วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2561

กาเหว่าอึกทึก EP. 2


กาเหว่าอึกทึก 


EP.2  คดีสามเณรขวัญ


ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พ.ต.ท.สุนทรเทวา หรือสาวัตรเดช ได้มีการเรียกประชุมทีมสอบสวนคดีของเด็กหญิงแดง เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี และในวันนี้หมวดแชน จะเข้ามารายงานความคืบหน้าในการลงไปสืบสวนให้ได้รับทราบ

หมวดแชน  :  “สารวัตรครับ ผมได้เข้าไปสอดแนม และทราบมาว่า นายฉมเข้าบ่อนการพนันของนายฮวด เนื่องเนื่องจากการชักชวนของนายกล้า แต่ที่นายฉมเป็นหนี้มากมาย เพราะต้องการอยากได้เงินมาเคลียร์หนี้ที่นางเรือนไปกู้ยืมนายฮวดมา เพราะพ่อแม่ของนางเรือนต้องการไถ่ที่ดินคืนจากนายทุนโรงสี แต่ไม่มีเงินไปใช้คืนนายฮวด บวกกับนายฉมเล่นพนันเสียเพิ่มอีก นายฮวดจึงยื่นคำขาดให้นายฉมเอาลูกสาวมาขายใช้หนี้นายฮวด แต่นายฉมไม่ยินยอม จึงเครียดและติดเหล้า กลายเป็นคนสำมะเรเทเมา แม้แต่งานการ ที่เคยเป็นภารโรงอยู่ที่โรงเรียน ก็ขาดจากงานหลายวัน จน ผอ.โรงเรียนไล่ออก แล้วที่นายฉมกับนางเรือนไม่กล้ามาปรากฏตัว เพราะกลัวว่าจะถูกลูกน้องของนายฮวดตามเล่นงาน และทวงหนี้”

หมวดกบี่  :  “ถ้าอย่างนั้น เราก็ต้องเรียกตัวนายกล้า มาสอบปากคำ ว่ารู้เห็นหรือให้การช่วยเหลือนายฉมหรือไม่”

สารวัตรเดช  :  “งั้นหมวดกบี่ ลองไปติดตามเรียกตัวนายกล้ามาสอบปากคำดูซิ ว่าจะได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมหรือไม่”

หมวดกบี่  :  “ครับผม”

นายกล้า  :  “ผมไม่ได้ชวนมันเข้าบ่อนนะครับ เพราะผมเล่นการพนันไม่เป็น แต่นายฉมมาถามผมว่า พอจะรู้มั๊ยว่า มีบ่อนแถวนี้ ที่พอจะเข้าไปเล่นหากะตังค์ได้ที่ไหนบ้าง ผมก็เลยแนะนำไปว่า มี ที่บ่อนเฮียฮวด อยู่ชั้น 7 ตึกใหม่แถวเยาวราช”

หมวดกบี่ วิ่งเข้ามายังกองบัญชาการตำรวจนครบาลอีกครั้ง เพื่อพบกับสารวัตรเดชอีกครั้ง

“สารวัตรครับ เราตามจับกุมตัว 4 วัยรุ่นขาโจ๋ ที่ร่วมกันข่มขืนและทำร้ายร่างกายของเด็กหญิงแดงกับนายดำ ได้แล้วครับ มันเป็นเพื่อนบ้านละแวกบ้านเดียวกัน และก็เป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกับนายดำนั่นแหละ พวกมันรับสารภาพแล้วว่า มูลเหตุจูงใจเกิดจากเล่นพนันกับนายดำว่า ถ้านายดำแพ้ จะต้องยินยอมให้เด็กหญิงแดงเป็นแฟนกับเพื่อนในกลุ่มทุกคน หรือไปร่วมหลับนอนด้วย แต่นายดำไม่ยินยอม ทำให้พวกมันวางแผน ลวงนายดำกับเด็กหญิงแดงไปข่มขืน แต่เกิดกลัวความผิด เรื่องมันบานปลาย กลายเป็นการฆ่าปิดปากเพื่อนทั้ง 2 คน เพื่อไม่ให้ทั้ง 2 คนไปแจ้งความ”

“แล้วเรื่องรอยสักบนตัวนายดำหล่ะ”

“พวกมันทั้ง 4 คนบอกไม่ทราบ พวกมันไม่ได้ทำ และเพิ่งรู้จากตำรวจนี่แหละว่า ศพนายดำมีรอยสักอยู่ 5 แห่ง แต่ก่อนหน้านี้นายดำก็ไม่มีรอยสักตามจุดดังกล่าว มีเพียงตามลำตัวและหัวไหล่เท่านั้น”

“แสดงว่ามีคนลักลอบไปสักคำเหล่านั้น ภายหลังจากนายดำเสียชีวิตแล้ว แม้แต่เด็กหญิงแดงก็ไม่เห็นงั้นเหรอ”

“ใช่ครับ เด็กหญิงแดงบอกว่า ระหว่างที่ตนเองกับนายดำถูกฝังอยู่นั้น นายดำไม่มีรอยสักใหม่ดังกล่าว จนตำรวจมาพบศพแล้ว ภายหลังจากที่เด็กหญิงแดงได้รับความช่วยเหลือจากคุณลุงหมาย จึงพากันไปแจ้งความที่ สน.เกิดเหตุ”


จบคดีเด็กหญิงแดง  ณ ชุมชนแถบวัดระฆัง





ณ วัดประยูรวงศาวาส  บรรดาพระภิกษุ สามเณร กำลังทำวัตร สวดมนต์ในช่วงทำวัตรเย็น เมื่อเสร็จกิจ 
ลงจากศาลาการเปรียญแล้ว พระภิกษุต่างแยกย้ายไปตามกุฏิที่พักของแต่ละรูป

วันรุ่งขึ้น ช่วงบ่ายแก่ๆ ระหว่างที่พระมหาสุชีพกำลังนั่งอ่านหนังสือและพักผ่อนส่วนด้ว มีนายตำรวจ 3-4 นายเดินเข้ามายังกุฏิ เพื่อจะมาสอบปากคำพระมหาสุชีพ ที่ไปแจ้งความว่า มีสามเณรลูกวัดหายไปจากวัดเป็นเวลา 1 สัปดาห์แล้ว โดยที่ไม่มีใครทราบ และไม่ได้แจ้งว่าหายไปไหน เนื่องจากสามเณรขวัญ 
เป็นพระลูกวัดในกุฏิของพระมหาสุชีพ แม้ว่าในอดีตสามเณรขวัญเคยเกเรอยู่บ้าง และเคยแอบหนีกลับบ้านไป ไม่แจ้งให้ใครทราบ จนผู้ปกครองต้องพามาส่งที่กุฏิ แต่นั่นก็นานมาแล้ว ตั้งแต่สมัยยังบวชเป็นเณร ไม่รู้ประสีประสา แต่ว่าพอบวชเป็นสามเณร อยู่จำวัดหลายพรรษา และบวกกับได้เรียนธรรมมากขึ้น ก็มีพฤติกรรมที่ดี เปลี่ยนแปลงไป และจัดเป็นสามเณรที่มีผลการเรียนปริยัติธรรมได้คะแนนสูงสุดของวัด และยังเป็นศิษย์เอกของพระมหาสุชีพอีกด้วย สั่งสอนเป็นพระพี่เลี้ยงมานับแต่ยังบวชเณรอยู่ และยังเป็นญาติห่างๆ ของพระมหาสุชีพอีกด้วย

“ขอพบพระมหาสุชีพครับ”

“อาตมา คือพระมหาสุชีพ”

“กระผมคือพ.ต.ท.สุนทรเทวา หรือเรียกว่าสารวัตรเดช และคนนี้คือหมวดกบี่ กับหมวดแชน  เรามาเพื่อขอสอบปากคำพระมหาสุชีพเกี่ยวกับการสูญหายตัวไปของสามเณรขวัญ... โดยปกติแล้วสามเณรขวัญ เวลาไปไหนจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าหรือเปล่าครับ”

“แจ้งตลอด เขาเป็นพระสามเณรที่มีวินัย และปัจจุบันอาตมายังคอยให้เขาเรียนรู้การเป็นเหรัญญิกของวัด เรียนรู้การจดบันทึกทุกสิ่งอย่างภายในวัด ไม่ว่าจะเป็น บัญชีรับจ่ายของวัด ค่าน้ำไฟ เงินบริจาคของญาติโยม รวมถึงทำบัญชีงบดุล งบแสดงฐานะการเงินของวัดทุกอย่าง แล้วติดประกาศให้ญาติโยมได้ดู แม้แต่หมายกำหนดการของท่านเจ้าอาวาส และท่านรองเจ้าอาวาสทุกคน มีกิจธุระไปไหน วันไหน เวลาใด เขายังสามารถจดบันทึก และทำเป็นปฏิทินบอกให้พระลูกวัดทุกคนได้ทราบอย่างละเอียด”

“ดูๆ ไปสามเณรขวัญ ไม่ใช่คนที่เหลวไหล ไปมาลาไหว้ ถ้าจำต้องเดินทางออกนอกวัด อย่างน้อยก็น่าจะต้องบอกกล่าวต่อพระมหาสุชีพได้รู้ทุกครั้ง ทุกเรื่อง ถูกต้องมั๊ยครับ”

“แต่ช่วงหลังๆ มานี้ อาตมาเห็นความผิดปกติบางอย่าง ดูเหมือนเขาจะมีความลับอะไรบางอย่างที่ไม่กล้าบอกอาตมา พอสอบถามก็มีท่าทีหลุกหลิก พูดจาอ้อมค้อม กำกวม ดูลุกลี้ลุกลน และผิดปกติจากนิสัยเดิมของเขา จะเป็นคนพูดจาชัดเจน มีหลักการ และใจเย็น แต่ช่วงหลัง เขามักทำอะไรลุกลี้ลุกลน ดูสะเพร่ามากขึ้น ดูไม่ค่อยมีสติ พูดผิดพูดถูก ดูแปลกๆ เหมือนไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขาเลย”

“แล้วพอจะสันนิษฐานได้มั๊ยครับว่า สามเณรขวัญมีปัญหาอะไร ทำไมถึงมีพฤติกรรมแปลกๆ เปลี่ยนแปลงไป”

“อาตมาไม่ทราบจริงๆ เพราะช่วงหลัง เขาไม่ได้พักในกุฏิของอาตมาแล้ว เขาต้องไปเป็นหน้าห้องทำหน้าที่เลขานุการให้กับท่านเจ้าอาวาส เลยพักอยู่ที่กุฏิใหญ่ เลยไม่ค่อยได้พูดคุยกันมาได้ซัก 2-3 เดือนแล้ว แต่มีคนมาเล่าให้อาตมาฟังว่า สามเณรขวัญรู้สึกอึดอัดอะไรบางอย่าง แต่พูดไม่ได้”

“หรือว่าสามเณรขวัญจะแอบเสพยาหรือเปล่าครับ”

“เฮ้ย...หมวดแชน อย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า”

“ก็เท่าที่ฟังดู อากัปกิริยของสามเณรขวัญ มีลักษณะเหมือนคนอยากยามากๆ เลยครับ เด็กวัยรุ่นแถวบ้านผมเป็นกันเยอะเลย”

“พระมหาสุชีพ อย่าถือสาหมวดแชนเลยนะครับ เป็นแค่ข้อสันนิษฐาน แล้วจริงๆ สามเณรขวัญเคยมีประวัติเกี่ยวกับยาเสพติดหรือเปล่าครับ”

“เท่าที่อาตมาอยู่กับเขามาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยระแคะระคายว่า เขาจะข้องแวะกับยาเสพติด และเขาเป็นคนที่เกลียดและต่อต้านเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ครอบครัวเขาก็ฝากฝังอาตมาให้ดูแลเขาเป็นอย่างดี เพราะกลัวในเรื่องพวกนี้เหมือนกัน”

“ถ้าไม่ใช่เรื่องพวกยาเสพติดแล้ว ก็น่าจะเป็นเรื่องผู้หญิง สามเณรขวัญก่อนมาบวช นี่เคยมีข้องแวะกับสีกาท่านใดเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”

“ตอนเด็กๆ อาจมีบ้าง แต่เป็นตามประสาเด็กๆ แต่ครอบครัวเขานำเขามาบวชตั้งแต่ช่วงเป็นเณรและมีเว้นระยะไปเล่าเรียนหนังสือช่วงก่อนโตบ้าง ซึ่งในช่วงเวลานั้นอาตมาไม่รู้ประวัติ แต่ภายหลังอายุ 14 ปี ก็มาบวชเป็นสามเณรอยู่กับอาตมา เขาแทบไม่มีช่วงชีวิตวัยรุ่นในแบบฆราวาสเลยนะโยม จะเอาเวลาที่ไหนไปข้องแวะกับสีกาได้”

“ผมต้องขอประทานอภัยด้วยครับ เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน เพื่อให้เราสามารถล้อมวงให้แคบลงครับ”

“มีอยู่เรื่องนึงที่อาตมาว่า อาจจะพอเป็นเบาะแสได้ก็คือ ช่วงหลังๆ เขามักบ่นๆว่า ไม่ชอบทำบัญชี ปวดหัวกับตัวเลข และต้องการขอลาออกจากตำแหน่งเลขานุการท่านเจ้าอาวาส เพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเงินทอง และตัวเลขอีกแล้ว อาตมาเห็นว่าภายในวัดก็ไม่มีใครมีความรู้ด้านบัญชี ตัวเลขดีเท่าเขา จึงขอให้เขาทำหน้าที่ไปก่อน จนกว่าจะหาคนอื่นที่เหมาะสมมาแทนให้”

“แล้วเหรัญญิกวัดหล่ะครับเป็นใคร”

“ก็เป็นนายเด่น กับนางปีย์ ศิษย์ฆราวาสของท่านเจ้าคุณแช่ม เจ้าอาวาสวัดนั่นแหละ”

“เรื่องนี้ ผมว่าต้องมีลับลมคมใน อะไรแน่ๆ ผมคงต้องส่งสายสืบ ตามสืบอีกที งั้นวันนี้ผมกับคณะ ต้องขอตัวก่อน ขอบคุณท่านมหาสุชีพที่ให้ความร่วมมือในการให้ปากคำ ผมลาแล้วครับ”

“พระมหา มีคนเจอนายเลี่ยมแล้วครับ มันถูกตีหัว นอนสลบอยู่ใกล้สวนหลังวัดครับ”

“ไปดูกัน”

“นายเลี่ยมเป็นใครครับ”

“เขาเป็นศิษย์วัดหน่ะ สติไม่ค่อยสมประกอบ อาตมาจึงให้คอยทำหน้าที่ดูแลและให้อาหารสุนัขภายในวัด วันก่อนเห็นหายตัวไปอีกคน”

“พระมหาครับ ท่านเจ้าอาวาสเรียกประชุมพระลูกวัดทุกรูปด่วน ที่ศาลาการเปรียญใหญ่ครับ”

“วันนี้ หลวงพ่อมีเรื่องใหญ่จะแจ้งให้ทราบว่า เงินบริจาคในบัญชีเงินกองทุนสมทบทุนสร้างอุโบสถ และปฏิสังขรณ์ศาลา เจดีย์ สถูป สิ่งปลูกสร้างภายในวัด 11 แห่ง รวมแล้วกว่า 57 ล้านบาทหายไปจากบัญชี หลวงพ่อจึงได้ตั้งกรรมการฆราวาสร่วมกับบรรพชิต ในการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของวัดดังกล่าวทุกบัญชี และนี่มีใครรู้บ้างว่า สามเณรขวัญหายตัวไปไหน เพราะเขาเป็นคนรับผิดชอบในการทำบัญชีทรัพย์สินของวัด”

“หลวงพ่อครับ มีคนที่ดูแลบัญชีทรัพย์สินของวัดกี่คนครับ นอกเหนือจากสามเณรขวัญแล้ว”

“ผม พ.ต.ท.สุนทรเทวา สารวัตรฝ่ายสืบสวนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่ดูแลคดีการหายตัวไปของสามเณรขวัญครับ”

“ก็ยังมีพระมหาสฤษฏิ์ กับสามเณรโทน รวมถึงเหรัญญิกวัด นายเด่น กับนางปีย์อีก 2 คน”

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอนุญาติเชิญตัวทุกท่านที่เอ่ยนามเมื่อสักครู่ ไปสอบปากคำที่นครบาลด้วยครับ”

“มันเรื่องอะไรของคุณตำรวจด้วยหล่ะครับ สามเณรรูปนึงหายตัวไป จะมาสอบพวกผม ก็พวกผมไม่รับรู้นี่ครับ ว่าเขาหายไปไหน ทางที่ดีไปสอบพระมหาสุชีพดีกว่าครับ อดีตพระพี่เลี้ยงของสามเณร”

“คือผมได้สอบปากคำพระมหาสุชีพเสร็จแล้วครับ จึงขอเรียนเชิญท่านที่เหลือก็คือพระมหาสฤษฏิ์ สามเณรโทน คุณพี่เด่น คุณพี่ปีย์ ไปที่นครบาลตอนนี้เลยครับ”


จากนั้นสารวัตรเดช กับพวก ได้เชิญคนทั้ง 4 นั่งโดยสารรถตู้ไปยังนครบาล เพื่อสอบปากคำทั้ง 4 คน โดยถูกแยกสอบคนละห้อง จนถึงช่วงค่ำ ที่สารวัตรเดชกลับจากที่ทำงานถึงบ้านแล้ว พระมหาสุชีพก็ได้โทรศัพท์เข้ามาที่เครื่องของสารวัตรเดช

“สารวัตรครับ อาตมาพระมหาสุชีพนะ อาตมาอยากจะเชิญสารวัตรมายังวัดโดยด่วน ตอนนี้เลย”

“มีเรื่องอะไรเหรอครับ ต้องตอนนี้เลยเหรอครับ”

“พอดีศิษย์วัดคนหนึ่งจับขโมย ที่แอบเข้ามาขโมยพระ และเงินทำบุญใต้ฐานพระประธานในอุโบสถหลังเล็กได้ ปรากฏว่า มันร้องว่าเจอ.....?

“เจออะไรเหรอครับ”

“อาตมา อยากให้สารวัตรเดช มาดูเอง”

จากนั้นสารวัตรเดช ตามหมวดกบี่ เดินทางไปยังวัดประยูรฯ ในช่วงกลางดึก ซึ่งพระมหาสุชีพยืนรออำนวยความสะดวกอยู่ก่อนแล้ว และพาไปชี้ยังฐานพระประธานในอุโบสถหลังเล็ก

“นี่มันชิ้นส่วนของมนุษย์นี่ครับ”

“อาตมาได้ให้พระลูกวัด และศิษย์วัดช่วยกันขุดขึ้นมาแล้ว พบว่าเป็น....เชิญทางนี้ครับ อาตมาเกรงว่า จะมีคนอื่นรู้ และเรื่องนี้ไม่อยากให้ใครในวัดได้ล่วงรู้ก่อนตำรวจ อาตมาจึงได้เอาผ้าคลุมเอาไว้ก่อน นี่ครับ เชิญเปิดดูได้”


เมื่อหมวดกบี่ เปิดผ้าคลุมขึ้น ก็พบว่าเป็นศพมนุษย์ที่ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง เหม็นอืด คล้ายเสียชีวิตมานานกว่า 1 สัปดาห์ รูปพรรณสัณฐานดูไม่ออกว่าเป็นใคร  “นี่คือศพใครครับ พระมหา”

“อาตมาจำได้แม่น ไม่มีผิด นี่คือศพของสามเณรขวัญ บุคคลที่อาตมาตามหาอยู่ และได้ไปแจ้งความนั่นเอง”

“นี่เหรอสามเณรขวัญ เหตุใดจึงนำศพมาฝังอยู่ใต้พระประธานเช่นนี้ งั้นผมต้องขออายัดศพไว้ไปตรวจชันสูตรศพที่นิติเวชก่อน”

“สารวัตรเดช อาตมาขอให้ช่วยดำเนินการสืบสวนสอบสวน หาฆาตกรที่สังหารสามเณรขวัญให้ได้ เพื่อขอความเป็นธรรมให้แก่ครอบครัวของเขาด้วย”

“ไม่ต้องห่วงครับ พระมหาสุชีพ เรื่องนี้ต้องเป็นคดีใหญ่ โด่งดังไปทั่วพระนครแน่ๆ ผมจะลากคอฆาตกรที่ลงมือออกมาให้ได้”


“สารวัตรครับ เจอรอยสักบนตัวศพอีกแล้วครับ”


“ไก่ ตาย จิก โอ่ง เด็ก”


โปรดติดตามใน EP. ต่อไป

คดีของสามเณรขวัญ ผู้เขียนได้แรงบันดาลใจมาจาก คดีฆาตกรรมสามเณรปลื้ม และฝังโบกปูนอยู่ใต้ฐานพระพุทธรูป พัวพันผลประโยชน์เงินมหาศาล ที่วัดท่าวังตะวันตก อันเป็นจุดเริ่มต้นของการสืบค้นคดีมหากาพย์เงินทอนวัด ซึ่งกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญและทำลายวิกฤติศรัทธาของพุทธศาสนิกชนเป็นอันมาก   


                                          
      



กาเหว่าอึกทึก EP. 1


กาเหว่าอึกทึก 


(นิยายล้อการเมือง ที่ใช้เค้าโครงเรื่องจากนวนิยายดัง 2 เรื่องคือบุพเพสันนิวาสกับกาหลมหรทึก โดยนำมาผสมกัน แล้วใช้ชื่อตัวละครร่วม โดยเล่าเรื่องผ่านเกศสุรางค์ ที่เป็นผู้สื่อข่าวสายอาชญกรรมและการเมืองจากโลกอนาคตมาสิงร่างพะนอนิจ แฟนของ พ.ต.ท.เวทางค์ แฟนของพะนอนิจ ส่วนหมื่นสุนทรเทวาเสียชีวิตแล้วมาเกิดเป็นตำรวจฝ่ายสืบสวนนครบาลในพระนคร ในยุคสมัยปัจจุบัน โดยสวมร่างของ พ.ต.ท.เวทางค์ แต่ยังคงใช้ชื่อเดิมของตนคือ พ.ต.ท.สุนทรเทวา (สารวัตรเดช)


บทเกริ่นนำ


ประเทศสาระขัณฑ์ ช่วงปี พ.ศ.2557  ได้มีการจับกุมนักการเมือง นักเคลื่อนไหวทางการเมืองกลุ่มคนเสื้อแดง และแกนนำ แนวร่วมของพรรคเพื่อไทย ไปคุมขังเอาไว้ที่เกาะกง ซึ่งรัฐบาลไทยขอเช่าเอาจากรัฐบาลกัมพูชา เพื่อนำคนเหล่านี้ไปรวมตัวกันอยู่ เพื่อไม่ให้ก่อความวุ่นวายในประเทศอีก

1 ในจำนวนนั้น มีนายโกตี๋ ซึ่งเป็นแกนนำฮาร์ดคอร์ แกนนำคนสำคัญของกลุ่ม นปช. ซึ่งได้หลบหนีออกจากประเทศไปก่อนหน้าที่จะมีการจับกุมใหญ่เหล่านักเคลื่อนไหวเหล่านี้ ไม่มีใครรู้ว่าโกตี๋ ได้ไปอยู่รวมกับเพื่อน ๆ ที่เกาะกง หรือไม่ หรือว่าอยู่ที่ สปป.ลาว และมีข่าวลือหนาหูอยู่ตลอดเวลาว่าเขาได้เสียชีวิตลงแล้ว จากการถูกอุ้มไปฆ่า หรือว่าเสียชีวิตจากการถูกล่าสังหารจากพวกเดียวกันเอง และบางกระแสก็บอกว่าเขาถูกทางการของประเทศ สปป.ลาว ขับออกนอกประเทศไปแล้ว

แต่นางสาว พะนอนิจ ซึ่งเป็นบุตรสาวของ โกตี๋ ได้รับจดหมายจากบิดาของตนว่าเป็นไข้โป้ง ลูกตะกั่วเข้าร่างจนเสียชีวิต หนูนิจได้แต่เก็บงำความเจ็บช้ำใจ เพราะคิดว่าพ่อของตนถูกใส่ร้ายป้ายสี จากทางการ ถูกข้อหาเป็นกบฏ และกลุ่มก่อการร้าย จนทำให้ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน ต้องหนีจาการตามล่าของรัฐบาลทหารในเวลานั้น จนต้องไปจบชีวิตอยู่ที่ สปป.ลาว  ก่อนตายโกตี๋ได้ฝากฝังให้หนูนิจ บุตรสาวไปอยู่กับ หมอปรีด์เปรม เพลียธุระ รับไว้เป็นลูกเลี้ยง ตั้งแต่วัย 14 ขวบปี เมื่อหมอปรีด์เปรมเห็นครั้งแรกถึงกับตะลึงงัน เพราะหนูนิจซึ่งอยู่ในวัยขบเผาะเสียเหลือเกิน  หมอปรีด์เปรมอดใจไม่ไหว เมื่อเห็นลูกเลี้ยงหน้าตาสะสวยเช่นนี้ จึงคิดมิดีมิร้าย จนคุณนายเฉลียว ภรรยาของหมอปรีด์เปรมจับได้ และคอยระแวดระวัง ต่อมาหมอปรีด์เปรมคิดแผนชั่วกระทำชำเราหนูนิจจนสำเร็จความใคร่แล้ว คุณนายเฉลียวภรรยาของหมอปรีด์เปรมโกรธมาก ตั้งใจว่าจะเอาหนูนิจไปฝากไว้ที่บ้านเพื่อนของตนแทน เพื่อไม่ให้สามีขี้หื่นของตน ได้เสียลูกเลี้ยง จนกลายเป็นภรรยาน้อยมีลูกขึ้นมา ในขณะที่หนูนิจก็ไปแอบชอบ พ.ต.ท.สุนทรเทวา สารวัตรหนุ่มรูปงาม พ่อหม้ายเนื้อหอมแห่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลพระนคร เมื่อคุณนายเฉลียวล่วงรู้จึงรีบทาบทาม สารวัตรหนุ่มพ่อหม้ายคนนี้ให้แต่งงานกับลูกเลี้ยงของตน เพื่อปิดทางไม่ให้สามีตนมายุ่งกับหนูนิจ ซึ่งตอนแรก พ.ต.ท.สุนทรเทวา ก็ไม่ได้มีใจชมชอบหนูนิจเท่าไหร่ แต่พอเห็นว่าหนูนิจมีจริตก้าน ความเป็นแม่ศรีเรือนครบถ้วนบริบูรณ์ เก่งทั้งงานบ้าน งานเรือน อีกทั้งยังทำงานเป็นครูสอนหนังสือเด็ก ก็เลยมีใจให้ จึงเปิดใจลองคบหาดูใจกันก่อน 1 ปี ก่อนจะตกลงปลงใจแต่งงานกันในที่สุด 





EP.1  คดีเด็กหญิงแดง

ประเทศสาระขัณฑ์ ปี.พ.ศ. 2760 

เกศสุรางค์เป็นหญิงร่างท้วม ขาบู๊ เธอมีอาชีพเป็นนักข่าวสายการเมืองและอาชญากรรม วัย 25 ปี ทำงานให้กับสถานีโทรทัศน์ช่องนนทรี แม้งานในอาชีพต้องเผชิญแต่เรื่องราวดาร์กๆ โหดร้ายทารุณ แต่เธอเป็นคนโรแมนติก และมีทัศนคติแบบมองโลกในแง่บวก หรือพวกโลกสวย เธอมีความรู้ในหลากหลายแขนง เพราะจบปริญญา 2 ใบ สาขาอาชญวิทยา กับโบราณคดี ปวศ. จากรัฐศาสตร์จุฬาใบหนึ่ง และจากศิลปากรใบหนึ่ง และยังชอบศึกษาเรื่องพุทธศาสนา ภาษาสันสกฤติ บาลี เป็นงานอดิเรกอีกด้วย วันนี้เธอไปทำข่าวที่ทำเนียบตามเคย และเกิดการโต้เถียงกับคณะผู้บริหารประเทศคนใหม่ ซึ่งเป็นนักธุรกิจ และนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยี และกำลังได้รับความนิยม เนื่องจากมีวาระประเทศที่จะเข้ามาปราบปรามการคอร์รัปชั่นทุจริตของประเทศ โดยคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ เป็นคนรุ่นใหม่เกือบทั้งหมด วัยไม่เกิน 40 ปี อายุเฉลี่ยอยู่ราวๆ 38 ปี  และส่วนใหญ่มีดีกรีจบนอก มีทั้งระดับ ดร.หรือปริญญาโท และยังเคยเป็น start up หรือนักธุรกิจระดับประเทศที่ประสบความสำเร็จในภาคธุรกิจมาแล้ว และยังเป็นบรรดาลูกท่านหลานเธอของบรรดาตระกูลเจ้าสัวรายใหญ่ของประเทศแทบทั้งสิ้น หาใช่ลูกตาสีตาสา ไต่เต้าขึ้นมามีอำนาจหาใช่ไม่ เวลานักข่าวถามเป็นภาษาไทย บรรดา พณ.จะตอบเป็นภาษาอังกฤษสลับไทยบ้าง หรือบางทีก็ไล่ยาวเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย แล้วให้นักข่าวงงตาแตกไปแปลความกันเอาเอง เกศสุรางค์เริ่มเบื่อกับบรรดาผู้นำ ผู้บริหารประเทศเหล่านี้ ที่ดูภายนอกเหมือนเป็นคนมีกึ๋น มีสมอง หัวนอกทั้งหลาย แต่พอถามลึกๆ ลงไป หาได้มีแก่นสาระไม่ ระบบคิดยังคงเป็นแบบนายทุน ที่ถนัดสั่งการ และพูดจาดูมีหลักการ แต่อยู่บนหอคอยงาช้าง จับต้องไม่ได้ และส่วนใหญ่เท้าไม่เคยสัมผัสพื้นหรือหัวใจคนจนตามชนบทเลย มีวิถีแบบนายทุน คนเมืองและ อยู่ในโลกศิวิไลซ์ ที่เต็มไปด้วยศัพท์สูงและถูกครอบด้วยเทคโนโลยีท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอดตลอดศก คอยเป็นข้าทาสของประเทศเจริญแล้วอยู่ร่ำไป

“เฮ้ย เรืองฤทธิ์ วันนี้เราไปกินข้าวกันที่สวนอาหารบุพเพสันนิวาสกันดีกว่า เพื่อรื้อฟื้นความหลังครั้งที่สยามประเทศยังอบอุ่น ผู้คนรักใคร่กัน ไม่เห็นแก่ตัวกันเช่นนี้ดีกว่า”

ระหว่างทางขับรถ ตรงบริเวณสี่แยกตัวเมืองอยุธยา มีรถมอเตอร์ไซด์เด็กแว้นต์โผล่ออกมา ตัดหน้ารถของเธอ เธอจึงหักหลบไม่ให้ชน แต่ทิศทางดันไปเผชิญกับรถบรรทุกสินค้าที่พุ่งตรงมา รถเกิดการประสานงาเข้าอย่างจัง ทำให้เกศสุรางค์เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที เนื่องจากศีรษะของเธอไปกระแทกเข้าอย่างจังกับแผงกันชนของรถบรรทุก ส่วนเรืองฤทธิ์ที่นั่งอยู่ด้านข้าง กระเด็นออกจากตัวรถ ได้รับบาดเจ็บสาหัส มีหน่วยกู้ภัยเอาตัวไปถึงยังโรงพยาบาล ช่วยชีวิตไว้ได้ทัน และต้องอยู่ในห้องไอซียู ร่วมเดือน กว่าจะพ้นขีดอันตราย เกศสุรางค์ ต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แต่เดชะบุญ วิญญาณของเธอได้ไปสิงอยู่ในร่างของนางสาวพะนอนิจ 

ปี พ.ศ. 2557 ในช่วงที่สาระขัณฑ์ปกครองโดยรัฐบาลทหาร คสช.

พะนอนิจ   “ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง   มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
                   โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
                   ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
                   ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
                   ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
                   ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ”

สารวัตรเดช   “แหม คุณครูนิจ ต้องการจะว่ากระทบกระเทียบใครหรือเปล่าจ๊ะ”

พะนอนิจ  “ก็ใครบางคน นั่นแหละที่ชอบ ดื่มสุรา เมามายอยู่เรื่อย แล้วอ้างว่าเครียดเรื่องงาน”

สารวัตรเดช  “ก็นิดหน่อยอ่ะจ้ะ มันก็ต้องมีบ้าง เวลาสังสรรค์กับลูกน้อง หรือจะให้พี่ชวนกันดื่มนมกัน”

พะนอนิจ   “อย่าให้รู้นะว่าไปดื่มนม จากแม่วัวตัวเป็นๆ เอ๊าะๆ สดๆ  ที่ไหน แม่จะตามอาละวาดถึงชีวิตเชียว”

สารวัตรเดช  “ โถๆๆ.....พี่มีเมียสวยและสาวขนาดนี้ จะไปหาเศษหาเลย ทำไมอีกหล่ะจ๊ะ พี่ยังอยากให้เรามีลูกด้วยกันเร็วๆ เลย แต่นิจอ่ะ ไม่เปิดโอกาสให้พี่บ้างเลย”

พะนอนิจ   “พี่เดช รู้มั๊ยว่าวันนี้ ในโรงเรียนกำลังเครียดกันอยู่ ไม่มีกระจิตกระใจ จะพูดคุยเล่นกันเลย”

สารวัตรเดช  “มีเรื่องอะไรกันหรือจ๊ะ หรือว่าเด็กมันเฮี้ยว จนคุณครูปราบไม่อยู่อีก”

พะนอนิจ   “ไม่ใช่หรอกค่ะ แต่ว่ามีเด็กหาย ไม่มาเรียนร่วมสัปดาห์แล้ว พอถามไปทางผู้ปกครอง ก็บอกว่า เด็กหายออกจากบ้านไปตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมา แล้วก็ไม่ได้กลับมาบ้านอีกเลย”

สารวัตรเดช   “อ้าว! แล้วทางผู้ปกครองไปแจ้งความเรื่องคนหายหรือยัง”

พะนอนิจ   “แจ้งแล้วค่ะ แต่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทางผู้ปกครองก็เลยมาปรึกษานิจ ว่าจะทำอย่างไรดี”

สารวัตรเดช  “แล้วตอนนี้ คดีไปอยู่ที่ไหน ใครรับผิดชอบหล่ะ”

พะนอนิจ   “ก็หมวดกบี่ ลูกน้องพี่เดชนั่นแหละ เป็นคนทำคดีนี้ ช่วยเร่งสืบให้หน่อยสิคะ สงสารหัวอกคนเป็นพ่อแม่ ที่ไม่รู้ว่าลูกสาวของตนหายไปไหน”

สารวัตรเดช เมื่อเข้ามายังกองบัญชาการตำรวจนครบาล ก็รีบถามเอาความจากหมวดกบี่ว่า มีเบาะแสอะไรคืบหน้ามั๊ย

“ผัวนางชะลอ ไปหาของในป่า ได้กลิ่นซากเน่าอยู่บริเวณนั้น จึงเดินลงไปดูที่ก้นเหวของป่า พบมีกองดินทับฝังอะไรอยู่ จึงลองขุดดู พบมีศพผู้หญิงถูกฝังอยู่ ประกอบกับนางชะลอบอกว่า เมื่อคืนมีคนมาเข้าเฝ้า เป็นเด็กผู้หญิง บอกว่าเจ็บปวดทรมานมาก ให้มาช่วยหนูหน่อย หนูอยู่ในป่าข้างล่าง”

“ฆาตกรรมอำพรางงั้นเหรอ”   สารวัตรเดช

“เราพบว่ามีร่องรอยถูกแทงด้วยมีดและทุบด้วยหินที่ศีรษะ และบริเวณอวัยวะเพศมีร่องรอยถูกข่มขืน ญาติของเหยื่อเล่าว่า ก่อนจะมาพบศพ ล่าสุดเด็กหญิงแดงนั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์ออกไปกับเพื่อนชายคนสนิท ที่คาดว่าจะเป็นแฟน โดยมีการชักชวนกันของเพื่อนสนิทอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจจะนัดไปเคลียร์ใจกัน แต่เพื่อนชายของเหยื่อเป็นผู้ถูกทำร้ายแทนจนเสียชีวิต”   หมวดกบี่

“คนทำเป็นเพื่อนของเหยื่อ ถ้าอย่างนั้นก็ตามตัวไม่ยาก รีบไปตามสืบว่า กลุ่มเด็กพวกนี้มีใครบ้าง”

“ไม่น่ายากครับ เพราะจริงๆ แล้วเด็กหญิงแดงคือผู้ที่รอดชีวิต และตะเกียกตะกายจากหลุมที่ถูกฝัง มาแจ้งความเองครับ”  หมวดกบี่

“ฮะ....แล้วศพที่เจอหล่ะ”   สารวัตรเดช

“เป็นนายดำ แฟนของเหยื่อเอง และที่น่าแปลกใจก็คือ เราพบรอยสักบนร่างกายของศพเหยื่อด้วยครับ”   หมวดกบี่

“รอยสักงั้นเหรอ เป็นอย่างไร”  สารวัตรเดช

“งั้นเชิญสารวัตรไปยังห้องชันสุตรศพ คุณหมอจะเป็นผู้ชี้แจงครับ”   หมวดกบี่

“ผู้ตายเป็นเด็กหนุ่มวัยฉกรรจ์ อายุราว 18 ปี รูปร่างล่ำสัน กำยำ หน้าตาดี มีรอยสักตามตัวแบบพิมพ์นิยมทั่วไป มีเจาะหูด้วย แต่ที่เพิ่มมาก็คือรอยสัก 5 จุด ตรงหน้าผาก หลังฝ่ามือ และหลังฝ่าเท้าครับทั้ง 2 ข้าง มีคำว่า   ขี้ ไหล ฝน หมู ตก   ซึ่งเราไม่รู้ว่า ฆาตกรสักคำเหล่านี้ไปเพื่ออะไร มีนัยยะแอบแฝงอะไรครับ”    หมอแล็บแพนด้า

“ผู้ตายคือแฟนของเหยื่อ ถูกลวงมาฆ่างั้นเหรอ”   สารวัตรเดช

“ใช่ครับ มูลเหตุจูงใจน่าจะมาจากความหึงหวงครับ”   หมวดกบี่

“กระทำโหดเหี้ยมมาก ทั้งแทง และเอาหินทุบหัว จากนั้นก็นำไปฝังดินเพื่ออำพรางศพอีกที แล้วร่องรอยถูกข่มขืนนี่มันของศพที่ตายหรือของเหยื่อกันแน่ครับ”   สารวัตรเดช

“ทั้งคู่เลยครับ แฟนของเหยื่อที่เป็นหนุ่มก็ถูกรุมข่มขืนทางทวาร ส่วนเหยื่อสาวก็ถูกข่มขืนเช่นกัน และจากนั้นพอสังหารเหยื่อชายแล้ว ก็ทำร้ายจนเหยื่อผู้หญิงสลบ จากนั้นก็ฝังทั้งเป็น โดยมัดมือมัดเท้ามัดปิดปากเหยื่อผู้หญิงไม่ให้สามารถหนีหรือรอดจากการถูกฝังได้ แต่เหยื่อผู้หญิงอาศัยความพยายามสุดชีวิต จนแก้เชือกมัดมือกับเท้าได้สำเร็จ พอรุ่งเช้าก็ตะโกนเรียก จนคุณลุงหมายแฟนของป้าชะลอมาพบเจอเข้าจึงช่วยเหลือชีวิตขึ้นมาได้”  หมวดกบี่

“แล้วตอนนี้ พ่อแม่ของเด็กหญิงแดงไปไหน”  สารวัตรเดช

“นางเรือน แม่ของเด็กหญิงแดง พอเกิดเรื่องก็กลัวความผิด หนีไปหลบบ้านญาติ ส่วนนายฉมพ่อของเด็กหญิงแดง เป็นคนจรจัด ขี้เหล้าเมายา เล่นการพนันจนหมดตัว เป็นหนี้พนันของบ่อนนายฮวด จนต้องเอาเด็กหญิงแดงไปขาย จนมาเกิดเรืองเสียก่อนครับ”  หมวดกบี่

“น่าเวทนาแท้ เราต้องติดตามตัวพวกแก๊งค์เด็กวัยรุ่น เพื่อนๆ ของเด็กหญิงแดงมาสอบปากคำให้หมด ว่าใครมีส่วนร่วมในการลงมือข่มขืน และสังหารเด็กหญิงแดงกับแฟนหนุ่มให้ได้”  สารวัตรเดช

“หมวดกบี่ แล้วหมวดแชน หายไปไหน”

“มานู่นแล้วครับ”

“หมวดแชน ผมจะให้คุณไปสืบดูนะว่า ในกลุ่มวัยรุ่นเพื่อนของเด็กหญิงแดง มันมีเรื่องอะไรกัน แล้วใครเป็นหัวโจกย์”

“ได้ครับ เรื่องเอา....เด็กนี่ผมถนัดเลยครับ....เอิ่ม ผมหมายถึงเอาความกับเด็ก”

“แล้วไปสืบเรื่องนายฉมกับนางเรือนด้วย ว่าเหตุใดลูกสาวเกิดเรื่องขนาดนี้ ยังไม่มาปรากฏตัวเลย”


สารวัตรกลับไปถึงบ้านตอนช่วงค่ำ ก็นำเรื่องคดีความของเด็กหญิงแดง เล่าให้พะนอนิจฟัง รวมถึงคำสักปริศนาบนตัวของแฟนหนุ่มผู้ตายของเด็กหญิงแดงด้วย

“มันมีคำว่า ขี้ ไหล – ฝน – หมู ตก  มันต้องการจะสื่ออะไรนะ”

“โดยคำแต่ละคำ มันมีความหมายอยู่ในตัว แต่เมื่อจับมาผสมกัน ยังบอกไม่ได้ค่ะว่า มันต้องการสื่ออะไร พอดีเกด มาจากโลกอนาคต  ไม่เข้าใจคำเหล่านี้เหมือนกัน ในยุคก่อน มันมีคำพวกนี้ด้วยเหรอคะ”

“อ๋อ...ผมรู้แล้ว มันน่าจะเป็นคำว่า ฝนตกขี้หมูไหล แต่เราก็ไม่ทราบอยู่ดีว่า ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่”

“แล้วมันมีความหมายว่าอะไรค่ะ คำๆ นี้”

หมายถึง ทำตัวเหลวไหลคล้อยตามไปด้วยกัน ชักชวนกันไปทำในสิ่งที่ไม่ดี ครับ”

“ถ้าอย่างนั้น เกดเข้าใจแล้วค่ะ พี่เดช มันต้องมีนัยยะแฝงบางอย่างที่ต้องการบอกแน่ๆ ค่ะ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่รู้”

โปรดติดตามต่อใน ep. ต่อไป




อ้างอิง คดีนี้ ผู้เขียนได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริง ของคดี 4 โจ๋พัทลุงรุมโทรมเพื่อนสาวและแฟน หวังฆ่าปิดปากด้วยการฝังและโยนร่างลงจากเหว แต่เหยื่อรอดปาฏิหารย์  ตามคลิปข้างล่างนี้



วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2561

ยุทธจักรนักการเมือง ตอนโพเดี้ยมเย้ยยุทธจักร


ตอนโพเดี้ยมเย้ยยุทธจักร  (ดัดแปลงเค้าโครงมาจาก นิยายเรื่อง กระบี่เย้ยยุทธจักรหรือเดชคำกีร์เทวดา) เพื่อให้เข้ากับการเมืองของประเทศสาระขัณฑ์ตอนนี้

เรื่องย่อโดยสังเขป
            
สุคานธี ศิษย์เอกของสำนัก กปปส.(หรือสสปก.) ได้พบและคบหากับอุจระ และสนธิลับ แกนนำ  แห่งพรรคพลังประชารัฐ โดยบังเอิญ และได้เข้าช่วยเหลือให้ความปรารถนาของ ป๋านาฬิกา แห่งสำนักบ้านป่ารอยแหว่ง และลุงตุ๊ดตู่ติ๊ดชึ่ง (ประมุขแห่งบ้านตะวันจันโอชา) ที่ต้องการล้างมือจากยุทธภพ (ชั่วคราว) บรรเลงเพลง นาฬิกาเย้ยยุทธจักร และ 6 single ที่ชาวบ้านอุดหูไม่อยากฟัง ที่ทั้ง 2 ลุงกับป๋า สานฝันอยากกลับมาเป็นเจ้ายุทธภพให้เป็นจริงขึ้นมาอีกสมัย ทำให้เริ่มขัดแย้งกับจอมยุทธฝ่ายธรรมะ และถูกอาจารย์ลงโทษให้ไปเก็บตัวอยู่บนผาสำนึกตนเป็นเวลา 1 ปี ห้ามลงจากเขาเด็ดขาด ที่ผาฯ นั้นเอง สุคานธี ได้พบกับ ปรมาจารย์จอมพลิกลิ้นหลักกูให้เป็นหลักการได้ ก็คือปรมาจารย์ด้านกฏหมายแห่งกรุงลงกาพิษณุ และได้รับการถ่ายทอด เก้ากระบี่ต๊กโกว (9 หลักกูให้เป็นหลักการสำเร็จ) ทำให้ฝีมือรุดหน้าอย่างรวดเร็ว จนถูกคนเข้าใจผิดว่า  ขโมยฝึกวิชา เพลงโพเดี้ยมปราบมาร ของตระกูลลิ้น
           
ด้วยเหตุที่ถูกเข้าใจผิด จึงได้มีวาสนาได้ใกล้ชิดกับ งามจันทร์ ธิดาเทพแห่งบ้านตะวันจันโอชาเข้า และก่อตัวเป็นความรัก ยิ่งทำให้ขัดแย้งกับชาวยุทธฝ่ายธรรมะมากยิ่งขึ้นไปอีก จนถูกอาจารย์ขับออกจากสำนักในที่สุด หลังจากนั้น ความรักของทั้งคู่ก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อช่วยอาการบาดเจ็บของ สุคานธี งามจันทร์ ยอมบุกเข้าวัดธรรมกายเพื่อขอความช่วยเหลือ โดยไม่สนถึงฐานะธิดาเทพของตน ยอมอยู่วัดธรรมกาย 10 ปี แลกกับความช่วยเหลือสุคานธี
           








ต่อมา สุคานธี ได้เข้าช่วยเหลือพ่อของ งามจันทร์ ออกจากคุกใต้ทะเลทราย โดยไม่รู้ว่าที่แท้พ่อของนางก็คือ ลุงตุ๊ดตู่ติ๊ดชึ่ง อดีตประมุขบ้านตะวันจันโอชา และได้เรียนวิชา มหาเวทดูดดาว เข้าโดยบังเอิญ สุคานธี ทราบข่าวว่า งามจันทร์ ถูกกักตัวอยู่ที่วัดธรรมกาย จึงรวบรวมเหล่าชาวยุทธบุกธรรมกาย เพื่อช่วยนางออกมา ต่อมา สุคานธี ได้เข้าช่วยเหลือ งามจันทร์ ชิงตำแหน่งประมุขพรรคมารคืนจาก ไก่อูคลุกป้าย (นักการเมืองอีแอบข้างกายที่ชอบใส่ร้ายป้ายสีม็อบภาคประชาชน) และได้รับการชักชวนให้เป็นรองประมุขจาก ลุงตุ๊ดตู่ติ๊ดชึ่ง แต่ว่า สุคานธี ปฏิเสธ แล้วจากมา
           




ในขณะเดียวกัน จ้อ(ทุกเวที)เฮียกวง เจ้าสำนักทาสเจ้าสัว ผู้นำแห่ง 5 ขุนเขาโพเดี้ยม (ตระกูลเจ้าสัวใหญ่) ได้เริ่มดำเนินแผนรวมห้าขุนเขาโพเดี้ยมเป็นหนึ่ง เพื่อก้าวสู่ความเป็นใหญ่ในประเทศ แต่ รสนาซือไถ้ เจ้าสำนัก NGO คัดค้านไม่ยอมคล้อยตามกับโครงการ EEC รสนาซือไถ้ จึงถูก จ้อเฮียกวง ลอบทำร้าย (ใส่ร้ายหาว่าขวางความเจริญประเทศ) โชคดีที่ได้ สุคานธี เข้าช่วยเหลือจึงรอดมาได้ แต่ในที่สุด รสนาซือไถ้ ก็ถูกสังหาร (ปิดไมค์ในสภาจับตัวโยนออกจากสภาไป) จนได้ โดยคนชุดดำ (ขรก.ในสภา) และได้ทิ้งคำสั่งเสียให้สุคานธี รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก NGOต่อจากเธอ หลังจากรับตำแหน่งเจ้าสำนัก NGO และชักชวนชาวยุทธให้เข้าสำนักภาคประชาชนแล้ว จ้อเฮียกวง ได้เรียกประชุม 5 ตระกูลเจ้าสัวใหญ่ เรื่องการรวมตัวกันของสำนัก 5 ตระกูลเจ้าสัว โดยการประลองโพเดี้ยมกัน ผลคือ ลุงกำนัน สามารถเอาชนะและสังหาร จ้อเฮียกวง ลงได้ แต่วิชาที่ใช้นั้น กลับเป็น เพลงโพเดี้ยมปราบมาร ไม่ใช่เพลงโพเดี้ยม กปปส. (สสปก.) แต่อย่างใด แผนการที่วางมานานของ ลุงกำนัน จึงได้ถูกเปิดเผยออกมาในการประลองครั้งนี้
           
หลังจากลุงกำนัน ได้ตำแหน่งประมุขพรรค 5 ตระกูลเจ้าสัวแล้ว ก็ได้เริ่มแผนการขั้นต่อไป คือกำจัดพรรคมาร เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่ตนเอง ลุงกำนัน ชักชวน สุคานธี ให้เข้าร่วมกับตนเพื่อช่วยกำจัดพรรคมาร สุคานธี หลีกเลี่ยง โดยอ้างการส่ง ศิษย์สำนักภาคประชาชน กลับสำนักภาคประชาชนก่อน แล้วจึงจะมาช่วยงาน พรรค 5 ตระกูลเจ้าสัวโพเดี้ยม ระหว่างทาง ได้พบเข้ากับ ลิ้มมีชัย (ซือแป๋เจ้าตำราเขียนรัฐธรรมนูญ) กำลังจะสู้กับ ดื้อสมชัย เจ้าสำนักองค์กรกลาง และ วีระสม เพื่อแก้แค้นให้นักเลือกตั้ง ที่ตรอมใจตายไป โดยเพลงโพเดี้ยมที่ใช้รวดเร็วและร้ายกาจ เป็น เพลงโพเดี้ยมปราบมารนั่นเอง ลิ้มมีชัย มีฝีมือร้ายกาจ แม้ ดื้อสมชัย และ วีระสม ร่วมมือกัน ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ ในที่สุด แม้ว่า ลิ้มมีชัย จะเอาชนะและสังหารทั้งคู่ได้สำเร็จ แต่ก็ต้องพลาดท่าถูกน้ำลายพิษของ วีระสม ทำให้กลายเป็นคนแก่มืดบอดทางจริยธรรม
          
หลังจากตาบอดแล้ว อมรศักดิ์ ติดตามดูแล ลิ้มมีชัย อยู่ไม่ห่าง ลิ้มมีชัย เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เขาฟัง รวมทั้งเรื่องการเฉือนมโนสำนึกความเป็นคนเพื่อฝึกวิชาในคัมภีร์ทานตะวัน (ร่างรัฐธรรมนูญ60) เพลงโพเดี้ยมปราบมาร อมรศักดิ์ มีความเคารพมั่น แม้เสียใจ แต่เขาก็ยังภักดีต้องการที่จะดูแล ลิ้มมีชัย ต่อไป แต่เพื่อแก้แค้น ลุงกำนัน ที่ขโมยคัมภีร์ทานตะวัน (ร่างรัฐธรรมนูญ60) ไป ลิ้มมีชัย จึงได้ลงมือสังหาร อมรศักดิ์ อย่างเลือดเย็น (ตีตกร่างรัฐธรรมนูญฉบับอมรศักดิ์) แล้วหนีไปหลบซ่อนตัวเพื่อรอการแก้แค้น ลุงกำนันต่อไป หลังจาก ลุงกำนัน ดำเนินการที่จะกำจัดพรรคมาร โดยหวังใช้ สุคานธี มาช่วยตนกำจัด ลุงตุ๊ดตู่ติ๊ดชึ่ง แต่เมื่อถูก สุคานธีปฏิเสธ จึงหันกลับมาหวังกำจัดแทน และเข้าขอความช่วยเหลือจาก วัดธรรมกาย และ สำนักธรรมปากน้ำ แต่ถูกปฏิเสธ ลุงกำนัน จึงต้องสู้กับ พรรคมาร เพียงลำพัง ทางฝ่าย ลุงตุ๊ดตู่ติ๊ดชึ่ง เองก็ต้องการให้ สุคานธี มาเข้ากับฝ่ายตนเช่นเดียวกัน จึงปล่อยข่าวเรื่องที่ สุคานธีช่วยเหลือ ลุงตุ๊ดตู่ติ๊ดชึ่ง ถึง 2 ครั้ง 2 ครา หลังจากนั้นก็ได้พาตัว สุคานธี มาที่ผาไม้ดำ (บ้านตะวันจันโอชา) และเสนอเรื่องการแต่งงานกับงามจันทร์ และรับตำแหน่งรองประมุขพรรคบ้านตะวันจันโอชา แต่เพื่อไม่ให้ผิดต่อคุณธรรม สุคานธี จึงปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ ลุงตุ๊ดตู่ติ๊ดชึ่ง โกรธเป็นอย่างมาก เอาโพเดี้ยมฟาดสุคานธี ถึงกับประกาศว่าจะไปถล่มสำนัก NGO ด้วยตนเอง สุคานธี จึงจำต้องจาก งามจันทร์ ณ ผาไม้ดำ (บ้านตะวันจันโอชา) มา
           
ข่าวการปฏิเสธตำแหน่งรองประมุขพรรคบ้านตะวันจันโอชา และตัดใจจากงามจันทร์ ของ สุคานธี เป็นที่ชื่นชมไปทั่วยุทธภพในความมีคุณธรรม ถึงกับยอมตัดใจจากคนรัก หลังจากกลับมาถึง สำนัก NGO แล้ว ไต้ซือพุทธอิสระเจ้าอาวาสวัดธรรมกาย และนักพรตพยอมเจ้าสำนักธรรมปากน้ำ ได้พาศิษย์มาช่วยเหลือต้านการบุกโจมตีของพรรคมาร ไต้ซือพุทธอิสระได้มอบ คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น (เปลี่ยนจากรักผลประโยชน์มาเป็นรักศักดิ์ศรี,รักชาติ) เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจาก วิชามหาเวทดูดดาว (วิชามารที่ดูดเอานักการเมืองรุ่นลายครามยุคบ้านเชียง จากหลายมุ้ง หลายพรรค หลายขั้ว ให้มาอยู่รวมกันเป็นพวกเดียวกัน และสนับสนุนลุงตุ๊ดตุ๋ติ๊ดชึ่งขึ้นเป็นเจ้ายุทธภพ) โดยอ้างว่าเป็นคัมภีร์ของป๋านาฬิกา
          
หลังจากที่ สุคานธี สร้างกระท่อมไม้ไผ่บนเขา NGO เพื่อหวังเป็นกระท่อมพักกายอยู่อย่างสงบ งามจันทร์ได้มาหา สุคานธี หลังจากที่จากกันที่ผาไม้ดำ (บ้านตะวันจันโอชา)

ลุงกำนัน จึงถือโอกาสนี้จับตัว งามจันทร์ไปสำนัก กปปส. (สสปก.) เพื่อบีบให้ สุคานธี ไปติดกับ ในเวลาเดียวกัน ลิ้มมีชัย เองก็ตรงมายังสำนัก กปปส. (สสปก.) เพื่อแก้แค้นเช่นกัน ในระหว่างการต่อสู้ของ ลิ้มมีชัย กับ ลุงกำนัน นั้นเอง ด้วยความช่วยเหลือของ ป้ากำนัน ทำให้ช่วย งามจันทร์ ออกมาได้ แต่แล้วด้วยความหมดอาลัยตายอยากต่อ ลุงกำนัน ผู้เป็นสามีแล้ว จึงได้ฆ่าตัวตาย ระหว่างที่ สุคานธี และ งามจันทร์ ฝังศพของ ป้ากำนัน แล้ว ก็เดินทางกลับสำนัก NGO แต่กลับพบว่าสำนัก NGO ถูกลุงกำนัน ถือโอกาสโจมตีและบังคับพาตัวศิษย์ NGO ไปผาไม้ดำ (บ้านตะวันจันโอชา)   สุคานธี และ งามจันทร์ จึงตามไปที่ผาไม้ดำ   ลุงกำนัน ได้เข้าจู่โจมผาไม้ดำ และได้ประมือกับ ลุงตุ๊ดตู่ติ๊ดชึ่ง แม้ ลุงตุ๊ดตู่ติ๊ดชึ่ง และทูตซ้าย พล.อ.พี่นก จะลงมือพร้อมกัน ก็ไม่อาจเอาชนะ ลุงกำนัน ได้ เมื่อสุคานธี และงามจันทร์ มาถึงที่ผาไม้ดำ  งามจันทร์ เห็นผู้เป็นพ่อกำลังเสียท่า จึงยื่นมือเข้าช่วย แต่สุดท้ายก็ยังสู้ ลุงกำนันไม่ได้ งามจันทร์ได้รับบาดเจ็บ  พล.อ.พี่นก บาดเจ็บสาหัส ส่วน ลุงตุ๊ดตู่ติ๊ดชึ่ง ต้องจบชีวิตการเมืองลง (แบบสุนัขจนตรอก)  


ลุงกำนัน ได้ขึ้นครองยุทธภพ (กุมอำนาจในสภา) ในสิ่งที่ตนปรารถนา คือ ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในแผ่นดิน และแล้วการต่อสู้ระหว่าง สุคานธี กับ ลุงกำนัน ก็เริ่มขึ้น ในครั้งนี้ ทั้งคู่ต่างใช้ฝีมือที่มีอยู่ทั้งหมดเข้าสู้กัน แม้ เพลงโพเดี้ยมปราบมาร จะร้ายกาจ แต่ก็ไม่อาจตั้งรับการบุกโจมตีของ เก้ากระบี่ต๊กโกว (9 หลักกูให้เป็นหลักการ) ได้ จึงต้องพ่ายแพ้และจบชีวิตทางการเมืองลงไปในที่สุดเช่นกัน ก่อนตายลุงกำนันก็ได้เปิดเผยความลับให้สุคานธีรู้ว่า ตนเองนี่แหละที่เป็นคนขโมยคัมภีร์ทานตะวัน (ร่างรัฐธรรมนูญปี 60) มา ฝึกวิชาโพเดี้ยมปราบมาร จนต้องเฉือนมโนสำนึกทางด้านจริยธรรมออก กลายเป็นนักการเมืองพรรคมารเสียเอง



หลังจากศึกบนผาไม้ดำจบลง สุคานธี ได้สละตำแหน่งเจ้าสำนักขุนเขาโพเดี้ยม ให้แก่ น้องไอติม (พลิษฏิ์) ศิษย์เอกแห่งสำนัก NGO รับสืบทอดตำแหน่งต่อไป และไปใช้ชีวิตอยู่ยัง Home Stayไม้ไผ่ จิบไวน์ บรรเลงบทเพลงโพเดี้ยมเย้ยยุทธจักร กับ งามจันทร์ ใช้ชีวิตพอเพียงเป็น smart farmer อย่างสงบ ส่วนยุทธภพก็กลับมาสงบสุข รอดพ้นจากเงื้อมมืออวิชชาของพวกนักการเมืองจังไรเหล่านั้น และสงบสุขมาตลอดอีกหลายสิบปี

หมายเหตุ  ผู้เขียนใช้ภาพประกอบ จากซีรีส์ เดชคำภีร์เทวดา เวอร์ชั่นปี 1996 ของสถานีโทรทัศน์ TVB