สินที่ใหญ่ที่สุด บ้าน เป็นหนี้สินที่ใหญ่ที่สุดและไม่ใช่การลงทุน
ชำระหนี้เป็นอันดับแรก ชำระหนี้เป็นอันดับสุดท้าย
ประหยัดทุกบาททุกสตางค์เพื่อสะสมเงิน ใช้ทุกบาททุกสตางค์เพื่อการลงทุน
สอนวิธีเขียนประวัติส่วนตัวอย่างไร จึงจะได้งานทำ สอนวิธีเขียนแผนธุรกิจอย่างไร จึงจะสร้างงาน
ชาตินี้ ไม่มีวันรวยแน่ คนรวย เขาไม่ทำกันอย่างนั้นหรอก
เงิน ไม่ใช่สิ่งสำคัญ เงิน คืออำนาจ
เรียน เพื่อทำงานให้ได้เงินเดือนสูงๆ เรียน เพื่อรู้วิธีใช้เงินทำงานให้เรา
พ่อ ไม่ทำงานเพื่อเงิน เงิน ทำงานให้พ่อ
ตอนที่สอง บทเรียนที่ 1 : คนรวยไม่ทำงานเพื่อเงิน
ผู้เขียนได้รู้จักกับพ่อของไมค์ และขอร้องให้สอนวิธีหาเงิน
“ ถ้าเธออยากทำงานเพื่อเงิน เธอไปเรียนเอาที่โรงเรียน แต่ถ้าอยากเรียนวิธีใช้เงินทำงานให้เรา ฉันจะสอน"
“ การเรียนรู้วิธีใช้เงินทำงาน เป็นวิชาที่ต้องเรียนกันชั่วชีวิต “
“ การขาดเงินนั้น แย่พอๆ กับการผูกติดกับเงินนั่นแหละ “
“ อย่าให้อารมณ์เป็นตัวกำหนดการกระทำ รับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ แต่ต้องใช้สมองกำหนดการกระทำ “

ตัวอย่างการพูดจากอารมณ์
“ ต้องหางานทำให้ได้ ”
“ ฉันจะสอนให้เธอเป็นนาย ไม่ใช่เป็นทาสของเงิน ”
“ ที่สุดแล้วเราทุกคนเป็นลูกจ้าง แต่ในระดับที่แตกต่างกัน “
“ ฉันอยากให้เธอหลีกเลี่ยงกับดัก ซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยความกลัวและความโลภ “
“ ถ้าเราควบคุมความต้องการได้ เราจะมีเวลาคิดไตร่ตรองมากขึ้น “
“ หลายคนตั้งตารอวันเงินเดือนออก รอวันเงินเดือนขึ้น เพราะความกลัวและความต้องการ “
“ เราควรมีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ความฝันและความสุข ไม่ใช่นอนก่ายหน้าผากกังวลว่าจะมีเงินให้ใช้ครบเดือนหรือไม่ “
“ ความเขลาไม่ใส่ใจเรื่องเงิน ทำให้เกิดความกลัวและความโลภ “
“ จำไว้ว่าการได้งานทำคือการแก้ปัญหาระยะสั้น ทุกคนคิดแค่วันเงินเดือนออก ปล่อยให้เงินมีอำนาจเหนือชีวิตพวกเขาจึงมีลักษณะคล้ายกันคือตื่นแต่เช้าไปทำงาน ไม่เคยหยุดคิดเลยว่า ‘มีวิธีอื่นที่ดีกว่ามั้ย’ “

ความคิดที่มาจากอารมณ์ที่ได้ยินบ่อยๆ
“ ทุกคนต้องทำงาน “
“ คนรวยขี้โกง “
“ ผมควรจะได้ขึ้นเงินเดือนมิฉะนั้นจะลาออก “
“ ฉันชอบงานนี้เพราะมั่นคง “

ความคิดที่ใช้สมอง
“ ฉันมองข้ามอะไรไปหรือเปล่า “
ตอนที่สาม บทเรียนที่สอง: ทำไมต้องรู้เรื่องเงินๆ ทองๆ
“ การมีเงินมากๆ นั้น ไม่สำคัญเท่ากับการรู้จักวิธีรักษาเงินให้อยู่กับเราตลอดไป “
“ พ่อจนจะเน้นให้อ่านมากๆ พ่อรวยจะบอกให้เรียนเรื่องเงิน “
กฏข้อที่-1 ต้องรู้ว่าอะไรคือทรัพย์สิน อะไรคือหนี้สิน
“ คนรวยเพิ่มทรัพย์สิน คนชั้นกลางเพิ่มหนี้สินโดยเข้าใจว่าเป็นทรัพย์สิน “
“ ถ้าอยากรวย ต้องอ่านให้เข้าใจตัวเลขและคำอธิบายเบื้องหลังนั้น “
“ ทรัพย์สินคือเงินใส่กระเป๋า หนี้สินคือเงินออกจากกระเป๋า “

รูปที่-3 การหมุนเวียนของกระแสเงินสดของคนจน

งาน

รายได้ เงินเดือน
รายจ่าย ภาษี , อาหาร , ค่าเช่า , เสื้อผ้า , สันทนาการ , เดินทาง

ทรัพย์สิน หนี้สิน

รูปที่-4 การหมุนเวียนของกระแสเงินสดของคนชั้นกลาง
งาน

รายได้ เงินเดือน
รายจ่าย ภาษี , อาหาร , ค่าเช่า , เสื้อผ้า , สันทนาการ , เดินทาง

ทรัพย์สิน หนี้สิน
เงินกู้บ้าน , สินเชื่อผู้บริโภค , บัตรเครดิต

รูปที่-6 การหมุนเวียนของกระแสเงินสดของคนรวย
รายได้ เงินปันผล , ดอกเบี้ย , ค่าเช่า , ค่าลิขสิทธิ์
รายจ่าย

ทรัพย์สิน หนี้สิน
หุ้น , พันธบัตร , ตั๋วสัญญาใช้เงิน , อสังหาริมทรัพย์ , ทรัพ์สินทางปัญญา
=== พ่อของไมค์ไม่ใช่นักวิชาการ แต่ความรู้เรื่องการเงินทำให้เขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ===
“ คนที่ฉลาด ต้องรู้จักจ้างคนที่ฉลาดกว่ามาเป็นลูกจ้าง “
=== โรงเรียนมีไว้ผลิตลูกจ้างที่ดี ไม่ได้มีไว้ผลิตนายจ้าง ===
=== พ่อจนมองว่าบ้านเป็นทรัพย์สิน พ่อรวยมองว่าบ้านเป็นหนี้สิน ===
=== เครื่องวัดฐานะทางการเงินคือ ถ้าเราหยุดทำงานวันนี้ เราจะมีเงินประทังชีวิตต่อไปอีกนานเท่าใด ===
=== เป้าหมายชีวิตของผมคือ การมีอิสระจากภาระทางการเงินทั้งปวง ===
=== สมมติว่าผมมีทรัพย์สินที่ทำเงินได้เดือนละ 2000 เหรียญ และมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 2000 เหรียญ ผมสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งเงินเดือนถึง 30 วัน ===
=== ขั้นต่อไปคือ การนำรายได้จากทรัพย์สินกลับไปลงทุนในช่องหนี้สิน เพื่อขยายขนาดช่องทรัพย์สินให้โตขึ้น ===

ตอนที่สี่ บทเรียนที่-3: เพิ่มทรัพย์สิน – ทำธุรกิจของตนเอง
เรย์ คร๊อก ผู้ก่อตั้งร้านแมคโดนัลเล่าให้นักศึกษาปริญญาโทคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยออสติน ว่าตามแผนธุรกิจแล้วเขาขายเฟรนไชด์ของแมคโดนัล แต่มีเงื่อนไขที่ระบุถึงทำเลที่เหมาะสมด้วย ดังนั้นคนที่ซื้อเฟรนไชด์ไปจะต้องซื้อทำเลทองด้วย นั่นคือเรย์ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั่นเอง
=== อุปสรรค์ทางการเงินส่วนหนึ่ง มาจากการที่เรายอมทำงานเพื่อคนอื่นตลอดชีวิต ===
=== ถ้าไม่เอารายได้มาซื้อทรัพย์สิน คุณก็จะยังคงไม่มีความมั่นคงทางการเงินอยู่ต่อไป ===
=== รากฐานของคนชั้นกลางคือไม่กล้าเสี่ยง ทำให้ยึดติดอยู่กับเงินเดือนและงานที่ทำอย่างเหนียวแน่น เพราะที่นั่นเขารู้สึกว่า ‘ปลอดภัย’ ===
=== หลายคนไม่เคยคิดถึงข้อแตกต่างระหว่าง ‘อาชีพ’ & ‘ธุรกิจ’ ===
=== คำถาม ‘คุณทำธุรกิจอะไร’ ‘คุณทำอาชีพอะไร’ ===

ทรัพย์สินที่ผมแนะนำให้คุณสนใจไขว่คว้า & สอนลูกหลานให้รู้จัก ดังนี้
1. ธุรกิจที่ผมไม่ต้องนั่งเฝ้า เป็นเจ้าของแต่มีคนมาจัดการให้ดำเนินกิจการไปได้
2. หุ้น
3. พันธบัตร
4. กองทุนรวม
5. อสังหาริมทรัพย์
6. ตั๋วเงิน
7. ค่าลิขสิทธิ์จากเพลง จากงานแต่งหนังสือ จากงานแปล จากสิทธิบัตรต่างๆ
8. สิ่งอื่นที่มีมูลค่า สามารถสร้างรายได้หรือเพิ่มมูลค่าด้วยตัวมันเอง
=== ผมแนะนำให้คุณทำงานประจำไป แล้วค่อยๆ สร้างธุรกิจด้วยการลงทุนในทรัพย์สินที่สร้างรายได้ ทุกบาททุกสตางค์ที่ใส่ลงในช่องทรัพย์สินจงอย่าให้ไหลออกมา ให้เงินนั้นทำงานให้คุณ ===
=== จงมุ่งมั่นทำงานประจำให้เต็มที่ พร้อมๆ กับสร้างช่องทรัพย์สินของคุณให้ใหญ่โตขึ้น ===
=== คนรวยซื้อความสบายทีหลัง แต่คนชั้นกลางมักซื้อความสบายก่อน ===
=== คนรวยจะสร้างช่องทรัพย์สินให้ใหญ่โตพอที่จะสร้างรายได้กลับคืนมา แล้วจึงนำรายได้นั้นไปซื้อความสะดวกสบายอีกที ===
ตอนที่ห้า บทเรียนที่-4: ภาษี & ประโยชน์ของนิติบุคคล
=== บริษัทเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าบุคคลธรรมดา แล้วรายจ่ายบางอย่างได้รับการยกเว้นภาษีด้วย ===
ทุกครั้งที่ผมจัดสัมมนาเพื่อถ่ายทอดความรู้ จะกล่าวถึงหลักสำคัญของไหวพริบทางการเงิน 4 อย่าง ดังนี้
1. ความรู้ทางบัญชี - อ่านงบการเงินให้เป็น
2. ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน - ศิลปะของการใช้เงินทำงาน
3. ความเข้าใจตลาด - อุปสงค์และอุปทานในตลาด
4. ความรู้เรื่องกฎหมาย
=== คนรวยที่มีบริษัท มักทำดังนี้ 1) รายได้ à 2) รายจ่าย à 3) เสียภาษี ===
=== ส่วนลูกจ้างของบริษัท มักทำดังนี้ 1) รายได้ à 2) เสียภาษี à 3) รายจ่าย ===
ตอนที่หก บทเรียนที่-5: วิธีทำเงินของคนรวย
=== ในชีวิตจริง คนกล้ามักจะประสบความสำเร็จ ไม่ใช่คนที่มีแต่ความฉลาด ===
=== ถ้าจะเก่งเรื่องเงิน คุณต้องมีทั้งความรู้และความกล้า ===
=== ถ้าคุณมีความรูเรื่องเงิน คุณก็มีโอกาสจะเจริญก้าวหน้าไปอีกไกล แต่ถ้าคุณไม่รู้ โลกนี้จะเป็นโลกที่น่ากลัวสำหรับคุณ ===
=== เมื่อ 300 ปีก่อน เจ้าของที่ดินคือเจ้าของขุมทรัพย์ ต่อมาเปลี่ยนเป็นเจ้าของโรงงานและการผลิต ในปัจจุบันเป็นยุคของการสื่อสารข้อมูลไร้พรมแดน ใครมึขอมูลมากที่สุดและทันสมัยที่สุดคือเจ้าของขุมทรัพย์ ===
=== เกมส์กระแสเงินสด ช่วยให้ผู้เล่นรู้จักวิเคราะห์ทางเลือก เช่น ถ้าหยิบได้เรือหมายถึงคุณต้องมีหนี้สินเพิ่มขึ้นจากการซื้อเรือนั้นมา คำถมคือ ‘แล้วคุณจะทำอย่างไร’ ===
=== ผมดูคนเล่นเกมส์มากว่าพันคน ส่วนมากคนที่ออกจาก ‘สนามแข่งหนู’ ได้สำเร็จและเร็วที่สุด คือคนที่มีพื้นฐานความเข้าใจเรื่องตัวเลข & มีความคิดสร้างสรรค์ เขาสามารถมองเห็นตัวเลือกต่างๆ ได้ในทันที ===
=== เงินเล็กน้อย ย่อมกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ได้ ถ้าคุณมีไหวพริบทางการเงิน ===

ไหวพริบทางการเงิน ประกอบด้วยทักษะ 4.ข้อใหญ่ๆ ดังนี้
1] ความเข้าใจ & ความสามารถในการอ่านตัวเลข
2] กลยุทธ์ในการลงทุน - ศิลปะในการใช้เงินทำงาน
3] การตลาด - อุปสงค์ & อุปทาน
4] กฎหมาย & กฎเกณฑ์ - ความรู้ความเข้าใจเรื่องกฎระเบียบทางบัญชี
=== อย่าลืมเอากฎหมายเรื่องภาษีมาใช้ให้มากที่สุด ===
=== มีนักลงทุนอยู่ 2 ประเภท พวกแรกชอบลงทุนแบบตรงไปตรงมา อีกพวกชอบพลิกแพลงสร้างสรรค์ ===
กว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทชอบสร้างสรรค์ได้ จะต้องหมั่นฝึกฝนนานวันด้วยทักษะต่างๆ ดังนี้
1> ทำอย่างไร จึงจะมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น
2> ทำอย่างไร จึงจะได้เงินมาทำทุนโดยไม่ต้องกู้ธนาคาร
3> ทำอย่างไร จึงจะได้คนฉลาดมาเป็นลูกจ้าง

ตอนที่เจ็ด บทเรียนที่-6: ทำงานเพื่อเรียนรู้ - อย่าทำงานเพื่อเงิน
=== ผมอยากแนะนำให้คุณทำงานเพื่อประสบการณ์ & การเรียนรู้ที่คุณจะได้รับ มากกว่าเพื่อผลตอบแทนที่เป็นตัวเงิน และให้มองไปข้างหน้าว่าคุณยังขาดทักษะด้านใด แล้วเสาะแสวงหาเพิ่มเติม ===
=== สำหรับคนที่ลังเลใจว่าจะออกแรงแสวงหาทักษะใหม่ๆ ดีหรือไม่ ผมอยากให้คิดถึงเวลาที่คุณไปออกกำลังกาย ตอนที่ยากที่สุดคือการตัดสินใจว่า ‘จะไปดีหรือไม่’ ถ้าผ่านจุดนี้ไปได้แล้ว ที่เหลือสบายมาก ระหว่างออกกำลังกายคุณจะรู้สึกมีความสุข มีความภูมิใจในตัวเอง และเมื่อออกกำลังกายเสร็จคุณจะรูสึกดีใจที่ได้ตัดสินใจถูกต้อง ===

ตอนที่แปด ฟันฝ่าอุปสรรค
แม้ว่าจะมีความรู้และไหวพริบทางการเงิน แต่บางคนก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ไม่สามารถทำให้ช่องทรัพย์สินโตขึ้นเพื่อเพิ่มกระแสเงินสดให้มากพอได้ สาเหตุส่วนใหญ่มาจาก
1) ความกลัว
2) ความคิดด้านลบ
3) ความขี้เกียจ
4) นิสัย
5) ความหยิ่งทะนงตน

สาเหตุข้อที่หนึ่ง:ต้องเอาชนะความกลัวว่าจะต้องเสียเงิน
=== ถ้ามีเงินน้อยแต่อยากรวย สิ่งที่คุณต้องทำคือ ‘โฟกัส’ ===

สาเหตุข้อที่สอง:ขจัดความคิดด้านลบ
=== ความกลัวโดยไม่มีเหตุผลทำให้เรากลายเป็นคนที่มองเห็นแต่ข้อเสีย ===

สาเหตุข้อที่สาม:ความขี้เกียจ
=== พ่อรวยสอนให้พูดว่า ‘ทำอย่างไรจึงจะซื้อได้’ ห้ามพูดว่า ‘ไม่มีปัญญาซื้อ’ ===
=== คำว่า ‘ไม่มีปัญญา’ จะก่อให้เกิดความรู้สึกเศร้าหมอง
คำว่า ‘ทำอย่างไร’ สร้างความกระตือรือร้น ความตื่นเต้น ต้องคิดเพื่อหาคำตอบ ===
=== หากปราศจากกิเลศ ขาดความต้องการที่จะสร้างชีวิตให้ดีขึ้น โลกจะพัฒนาได้อย่างไร ===
=== คราวนี้เมื่อใดที่คุณพบว่าตนเองกำลังหลีกเลี่ยงสิ่งที่ควรกระทำก็ให้ถามตัวเองว่า ‘แล้วเราจะได้อะไรจากการกระทำ
นี้บ้าง’ เติมความอยากลงไปสักนิด จะได้ขจัดเอาความขี้เกียจออกไปจากตัวคุณได้ ===

สาเหตุข้อที่สี่:อุปนิสัย
=== พ่อจน มักจ่ายเงินให้คนอื่นก่อน เหลือเท่าไรจึงให้ตัวเอง ===
=== พ่อรวยสอนว่า ควรจ่ายให้ตัวเองก่อน ทีนี้ก็จะมีความกดดันที่จะต้องหาเงินมาจ่ายภาษีและเจ้าหนี้ทั้งหลายให้ได้ ความกดดันนี้จะทำให้คุณคิดหาแหล่งรายได้เพิ่มขึ้น และทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้เจ้าหนี้มาโวยวายใส่หน้าคุณได้ ===
=== ถ้าจ่ายให้ตัวเองหลังสุด ไม่มีความกดดันก็จริง แต่จะไม่มีอะไรเหลือเลย ===

สาเหตุข้อที่ห้า:ความหยิ่งทะนงตน
=== ความรู้ทำให้ได้เงิน ความไม่รู้ทำให้เสียเงิน ===
=== จงขวนขวายหาความรู้จากหนังสือ หรือจากผู้มีประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆ ===

ตอนที่เก้า เริ่มต้นอย่างไรดี
บัญญัติ 10.ประการที่จะช่วยให้คุณมีพลัง
1] พลังใจ: เพื่อจะเอาชนะความจริงที่ขวางหน้า
=== หลายคนอยากรวย แต่เมื่อหันมามองความจริงเขากลับท้อแท้ และคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ เป็นลูกจ้างขยันทำงานไปวันๆ ดูจะง่ายกว่าเยอะ ===
=== ถ้าพลังความอยากของคุณยังไม่แรงกล้าพอ หนทางแห่งความเป็นจริงก็ยังอีกยาวไกล ===
=== ถ้าคุณขาดพลัง ขาดความมุ่งมั่น อะไรๆ ในชีวิตก็กลายเป็นเรื่องยากไปหมด ===
2] เสรีภาพในการเลือก
=== เมื่อมีเงินอยู่ในมือ คุณมีสิทธิ์ที่จะเลือกอนาคตของคุณว่าจะเป็นคนรวย ชั้นกลาง หรือคนจน
นิสัยการใช้เงินสะท้อนให้เห็นตัวตนของเรา คนจนใช้เงินอย่างไม่ฉลาด ===
=== หลายครอบครัวสูญเสียทรัพย์สินเมื่อตกมาถึงรุ่นลูก เพราะไม่เคยสอนให้ลูกหลานรู้จักวิธีดูแลรักษา ===
=== คนจำนวนมากเลือกที่จะไม่รวย ส่วนใหญ่คิดว่ากว่าจะรวยเป็นเรื่องยุ่งยากเกินไปสำหรับเขา
มักชอบพูดว่า ‘ฉันไม่สนเรื่องเงินๆ ทองๆ หรอก’ ‘ไม่เห็นอยากรวยเลย’ ‘จะคิดให้ปวดหัวทำไม อายุยังน้อยแค่นี้’
‘ผมให้แฟนดูแลเรื่องเงิน ผมไม่ยุ่งหรอกครับ’ ===
=== คำพูดเหล่านั้นทำให้คุณสูญเสียประโยชน์ 2 อย่าง คือ เวลา & การเรียนรู้ ===
=== คุณมีสิทธิ์เลือกใช้เวลา ใช้เงิน และใช้สมองอย่างไรก็ได้ ===
=== ไม่มีเงิน ใช่ว่าคุณจะต้องหยุดการแสวงหาความรู้ ===
=== คนที่คิดว่าตนเองฉลาดแล้ว เก่งแล้ว มองอีกมุมหนึ่งคือคนที่ไม่กล้าเสี่ยง กลัวความผิดพลาด ===
=== คนฉลาดที่แท้จริง มักชอบฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยใจที่เปิดกว้าง พร้อมที่จะนำความคิดจากหลายๆ ด้านมาวิเคราะห์ประกอบเป็นความคิดใหม่ๆ ที่มีประโยชน์ ===
3] เลือกคบเพื่อนด้วยความระมัดระวัง
=== เพื่อนที่เป็นกลุ่มคนมีเงิน มักคุยแต่เรื่องเงินๆ ทองๆ เรื่องการลงทุน เรื่องเศรษฐกิจ ===
=== ในกรณีที่คุณเล่นหุ้น บางครั้งก็จะมีข้อมูลวงในจากการพูดคุยกับเพื่อนกลุ่มนี้ ===
=== ในธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จ หลักสำคัญที่ต้องจำไว้คือคุณต้องมีความมั่นใจในตนเองโดยไม่โอนอ่อนผ่อนตามเสียงข้างมาก กว่าจะเป็นข่าวหน้าหนึ่งคนอื่นก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไปจนหมดแล้ว ===
4] สร้างสูตรและเรียนสูตรใหม่ๆ: ประโยชน์จากการเรียนให้เร็วที่สุด
=== สูตรเดียวที่สอนเกี่ยวกับเรื่องเงินในโรงเรียน คือ ‘ทำงานเพื่อเงิน’ ===
=== ในสังคมปัจจุบัน ความได้เปรียบไม่ได้อยู่ที่คุณรู้อะไรแต่อยู่ที่คุณเรียนรู้สูตรใหม่ๆ ได้เร็วแค่ไหน ===
5] ชำระหนี้ให้ตัวเองเป็นอันดับแรก: ประโยชน์จากการควบคุมตัวเอง
=== ถ้าคุณไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ คุณไม่มีวันรวย ===
=== มี 3.ทักษะที่สำคัญสำหรับผู้ที่เริ่มทำธุรกิจของตนเอง ดังนี้
1) การบริหารกระแสเงินสด 2) การบริหารบุคคลากร 3) การบริหารเวลา
=== นิสัยไม่ดีที่คนชั้นกลางชอบทำคือการแคะกระปุกแล้วเอาเงินออมมาชำระหนี้ ===
=== ถ้าอยากเป็นคนรวยต้องรู้ว่า เงินออมมีไว้เพื่อขยายช่องทรัพย์สิน ไม่ใช่มีไว้จ่ายหนี้ ===

6] เลี้ยงนายหน้าของคุณให้ดี: ประโยชน์จากคำแนะนำที่ดี
=== นายหน้าทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้คุณ คอยติดตามสถานการณ์เพื่อคุณจะได้มีเวลาไปตีกอล์ฟ ===
=== เชื่อหรือไม่ว่าคนจำนวนมากให้ทิปพนักงานเสริฟอาหารร้อยละ 15~20 ทั้งๆ ที่บริการไม่ได้ประทับใจนักหนา
แต่กลับลังเลที่จะจ่ายค่านายหน้าเพียงร้อยละ 3~7 ===
=== ทำไมเราทิปคนในช่องรายจ่าย มากกว่าคนในช่องทรัพย์สิน ===
7] จงเป็นผู้ให้: ประโยชน์จากการได้เปล่า
=== นักลงทุนที่ฉลาดควรมองหาอะไรที่มากกว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน นั่นคือทรัพย์สินที่ได้หลังจากได้เงินลงทุนครบถ้วนแล้ว นี่แหละคือไหวพริบทางการเงิน ===
8] ทรัพย์สินซื้อความฟุ่มเฟือย: ประโยชน์จากการ ‘โฟกัส’
=== เริ่มสอนลูกหลานและคนที่คุณรักเรื่องไหวพริบทางการเงินเสียแต่เนิ่นๆ ถ้าขาดไหวพริบทางการเงิน เงินจะฉลาดกว่าคุณ เพราะคุณอาจต้องทำงานเพื่อเงินไปตลอดชีวิต ===
9] ความจำเป็นต้องมีพระเอกในดวงใจ: ประโยชน์ของจินตนาการ
=== วิธีนี้ทำให้ผมมีพลังพิเศษ เหมือนแรงดลใจที่ทำให้รู้สึกว่าไม่มีอะไรยากเกินไปสำหรับเราคนอื่นทำได้เราก็ต้องทำได้ ===
10] สอนผู้อื่นแล้วคุณจะได้รับตอบแทน: อานิสงส์แห่งการให้
=== ผมต้องการมีเครือข่าย ผมแนะนำให้คนโน้นรู้จักกับคนนี้ ในทีสุดผมก็มีเครือข่ายกับคนจำนวนมาก ===
=== ไม่ว่าจะเป็นเงิน ลูกค้า ความรัก ความสุข ธุรกิจ คุณต้องเริ่มต้นด้วยการให้ ถ้าไม่มีใครยิ้มให้ผม ผมก็จะยิ้มให้เขาก่อน ===

ตอนที่สิบ ข้อควรทำ
บางคนคิดแต่ไม่ทำ บางคนชอบทำโดยไม่คิด คุณควรจะอยู่ตรงกลาง
1) หยุดทุกอย่างแล้วพิจารณาว่าอะไรทำไปแล้วได้ผล อะไรทำไปแล้วไม่ได้ผล
2) มองหาความคิดใหม่ๆ
3) หาคนที่มีประสบการณ์ หรือที่เคยลงทุนแบบที่คุณสนใจ
4) สมัครเข้าสัมมนา อบรม หรือเรียนพิเศษ
5) เสนอราคา เพิ่มทางถอยไว้ด้วย ‘ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหุ้นส่วน’
6) เดิน วิ่งออกกำลัง หรือขับรถยนตร์ ผ่านบางพื้นที่สักเดือนละครั้ง เพื่อดูการเปลี่ยนแปลง
7) เรียนรู้เรื่องการเล่นหุ้น
8) ทำไมผู้บริโภคจึงไม่รวย
9) หาให้ถูกที่
10) ผมมองหาคนต้องการซื้อก่อน แล้วจึงมองหาคนต้องการขาย
11) เรียนรู้จากประวัติศาสตร์
12) ลงมือทำได้แล้ว


As The Future Catches You เมื่ออนาคตไล่ล่าคุณ
: How Genomics & Other Forces are Changing Your Life, Work, Health & Wealth

by Juan Enriquez (2001 : 260 หน้า)

หนังสือดังเล่มนี้ ผู้แต่งต้องการชี้ให้เห็นถึง
พัฒนาการของเทคโนโลยี 3 อย่างที่กำลังครอบงำโลกนี้อยู่
และ หลายคนก็ยังไม่รู้ตัว คือ
Digital Technology, Genomics และ Nano Technology

และสิ่งที่น่าตกใจมากขึ้นไปอีกก็คือ
เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถมี Convergence ซึ่งกันและกันได้แล้ว
จึงสามารถส่งพลังมหาศาลต่อการเปลี่ยนแปลง
ของการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์ในทศวรรษอันใกล้นี้
รวมทั้งจะส่งผลต่อธุรกิจต่างๆ เป็นอย่างมาก

ผู้ที่เสียเปรียบอันเนื่องมาจาก Technology Illiterate ก็จะยิ่งยากจนลง
ผู้ที่มี Technology Literacy สามารถเข้าใจ Digital Code (0-1-0-1)
และ Genetics Code (A-T-C-G) ก็จะสามารถสรรสร้างสิ่งประดิษฐ์
และนวัตกรรมใหม่ออกมาได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ ทีวี
รถยนต์ อาหารการกิน ยารักษาโรค และชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์ เป็นต้น

ดังนั้น ปัจจัยที่จะมีผลต่อความมั่นคงและความมั่งคั่งของประเทศ
จึงมีมากกว่าเรื่องของการศึกษา ประชาธิปไตย ความสามารถในการแข่งขัน
การเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจให้ผู้คน แต่ยังประกอบด้วย "เทคโนโลยี" อีกด้วย


ป้าเสลาจะทะยอยนำเนื้อหาฉบับย่อ จำนวน 20 หน้า
ที่ ดร.สุรเจต ไชยพันธ์พงษ์ ได้สรุปไว้
มาถ่ายทอดให้พวกเราได้อ่าน
เพื่อจะได้พิจารณา วิเคราะห์ และรู้เท่าทัน
ต่อ ปัจจุบันและอนาคต
ที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงกับ
"พัฒนาการของเทคโนโลยี 3 อย่างที่กำลังครอบงำโลกนี้อยู่
และ หลายคนก็ยังไม่รู้ตัว คือ
Digital Technology, Genomics และ Nano Technology"
Mixing Apples, Orange and Floppy Disks


Digital Code ซึ่งประกอบไปด้วย Code 0-1-0-1 …
แต่สามารถสร้างสรรข้อมูล ข่าวสาร และสิ่งต่างๆ บนโลกนี้ได้มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์, Computer, TV, Music และทำให้ประเทศเล็กๆ
เช่น ไต้หวัน, ฟินแลนด์, สิงคโปร์ ร่ำรวยอย่างมหาศาล
เป็นเพราะประเทศเหล่านี้เข้าใจ "Change" และมี "Technology Literacy" ในระดับสูง

ในปี 1995 มนุษย์สามารถถอดรหัสภาษาของ Genetic Code
ซึ่งมีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย, แมลง, พืช, สัตว์ และมนุษย์
โดย Genetic Code นี้ จะประกอบด้วยตัวอักษรใหญ่ 4 ตัว คือ A-T-C-G
เหมือนโครงสร้างภาษาของ Digital Code

ดังนั้น ในอนาคตอันใกล้ ผู้ที่เข้าใจ Genetic Literacy ( Code : A-T-C-G )
และสามารถใช้ประโยชน์จากการคิดค้น Code เหล่านี้ได้เหมือน Digital Code ( 0-1-1-0-0-1-1… )
อาจสามารถสรรสร้างสิ่งต่างๆ ได้อย่างมหาศาล
"If you change this code, just as if you change the code in floppy disk or on a CD,
you change the message, the product and the outcome."

ตัวอย่างการรักษาโรคในปัจจุบันซึ่งเป็น Treatment แบบ "Emergency Prevention"
ก็จะเปลี่ยน ไปสู่แบบ "Deliberate and Personalized Prevention" เหมือนการรักษาฟัน
(ที่เน้นในเรื่องป้องกัน เช่น การขูด หินปูน, การอุดฟันรักษารากฟัน หรือเคลือบฟลูออไรด์ เป็นต้น)
โดยการปรับจาก Genetic Code นี้ ยารักษาโรค ก็จะไม่ใช่แบบ "ต้องกิน ต้องฉีด"
แต่จะเป็นแบบผสมในอาหาร น้ำดื่ม เครื่องสำอาง หรือกระทั่งสบู่ที่ใช้อาบน้ำ ในชีวิตประจำวัน

จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลย หากวันนี้ P&G กำลังคิดที่จะ Merge รวมกับบริษัทยายักษ์ใหญ่
หรือ บริษัท L'oreal ซึ่งมีการจ้าง "Molecular Biologist" เข้าทำงานมากขึ้น
และบริษัทอย่าง Mosanto, Dupont, Novartis, IBM, Hoechst, Compaq,
GlaxoSmithKline ซึ่งมี Core Business แตกต่างกัน
จึงกำลังคิดเรื่อง Partnering … Merging ... Growing

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2001 มนุษย์ประสบผลสำเร็จในการค้นพบ "แผนที่พันธุกรรมของมนุษย์"
ซึ่งจะ มีผลทำให้พัฒนาการบนโลกนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากทีเดียว
แผนที่พันธุกรรมนี้จะประกอบไปด้วย Code ต่างๆ
คือ A-T-C-G ซึ่งก็เป็น Genetic Code เช่นกัน

ดังนั้น แผนที่ที่ทุกคนสนใจในขณะนี้จึงไม่ใช่ World Map
(ซึ่งประกอบไปด้วยทวีป แม่น้ำ ทะเล ภูเขา หรือเมืองต่างๆ) แต่เป็น Genetic Map

"These map are changing the way we look at all life
because they provide blueprint crucial to almost every business."

วันที่ 31 มกราคม 2001 รัฐบาลอังกฤษได้ออกกฎหมาย
รับรองการ Cloning ชิ้นส่วนตัวอ่อนของ มนุษย์แล้ว

Lack of technology literacy is one of the reason of the gap between the richest
and the poorest countries in the world which is growing so quickly …
Why there is a 390 : 1 gap.

การโคลนนิ่ง
2: The 390 : 1 Gap

ประเทศที่เคยยิ่งใหญ่หลายประเทศในอดีตกาล บัดนี้ได้ล่มสลายไป
หรือไม่ก็ไม่สามารถดำรงคงอยู่ได้อย่างยิ่งใหญ่อีกแล้ว เช่น

คศ. 1200 ขอม (หรือ เขมรปัจจุบัน) ถือเป็นประเทศที่มั่งคั่ง ร่ำรวยประเทศหนึ่งของโลก เช่น นครวัด
คศ. 1500 เปรู และเม็กซิโก เหนือกว่ายุโรปมาก
คศ. 1600 Switzerland of the Middle East คือ เลบานอน และ Switzerland of Africa คือ ยูกันดา

แต่ด้วยสงครามเผ่าพันธุ์ และการเมืองภายในกันเอง และละเลยเรื่องของ "การพัฒนาเทคโนโลยี"
ประเทศ หรืออาณาจักรเหล่านี้หลายแห่งก็สูญสลายไป หรือไม่วันนี้ก็ยากจนมาก

หรืออย่างในปี 1840 โลกเพิ่งเริ่มต้นยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ประเทศจีน และอินเดียครองสัดส่วนการค้าทั้งโลกนี้ถึง 40%
โดยสินค้าหลัก คือ ผ้าไหม เพชรพลอย และมรกต

แต่ในขณะเดียวกันฟากฝั่งยุโรปและอเมริกา เริ่มต้นการพัฒนาอุตสาหกรรม
โดยการ "Industrialize and Standardize" ซึ่งจีนและอินเดียไม่ได้ทำ
สัดส่วนการครองการค้าโลกของประเทศทั้งสองจึงเหลือเพียง 3.4%

คศ. 1800 คิวบา และอาร์เจนติน่า ร่ำรวยกว่าอเมริกา
แต่อเมริกามุ่งมั่นเรื่องการให้การศึกษาผู้คน สร้างโครงสร้างพื้นฐาน สะสมทุน
รับเอาเทคโนโลยีมาใช้ในภาคการเกษตรและสิ่งทอ อเมริกาจึงแซงหน้าประเทศเหล่านี้

คศ. 1860 สินค้าญี่ปุ่นเป็นสัญลักษณ์ของ Bad Quality แต่ปัจจุบันเป็น World Class Quality
และผลิตสินค้าขายได้มากเป็น 5 เท่าของทวีปอเมริกาใต้ทั้งทวีป

ปัจจุบัน Gap ระหว่างประเทศร่ำรวย กับประเทศยากจน จึงไม่ใช่ 5 : 1 แต่เป็น 390 : 1
และจะยิ่งมากขึ้นด้วย "IT and Genetic Revolution"
และในไม่ช้า Gap นี้อาจเป็นถึงมากกว่า 1,000 : 1 เท่าก็ได้

3 : The New Rich and The New Poor

ความแตกต่างในเรื่องของ "การศึกษา" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ "Scientific Literacy"
นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเรื่องของความมั่งคั่ง

เมื่อ 50 ปีที่แล้ว เม็กซิโก ผลิตสินค้าได้เป็น 2 เท่าของไต้หวัน
แต่ในปี 1974 ไต้หวันทุ่มเทให้กับเรื่องของการศึกษามาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวิทยาศาสตร์ในระดับมหาวิทยาลัย
จึงก่อให้เกิดการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม ขึ้นมาทั้งในเรื่องของ Computer และ Chip
และวันนี้ไต้หวันผลิตสินค้าได้เป็น 4 เท่าของเม็กซิโก
เป็นผลให้ Hourly Wage สูงกว่า Maxico กว่า 2 เท่า

World Economy ทุกวันนี้เปลี่ยนไปจากเดิมจากภาคการเกษตร
มุ่งสู่ภาคบริการมากขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะของ Knowledge Economy

"The knowledge component become more important, and manual worker labour has less valuable."

"Today, a kid with a smart idea, a couple of friends,
and some luck can made a lot of money very quickly." (เช่น Jeff Bozos ผู้สร้าง amazon.com )
[/color]

สรุปสาระสำคัญจากหนังสือ The World is Flat: A Brief History of the Twenty-First Century
โดย Thomas L. Friedman*
1. ความหมายของ The World is Flat ผู้เขียนอธิบายว่า ในปี ค.ศ. 1492 เมื่อ Christopher Columbus เดินเรือเพื่อ
หาเส้นทางไปทวีปอินเดีย แต่ด้วยความผิดพลาดโดยบังเอิญไปพบทวีปอเมริกา Columbus มีประสบการณ์จากการ
เดินทางครั้งนั้นว่าโลกกลม แต่ในปัจจุบันยุคโลกาภิวัตน์ที่อินเดียเป็นศูนย์กลางของ Business Process Outsourcing
(BPO) ให้บริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรับเขียน Software กรอกแบบภาษี วิเคราะห์ผล X-ray ติดตามกระเป๋า
เดินทางที่สูญหายให้แก่สายการบิน โดยให้บริการแก่บริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกผ่านทาง Internet ส่วนประเทศจีนมีแรงงาน
ที่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นหลายพันคนกำลังให้บริการ BPO แก่บริษัทต่าง ๆ ของประเทศญี่ปุ่น หรือแม้แต่ในประเทศที่
กำลังพัฒนาเอง รูปปั้น Virgin of Guadalupe ที่ชาวเม็กซิกันนับถือและวางขายอยู่ในประเทศเม็กซิโกนั้นขณะนี้ทำ
จากประเทศจีน ประสบการณ์เหล่านี้เปรียบเสมือนว่าปัจจุบันเราอยู่ในโลกที่แบน และผลที่เกิดขึ้นก็คือการเผชิญหน้า
กันในสนามการแข่งขันภายใต้สภาพแวดล้อมเดียวกัน (level playing field)
2. กระแสโลกาภิวัตน์ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์มี 3 ช่วง ได้แก่ (1) Globalization-1.0 เริ่มจากปี ค.ศ. 1942 มี
กลไกการเปลี่ยนแปลงคือประเทศตะวันตก เช่น สเปนและอังกฤษ เป็นต้น ที่เดินทางแสวงหาอาณานิคม ทำให้โลก
เสมือนลดขนาดลงจากขนาดใหญ่เป็นขนาดกลาง (2) Globalization-2.0 เริ่มจากปี ค.ศ. 1800 โดยกลไกคือบริษัท
ข้ามชาติที่แสวงหาตลาดและแรงงานในโลกตะวันออก ทำให้โลกเสมือนลดจากขนาดกลางเป็นขนาดเล็ก (3)
Globalization-3.0 เริ่มจากปี ค.ศ. 2000 ที่เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้โลกเสมือนลดจากขนาดเล็กเป็นขนาดจิ๋ว โดย
กลไกคือคนทุกคนและทุกกลุ่มที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี (plug and play) และร่วมในกระแสโลกาภิวัตน์นี้ได้โดยไม่
จำกัดเฉพาะชาวโลกตะวันตกอีกต่อไป
3. เหตุการณ์สำคัญ ที่ทำให้โลกแบน ได้แก่
(1) 11/9/89 The wall came down and Windows came up. วันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1989 (11/9) กำแพง
เบอร์ลินถูกทำลาย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มโลกไร้พรมแดน และหลังจากนั้นอีก 5 เดือน โปรแกรม
Windows 3.0 เริ่มวางตลาด
(2) 8/9/95 People to people connectivity วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1995 บริษัท Netscape เข้าเป็นบริษัท
มหาชน ซึ่งทำให้เกิดสิ่งสำคัญ 3 เรื่อง 1) มี browser ที่ทำให้การใช้ Internet เกิดเป็นที่นิยมทั่วโลก 2) ทำให้มี
มาตรฐานที่การติดต่อสื่อสารและเชื่อมโยงกันระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์ระบบต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ 3) เกิดกระแส
Dot-Com boom จนเกิดการลงทุนในการวางสาย Fiber Optic มูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งทำให้เกิด
การสื่อสารได้ทั่วโลกโดยต้นทุนการส่งเอกสาร เพลง หรือข้อมูลลดลงอย่างมหาศาล
(3) Work Flow Software (Application to application connectivity) การที่มีมาตรฐานและการเชื่อมโยงให้
เกิดการสื่อสารกันได้ระหว่างผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ต่างกันและโปรแกรมต่างกันได้ ทำให้เกิดการแปลี่ยนแปลงใน
กระบวนการทำงาน (work flow) อย่างมาก การแบ่งปันความรู้และการร่วมงานกันเกิดขึ้นระหว่างคนที่อยู่ต่าง
สถานที่ ต่างเวลา ต่างงานกัน อย่างไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์
(4) Open-sourcing เช่นการเปิดให้ใช้โปรแกรม Linux ฟรีแก่คนทั่วไป ทำให้เกิดรูปแบบใหม่ของการสร้างสรรค์
(new industrial model of creation) และการร่วมทำงาน เช่น นักศึกษาอายุ 19 ปีของมหาวิทยาลัย Stanford
สำนักวางแผนเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ วันที่ 6 กรกฎาคม 2548
ประเทศสหรัฐอเมริการ่วมกับนักศึกษาอายุ 24 ปี ในประเทศ New Zealand พัฒนาโปรแกรม Firefox Web
Browser โดยไม่เคยพบตัวกันเลย และโปรแกรมได้มีผู้ download ไปใช้แล้วกว่า 10 ล้านคน
(5) Outsourcing เป็นรูปแบบใหม่ของการร่วมกันในกระบวนการทำงาน โดยกิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัท สามารถ
แยกออกไปทำนอกบริษัทในที่อื่นได้
(6) Offshoring การที่จีนเข้าร่วม WTO กระตุ้นการย้ายฐานการผลิตหรือแยกกิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัทไป
ต่างประเทศ (offshoring) ที่มีต้นทุนถูกกว่ามากขึ้น
(7) Supply Chaining การบริหารห่วงโซ่อุปทานในปัจจุบันทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก บริษัท Wal-Mart ซื้อ
ของจากประเทศจีนเป็นมูลค่าอันดับที่ 8 เมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าของจีน (มากกว่าการส่งออกของจีนไป
คานาดา หรือ ออสเตรเลีย)
(8) Insourcing คือการที่บริษัทเข้าไปทำงานต่าง ๆ ในบริษัทอื่น เช่น UPS ซึ่งขณะนี้รับทำงาน logistics ให้กับ
หลายบริษัท การดูแลและให้บริการแก่ลูกค้าซ่อมเครื่องคอมพิวเตอร์ของ Toshiba หรือการให้บริการลูกค้า
สั่งซื้อรองเท้าทาง nike.com นั้นจะดำเนินการโดย UPS ตั้งแต่การตอบโทรศัพท์ ซ่อมของ ห่อของ ส่งของ
จนถึงการเก็บเงิน
(9) In-forming เราสามารถหาข้อมูลให้ตัวเองได้อย่างง่ายดายจาก Internet และ search engine เช่น Google
(10) The Steroids Wireless and Voice over the Internet เป็นเครื่องมือที่เหมือนยาชูกำลังที่จะทำให้การร่วมงาน
ในรูปแบบต่างๆ ทำได้โดยมีประสิทธิภาพมาก เนื่องจากเราจะสามารถเชื่อมต่อกับใครก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ด้วย
เครื่องมือที่หลากหลาย
ทั้ง 10 เรื่องนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้โลกแบนขึ้นและเรียกปัจจัยเหล่านี้ว่า “flatteners”
4. Triple Convergence ประมาณปี ค.ศ. 2000 มีการเปลี่ยนแปลง 3 เรื่องเกิดขึ้นซึ่งเป็นกระบวนการที่จะก่อให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงของโลกต่อไปในศตวรรษที่ 21 ได้แก่
(1) First Convergence ได้แก่ การที่ flatteners ทั้ง 10 ประการได้มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เช่น informing มี
ผลต่อ outsourcing; outsourcing มีผลต่อ insourcing; insourcing มีผลต่อ offshoring เป็นต้น ซึ่งเป็น
กระบวนการร่วมและแลกเปลี่ยนงานและความรู้กันทั่วโลกโดยไม่ขึ้นกับความแตกต่างระหว่าง เวลา ระยะทาง
หรือแม้กระทั่งภาษา
(2) Second Convergence ได้แก่ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นแนวราบ (horizontal) การค้นพบกระแสไฟฟ้า
ในระยะแรกยังไม่ได้ก่อให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เนื่องจากยังต้องมีการเปลี่ยนแปลงโรงงาน
กระบวนการผลิต และพฤติกรรมการทำงานของคนจากที่เคยคุ้นเคยกับเครื่องจักรไอน้ำ ถ้าเปรียบเทียบกับใน
ปัจจุบันสิ่งที่กำลังเพิ่งเริ่มต้นก็คือการที่คนต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากแนวตั้ง คือ command and control
value creation models มาเป็น connect and collaborate horizontal value creation model
ตัวอย่างเช่น ในยุค globalization 1.0 การซื้อบัตรโดยสารเครื่องบินจะต้องซื้อผ่านบริษัทจำหน่ายบัตรโดยสาร
ซึ่งให้บริการลูกค้า ยุค globalization 2.0 เริ่มมีเครื่องขายอัตโนมัติที่สนามบินที่ลูกค้าสามารถซื้อได้ด้วย
ตนเอง ส่วนยุค globalization 3.0 ลูกค้าสามารถซื้อผ่าน internet และสั่งพิมพ์บัตรโดยสารเองที่บ้านและ
นำไปขึ้นเครื่องบินได้เลย นั่นคือลูกค้าได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นแนวราบ โดยทำงานแทนพนักงานของ
บริษัทด้วยทรัพยากรของตัวเอง ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีประสิทธิภาพและจะเกิดขึ้นอีกมากมายต่อไปในโลก
3
(3) Third Convergence ได้แก่ การที่มีคนอีก 3 พันล้านคนจากจีน อินเดีย และรัสเซีย เข้ามาร่วมแข่งขันในโลกที่
แบนขึ้น ถ้าเพียงแค่ร้อยละ 10 ของประชากรนี้ได้เข้ามาร่วมในกระบวนการโลกาภิวัตน์ก็มากกว่าจำนวน
แรงงานของสหรัฐถึงสองเท่า
5. ข้อเสนอแนะสำหรับประเทศกำลังพัฒนา
การปฏิรูปในระดับมหภาคดังเช่นในอดีต ได้แก่ นโยบายส่งเสริมการส่งออก แปรรูปรัฐวิสาหกิจ เปิดเสรีการเงิน
ปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยน ลดการอุดหนุนจากรัฐบาล ลดการปกป้องทางภาษีการค้า สร้างความยืดหยุ่นของ
ตลาดแรงงาน และ นโยบายการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ เป็นต้น ไม่เพียงพอที่จะทำให้ประเทศสามารถ
อยู่รอดในโลกแบนที่มีการแข่งขันสูง
ประเทศจำเป็นต้องมีการปฏิรูปในระดับจุลภาค โดยมีวัตถุประสงค์ให้มีกฎระเบียบและโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุน
คนในประเทศจำนวนมากที่สุดให้สามารถสร้างนวัตกรรม เป็นผู้ประกอบการ จัดตั้งบริษัท เข้าถึงทุน เผชิญการ
แข่งขัน และเป็นที่ต้องการของคนในที่ต่างๆในโลกที่จะเข้ามาร่วมงานกัน (collaborate) ทั้งนี้การปฏิรูปดังกล่าว
จะต้องมี 4 องค์ประกอบ ได้แก่
􀂃 โครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ ถนน ท่าเรือ สนามบิน และ โครงข่ายโทรคมนาคม เป็นต้น
􀂃 กฎระเบียบ ที่สนับสนุนและไม่ขัดขวางวัตถุประสงค์ข้างต้น
􀂃 การศึกษา ทั้งโอกาสและคุณภาพ
􀂃 วัฒนธรรม ประเทศที่สามารถเปิดรับแนวคิดและการปฏิบัติที่เป็น best practice จากต่างประเทศและ
ปรับเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมได้ เช่น สหรัฐ อินเดีย ญี่ปุ่น และ จีน เป็นต้น จึงจะมีโอกาสของความสำเร็จ
สูง นอกจากนี้การร่วมงานกัน ต้องมีความไว้ใจระหว่างกัน ซึ่งต้องการความอดทน และการยอมรับใน
ความแตกต่าง (culture of tolerance)
นอกจากองค์ประกอบทั้ง 4 ยังมีสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ที่เป็นปัจจัยส่งผลให้บางประเทศ เช่น เกาหลีและไต้หวัน
ประสบความสำเร็จในการปรับตัว ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น อียิปต์ และ ซีเรีย ไม่ประสบความสำเร็จ ได้แก่
การมีผู้นำในสังคมที่มีวิสัยทัศน์และความตั้งใจในการผลักดันการเปลี่ยนแปลง และพลังของสังคมที่จะร่วมมือ
ร่วมใจกันในการพัฒนาประเทศ ชาวจีนขณะนี้ไม่ได้ต้องการเพียงแค่ผลิตรถ GM ได้ แต่ต้องการจะเป็นบริษัท
อย่าง GM และเข้ามาแทนที่ GM ในธุรกิจรถยนต์ให้ได้ การปฏิรูประดับจุลภาคที่สำเร็จต้องการแนวร่วมที่มี
ความหลากหลายและมีจำนวนมากจึงเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายกว่าการปฏิรูประดับมหภาคที่ผ่านมาในอดีต


Blue Ocean Strategy กลยุทธ์น่านน้ำสีน้ำเงิน
มีหนังสือเล่มหนึ่งทีน่าสนใจที่ออกมาตั้งแต่ต้นปี แต่คงไม่ช้าเกินไปที่จะนำเนื้อหาในหนังสือเล่มดังกล่าวมานำเสนอท่านผู้อ่านนะครับ หนังสือเล่มดังกล่าวชื่อ Blue Ocean Strategy เขียนโดย W. Chan Kim และ Renee Mauborgne ซึ่งทั้งคู่เป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่สถาบัน INSEAD
หนังสือเล่มนี้มีความน่าสนใจอยู่ที่พยายามนำเสนอแนวคิดทางด้านกลยุทธ์ในรูปแบบใหม่ที่ไม่เหมือนและแหวกแนวไปกว่าทฤษฎีทางด้านกลยุทธ์เดิม ๆ ที่เรารู้จักกัน จริงอยู่นะครับที่มีหนังสือและนักวิชาการหลายท่านที่พยายามที่จะนำเสนอมุมมองใหม่ของการบริหารกลยุทธ์ ( โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุมมองที่ตรงกันข้ามกับแนวคิดต่าง ๆ ของ Michael E . Porter ) แต่ส่วนใหญ่แล้วก็สามารถทำได้แค่เสนอแนวคิดและยกตัวอย่าง แต่ยังไม่สามารถนำเสนอออกมาในรูปของกระบวนการบริหารกลยุทธ์ที่เป็นรูปธรรมและชัดเจนได้
Blue Ocean Strategy ได้นำเสนอแนวคิดและเครื่องมือในการบริหารกลยุทธ์ในรูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมทั้งเครื่องมือในการวิเคราะห์ต่าง ๆ การกำหนดหรือจัดทำกลยุทธ์ในรูปแบบต่าง ๆ และแนวทางในการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ ซึ่งถือได้ว่าครบวงจรการบริหารกลยุทธ์เลยทีเดียว ท่านผู้อ่านอาจจะเริ่มสงสัยแล้วนะครับว่าทำไมต้องเรียกว่า Blue Ocean หรือทะเลสีฟ้าด้วย
เริ่มต้นก็คือผู้เขียนทั้งสองท่านพยายามนำเสนอว่าภาวการณ์แข่งขันในปัจจุบันที่บริษัทต่าง ๆ พยายามที่จะเอาชนะคู่แข่งขันด้วยการนำเสนอความแตกต่างของสินค้าและบริการ หรือการหาทุกวิธีทางที่จะลดต้นทุนให้ต่ำที่สุดนั้น ส่วนใหญ่แล้วมักจะนำไปสู่การแข่งขันและตอบโต้ที่รุนแรงจากคู่แข่งขัน
ท่านผู้อ่านอาจจะสังเกตได้จากในหลาย ๆ อุตสาหกรรมเลยครับที่การแข่งขันระหว่างบริษัทมักจะนำไปสู่เรื่องของการตัดราคาหรือพยายามเลียนแบบกลยุทธ์ของคู่แข่งให้ได้มากที่สุดเรียกได้ว่าใครออกอะไรมา อีกฝ่ายก็จะออกมาตอบโต้แบบทันควัน ซึ่งการแข่งขันในลักษณะดังกล่าวไม่ได้นำผลดีมาสู่ใครเลย และสุดท้ายก็จะเกิดการบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย เปรียบเสมือนว่าเมื่อบาดเจ็บแล้วเลือดของทั้งสองฝ่ายก็ไหลนองทั่วไปหมดเลยทำให้ทะเลกลายเป็นสีแดง หรือ Red Ocean Strategy
ส่วน Blue Ocean Strategy เป็นการหลีกเลี่ยงการแข่งขันที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายโดยองค์กรที่ใช้กลยุทธ์ดังกล่าวจะไม่สนใจต่อการแข่งขันหรือตัวคู่แข่งขันเท่าใด เรียกได้ว่าจะไม่เข้าไปแข่งขันในตลาดหรืออุตสาหกรรมเดิม ๆ แต่พยายามที่จะสร้างตลาดหรืออุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีใครสร้างหรือเข้าไป และแทนที่จะเป็นการเอาชนะคู่แข่งกลับเป็นการทำให้คู่แข่งล้าสมัยไป
เช่น กรณีของคอมพิวเตอร์ Dell ที่เข้าสู่ตลาดการผลิตคอมพิวเตอร์ตามสั่ง แทนที่จะมุ่งขายและแข่งกับ Compaq ( ในสมัยนั้น ) และผลก็คือรูปแบบหรือวิธีการในการแข่งขันแบบดั้งเดิมที่ Compaq เป็นเจ้าอยู่ก็ล้าสมัยไป นอกจากนี้พวกที่ใช้ Blue Ocean Strategy ยังไม่สนใจต่อลูกค้าปัจจุบันเท่าใดนัก เนื่องจากมองว่าเป็นอุปสรรคที่มีอยู่แล้วในอุตสาหกรรม แต่พยายามที่จะสร้างอุปสงค์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะจากผู้ที่ยังไม่ได้เป็นลูกค้าของอุตสาหกรรม ( non customers )
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ Blue Ocean Strategy นั้นพยายามที่จะลบล้างความเชื่อเก่า ๆ ในเรื่องของกลยุทธ์การแข่งขันไป โดยเฉพาะในแบบที่ Porter เสนอว่าองค์กรธุรกิจจะต้องเลือกระหว่างการสร้างความแตกต่าง ( Differentiation ) กับการเป็นผู้นำด้านต้นทุน ( Cost Leadership ) ซึ่งในอดีตนั้นเรามักจะคิดว่าจะต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง จะทำให้ดีทั้งสองอย่างพร้อม ๆ กันไม่ได้ แต่ภายใต้แนวคิดของ Blue Ocean Strategy นั้นเขาจะมองว่าพวกบริษัทที่ใช้กลยุทธ์แบบนี้จะสามารถนำเสนอได้ทั้งการสร้างความแตกต่าง และการมีต้นทุนที่ต่ำไปพร้อม ๆ กัน
เครื่องมือในการวิเคราะห์ที่สำคัญประการหนึ่งของหนังสือเล่มนี้คือสิ่งที่เขาเรียกว่า Four Actions Framework ซึ่งเป็นคำถามสี่ข้อที่ทุกองค์กรควรจะถามตนเอง เพื่อที่จะสามารถวิเคราะห์และกำหนดกลยุทธ์ที่นำเสนอทั้งความแตกต่างและการมีต้นทุนที่ต่ำ คำถามทั้งสี่ข้อประกอบด้วย

1. อะไรคือปัจจัยที่เคยคิดว่าสำคัญหรือจำเป็น ที่ปัจจุบันไม่สำคัญและจำเป็นอีกต่อไป ที่สมควรที่จะตัดและออกไปได้ ( Eliminate )

2. อะไรคือปัจจัยที่สามารถลดลงให้เหลือต่ำกว่ามาตรฐานของอุตสาหกรรม ( Reduce )

3. อะไรคือปัจจัยที่ควรที่จะยกขึ้นให้สูงกว่ามาตรฐานของอุตสาหกรรม ( Raise )

4. อะไรคือปัจจัยใหม่ที่บริษัทควรจะพัฒนาขึ้นมาที่ยังไม่มีการนำเสนอในอุตสาหกรรมมาก่อน ( Create )

ท่านผู้อ่านลองคิดตามดูก็ได้นะครับว่าในการแข่งขันในอุตสาหกรรมทั่ว ๆ ไป ( ที่เป็นทะเลเลือด )
บริษัทต่าง ๆ มักจะพยายามเลียนแบบหรือตามคู่แข่งทุกย่างก้าว ไม่ว่าใครออกอะไรมาบริษัทจะต้องออกตาม ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นอาจจะไม่มีความจำเป็นเลยก็ได้ผลก็คือสินค้าในอุตสาหกรรมที่เป็นทะเลเลือดมักจะออกมาเหมือน ๆ กันหมด และสุดท้ายก็จะแข่งกันที่ราคา
แต่การถามคำถามทั้งสี่ข้อเบื้องต้น จะทำให้เราเห็นว่าปัจจัยบางอย่างที่นำเสนอในปัจจุบันอาจจะไม่จำเป็นต้องมี หรือสามารถลดลงได้ ซึ่งถ้าทำได้ก็จะนำไปสู่การประหยัดต้นทุน และในขนาดเดียวกันก็เป็นคำถามที่ชวนให้เราต้องคิดต่อไปว่าอาจจะมีปัจจัยบางอย่างที่คู่แข่งรายอื่น ๆ ไม่ให้ความสนใจที่บริษัทจำเป็นต้องยกระดับหรือพัฒนาขึ้นมาใหม่ก็ได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องของการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า
ขออนุญาตกลับไปตัวอย่างของ Dell ท่านผู้อ่านจะสังเกตครับว่าในการผลิตและขายคอมพิวเตอร์นั้น สิ่งที่ Dell ตัดออกไปคือในเรื่องของ Showroom หรือสถานที่สำหรับแสดงสินค้าที่ให้ลูกค้ามาเลือก เนื่องจาก Dell มองว่าด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ลูกค้าสามารถเลือกที่จะสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางอื่น ๆ ได้ การตัดปัจจัยในส่วนนี้ไปทำให้ Dell ประหยัดงบประมาณไปได้มาก ทั้งในเรื่องของสถานที่หรือการผลิตสินค้าเพื่อรอคนมาซื้อ
แต่ในขณะเดียวกันสิ่งที่ Dell เพิ่มมาก็คือการเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อได้เลือกชิ้นส่วนและองค์ประกอบของเครื่องได้อย่างอิสระซึ่งเป็นสิ่งที่ในอดีตบริษัทขายคอมพิวเตอร์ทั่ว ๆ ไปไม่ได้ให้ความสนใจเท่าใด เพราะฉะนั้นสิ่งที่ Dell ทำก็คือ แทนที่จะไปแข่งในการขายในลักษณะเดียวกับบริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ เช่น Compaq แต่ Dell กลับมุ่งเน้นในการสร้างตลาดหรือช่องทางใหม่ที่ไม่เคยมีใครคิดถึงหรือเข้าไปก่อน
ท่านผู้อ่านคงจะพอเห็นภาพนะครับ เนื้อหาที่ผมนำเสนอเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยของเนื้อหาทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ถ้าสนใจก็ลองหาอ่านเพิ่มเติมได้นะครับ เชื่อว่าแนวคิดและเครื่องมือหลาย ๆ ประการในหนังสือเล่มนี้จะได้มีการนำมาใช้กันมากขึ้นในการวิเคราะห์และกำหนดกลยุทธ์ของบริษัทชั้นนำในเมืองไทยหลายแห่งครับ
Blue Ocean Strategy ( ตอนที่ 2 )
เมื่อตอนที่แล้วผมได้แนะนำถึงหนังสือชื่อ Blue Ocean Strategy เขียนโดย W. Chan Kim และ Renee Mauborgne ซึ่งทั้งคู่เป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่สถาบัน INSEAD หนังสือเล่มนี้พูดถึงแนวคิดในการบริหารกลยุทธ์ในรูปแบบใหม่ นั้นคือแทนที่องค์กรธุรกิจจะแข่งขันกันภายใต้กรอบและกลยุทธ์เดิม ๆ ที่เน้นการเอาชนะคู่แข่งขันในอุตสาหกรรมซึ่งจะนำไปสู่การแข่งขันด้วยราคา และสุดท้ายทำให้สมรภูมิการแข่งขันกลายเป็นสีเลือด หรือที่เขาเปรียบเปรยว่าเป็น Blue Ocean Strategy
หนังสือเล่มนี้พยายามนำเสนอแนวคิดใหม่ ๆ ว่าแทนที่องค์กรธุรกิจจะมุ่งเน้นแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายทำไมถึงไม่เน้นในเรื่องของการบุกเบิกหรือการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ๆ และแทนที่จะมุ่งเน้นเอาชนะคู่แข่งขัน ก็กลายเป็นการทำให้คู่แข่งขันล้าสมัยไปแทน ตัวอย่างที่ใช้เวลาที่พูดถึงองค์กรที่ใช้ Blue Ocean Strategy นั้นก็หนีไม่พ้นบริษัทที่สามารถสร้างนวัตกรรมทางกลยุทธ์ใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น Strabucks , Southwest Airlines , Dell , CNN เป็นต้น
หัวใจที่สำคัญของ Blue Ocean Strategy คือสิ่งที่เขาเรียกว่า Value Innovation ในส่วนนี้เป็นการผสมผสานระหว่างคำว่า Value หรือการนำเสนอคุณค่า และคำว่า Innovation หรือนวัตกรรม หลักการสำคัญก็คือ จะต้องมีทั้ง Value และ Innovation อยู่ด้วยกัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถก่อให้เกิด Blue Ocean Strategy ได้
ปัจจุบันในภาคราชการเรากำลังตื่นตัวในเรื่องของ Value Creation หรือการก่อให้เกิดคุณค่า แต่ภายใต้แนวคิด Blue Ocean Strategy นั้นการนำเสนอคุณค่า หรือ Value Creation อย่างเดียวคงไม่พอ เนื่องจากการนำเสนอคุณค่านั้นอาจเป็นเพียงแค่การนำเสนอหรือเพิ่มคุณค่าจริง แต่ก็ไม่ได้นำไปสู่สิ่งที่องค์กรเกิดความโดดเด่นขึ้นมาได้ ( เนื่องจากขาดนวัตกรรม )
ส่วนการมีแต่เรื่องของนวัตกรรมเพียงอย่างเดียวโดยขาดการนำเสนอคุณค่า ( Innovation without Value ) ก็มักจะเป็นเรื่องของนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีที่มุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ แต่ก็ไม่สามารถก่อให้เกิดประโยชน์หรือคุณค่าใด ๆ แก่ลูกค้า หรืออีกนัยหนึ่งคือการนำเสนอสิ่งที่อยู่เกินหรือนอกเหนือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ดังนั้น เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จขององค์กรอย่างแท้จริง คงจะต้องมีทั้งเรื่องของคุณค่า ( Value ) และนวัตกรรม ( Innovation ) ไปควบคู่กันด้วย
ความแตกต่างอีกประการที่สำคัญระหว่าง Blue Ocean Strategy กับแนวคิดการบริหารกลยุทธ์แบบเดิม ๆ ก็คือ ภายใต้แนวคิดการบริหารกลยุทธ์แบบเดิม ๆ นั้น การที่จะประสบความสำเร็จได้ องค์กรธุรกิจจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ว่าจะมุ่งเน้นการนำเสนอความแตกต่างให้กับลูกค้า ( Differentiaiton ) หรือ เน้นการเป็นผู้ที่มีต้นทุนต่ำที่สุด ( Cost Leadership ) โดยไม่สามารถเป็นทั้งสองอย่างพร้อม ๆ กันได้ ( การนำเสนอความแตกต่าง จะไม่ทำให้เกิดต้นทุนที่ต่ำที่สุด )
แต่ภายใต้แนวคิด Blue Ocean นั้น องค์กรธุรกิจที่ใช้ Blue Ocean Strategy สามารถที่จะเป็นผู้ที่นำเสนอความแตกต่าง และมุ่งเน้นการลดต้นทุนไปพร้อม ๆ กันได้ โดยการลดต้นทุนนั้นจะเกิดขึ้นจากการลดหรือกำจัดปัจจัยบางประการที่เคยมีอยู่ให้หมดไป ( Reduce หรือ Eliminate ตามที่ได้เสนอในสัปดาห์ที่แล้ว ) ส่วนการนำเสนอคุณค่าและความแตกต่างแก่ลูกค้านั้นสามารถทำได้โดยการเพิ่มหรือสร้างสรรค์ปัจจัยบางประการที่คนอื่นไม่มี หรือมีน้อยให้กับลูกค้า ( Create หรือ Raise ตามแนวทางที่เสนอไว้ )
ท่านผู้อ่านลองสังเกตตัวอย่างง่าย ๆ อย่าง Dell , Southwest , หรือ Amazon ก็ได้ครับ ทั้งสององค์กรต่างเน้นในเรื่องการลดต้นทุนทั้งคู่ แต่ในขณะเดียวกันก็ได้นำเสนอคุณค่าหรือความแปลกใหม่ให้กับลูกค้า
ทีนี้ท่านผู้อ่านคงสงสัยแล้วนะครับว่าจะสร้างกลยุทธ์ที่เป็นลักษณะของ Blue Ocean ได้อย่างไรในหนังสือเล่มนี้เขาได้เสนอแนวทางในการสร้างสรรค์กลยุทธ์แบบ Blue Ocean ไว้หลายประการด้วยกันครับ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วแนวทางเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นแนวทางที่แปลกใหม่ หรือพิสดารนะครับ แต่เป็นการมองสิ่งเดิม ๆ ที่เราคุ้นเคยด้วยมุมมองใหม่ ๆ ครับ ตัวอย่างเช่น
การพิจารณาลูกค้าให้ครบถ้วน ( Chain of Buyers )
เนื่องโดยปกติเวลาเรานึกถึงลูกค้า เรามักจะนึกถึงแต่ผู้ที่เสียเงินซื้อสินค้าและบริการของเรา แต่ถ้าเราพิจารณาดี ๆ จะพบว่าลูกค้าเราสามารถแบ่งได้เป็นสามกลุ่ม ได้แก่ ผู้ซื้อ ( Purchaser ) ซึ่งเป็นผู้ที่จ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการของเรา ผู้ใช้ ( Users ) ซึ่งเป็นผู้ที่ใช้สินค้าและบริการของเรา และผู้มีอิทธิพล ( Influencer ) ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ
ถ้าเราพิจารณาดี ๆ จะพบว่าในหลาย ๆ อุตสาหกรรมและสถานการณ์กลุ่มคนทั้งสามกลุ่มเป็นคนละกลุ่มกัน ตัวอย่างชัดเจนคือการขายยาในโรงพยาบาล ผู้ที่มีผลต่อการซื้อมากที่สุดคือ ผู้มีอิทธิพล หรือ หมอนั่นเอง หรือ ในกรณีของการซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียนสำนักงานต่าง ๆ ผู้ที่มีผลต่อการซื้อที่สุดคือ ผู้ซื้อ ซึ่งมักจะเป็นคนละกลุ่มกับผู้ใช้ ดังนั้นเราจะสร้าง Blue Ocean Strategy ขึ้นมาได้จากการมองและพิจารณาลูกค้าให้ครบถ้วนรวมทั้งพยายามนำเสนอคุณค่าที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม
การพิจารณาสินค้าและบริการที่เกื้อหนุนกัน ( Complimentary products or services )
เป็นการคิดให้ครบวงจรว่าผู้ที่ใช้สินค้าและบริการเรานั้น จะทำอะไรก่อนใช้ ระหว่างใช้ และหลังใช้ เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นก่อน ระหว่างและหลังใช้นั้นจะกลายเป็นช่องทางใหม่ ๆ ที่องค์กรสามารถนำเสนอคุณค่าให้กับลูกค้าได้ ลองนึกถึงร้านขายหนังสือขนาดใหญ่หลาย ๆ แห่งก็ได้ครับ ที่ในปัจจุบันมีการนำเสนอบริการกาแฟและอาหารว่างภายในร้าน เนื่องจากระหว่างคนที่อ่านหนังสือนั้นสิ่งที่มักจะทำไปด้วยก็หนีไม่พ้นการดื่มกาแฟหรือรับทานของว่าง
การพิจารณาอุตสาหกรรมทางเลือก ( Look across alternative industry )
คำว่าอุตสาหกรรมทางเลือกนั้นไม่เหมือนกับอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าและบริการทดแทนนะครับ อุตสาหกรรมทางเลือกนั้นมักจะมาในคนละรูปแบบ หรือวิธีการกับสินค้าและบริการที่เรานำเสนอ แต่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ในลักษณะเดียวกันนึกถึงเวลาเราจะไปดูหนัง ถ้านึกถึงสินค้าทดแทนก็อาจจะนึกถึงการเช่าดีวีดีมาดูแทน แต่ถ้าเป็นอุตสาหกรรมทางเลือกก็จะเป็นร้านอาหารแทน ท่านผู้อ่านลองนึกดูนะครับ โรงภาพยนตร์กับร้านอาหาร ดูแล้วไม่ค่อยใกล้กันเท่าใดแต่จริง ๆ แล้วทั้งคู่สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่เหมือน ๆ กันได้ นั้นคือ การพักผ่อนหย่อนใจ

รศ.ดร. พสุ เดชะรินทร์
จากหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายสัปดาห์

หนังสือชื่อ : Reengineering / รื้อปรับระบบองค์กร
ผู้เขียน : Michael Hammer ร่วมกับ James Champy

Re-Engineering

Re-Engineering
การรีเอ็นจิเนียริ่งกระบวนการทางธุรกิจเป็นแนวคิดทางธุรกิจในทศวรรษที่ 1990 แต่ในทางปฏิบัติจริงก็ยังไม่ได้เป็นอะไรที่มากไปกว่าแนวคิดของการพัฒนาคุณภาพทั่วทั้งองค์การ หรือ Total Quality Management (TQM) ซึ่งมุ่งเน้นที่กระบวนการ[2]

Reengineering หรือ “การรื้อปรับระบบ” เป็นคำที่ ไมเคิล แฮมเมอร์ และเจมส์ แชมปี้ ริเริ่มใช้ในหนังสือชื่อ Reengineering the Corporation ในฐานะที่เป็นคำประกาศการปฏิวัติธุรกิจ หรือ A Manifesto for Business Revolution เมื่อปี 1993 ก่อนที่จะเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดที่จัดโดย นิวยอร์ก ไทม์ และได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศกว่า 14 ภาษา ทำให้เป็นคำที่มีการกล่าวขานถึงอย่างกว้างขวาง

คำนิยามที่ถูกต้องและเป็นทางการของการรื้อปรับระบบ หรือ Reengineering [3] คือ การพิจารณาหลักการพื้นฐานของกระบวนการทางธุรกิจ และการออกแบบขึ้นใหม่อย่างถอนรากถอนโคน เพื่อมุ่งบรรลุผลลัพธ์ของการปรับปรุงอันยิ่งใหญ่ โดยใช้มาตรวัดผลการปฏิบัติงานที่ทันสมัย และที่สำคัญได้แก่ ต้นทุน คุณภาพ การบริการ และความรวดเร็ว

ทั้งนี้ โดยมีคำศัพท์หลักที่สำคัญ ดังนี้

-พื้นฐาน (Fundamental) คำศัพท์หลักคำนี้เป็นคำถามพื้นฐานที่สุดและเป็นหัวใจสำคัญในการทำรีเอ็นจิเนียริ่ง ซึ่งธุรกิจหรือองค์การจะต้องพิจารณาถึงพื้นฐาน สมมุติฐาน หรือกฎเกณฑ์ที่รองรับการดำเนินธุรกิจ และแฝงเร้นอยู่ในแนวทางปฏิบัติที่กำหนดขึ้นในการดำเนินงานหรือการดำเนินธุรกิจ โดยทั่วไป มักช่วยให้องค์การพิจารณาได้ว่าสมมุติฐานหรือกฎเกณฑ์นั้นผิดพลาด ไม่เหมาะสมหรือล้าสมัย ทั้งนี้ โดยการตั้งคำถามว่า “ทำไมเราจึงทำแบบนี้ ? ” , “ ทำไมเราจึงต้องทำอย่างที่เรากำลังทำอยู่ ? ” หรือ “ เราต้องทำอะไร หรือเราจะทำอย่างไร เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ? ” เป็นต้น
- ถอนรากถอนโคน (Radical) เป็นศัพท์ที่แผลงมาจากภาษาลาตินว่า Radix ซึ่งหมายถึง ราก การคิดหรือการออกแบบใหม่อย่างถอนรากถอนโคน หมายถึง การมุ่งที่รากแก้วของสิ่งทั้งหลาย ซึ่งไม่ใช่เพียงการปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือเพียงผิวเผิน แต่เป็นการทิ้งของเดิมไปทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง หรือการออกแบบใหม่บนพื้นฐาน สมมุติฐาน หลักการ หรือกฎเกณฑ์ใหม่ทั้งหมด
- ยิ่งใหญ่ (Dramatic) คำศัพท์หลัก “ยิ่งใหญ่” หรือ “ใหญ่หลวง” ในที่นี้ เป็นการเน้นย้ำว่า การทำรีเอ็นจิเนียริ่งมุ่งสู่การกระทำที่จะนำมาซึ่งผลลัพธ์ของการทำงานที่ก้าวกระโดด หรือการบรรลุผลอันยิ่งใหญ่มโหฬาร เพราะความต้องการบรรลุเป้าหมายเพิ่มขึ้น การเพิ่มผลงาน หรือคุณภาพของผลงานเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่จำเป็นต้องอาศัยการทำรีเอ็นจิเนียริ่ง เพียงใช้วิธีการปรับปรุง แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยก็น่าจะเพียงพอแล้ว
-กระบวนการ (Process) คำว่ากระบวนการ นับเป็นคำศัพท์หลักที่สำคัญอีกคำหนึ่ง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสับสนหรือยุ่งยากสำหรับการทำรีเอ็นจิเนียริ่งอีกคำหนึ่ง เนื่องจากผู้บริหารหรือผู้อยู่ในแวดวงธุรกิจมักไม่ได้ให้ความสนใจกับ “กระบวนการ” ในระยะที่ผ่านมา มักมุ่งที่ตัวงาน เนื้องาน โครงสร้าง หรือตัวบุคคลผู้ปฏิบัติงานมากกว่า
“กระบวนการ” คือ กลุ่มของกิจกรรม ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมที่หนึ่ง หรือในกิจกรรมของการนำปัจจัยนำเข้า และกิจกรรมอื่น ๆ ตามลำดับ จนถึงกิจกรรมสุดท้ายที่เกิดเป็นผลลัพธ์หรือการได้รับปัจจัยนำออกที่มีคุณค่าเพิ่มขึ้น ตามแนวคิดของ อดัม สมิธ การดำเนินธุรกิจหรือการทำงานมักถูกแบ่งเป็นงานย่อย ๆ ที่ง่ายที่สุด เพื่อมอบหมายให้กับผู้ปฏิบัติงานที่เป็นผู้ชำนาญการเฉพาะด้าน ซึ่งเป็นผลให้ผู้ปฏิบัติงานในแต่ละงานมองไม่เห็นวัตถุประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่าหรือละเลยผลลัพธ์สุดท้ายของการทำงานที่ต้องการอย่างแท้จริง แต่กลับมุ่งพิจารณาหรือให้ความสนใจอยู่กับแต่ละงานย่อยของกระบวนการดำเนินธุรกิจหรือกระบวนการดำเนินงานเท่านั้น

• แนวคิดการรื้อปรับระบบ (Reengineering) เป็นการปรับเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงานใหม่ ที่ไม่สนใจการทำงานแบบเดิมที่ผ่านมา เพื่อมุ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและก่อให้เกิดผลงานเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า เพื่อเพิ่มผลผลิตลดเวลา ลดขั้นตอน ลดเอกสาร และลดค่าใช้จ่ายในการทำงาน ซึ่งระบบธุรกิจเอกชนนำมาใช้ปรับปรุงองค์กรในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาและเริ่มต้นนำมาใช้ในระบบราชการ

ขั้นตอนการรื้อปรับระบบ
1. การคิดค้นทบทวนใหม่ (Rethink)
2. การออกแบบกระบวนการทำงานใหม่(Redesign)
3. การเสริมเทคโนโลยี(Retool)
4. การฝึกอบรมบุคลากร(Retrain)
การนำแนวคิดการรื้อปรับระบบมาใช้ในระบบราชการเพื่อมุ่งปรับเปลี่ยนทันคติผู้ปฎิบัติงานใหม่ ปรับลดขั้นตอนการทำงานลงเสริมการทำงานและปรับสภาพภูมิทัศน์ให้สวยงาม สะดวกในการทำงานซึ่งเป็นมิติใหม่ของการทำงานการให้บริการของหน่วยราชการ ตัวอย่าง
- การให้บริการฝากถอนเงินของธนาคาร(แบบเดิม)
• การฝากถอนเงินผ่านขั้นตอนหลายขั้นตอน
• มีพนักงานหลายคน แบ่งหน้าที่ ฝาก ถอน ตรวจสอบ อนุมัติ ผ่านพนักงานหลายคน
• ใช้เวลานานในการฝากถอน
• ระบบการตรวจสอบด้วยเอกสาร
- การใก้บริการฝากถอนเงินของธนาคาร(แบบใหม่)
• การฝากถอนเงินมีขั้นตอนลดลง
• มีพนักงานคนเดียวทำหลายหน้าที่ ฝากถอนตรวจสอบ อนุมัติด้วยพนักงานคนเดียวกันใช้เวลาลดลง
• มีการมอบอำนาจ พัฒนาบุคลากร
• มีระบบการตรวจสอบด้วยระบบคอมพิวเตอร์

Re-Engineering คือ การ ปรับเปลี่ยน กระบวนการทำงาน ทั้งระบบ พูดง่ายๆ
ภาษาชาวบ้าน คือ โล๊ะ เป็นการ ปรับเปลี่ยน โครงสร้าง ขององค์กร บริษัท ทั้งระบบจุดไหนที่ก่อให้เกิน ความล่าช้า เช่น คนงาน พนักงาน ผู้บริหาร ไม่มีประสิทธิภาพ ก็จะทำการ เปลี่ยนแปลงทั้งระบบ (ไม่ใช่การปรับปรุงนะ) เป็นการเปลี่ยนใหญ่ ตัวอย่าง บริษัทหนึ่ง มียอดการผลิต ลดลงทุก ไตรมาศ ผู้บริหารระดับสูง หรือ เจ้าของกิจการ ก็อาจจะ พิจารณา กระบวนการทำงาน ทั้งระบบ แล้วก็เห็นว่า เป็นการยากที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้น เพราะอาจจะใช้เวลามาก จึงตัดสินใจเอาพนักงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ ออก (ล้างไพ่) แล้วทำการวางตำแหน่งงาน และดำเนินงานกันใหม่ เหมือนเปิด บริษัทใหม่ยังไงยังงั้น
-หัวใจสำคัญของการ Re-engineering อยู่ที่กระบวนการ
ลักษณะสำคัญหรือจุดเน้นของการรื้อปรับระบบ หรือ การทำรีเอ็นจิเนียริ่งอยู่ที่ การมุ่งปรับเปลี่ยนกระบวนการดำเนินงาน การทำความเข้าใจและปรับเปลี่ยนที่แนวคิดพื้นฐาน สมมุติฐาน หรือหลักเกณฑ์เดิม การเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน และการมุ่งสู่ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่หรือผลลัพธ์อันใหญ่หลวง

องค์ประกอบ ของ การรื้อปรับระบบ มี 6 ข้อ ดังนี้
-จัดโครงสร้าง ให้เป็น At come เหมาะแก่ประสิทธิภาพ และ Output เหมาะแก่ประสิทธิผล
-มีการกำหนดหน่วยงาน
-หน่วยงานแต่ละหน่วยงาน ต้องมีการเก็บข้อมูล
-เสมือนกระจุกตัว ถามไรรู้หมด
-มีการเชื่อมโยงกระบวนการต่างๆไปพร้อมกัน
-มีลักษณะ Online

The Secret
เดอะซีเคร็ต The Secret (หนังสือใหม่)
ผู้แต่ง/ผู้แปล : รอนด้า เบิร์น / จิระนันท์ พิตรปรีชา
"ทุกอย่างที่เราเป็นคือ ผลลัพธ์ของสิ่งที่เราคิด"
The Secret “เดอะซีเคร็ต” ของ Rhonda Byrne เป็นหนังสือแนวจิตวิทยา กึ่งๆ ธรรมะในแบบของตะวันตก ที่ดังไปทั่วโลก โดยเผยความลับสำคัญของชีวิต ว่าด้วยเรื่อง กฎแห่งการดึงดูด ซึ่งเป็นกฎข้อสำคัญที่ทำให้ชีวิตคุณสมความปรารถนาในทุกประการ
กฎแห่งการดึงดูด บอกเราว่า สิ่งที่เหมือนกันจะมีแรงดึงดูดเข้าหากัน ดังนั้น เมื่อคุณคิดอะไรสักอย่าง ไม่ว่าดีหรือร้าย คุณกำลังดึงดูดความคิดแบบเดียวกันเข้ามาหาตัวเอง ตัวคุณเป็นเสมือนเสาส่งสัญญาณที่ส่งกระจายคลื่นความคิดของคุณเองออกไป ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิต คุณต้องเปลี่ยนคลื่นความถี่ ด้วยการเปลี่ยนความคิดของคุณเอง
อะไรก็ตามที่คุณกำลังคิดอยู่ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก การงาน ความมั่งคั่ง และสุขภาพ จะสร้างชีวิตในอนาคตของคุณ สิ่งที่คุณคิดถึงมากที่สุดและบ่อยที่สุดจะปรากฏเป็นชีวิตรูปธรรมของคุณ แสดงให้เห็นถึงพลังของความคิด พลังของจิตที่กำหนดมันขึ้นมา ทำปัจจุบัน เพื่ออนาคตที่ดี
เคล็ดลับที่จะนำไปสู่ความสุขและความสำเร็จของชีวิต ต้องเชื่อใน “Law of Attraction” กฎแห่งการดึงดูด หรือ กฎแห่งความรัก เพราะจิตของเรามีพลังอำนาจมหาศาล พูดง่ายๆก็คือ ให้คิดแต่สิ่งที่ดี แล้วสิ่งดีๆ จะถูกดึงดูดเข้ามาหาเราเอง
The Secret หนังสือที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สร้างปาฏิหาริย์และแรงบันดาลใจให้กับชีวิตคนนับล้านทั่วโลก ให้เปลี่ยนแปลงชีวิต และความคิดในทางที่ดีขึ้น
ความลับที่ยิ่งใหญ่อยู่ในมือคุณแล้ว" ความลับนี้ถูกส่งผ่านสืบทอดมาเป็นเวลาช้านาน เป็นที่ปรารถนาอย่างมาก เป็นความลับที่ถูกปิดซ่อนเร้น ตกหล่นสูญหาย เป็นที่ฉกฉวยช่วงชิง และซื้อหาด้วยเงินก้อนใหญ่
ความลับซึ่งมีอายุเก่าแก่หลายศตวรรษนี้รู้กันเฉพาะในหมู่บุคคลผู้โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์เพียงบางราย ดังเช่น เพลโต, กาลิเลโอ, เบโธเฟน, เอดิสัน, คาร์เนกี, ไอน์สไตส์ กับบรรดานักประดิษฐ์ นักเทววิทยา นักวิทยาศาสตร์ และนักคิดผู้ยิ่งใหญ่ท่านอื่นๆ บัดนี้ ได้เวลาแล้วที่ความลับนี้จะถูกเปิดเผยต่อชาวโลกทั้งมวล "
เมื่อคุณอ่านหนังสือเล่มนี้ไปในแต่ละหน้าและได้ล่วงรู้ถึงความลับสำคัญนี้ คุณจะเรียนรู้วิธีการที่จะได้มี ได้เป็น และได้ทำทุกอย่างที่คุณต้องการ คุณจะได้รู้จักกับตัวเองอย่างแท้จริง และจะได้รู้ว่าสิ่งล้ำค่าแท้จริงที่รอคุณอยู่ข้างหน้าคืออะไร"
แพรรู้สึกประทับใจหนังสือเล่มนี้มากค่ะ เพราะอ่านแล้วจะรู้สึกได้เลยว่า นี่คือธรรมของพระพุทธเจ้า โดยการเอามาปรับใช้ในชีวิตประจำวันและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเราในทางที่ดีขึ้น จนกลายเป็นปาฏิหารย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา ซึ่งรอนดา เบริ์น ได้พิสูจน์แล้ว ได้ลองดูแล้ว แต่ใช้การอธิบายที่ไม่อ้างอิง เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา
แพรก็เลยมีแรงบันดาลใจ ที่จะอธิบายสรุปเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ โดยใช้หลักธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า และการปฏิบัติสมถและวิปัสสนากรรมฐาน โดยอาศัยความรู้ทางด้านพระพุทธศาสนาและจิตวิทยาที่แพรพอจะมีอยู่บ้าง (ฮิๆๆ) มาอธิบายเพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น
ลองติดตามดูนะคะ ว่าแพรจะเขียนได้ยังไง ช่างกล้าดีเนาะ 555
รู้จักนักเขียน Rhonda Byrne
1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพลของนิตยสาร Time
รอนดา เบิร์น โปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์ วัย 50 ปี ผู้หญิงที่ประสบปัญหาด้านความสัมพันธ์และการเงิน แต่เธอได้กลายเป็นบุคคลโด่งดังในชั่วข้ามคืน เมื่อเธอสร้างภาพยนตร์และออกหนังสือชื่อ The Secret และการเป็นผู้ทรงอิทธิพลของเธอเรียกว่าเกิดจากผลงานเขียนเล่มนี้ล้วนๆ ด้วยการสร้างปรากฏการณ์ยอดขาย DVD มากกว่า 2 ล้านแผ่น ส่วนหนังสือก็ทำยอดขายกว่า 5 ล้านเล่มในเวลาน้อยกว่า 6 สัปดาห์
เธอค้นพบความลับของ The Secret ได้โดยเริ่มจากความทุกข์ ความท้อแท้ ซึ่งเป็นแรงผลักให้เธอดิ้นรนหาทางออกจากความทุกข์นั้น และเธอโชคดีที่ได้พบคำตอบหรือความลับจากหนังสืออายุร้อยปี หลังจากนั้นข้อมูลอันเป็นความลับจากบุคคลอื่นๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาหาเธอ
“ตลอด 4 วันที่ผมอยู่กับ Rhonda Byrne เพื่อที่เธอจะถ่ายทำรายการ The Secret กับทีมงานของผม ผมถูกสะกดด้วยพลัง และความสงบของเธอ ตลอดเวลาไม่ว่างานจะมีปัญหาอะไรเข้ามา เธอก็ยังคงดูมั่นใจและเชื่อมั่นในการทำงาน และรายการของเธออย่างเต็มเปี่ยม” แจ็ค แคนฟิล์ว ผู้แต่งร่วมหนังสือซีรี่ส์ The Chicken Soup for the Soul กล่าวถึง Rhonda Byrne
The Secret เป็นหนังสือที่จะเผยความลับสำคัญของชีวิต ว่าด้วยเรื่อง กฎแห่งการดึงดูด กฎข้อที่อธิบายได้ง่ายๆว่าสิ่งที่เหมือนกันจะมีแรงดึงดูดเข้าหากัน ดังนั้น เมื่อคุณคิดอะไรสักอย่าง ไม่ว่าดีหรือร้าย คุณกำลังดึงดูดความคิดแบบเดียวกันเข้ามาหาตัวเอง
“หากคุณเชื่อมั่นในหลัก กฎแห่งการดึงดูดและทำตาม คุณจะสามารถมีทุกสิ่งที่คุณอยากให้มีในชีวิตคุณ นั่นหมายรวมถึง การปลดหนี้ งานที่โดนใจ หรือแม้แต่ตกหลุมรักใครสักคน” ตอนหนึ่งที่ Rhonda Byrne กล่าวถึงความเชื่อมั่นกับกฎแห่งการดึงดูด เมื่อออกรายการของ Oprah Winfry

“นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สำหรับการมีชีวิตอยู่ เพราะเป็นครั้งแรกที่มนุษย์เรา มีอำนาจถึงขั้นใช้เพียงปลายนิ้วก็หาความรู้ได้”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น