วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

20 เรื่องที่เราควรรู้ (4) เกี่ยวกับคุณพ่ออเมริกาผู้น่ารัก ตอนที่ 4


เรื่องที่ 4  เบื้องหลังอิทธิพลของตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ เบื้องหลังอิทธิพลของอเมริกา

ในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาของอเมริกา ครอบครัวร็อกกี้เฟลเลอร์ ถูกรู้จักในฐานะครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดทางการเงินและการเมือง ครอบครัวนี้ได้ก่อตั้งมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์” (Rockefeller Foundation) ขึ้นในปี ค.ศ.1913 ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในบรรดาศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดที่เป็นตัวกำหนดการเมืองและเศรษฐกิจของอเมริกา

มูลนิธินี้มีอิทธิพลมากในการกำหนดนโยบายต่าง ๆ ภายในประเทศและต่างประเทศของทำเนียบขาว แม้ว่ามูลนิธินี้ตามรูปการภายนอกแล้วจะทำงานเคลื่อนไหวในกิจการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสาธารณสุขและการศึกษาในระดับโลก แต่ในความเป็นจริงแล้วจัดว่าเป็นบริษัทการค้าข้ามชาติบริษัทหนึ่งซึ่งทำหน้าที่บริหารควบคุมตลาดการค้าระหว่างประเทศร่วมกับเครือข่ายต่าง ๆ ทางด้านการเงินและเศรษฐกิจที่มีอย่างกว้างขวางมากมายของตนเอง

มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller Foundation) จะทำหน้าที่ควบคุมโครงสร้างหลักของการบริหารระบบการเมืองของอเมริกาและองค์กรสำคัญต่าง ๆ ของประเทศนี้ โดยอาศัยเครือข่ายของตนที่มีอยู่ โดยกล่าวกันว่า นับจากปี ค.ศ. 1945 จวบจนถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่บุคคลที่มีบทบาทสำคัญของอเมริกาเกือบทั้งหมดที่รับผิดชอบตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ ทางด้านการเมือง ทั้งหมดล้วนเคยดำเนินกิจกรรมอยู่ในมูลนิธินี้หรืออยู่ในองค์กรต่าง ๆ ที่เป็นเครือข่ายของมัน หรือเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการช่วยเหลือจากมูลนิธินี้ มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller Foundation) มีแผนกต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ศึกษาวิจัยขั้นสูง ซึ่งจะดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความท้าทายของอเมริกาและการเขียนร่างยุทธศาสตร์และนโยบายการเมืองระดับโลกและเกี่ยวกับเศรษฐกิจของอเมริกา เพื่อการแพร่ขยายค่านิยมและสัญลักษณ์ต่างๆ แบบอเมริกันในประเทศต่างๆ นั้น มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ได้ทุ่มเทความพยายามเพื่อที่จะเปิดตัวกลุ่มต่าง ๆ ที่หลากหลายที่จะทำหน้าที่เคลื่อนไหวทางภาคการเมืองและภาคประชาชนในประเทศเหล่านี้ ความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมก็เป็นอีกโครงการหนึ่งในการศึกษาวิจัยของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ โดยรวมแล้วภารกิจหลักของมูลนิธินี้คือการพิทักษ์รักษาและป้องกันระบอบทุนนิยม

เพื่อที่จะให้บรรลุในภารกิจนี้ มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ได้ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลายาวนานนับหลายทศวรรษ ด้วยการให้การสนับสนุนทางด้านการเงินอันมากมายมหาศาลเกี่ยวกับโครงการต่างๆ และการศึกษาค้นคว้าวิจัย การควบคุมความคิดสาธารณะโดยผ่านสื่อสารมวลชนต่างๆ และได้ให้การสนับสนุนทางการเงินอย่างมากมาย ในคำรายงานนี้เราจะชี้ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของมูลนิธินี้ ในการบริหารและควบคุมความคิดสาธารณะและการโฆษณาชวนเชื่อ

  

กลุ่มร็อกกี้เฟลเลอร์และการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับสงครามจิตวิทยา

นับจากช่วงทศวรรษที่สามสิบเป็นต้นมา มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์นับว่าเป็นแหล่งที่มาหลักของการกำหนดทิศทางความคิดสาธารณะและการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับสงครามจิตวิทยาในสหรัฐอเมริกา โดยมีบทบาทสำคัญในการช่วยวางนโยบายต่าง ๆ ของอเมริกา จวบจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงเวลานั้นการสนับสนุนของรัฐบาลในการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกลไกของการโฆษณาชวนเชื่อยังมีขอบเขตที่จำกัด ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดรูปร่างและทิศทางของความคิดสาธารณะรวมทั้งการสำรวจ ส่วนใหญ่ดำเนินการโดยมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์  ในความเป็นจริงการดำเนินแผนงานต่างๆ ในระยะยาวของระบอบทุนนิยมของมูลนิธิแห่งนี้ มีความจำเป็นต้องอาศัยผลสรุปจากการศึกษาวิจัยเหล่านี้ มูลนิธินี้จะใช้ประโยชน์จากสองช่องทางเกี่ยวกับการควบคุมความคิดของสาธารณชน คือ 1) การวิจัยและตรวจสอบสภาพจิตใจของประชาชนอเมริกาเกี่ยวกับกรณีการเผชิญหน้ากับสงครามที่มีการคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในประเทศนี้ และ 2) การจัดเตรียมค่าใช้จ่ายของสงครามจิตวิทยาและการปราบปรามแนวคิดต่าง ๆ ของฝ่ายต่อต้านในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในละตินอเมริกา

สืบเนื่องมาจากการวิจัยและการรับรู้ถึงความอ่อนแอทางการเมืองของรัฐบาลของนาย “แฟรงคลิน รูสเวล” (Franklin Roosevelt) และการไร้ความสามารถของรัฐบาลนี้ในการวางแผนสำหรับการทำสงคราม จากผลของการโฆษณาชวนเชื่อของสื่อต่าง ๆ อย่างกว้างขวางทั้งภายในและต่างประเทศ มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์จึงตัดสินใจก่อตั้งสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยต่างๆ ขึ้น และได้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายของโครงการค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับวิทยุคลื่นสั้นของต่างประเทศ

เทคนิคการล้างสมองและทำให้เกิดความกลัว

การวิจัยอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับสื่อสารมวลในอเมริกา หากไม่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์นั้นย่อมไม่อาจที่จะพัฒนาก้าวหน้าไปได้ถึงขั้นนั้น แฮโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell) ศาสตราจารย์รัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิคาโก ซึ่งในระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้นเขาได้ดำเนินกิจกรรมทางด้านสื่อและการโฆษณาชวนเชื่ออย่างกว้างขวาง พร้อมด้วยนักจิตวิทยาผู้หนึ่งซึ่งมีชื่อว่า ฮัดลีย์ แคนทริล (Hadley Cantril) ที่ทำงานอยู่ด้วยกัน ทั้งสองได้จัดตั้งองค์กรต่าง ๆ ขึ้น โดยประสานความร่วมมือกันทางด้านความรู้และข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการจัดระบบแผนงานต่าง ๆ ของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ เพื่อเป็นการกำหนดทิศทาง ในช่วงทศวรรษที่ยี่สิบ ฮัดลีย์ แคนทริล เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับเนลสัน ร็อกกี้เฟลเลอร์ (Nelson Rockefeller) ในวิทยาลัยดาร์ทเมาท์ (Dartmouth College) และในช่วงสมัยหลังสงคราม เขาได้จัดระบบและจัดเตรียมข้อมูลและเทคนิคต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบและการบริหารควบคุมความคิดของสาธารณชนโดยมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ในยุโรป ละตินอเมริกาและสหรัฐอเมริกา เขาได้รับปริญญาเอกในสาขาจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย (Harvard University) และได้เขียนหนังสือจิตวิทยาวิทยุขึ้นในปี 1935 ร่วมกับกอร์ดอน อัลพอร์ต (Gordon Allport) อาจารย์ของเขาเอง

บนพื้นฐานของเอกสารหลักฐานที่ได้รับมานั้นเป็นที่ชัดเจนว่า มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ได้ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการค้นคว้าวิจัยมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนานหลายปี ซึ่งเป้าหมายของพวกเขาก็คือการบรรลุความสำเร็จในเทคนิคต่างๆ ที่จะใช้ในการล้างสมองและการสร้างความกลัวให้เกิดขึ้นในสังคม ตัวอย่างเช่น ในทศวรรษที่ 40 และ 50 บรรดานักวิจัยของมหาวิทยาลัยเยล (Yale University) ของอเมริกา ได้รับเงินกองทุนขนาดใหญ่จากมูลนิธินี้สำหรับการวิจัยเกี่ยวกับ "กลไกทางจิตวิทยาของการสื่อสาร"

จุดมุ่งหมายหลักที่มีต่อโครงการต่างๆ เหล่านี้ก็คือ ความพยายามที่แสวงหาคำตอบเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ที่ยังไม่เข้าใจ ด้วยวิธีการการที่ทำให้บุคคลเกิดความสับสน อันเนื่องมาจากแนวความคิดต่างๆ ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง โดยจะถูกนำเสนอแก่พวกขาอย่างมึนงงสับสนไม่เป็นระบบ ซึ่งประเด็นที่จะเสนอขายให้กับเขา เป็นวิธีการที่ส่งผลกระทบข้างเคียงทางด้านอารมณ์ความรู้สึกและความคิดต่าง ๆ ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจและความเชื่อ และวิธีการเปลี่ยนแปลงในขั้นตอนของตัดสินใจและความเชื่อ ในขณะศึกษาเกี่ยวกับประเด็นหนึ่งๆ จากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่งของปัจเจกบุคคล เกี่ยวกับขอบข่ายต่างๆ ที่ทีมนักจิตวิทยาและสังคมวิทยาต้องการ ภายใต้การบริหารจัดการของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์

 
งานของกลุ่มสังคมศาสตร์ในมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ 

มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์มีแผนกสังคมศาสตร์ โดยมีคาร์ล ไอ.ฮาวแลนด์ (Carl I. Hovland) นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเยล เป็นสมาชิกคนหนึ่งในแผนกนี้ และเป็นผู้รับหน้าที่การค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความเชื่อของคนกลุ่มต่าง ๆ ทิโมธี แกลนเดอร์ (Timothy Glander) เขียนไว้ในหนังสือ ต้นกำเนิดของการวิจัยมหภาค การสื่อสารในระหว่างสงครามเย็นของอเมริกาเกี่ยวกับคาร์ล ไอ.ฮาวแลนด์ว่า “ฮาวแลนด์เป็นหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของสภาผู้เชี่ยวชาญแห่งชาติหลายแห่ง เช่น สถาบันวิจัยทรัพยากรมนุษย์ของกองทัพอากาศ, มูลนิธิฟอร์ด, มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากองค์กรที่ฮาวแลนด์ได้ทำงานอยู่ในโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการควบคุมความคิดสาธารณชน  ในปี ค.ศ. 1948 มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ได้มอบเงินทุนก้อนใหญ่ให้แก่ฮาวแลนด์ เพื่อทำการค้นคว้าวิจัยอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยหวังว่าจะได้รับรู้เกี่ยวกับการสื่อสารและการเปลี่ยนแปลงความคิดและความเชื่อต่าง ๆ เพื่อใช้ในระบบการเรียนการสอนของอเมริกาและผู้บริหารงานในองค์กรใหญ่ ๆ รวมทั้งผู้ที่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเชื่อทางด้านการเมืองและพฤติกรรมของประชาชน โดยภาพรวมแล้วงานค้นคว้าวิจัยของเขาจะครอบคลุมโครงการทั้งหมดเกี่ยวกับการควบคุมความคิดเห็นของประชาชนและการกำหนดทิศทางมัน


 
สงครามเย็น การระเบิดปูพรมโฆษณาชวนเชื่อต่อประชาชนของอเมริกา

ในช่วงสมัยของสงครามเย็น ส่วนใหญ่ข้อเท็จจริงอันอึกกะทึกคึกโคมทางด้านสื่อสำหรับชาวตะวันตกนั้นเป็นที่ปรากฏชัดในรูปของความฉาวโฉ่ ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เอง มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์จึงได้เล็งเห็นว่า จำเป็นจะต้องมีการปฏิบัติการเพิ่มมากขึ้นกับประชาชนชาวอเมริกา และประชาชนเหล่านี้จะต้องเผชิญกับรูปแบบต่าง ๆ ที่ละเอียดอ่อนมากยิ่งขึ้นในการจัดการทางด้านความคิด เพื่อค่อย ๆ โน้มนำไปสู่การยอมรับแผนงานของรัฐบาลโลก ซึ่งตามกำหนดการนั้นจะถูกนำเสนอในช่วงอีกไม่กี่ปีถัดมา ในรายงานของมูลนิธิในปี 1954 ได้กล่าวไว้เช่นนี้ว่า แม้จะมีความเชื่อที่ว่า ภาพยนตร์ต่าง ๆ โทรทัศน์และหนังสือต่าง ๆ ที่เป็นภาพเล่าเรื่องราว จะเป็นสาเหตุทำให้เยาวชนในประเทศนี้กลายเป็นคนเหลวไหลเสียผู้เสียคน และดูเหมือนว่า เครื่องอำนวยความสะดวกเหล่านี้และสื่อสารมวลชนอื่น ๆ จะมีผลน้อยมากในการสร้างพลเมืองที่ดีมีคุณภาพ หรือการแพร่กระจายอุดมการณ์ประชาธิปไตยในทางบวกสำหรับสงครามเย็น และเกรงว่าสื่อสารมวลชนของสหภาพโซเวียตจะประสบความสำเร็จในการเผยแพร่ความคิดของพรรคคอมมิวนิสต์จากด้านหลังของแนวชายแดนเหล็กของตน และในประเทศต่าง ๆ ที่ล้มเหลวไปแล้ว


เพื่อที่จะขจัดความวิตกกังวลต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ และเพื่อที่จะขยายพื้นฐานทางด้านความรู้เกี่ยวกับบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงทางด้านสื่อสารมวลชน มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ได้ตัดสินใจเพิ่มการช่วยเหลือทางด้านการเงินให้กับการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับการควบคุมความคิดสาธารณะและสื่อสารมวลชนต่าง ๆ ในช่วงปี 1954ได้จ่ายไปเป็นจำนวนเงินถึง 200,000 ดอลลาร์ ซึ่งในช่วงปีดังกล่าวถือว่าเป็นเงินทุนที่มากมายมหาศาล งบประมาณที่มากมายดังกล่าวนี้เป็นเพียงตัวอย่างเดียวเท่านั้นจากบรรดาค่าใช้จ่ายอันมาศาลที่มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ได้มอบให้กับนักคนคว้าวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์ เพื่อศึกษาวิจัยและปลูกฝังแนวความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อใช้ในทิศทางของวัตถุประสงค์ในการล่าอาณานิคมของมูลนิธินี้ หนึ่งในผลของการศึกษาวิจัยเหล่านี้ คือการปรากฏให้เห็นถึงมิติทางด้านสังคมของความรู้สึกหวาดกลัวในตัวของมนุษย์ และการใช้ประโยชน์ในทางมิชอบจากมัน โดยทีมงานปลูกฝังความคิดของมูลนิธินี้ บรรดานักค้นคว้าวิจัยของมูลนิธิได้พบว่า ความหวาดกลัวนั้นไม่ว่าจะเกิดขึ้นโดยวิธีการปลูกฝังความคิดหรือจะโดยวิธีการใด ๆ ก็ตาม จะเป็นสาเหตุให้บุคคลหนึ่งกลายเป็นเหยื่อที่น่าพึงพอใจสำหรับชนชั้นสูง

 
มิติทางด้านสังคมของความรู้สึกหวาดกลัวในตัวมนุษย์ และการใช้ประโยชน์ในทางมิชอบจากมัน

ฮาวแลนด์ได้กล่าวไว้ในที่หนึ่งว่า เพื่อที่จะทำให้เกิดความหวาดกลัว พวกท่านไม่จำเป็นต้องสร้างความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน เพราะเยื่อหุ้มสมองส่วนหน้าของสมองมนุษย์จะรับผิดชอบหน้าที่ในการทำงานโดยธรรมชาติของมันเกี่ยวกับความหวาดกลัว ตัวเรามีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะสามารถจินตนาการว่าสิ่งใดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แล้วเราจะได้สัมผัสกับอารมณ์ขั้นพื้นฐาน ประเด็นดังกล่าวนี้จะส่งผลที่ดีในการพัฒนาการของเรา แต่ทว่ามันสามารถที่จะเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ อย่างเช่นความหวาดกลัวเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ว่ามันจะเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่เป็นไปได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน สุดท้ายแล้วจะสาเหตุทำให้เกิดความเครียดขึ้นในตัวเรา ซึ่งสามารถจะนำไปสู่การยอมรับการยุยงส่งเสริมจากบุคคลอื่น ๆ 

ในความเป็นจริงแล้ว ประโยคเหล่านี้ คือปัจจัยพื้นฐานของการวางแผนงานระดับมหภาคในระบอบของอเมริกา ในการเล่นเกมกับความคิดทางสาธารณะของประชาชนของตัวเอง ตลอดช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ขั้นแรกนั้นความหวาดกลัวที่เป็นเรื่องโคมลอยใหญ่โตจะถูกสร้างขึ้นมาก่อน จากนั้นความน่ากลัวดังกล่าวนี้จะถูกขยายผลให้เข้มแข็งและจริงจังขึ้นในสังคม โดยผ่านสื่อต่าง ๆ และนำไปสู่ความเครียดและความวิตกกังวล จนกระทั่งนำไปสู่ความตื่นตระหนกของมวลชนโดยรวม เมื่อถึงเวลานั้นผู้วางแผนในระดับมหภาคก็จะเข้าสู่วงจรและจะนำเสนอวิธีการแก้ปัญหาและทางออกต่างๆ ที่หลากหลาย โดยผ่านสื่อสารมวลชนต่าง ๆ ต่อมาเมื่อประชาชนเกิดความตื่นตระหนกและหวาดกลัวอย่างรุนแรง โดยที่ในสมองของพวกเขามีแต่จินตนาการถึงผลลัพธ์ของภัยคุกคามที่ใหญ่โต มันก็จะส่งเสริมให้พวกเขายอมรับวิธีการแก้ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายวิธีการ และเป็นไปตามขั้นตอนดังกล่าวนี้เองที่จะทำให้นโยบายการแผ่ขยายอิทธิพล การโหมกระพือไฟสงคราม การยาตราทัพ นโยบายต่าง ๆ ในการล่าผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ และแม้แต่นโยบายในทางต่อต้านมนุษยชาติและต่อต้านสัญชาติญาณทางด้านวัฒนธรรม ก็จะถูกเปิดทางอย่างง่ายดายสำหรับพวกเขา

 
การโฆษณาชวนเชื่อ ปัญหาที่เป็นโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่

ในช่วงกลางทศวรรษที่ 70 การศึกษาวิจัยเหล่านี้ก็พัฒนาเป็นเชิงปฏิบัติการมากยิ่งขึ้น และมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ได้เริ่มการให้สินบนต่าง ๆ อย่างมหาศาลแก่นักข่าว และรับผิดชอบทางด้านแหล่งเงินทุนแก่บรรดาสื่อรายใหญ่ เพื่อใช้ประโยชน์ในทิศทางเป้าหมายของตน หลังจากนั้นประเด็นต่าง ๆ อย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงทางด้านดิน ฟ้า อากาศและน้ำของโลก ถูกนำเสนอและโหมโฆษณาชวนเชื่ออย่างรุนแรงในสื่อต่าง ๆ ในรูปของปรากฏการณ์ที่เป็นโศกนาฏกรรม ที่เป็นผลมาจากการแทรกแซงของมนุษย์ในระบบนิเวศวิทยาและสภาพแวดล้อมในการดำเนินชีวิต หรือการนำอาหารต่าง ๆ ที่ถูกตัดต่อเลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม แล้วนำมาเสนอในฐานะยาเพื่อใช้ในการเยียวยาบำบัดโรคภัยไข้เจ็บทั้งมวลได้

ในความเป็นจริงแล้ว บนพื้นฐานของการศึกษาวิจัยอย่างกว้างที่ดำเนินการโดยแผนกสังคมศาสตร์ของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ และภายหลังจากยึดครองสื่อสารมวลชนแล้วนั้น ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของกระบวนการเล่นเกมกับอารมณ์ความรู้สึกและความคิดสาธารณชน ได้ถูกป้อนให้กับประชาชนของอเมริกาและประเทศอื่น ๆ เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ในระยะยาวของระบอบทุนนิยมของอเมริกา รายงานในปี 1974 ของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ กล่าวว่า 
บรรณาธิการบทความทางวิทยาศาสตร์หลายคนได้เรียกร้องว่า ในการประชุมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในมูลนิธิที่พวกเขาเข้าร่วมนั้น ขอให้มีการตรวจสอบปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ การผลิตอาหาร ความต้านทานของพืชต่อยาปราบแมลงศัตรูพืช ชลประทานเพื่อการเกษตร และความขัดแย้งต่าง ๆ ระหว่างประเทศ ต่อจากนั้นรายงานจากการประชุมเหล่านี้ก็ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส (New York Times) และสำนักข่าวเอพี (Associated Press) ก็ได้ตีพิมพ์คำรายงานที่มีเนื้อหาครอบคลุมออกเผยแพร่ ในทั้งสองกรณีนี้ ผู้เขียนคำรายงานต่าง ๆ ได้เข้าพบปะกับบรรดาเจ้าหน้าที่ผู้จัดทำโครงการต่าง ๆ ของเรา และมีการเจรจากับพวกเขา (ความเป็นจริงแล้วในปัจจุบันนี้ บรรดาเจ้าหน้าที่ผู้จัดทำโครงการและวางแผนงานต่าง ๆ ก็จะพบปะกับนักข่าวหนังสือพิมพ์อยู่เสมอ และจะมีการเจรจาพูดคุยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ซึ่งทุกวันนี้หัวข้อข่าวมากมายที่เกี่ยวกับมันจะถูกตีพิมพ์เผยแพร่ในสื่อต่าง ๆ อย่างเช่น เรื่องของการผลิตอาหาร ปัญหาการเพิ่มของประชากร ปัญหาสิ่งแวดล้อมและศิลปะ)


ความร่วมมือกันทั้งสองฝ่ายอย่างไร้ยางอาย

ในหลายกรณีและในบทความที่ถูกตีพิมพ์เผยแพร่นั้น มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ได้ใช้ประโยชน์ในทางมิชอบอย่างเปิดเผยจากสื่อมวลชนต่าง ๆ ด้วยการคุยโวโป้ปดและการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับโครงการของตน และในอีกด้านหนึ่งก็ไม่มีการทักท้วงและคัดค้านใด ๆ เกิดขึ้นกับสื่อทั้งหลายเลยแม้แต่น้อย ในความเป็นจริงแล้ว ความร่วมมือกันอย่างไร้ยางอายของทั้งสองฝ่ายในการเล่นเกมกับความคิดของประชาชน กลุ่มเป้าหมายและการควบคุมความคิดของพวกเขานั้นได้ก่อรูปขึ้นแล้ว  รายงานในปี 1974 มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ ได้ยกย่องสรรเสริญบิล โมเยอร์ส (Bill Moyers) นักเขียนรายงานของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส และได้กล่าวถึงเขาว่าเป็นบุคคลที่มีประสิทธิภาพในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ด้วยกับการจัดเตรียมคำรายงาน 25 หมวด เกี่ยวกับเรื่องสภาพของอาหารในโลก บิล โมเยอร์ส (Bill Moyers) นักเขียนรายงานของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส (New York Times) ได้กลายเป็นบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจจากมูลนิธิ และเขาได้เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ซื่อสัตย์ที่ก้าวไกลไปข้างหน้ากับผู้เชี่ยวชาญส่วนมากของเรา บรรดาผู้เชี่ยวชาญของเราได้จัดเตรียมข้อมูลและปัจจัยต่างๆ ที่มีความจำเป็นสำหรับบิล โมเยอร์ส (Bill Moyers) ในการผลิตคำรายงานต่าง ๆ ทางโทรทัศน์ของเขา ในเรื่องที่เกี่ยวกับการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในระดับสากล นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสำเร็จต่าง ๆ ของเราในการสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับบุคคลที่ทำงานในด้านสื่อมวลชน

แนวคิดเกี่ยวกับรัฐบาลโลก

ด้วยกับเป้าหมายในการสร้างกรอบแนวคิดเกี่ยวกับรัฐบาลโลกให้แก่สังคมนั้น การศึกษาวิจัยทางสังคมที่ถูกดำเนินการขึ้นโดยทีมงานของผู้เชี่ยวชาญของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ ถือว่ามีคุณค่ามาก ดังเช่นที่เราเห็นถึงเทคนิคต่าง ๆ ที่ถูกค้นพบโดยที่จวบจนถึงปัจจุบันนี้ยังคงรักษาประสิทธิภาพของตนเอาไว้ได้ และขณะนี้ก็ยังคงถูกนำมาใช้งานอยู่

บนพื้นฐานของหลักการต่าง ๆ ทางด้านจิตวิทยามวลชนนั้น ระบอบของอเมริกาในช่วงยุคสมัยต่าง ๆ ได้ทำให้ประชาชนของประเทศนี้เผชิญหน้ากับความหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อทำให้พวกเขาตกเป็นเหยื่อของเป้าหมายต่าง ๆ ของตนได้อย่างง่ายดาย ในยุคสมัยหนึ่ง คือความหวาดกลัวต่อภัยคุกคามของสหภาพโซเวียต ช่วงเวลาหลังจากนั้น คือภัยคุกคามของซัดดัม ฮุสเซน ต่อจากนั้นก็เป็นภัยคุกคามของกลุ่มอัลกออิดะฮ์ และตามมาด้วยขณะนี้ก็เช่นกัน คือภัยคุกคามของลัทธิก่อการร้าย และการสร้างภาพให้เห็นถึงความน่าหวาดกลัวของอิสลาม (Islamophobia) ที่กำลังถูกนำมาใช้เพื่อเป้าหมายในการแสวงหาผลประโยชน์ของตนเอง โดยผ่านสื่อสารมวลชนต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของบรรดานักการเมืองที่ก้มหัวรับใช้ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ ในฐานะเป็นเครื่องมือในการสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนชาวอเมริกา


หมายเหตุ  อ้างอิงข้อมูล คัดลอกข้อมูลจากเพจ http://www.oknation.net/blog/nidnhoi/2012/06/25/entry-1

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

20 เรื่องที่เราควรรู้ (3) เกี่ยวกับคุณพ่ออเมริกาผู้น่ารัก ตอนที่ 3




เรื่องที่ 3  สงครามกลางเมือง

ในโลกปัจจุบันนั้น มีความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมือง การปกครองภายในประเทศยังคงมีอยู่ แม้ว่าจะเลยยุคสงครามเย็นมานานแล้วหลายสิบปีก็ตาม แต่ก็เกิดสงครามย่อยๆ กระจายอยู่ทุกภูมิภาคทั่วโลก มาในรูปของสงครามกลางเมืองหรือการก่อการร้าย  หลายประเทศในทวีปเอเชีย บริเวณตะวันออกกลาง อาทิ ซีเรีย อิรัก อัฟกานิสถาน เยเมน ปาเลสไตน์ เลบานอน เอเชียบางส่วน อย่างพม่า ศรีลังกา บังคลาเทศ ในทวีปแอฟริกา อาทิ ลิเบีย-ซาเฮล โซมาเลีย ซูดานใต้ ไนจีเรีย คองโก รวันดา ลาตินอเมริกาอย่าง คิวบา โคลัมเบีย เวเนซูเอล่า ในยุโรปก็มีอย่าง ยูเครน-รัสเซีย ยูโกสลาเวีย-บอสเนีย เป็นต้น แต่แท้ที่จริงแล้วรูปแบบหรือโมเดลต้นแบบเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองที่เด่นชัดที่สุดนั้น เริ่มต้นที่อเมริกาเป็นที่แรกสำหรับประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เมื่อเวลาพูดถึงสงครามกลางเมืองในประเทศต่างๆ ทำให้อดคิดไปถึงสงครามกลางเมืองที่ยิ่งใหญ่ของอเมริกาไม่ได้ แม้ว่าประเทศอเมริกาจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจในปัจจุบันแล้วก็ตาม แต่ก็มีส่วนไปเกี่ยวข้องหรือมีบทบาทอยู่เบื้องหลังไม่ทางตรงก็ทางอ้อม กับหลายๆ สงครามกลางเมืองในประเทศอื่นๆ ดังนั้น เราจึงจะมาไล่เรียงดูว่า มูลเหตุหรือที่มาที่ไปที่ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองของอเมริกามีที่มาอย่างไร

หากจะกล่าวถึงสงครามกลางเมืองครั้งสำคัญ ที่มีผลต่อชีวิตต่อสังคมและต่อโลก ทั้งยังเป็นเรื่องที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงกันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ย่อมไม่อาจมองข้าม สงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกาไปได้อย่างแน่นอน  ทั้งนี้นอกจากผลของสงครามที่เกิดขึ้นมาในครั้งนั้น จะทำให้อเมริกาสามารถรวมกันเป็นประเทศหนึ่งเดียวที่เข้มแข็งแล้ว ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวิถีและสังคมอเมริกันอีกมากมายก่ายกอง ซึ่งเราจะมาดูกันต่อไป

สงครามกลางเมืองในอเมริกา หรือ American Civil War  เป็นสงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกา เกิดขึ้นเมื่อระหว่างปี 1861-1865 โดยรัฐทางฝ่ายเหนือ 23 รัฐ ที่เรียกว่า สหรัฐอเมริกา (United State of America)  กับรัฐฝ่ายใต้ 11รัฐ  ที่แยกตัวเองออกมา และเรียกตัวเองว่า สหพันธรัฐอเมริกา ซึ่งที่มาที่ไปของการกำเนิดประเทศสหรัฐอเมริกาก็ต้องย้อนไปคราวที่ มีการประกาศเอกราชตั้งเป็นประเทศได้เพียง 200 กว่าปีมานี้เอง

ในปี 1492 นักสำรวจดินแดนชาวอิตาลี ชื่อ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ภายใต้การตกลงทำสัญญากับกษัตริย์ชาวสเปน ได้เดินทางถึงหมู่เกาะแคริบเบียน และได้ติดต่อกับชนพื้นเมืองเป็นครั้งแรก  แม้โคลัมบัสจะค้นพบทวีปอเมริกาก็จริง แต่ก็วนเวียนอยู่ในหมู่เกาะแคริบเบียนเท่านั้น สเปนเป็นชาติแรกที่เข้ามาตั้งอาณานิคมในอเมริกา แต่แค่ผิวชายฝั่งไม่เข้าไปลึกมาก

ส่วนอังกฤษนั้นตั้งอาณานิคมแรกคือ เจมส์ทาวน์ (James-Town) ในปี 1607 ตั้งชื่อตามพระนาม พระเจ้าเจมส์ที่ 1 โดยบริษัทลอนดอนเวอร์จิเนีย (London Virginia Company) ซึ่งจะพัฒนากลายเป็นมลรัฐเวอร์จิเนีย ในปีแรกๆ ฤดูหนาวนั้นหนาวเหน็บ ผู้คนล้มตายเพราะขาดอาหาร แต่ด้วยความช่วยเหลือของชาวพื้นเมือง  ทำให้อาณานิคมยังอยู่รอด และได้ยาสูบ (tobacco) เป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ ปลูกเป็นไร่ขนาดใหญ่ (Plantation) มีการนำทาสผิวดำจากแอฟริกามาใช้ในอังกฤษ เกิดสงครามกลางเมืองอังกฤษและการกดขี่ศาสนา ทำให้พวกนิกายต่างๆ หลบหนีมาอเมริกาเพื่อตั้งรกราก พวกพิลกริม (Pilgrim) นั่งเรือเมย์ฟลาวเวอร์ (Mayflower)  มาตั้งอาณานิคมพลีมัธ ประกาศ Mayflower Compact เพื่อปกครองตนเอง พวกกลุ่มพิวริตัน ได้รับการกดขี่ในอังกฤษหนีมาตั้งอาณานิคมอ่าวแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Bay) เพื่อสร้างดินแดนในอุดมคติของนิกายพิวริตัน ในปี 1675 ชาวอาณานิคมทำสงครามกับชาวพื้นเมืองอย่างดุเดือดในสงคราม พระเจ้าฟิลิป (King Phillipzs War) ทำให้ชาวพื้นเมืองและชาวอาณานิคมล้มตายมากมาย  อาณานิคมพลีมัธและแมสซาชูเซตส์ได้รวมกันในปี 1691 ใช้ชื่อเรียกว่า อังกฤษใหม่ (New England)

ชาติอื่นก็มาตั้งอาณานิคมเช่นกัน ในปี 1638 สวีเดนตั้งอาณานิคมเดลาแวร์ แต่ถูกฮอลันดาเข้ายึด ฮอลันดาตั้งอาณานิคมเนเธอร์แลนด์ใหม่ (New Netherlands) ประกอบด้วยนิวอัมสเตอร์ดัม (New Amsterdam ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองนิวยอร์ก) นิวเจอร์ซีย์ เดลาแวร์ และเพนซิลวาเนีย การแข่งขันจับจองที่ดินระหว่างอังกฤษและฮอลันดา ทำให้เกิดสงครามอังกฤษ-ฮอลันดาในปี 1652 ถึงปี 1674 อังกฤษยึดนิวอัมสเตอร์ดัมได้ในปี 1664 และสนธิสัญญาบรีดาในปี 1667 ยกนิวเนเธอร์แลนด์ให้อังกฤษ จนกระทั่งในที่สุด หลังจากถูกรัฐบาลตัวแทนจากเกาะบริเตน ปกครองมาเป็นเวลาร้อยกว่าปี อาณานิคมที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษจำนวน 13 อาณานิคม ได้ทำการประกาศอิสรภาพในวันที่ 4 กรกฏาคม 1776 ทำให้เกิดสงครามปฏิวัติอเมริกาขึ้น และแล้วสงครามก็สิ้นสุดลงในปี 1783 โดยชัยชนะเป็นของอดีตอาณานิคม เมื่อราชอาณาจักรอังกฤษยอมรับอดีตอาณานิคมที่อังกฤษเคยปกครองมาก่อนให้เป็นประเทศใหม่

สหรัฐก่อตั้งโดยสิบสามอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่งมีทำเลอยู่ตามฝั่งทะเลแอตแลนติก เมื่อวันที่ 4 กรกฏาคม 1776 ชาวอเมริกันประกาศอิสรภาพ ซึ่งเป็นการอ้างสิทธิ์ในการกำหนดชะตาของตนเอง และสร้างสหภาพความร่วมมือขึ้น รัฐซึ่งก่อการจราจลสามารถเอาชนะราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ในสงครามประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นอาณานิคมแห่งแรกที่ประกาศอิสรภาพได้สำเร็จ อนุสัญญาฟิลาเดลเฟียได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาฉบับปัจจุบันเมื่อวันที่ 17 กันยายน 1797 การปรับใช้อนุสัญญาดังกล่าวมีผลให้รัฐต่างๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐเดี่ยว และขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลางที่มีอำนาจเด็ดขาด

ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 สหรัฐอเมริกาได้ดินแดนเพิ่มเติมจากฝรั่งเศส สเปน สหราชอาณาจักร เม็กซิโก และรัสเซีย และผนวกดินแดนรวมกับสาธารณรัฐเท็กซัสและสาธารณรัฐฮาวาย  กระนั้นใช่ว่าอเมริกาจะเป็นปึกแผ่นได้อย่างปัจจุบัน ทั้งนี้ก็เพราะความขัดแย้งระหว่างรัฐกสิกรรมทางตอนใต้และรัฐอุตสาหกรรมทางตอนเหนือ เหนือสิทธิของรัฐ และการขยายจำนวนของทาสได้นำไปสู่สงครามกลางเมืองอเมริกา เมื่อราวคริสต์ทศวรรษ 1860

สำหรับสาเหตุของสงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกานั้น หากพูดกันตามข้อมูลทั่วไปที่ถูกเผยแพร่ ก็คือ ประธานาธิบดีอับราฮัม ลิงคอล์น ได้ประกาศว่าจะเลิกทาส ทำให้ชาวอเมริกาในรัฐทางตอนใต้ไม่พอใจและประกาศแยกตัวเป็นอิสระ จนเกิดสงครามกลางเมือง แต่ในความจริงแล้ว การเลิกทาสเป็นแต่เพียงผลที่เกิดจากสงครามเท่านั้น (ความเป็นจริงก็คือรัฐทางตอนใต้ยังต้องพึ่งพาทาสในการทำกสิกรรม เกษตรกรรมขนาดใหญ่ ส่วนรัฐทางเหนือส่วนใหญ่ทำอุตสาหกรรม ไม่ต้องพึ่งพาทาสมากนัก)

นับจากได้รับชัยชนะในสงครามประกาศอิสรภาพ เมื่อปี ค.ศ. 1781 แล้ว บรรดามลรัฐต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกาได้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มรัฐที่มีทาสกับรัฐที่ไม่อนุญาตการใช้แรงงานทาส ซึ่งรัฐที่มีทาสได้นั้น จะเป็นรัฐที่อยู่ทางตอนใต้ ส่วนกลุ่มที่ไม่อนุญาตการใช้แรงงานทาสนั้นจะเป็นรัฐทางเหนือ

ในตอนแรก ทั้งสองกลุ่มต่างก็มีจำนวนพอ ๆ กัน และยังไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีความขัดแย้งและแตกต่างในด้านนโยบายของแต่ละกลุ่มอยู่บ้าง  กล่าวคือ รัฐทางเหนือมีสภาพเศรษฐกิจที่เน้นด้านอุตสาหกรรมเป็นหลักและมีภาคกสิกรรมในรูปแบบไร่นาขนาดเล็กที่ใช้แรงงานในครอบครัว ขณะที่รัฐทางใต้มีสภาพเศรษฐกิจที่เน้นด้านกสิกรรมเป็นหลักคล้ายรูปแบบของเจ้าที่ดินสมัยศักดินา โดยจะมีการทำไร่ขนาดใหญ่ที่ใช้แรงงานทาส

ต่อมา รัฐบาลกลางต้องการส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศจึงตั้งกำแพงภาษีเพื่อป้องกันสินค้าอุตสาหกรรมจากยุโรปเข้ามาตีตลาดในสหรัฐ ทว่าหลายประเทศในยุโรป ก็ตอบโต้ด้วยการตั้งกำแพงภาษีกับสินค้านำเข้าจากอเมริกาเช่นกัน ซึ่งในกรณีนี้ ผู้ที่เดือดร้อนที่สุดคือบรรดาเจ้าที่ดินของรัฐทางใต้เนื่องจากสินค้าเกษตรที่พวกเขาส่งไปขายในยุโรปถูกเก็บภาษีเพิ่มจนทำให้ปริมาณขายลดลง
  

แม้ความขัดแย้งในเชิงนโยบายของทั้งสองฝ่ายจะเกิดขึ้นบ้างดังกล่าว หากแต่เหตุการณ์ที่น่าจะเรียกว่า เป็นชนวนที่แท้จริง เริ่มต้นขึ้นหลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้ซื้อดินแดนลุยเซียน่ามาจากฝรั่งเศส ทำให้อาณาเขตของประเทศขยายเข้าไปในฝั่งตะวันตกของทวีป นอกจากนี้อเมริกายังทำสงครามกับสเปนและเม็กซิโกจนได้ชัยชนะและได้รับดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปอเมริกาเหนือมาแทนค่าปฏิกรรมสงคราม ซึ่งดินแดนใหม่ทั้งหมดนี้ถูกเรียกรวมๆว่า แดนตะวันตก

การได้ดินแดนตะวันตกมา ก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างรัฐมีทาสกับรัฐไม่มีทาสขึ้นใหม่ ทั้งนี้บรรดามลรัฐทางเหนือนั้นไม่ได้ต่อต้านการมีทาส แม้ว่าจะมีเอกชนหรือนักการเมืองบางคนที่ส่งเสริมการเลิกทาสก็ตาม

หากแต่มลรัฐทางเหนือไม่ต้องการให้รัฐใหม่ที่เกิดในดินแดนตะวันตกเป็นรัฐมีทาสเพราะเกรงว่าจะเป็นโอกาสให้บรรดาเจ้าที่ดินทางภาคใต้นำแรงงานทาสเข้าไปยึดครองที่ดินทำไร่ขนาดใหญ่และจะทำให้โอกาสของบรรดาชาวนาอิสระสูญเสียไป

แต่ในขณะเดียวกันบรรดามลรัฐทางใต้ก็เกรงว่า หากรัฐใหม่ในแดนตะวันตกกลายเป็นรัฐไม่มีทาส ฝ่ายของพวกเขาก็น้อยกว่ากลุ่มรัฐมีทาสและส่งผลให้การออกนโยบายเสียเปรียบยิ่งขึ้น จนท้ายที่สุด อาจนำไปสู่การออกนโยบายเลิกทาสทั่วทั้งประเทศ ซึ่งนั่นย่อมกลายเป็นความหายนะของบรรดารัฐทางใต้ที่มีเศรษฐกิจแบบกสิกรรมขนาดใหญ่และพึ่งแรงงานทาสเป็นหลัก

ทั้งนี้ ประเด็นต่อต้านการมีทาสในดินแดนทางตะวันตกได้ถูกพรรคการเมืองนำมาใช้เป็นนโยบายหาเสียงในดินแดนตอนเหนือซึ่งมีประชากรค่อนข้างมากกว่าทางใต้ โดยพรรครีพับลีกัน ที่ก่อตั้งใน ปี ค.ศ. 1854 ได้เสนอชื่อ อับบราฮัม ลิงคอล์น เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีพร้อมชูนโยบายห้ามการมีทาสในแดนตะวันตก ขณะที่พรรคเดโมแครตซึ่งเป็นพรรคเก่าแก่ก็ส่ง สตีเฟ่น ดักลาสเป็นผู้สมัคร และชูนโยบายเดียวกัน
 

ทว่า นโยบายดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับสมาชิกจำนวนมากของทั้งสองพรรคที่มีแนวคิดสนับสนุนการมีทาส โดยเฉพาะพรรคเดโมแครตทีมีสมาชิกจำนวนมากอยู่ทางภาคใต้ จนทำให้ฐานเสียงของพรรคแตกแยกและส่งผลให้พรรครีพับลีกันชนะการเลือกตั้ง

ซึ่งในระกว่างที่ทางสภาได้แต่งตั้งอับราฮัม ลิงคอล์น ขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีนั่นเอง ในเดือน มีนาคม ปี ค.ศ.รัฐฝ่ายใต้ 7 รัฐก็รวมตัวกันเป็นสมาพันธรัฐและประกาศแยกตัวออกจากสหรัฐอเมริกา

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่างเพื่อนร่วมชาติในที่สุด

จุดเริ่มของสงครามกลางเมืองอเมริกาจึงก่อตัวขึ้น

อ่านเพิ่มเติมจากลิ้งค์นี้ http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?id=92842  

-ยุทธการเกตตีสเบิร์ก อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ลิ้งค์นี้ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%81

-ยุทธการแอตแลนตา อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ลิ้งค์นี้ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2


ลำดับเหตุการณ์ที่สำคัญในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา


ค.ศ. 1860 อับราฮัม ลินคอล์นได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี
ค.ศ. 1860 เซาท์ แคโรไลนาแยกตัวออกเพราะไม่พอใจผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี
ค.ศ. 1860 การทำข้อตกลงคิสเตนเดน (Crittenden Compromise) ล้มเหลวเท่ากับเป็นการสิ้นสุด ความพยายามครั้งสุดท้ายที่จะยังคงรวมกันเป็นสหภาพ (Union)
ค.ศ. 1861 ฝ่ายสมาพันธรัฐ (Confederates) ยิงเรือของฝ่ายสหภาพ พยายามปลดปล่อยฟอร์ท ซัมเตอร์ (Fort Sumter) ที่เมืองชาร์ลสตัน (เซาท์ แคโรไลนา) ทำให้เรือของฝ่ายสหรัฐต้องถอย
ค.ศ. 1861 มิสซิสซิปปี แยกตัว (9 มกราคม) ตามมาด้วยฟลอริดา (10มกราคม) อลาบามา (11 มกราคม) จอร์เจีย (19มกราคม) หลุยส์เซียนา (26มกราคม) และเท็กซัส (1กุมภาพันธ์)
ค.ศ. 1861 สภาคองเกรสเรียกประชุมผู้แทน (4 ก.พ.) บรรดารัฐที่แยกตัวออกที่เมืองมองโกเมอรี รัฐอลาบามาจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวฝ่ายสมาพันธรัฐอเมริกา และเลือกตั้งนายพล เจ.เดวิส (J.Davis) เป็นประธานาธิบดี
ค.ศ. 1861 ประธานาธิบดีเดวิส ประกาศเกณฑ์ทหารอาสาสมัคร 20,000 คนเข้าประจำการ (3 เมษายน)
ค.ศ. 1861 กองทัพฝ่ายสมาพันธ์นำโดยนายพลโบรีการ์ด (Beauregard) ระดมยิงฟอร์ท ซัมเตอร์จน ต้องยอมแพ้ เป็นการเปิดฉากสงครามกลางเมือง ที่มีความรุนแรงยิ่งขี้น (12 - 14 เมษายน)
ค.ศ. 1861 ประธานาธิบดีลินคอล์น ประกาศเกณฑ์ทหารอาสาสมัคร 75,000 คน (15 เมษายน) ดำเนินการปิดล้อมท่าเรือของฝ่ายรัฐที่แยกตัวออก (19 เมษา) แต่ไม่สามารถสกัดการส่งสินค้า จากต่างประเทศที่เข้ามาถึงรัฐที่ถูกปิดล้อมได้ทั้งหมด
ค.ศ. 1861 เวอร์จิเนียถอนตัวออกจากสหพันธรัฐ (17 เมษา) ตามด้วยอาร์คันซอส์ (6 พฤษภา) นอร์ท แคโรไลนา (20 พฤษภา) และเทนเนสซี (8 มิถุนา)
ค.ศ. 1861 กองทัพฝ่ายสมาพันธรัฐเผชิญหน้าฝ่ายสหพันธรัฐ เริ่มการสู้รบที่บุล รัน (bull Run) (21 กรกฎา) ทางตอนเหนือของรัฐเวอร์จิเนีย การสู้รบที่บุลรันทำให้ฝ่ายเหนือคิดเรื่องที่จะยุติสงครามกลางเมืองโดยเร็ว ด้วยการปิดล้อมฝ่ายใต้ทางเรือ คุมย่านแม่น้ำมิสซิสซิปปี (เพื่อเป็นการแยกฝ่ายใต้ออกจากกัน) และเข้ายึดเมืองริชมอนด์ เมืองหลวงของสมาพันธรัฐฝ่ายใต้ ค.ศ. 1861 ฝ่ายสมาพันธรัฐก็ยึดเมืองสปริงฟิลด์ (Springfield) ในมิสซูรีภายหลังการรบที่วิลสัน ครีก (Wilson's Creek) (10สิงหาคม)
ค.ศ. 1861 พลเอก จี. แมคเคลลัน (General G.McCelan) เป็นผู้บัญชาการกองทัพสหพันธรัฐ และจัดตั้งกองทัพแห่งโปโตแมค (Army of Potomac) ขึ้น
ค.ศ. 1861 กองทัพสหพันธรัฐปิดล้อมเรืออังกฤษ (8 พฤศจิกายน) จนเกือบนำไปสู่การเกิดสงรามระหว่างประเทศ
ค.ศ. 1862 ฝ่ายสหพันธรัฐบุกเคนตักกี้กับเทนเนสซี ยึดได้ฟอร์ท เฮนรี (Fort Henry) กับฟอร์ท โดเนลสัน (Fort Donelson) (6 - 16 กุมภาพันธ์) ฝ่ายสมาพันธ์ถอนตัวจากเมืองแนชวิลล์ (Nashville)
ค.ศ. 1862 เป็นปีรุกของฝ่ายสหพันธรัฐ นายพลแกรนท์ของฝ่ายเหนือรุกไล่ฝ่ายใต้ทางตอนใต้รัฐเทนเนสซี มีชัยในการรบนองเลือดที่ชิโลห์ (Shiloh) (6-7เมษา) ฝ่ายใต้สูญเสียแม่ทัพสำคัญ คนหนึ่งคือนายพล เอ จอห์นสตัน (Gen. A. Johnston)
ค.ศ. 1863 ลินคอล์นประกาศกฎหมายปลดปล่อยวันที่ 1 มกราคม (Emancipation Proclaimation) (1 มกราคม)
ค.ศ. 1863 กองทัพฝ่ายเหนือรุกไปทางตะวันออก นายพลลี (Gen. R.E. Lee) ของฝ่ายใต้รุกขึ้นทาง เหนือเข้าสู่เพนซิลวาเนีย (มิถุนายน) แต่ถูกนายพลจี มีด (Gen.G.Meade) ของฝ่ายสหพันธรัฐ เอาชนะได้ในการรบที่เกตติสเบิร์ก (Battle of Gettysburg) ในเพนซิลวาเนีย ถือ เป็นสงครามแห่งชัยชนะในสงครามกลางเมือง เมื่อนายพลลีต้องถอยกลับไปเวอร์จิเนีย
ค.ศ. 1864 นายพลแกรนท์ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพสหภาพ (มีนาคม) ขณะที่นายพล ดับเบิลยู เชอร์แมน (Gen. W. Sherman) เป็นแม่ทัพฝ่ายตะวันตก กองทัพ ของนายพลแกรนท์ ปะทะกับกองทัพนายพลลีในเวอร์จีเนีย ส่วนกองทัพของนายพลเชอร์ แมนมีหน้าที่รุกรบกองทัพของนายพลจอห์นสตันที่แอตแลนตา
ค.ศ. 1864 นายพลลีของฝ่ายใต้เริ่มถอย เพราะไม่สามารถป้องกันปีเตอร์สเบิร์ก (Petersburg) ในการสู้รบเป็นเวลาถึง 10 เดือน แม้จะพยายามโจมตีแนวหลังของฝ่ายสหพันธรัฐก็ไม่สำเร็จ
ค.ศ. 1864 นายพลดี ฟาร์รากัตเอาชนะกองเรือฝ่ายสมาพันธรัฐที่อ่าวโมบายล์ (5 สิงหาคม)
ค.ศ. 1864 ประธานาธิบดีลินคอล์นได้รับการเลือกตั้งเป็นสมัยที่สอง (พฤศจิกายน)
ค.ศ. 1865 มีการร่างข้อตกลง 13 ข้อ ยกเลิกการมีทาสในสหรัฐอเมริกา ผ่านรัฐสภาอเมริกัน (1 กุมภาพันธ์) และมีผลบังคับใช้เดือนธันวาคม
ค.ศ. 1865 นายพลลี ถูกบังคับให้ยอมจำนนที่แอพโพแมตทอก คอร์ทเฮาส์ (Appomattox Courthouse) เป็นการยุติสงครามกลางเมือง

ค.ศ. 1865 (14 เมษายน) ประธานาธิบดีลินคอล์นถูกลอบสังหาร (เขาถูกสังหารโดยชาวผิวขาวที่เคยสนับสนุนการเลิกทาส แต่เมื่ออับราฮัมต้องการให้คนผิวดำมีสิทธิการเลือกตั้งเท่าเทียมกับคนขาว เรื่องนี้ทำให้คนขาวหลายคนไม่พอใจ รวมทั้งมือสังหารคนนี้ด้วย)

หมายเหตุ อ้างอิงข้อมูลและคัดลอกข้อมูลจาก เว็บไซต์วิถีพีเดีย สารานุกรมออนไลน์,พ็อกเก็ตบุ้ค สงครามกลางเมือง ฆ่ากันเอง บนแผ่นดินเดียวกัน โดยวีระชัย โชคมุกดา,สำนักพิมพ์ เอสเคเอสอินเตอร์พริ้นท์ ,ยิปซีกรุ๊ป ,เว็บไซต์ myfirstbrain.com, เว็บไซต์ komkid.com )    

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558

20 เรื่องที่เราควรรู้ (2) เกี่ยวกับคุณพ่ออเมริกาผู้น่ารัก ตอนที่ 2


เรื่องที่ 2  การค้าทาส การล่าทาส

หากประเทศมหาอำนาจอย่างยุโรปกับอเมริกาจะรังเกียจหรือต่อต้านการค้ามนุษย์ว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจไร้มนุษยธรรม ไม่อาจจะรับได้ จนต้องนำเรื่องนี้มาเป็นเกณฑ์วัดเพื่อพิจารณาประเทศที่มีสถิติการค้ามนุษย์ หรือละเมิดสิทธิมนุษยชนมากๆ ด้วยการกำหนดบทลงโทษ ทั้งกีดกันการค้า หรือจำกัดโควตาการนำเข้าของสินค้าที่ผลิตด้วยแรงงานทาส หรือเป็นประเทศที่ชอบละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างไม่เป็นธรรม ก็ต้องถามย้อนกลับไปว่า ประเทศใคร ไหนกันครับ ที่เป็นผู้ริเริ่มการค้าทาส (หรือภาษาแบบผู้ดีอังกฤษ เรียกใหม่ว่า การค้ามนุษย์) ก็ไม่ใช่ประเทศของบรรดาเหล่าชาติตะวันตก หรือประเทศต้นแบบประชาธิปไตยทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ใช่เหรอ ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส รวมถึงอเมริกา แล้วใยพวกท่านจึงชอบทำตัวเป็นพวก "ปากว่าตาขยิบ", "ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง”  หรือเป็นพวก "เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลแต่กินน้ำแกง”  ขอบอกว่าประเทศที่อ้างว่าเจริญแล้ว และเป็นแม่แบบการปกครองแบบประชาธิปไตย หรือเป็นประเทศผู้สร้างกฏเกณฑ์ทางการค้าที่เป็นธรรมที่ให้ประเทศอื่นเดินตามนั้น ล้วนแล้วแต่เคยทำชั่ว ทำสิ่งเลวร้ายที่ว่ามาก่อนแล้วทั้งนั้น ไม่เชื่อก็ลองหาอ่านประวัติความเป็นมาของการล่าทาสดูก็จะรู้ว่า ล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่คอยตั้งมาตรฐานกีดกันทางการค้าจากฝั่งชาติตะวันตกทั้งสิ้น

เดินไปตามเส้นทางค้าทาส

ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ถึง 19 เมืองวีดาห์เป็นศูนย์กลางการค้าทาสแห่งใหญ่ในแอฟริกาตะวันตก. ปัจจุบันเมืองนี้อยู่ในสาธารณรัฐเบนิน และเคยเป็นสถานที่ส่งออกทาสมากกว่าหนึ่งล้านคน. บ่อยครั้ง ชาวแอฟริกาจับชาวแอฟริกาด้วยกันเองมาแลกกับสินค้าต่าง ๆ เช่น แอลกอฮอล์, เสื้อผ้า, สร้อยข้อมือ, มีด, ดาบ, และโดยเฉพาะอย่างยิ่งปืน ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากเนื่องจากสงครามระหว่างเผ่า.

ระหว่างศตวรรษที่ 16 ถึง 19 ชาวแอฟริกาประมาณ 12 ล้านคนถูกส่งตัวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเพื่อตอบสนองความต้องการแรงงานทาสในไร่นาและเหมืองแร่ของโลกใหม่. หนังสือทาสในอเมริกาปี 1619-1877 (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า ประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ของทาส ถูกส่งไปบราซิลและอาณานิคมต่าง ๆ ของอังกฤษ, ฝรั่งเศส, สเปน, และดัตช์ในแถบแคริบเบียน.ราว ๆ 6 เปอร์เซ็นต์ถูกส่งไปที่อาณานิคมซึ่งภายหลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐ.*

ในตอนเริ่มต้นของการเดินทาง ทาสหลายคนซึ่งถูกล่ามโซ่, ถูกเฆี่ยน, และถูกตีตรา ต้องเดินเป็นระยะทางสี่กิโลเมตรจากป้อมซึ่งปัจจุบันนี้ถูกบูรณะให้เป็นพิพิธภัณฑสถานประวัติศาสตร์วีดาห์ ไปถึงบริเวณชายหาดซึ่งเรียกว่าประตูที่ไม่หวนกลับ. ประตูนี้เป็นจุดสิ้นสุดของเส้นทางลำเลียงทาสและมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ไม่ใช่ตามตัวอักษร เพราะทาสไม่ได้ออกเดินทางจากจุดเดียวกันทั้งหมด. ทำไมการค้าทาสจึงแพร่หลายมากขนาดนั้น?

ประวัติศาสตร์อันยาวนานและน่ารังเกียจ

ในช่วงแรก ๆ ผู้ปกครองชาวแอฟริกาได้ขายพวกเชลยศึกให้แก่พวกพ่อค้าชาวอาหรับ. ต่อมา บรรดาประเทศมหาอำนาจในยุโรปได้เข้าร่วมในการค้าทาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการก่อตั้งอาณานิคมในทวีปอเมริกา. ในช่วงนั้น สงครามระหว่างเผ่าและเชลยศึกที่ถูกจับได้ทำให้มีทาสจำนวนมากมาย ซึ่งสร้างรายได้งามให้แก่ทั้งผู้ชนะและผู้ค้าทาสที่ละโมบ. ยิ่งกว่านั้น มีการจับทาสโดยการลักพาตัวหรือโดยการซื้อจากพ่อค้าชาวแอฟริกาซึ่งนำทาสมาจากดินแดนที่อยู่ห่างชายฝั่ง. เกือบทุกคนถูกขายเป็นทาสได้ แม้กระทั่งชนชั้นสูงที่ไม่ได้รับความโปรดปรานจากพระราชาอีกต่อไปแล้ว.

พ่อค้าทาสผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งคือฟรานซิสกู เฟลิกส์ เดอ ซูซา ชาวบราซิล. ในปี 1788 เดอ ซูซาเป็นผู้บังคับบัญชาป้อมปราการแห่งวีดาห์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการค้าทาสในอ่าวเบนิน. ในตอนนั้น วีดาห์อยู่ในอาณาจักรดาโฮมีย์. อย่างไรก็ดี เดอ ซูซากับกษัตริย์อะดันโดซันแห่งดาโฮมีย์เกิดความบาดหมางกัน. ดังนั้น ขณะที่เดอ ซูซาอาจอยู่ในคุก เขาได้คบคิดกับน้องชายของกษัตริย์และร่วมกันโค่นล้มบัลลังก์ในปี 1818. ด้วยวิธีนี้ ความสัมพันธ์ซึ่งให้ผลประโยชน์อย่างงามจึงเริ่มขึ้นระหว่างเกโซกษัตริย์องค์ใหม่และเดอ ซูซา ซึ่งถูกแต่งตั้งให้ดูแลการค้าทาส.*

เกโซตั้งใจจะขยายอาณาจักรและต้องการอาวุธของชาวยุโรปเพื่อจะทำเช่นนั้นได้. ดังนั้น เขาแต่งตั้งเดอ ซูซาเป็นอุปราชแห่งวีดาห์เพื่อช่วยบริหารการค้าขายกับชาวยุโรป. เนื่องจากเป็นผู้ผูกขาดการค้าทาสในภูมิภาคนั้นของแอฟริกา ไม่นานเดอ ซูซาจึงร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล และตลาดค้าทาสซึ่งอยู่ใกล้ ๆ บ้านของเขา กลายมาเป็นศูนย์กลางสำหรับทั้งชาวต่างประเทศและคนท้องถิ่นที่รับซื้อทาส.

ทางเดินที่ชุ่มไปด้วยน้ำตา

สำหรับนักท่องเที่ยวสมัยปัจจุบัน การเยี่ยมชมเส้นทางค้าทาสวีดาห์จะเริ่มที่ป้อมของชาวโปรตุเกสที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่. เดิมทีป้อมนี้ถูกสร้างในปี 1721 และปัจจุบันนี้เป็นพิพิธภัณฑสถานที่กล่าวข้างต้น. เชลยที่ถูกจับเป็นทาสถูกกักตัวไว้ในลานใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง. ส่วนใหญ่ถูกล่ามโซ่และต้องเดินเป็นเวลาหลายคืนกว่าจะมาถึงที่นี่. ทำไมต้องเดินตอนกลางคืน? ความมืดทำให้เชลยหลงทิศและถ้ามีคนหลบหนีก็จะกลับบ้านได้ยากขึ้น.

เมื่อทาสกลุ่มใหม่มาถึง จะเปิดการประมูล แล้วหลังจากนั้นผู้ซื้อจะตีตราทาสที่ตนซื้อมา. ทาสที่ถูกส่งออกจะถูกพาไปที่ชายทะเล ลงเรือแคนูหรือเรือเล็กไปขึ้นเรือใหญ่.

สถานที่อีกแห่งหนึ่งบนเส้นทางค้าทาสในประวัติศาสตร์คือบริเวณที่เคยมีต้นไม้แห่งความหลงลืม. ทุกวันนี้มีอนุสาวรีย์อยู่ตรงจุดที่เคยมีต้นไม้อยู่. พวกทาสที่เป็นผู้ชายถูกบังคับให้เดินรอบต้นไม้นั้นเก้ารอบ ส่วนผู้หญิงเจ็ดรอบ. มีการบอกพวกเขาว่าที่ทำอย่างนี้ก็เพื่อลบความทรงจำเกี่ยวกับบ้านเกิดเมืองนอน และทำให้พวกเขามีแนวโน้มจะก่อกบฏน้อยลง.

เส้นทางนี้ยังมีอนุสาวรีย์อีกแห่งหนึ่งที่ถูกสร้างเพื่อรำลึกถึงกระท่อมโซมาอี ซึ่งไม่มีอีกต่อไปแล้ว. คำว่าโซมาอี หมายถึงความมืดทึบตลอดทั้งวันและคืนในกระท่อมเหล่านี้ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายให้เชลยที่ถูกขังไว้อย่างแออัดในนั้นคุ้นเคยกับสภาพที่เลวร้ายบนเรือ. ที่จริง พวกเขาอาจถูกขังไว้ในกระท่อมหลายเดือนขณะรอการเดินทาง. คนที่ตายระหว่างช่วงที่ทรมานนี้จะถูกโยนลงในหลุมศพรวม.

อนุสาวรีย์ที่เรียกว่าโซมาชี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการกลับใจและการคืนดี ทำให้เราสะเทือนใจมาก. ที่นั่นในเดือนมกราคมของทุกปี ลูกหลานของทั้งทาสและพ่อค้าทาสได้มาอ้อนวอนขออภัยให้แก่ผู้ที่ได้ทำสิ่งไม่ยุติธรรม.

จุดสุดท้ายในเส้นทางนี้คือ ประตูที่ไม่หวนกลับซึ่งรำลึกถึงช่วงเวลาสุดท้ายของทาสที่อยู่บนแผ่นดินแอฟริกา. ประตูโค้งขนาดใหญ่นี้มีภาพนูนต่ำของเชลยชาวแอฟริกาสองแถวที่ถูกล่ามโซ่ซึ่งมาบรรจบกันบนชายหาด โดยมีมหาสมุทรแอตแลนติกอยู่เบื้องหน้า. เมื่อถึงที่นี่ กล่าวกันว่าเชลยผู้สิ้นหวังบางคนกลืนทรายเข้าไปเพื่อจะจดจำแผ่นดินเกิดของตน. ส่วนบางคนเลือกความตาย โดยใช้โซ่รัดคอตัวเอง.

การเลิกทาส!

ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 เริ่มมีความพยายามจะเลิกทาส. เรือบรรทุกทาสลำสุดท้ายที่ออกจากวีดาห์มาถึงเมืองโมบิล รัฐแอละแบมา ในเดือนกรกฎาคม 1860. แต่พวกเขาทำงานได้ไม่นานนัก เพราะรัฐบาลสหรัฐประกาศเลิกทาสในปี 1863. ในที่สุด การใช้แรงงานทาสในซีกโลกตะวันตกก็สิ้นสุดลงในปี 1888 เมื่อบราซิลเลิกทาสเช่นกัน.*

ร่องรอยที่เห็นได้ชัดที่สุดเกี่ยวกับการค้าทาสก็คือ ชุมชนชาวแอฟริกาขนาดใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบด้านประชากรและวัฒนธรรมในหลายดินแดนของทวีปอเมริกา. ร่องรอยอีกอย่างหนึ่งก็คือการแพร่หลายของลัทธิวูดู ศาสนาที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์คาถาซึ่งนิยมกันมากในเฮติ. สารานุกรมบริแทนนิกา กล่าวว่า คำวูดู มาจากคำว่าโวดุน ซึ่งหมายถึงเทพเจ้าหรือวิญญาณในภาษาของชนเผ่าฟอนแห่งเบนิน (เมื่อก่อนคือดาโฮมีย์).

น่าเศร้า การบังคับใช้แรงงานทาสอย่างโหดร้ายยังคงมีอยู่ในทุกวันนี้ แม้จะไม่ใช่ทาสในความหมายตรงตัว. ตัวอย่างเช่น หลายล้านคนตรากตรำทำงานเยี่ยงทาสเพียงเพื่อจะอยู่รอดได้ในสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่. ส่วนบางคนต้องต่อสู้ดิ้นรนภายใต้การปกครองที่กดขี่. (ท่านผู้ประกาศ 8:9) และหลายล้านคนถูกกักขังอยู่ในคำสอนทางศาสนาผิด ๆ และการเชื่อโชคลาง. รัฐบาลมนุษย์จะปลดปล่อยประชาชนจากการเป็นทาสในรูปแบบเหล่านี้ได้ไหม? ไม่ได้. มีเพียงพระยะโฮวาพระเจ้าเท่านั้นที่จะทำได้ และแน่นอนพระองค์จะทำ! อันที่จริง บางคนจะหันมานมัสการพระยะโฮวาอย่างที่ประสานกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลความจริงที่ทำให้มนุษย์เป็นอิสระ. และคัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระองค์สัญญาว่า เมื่อถึงเวลา พวกเขาทุกคนจะได้ชื่นชมกับ เสรีภาพอันรุ่งโรจน์แห่งเหล่าบุตรของพระเจ้า.”—โรม 8:21; โยฮัน 8:32

หมายเหตุ ข้อความในกรอบวงเล็บนี้เป็นในส่วนของเชิงอรรถอ้างอิง ประกอบคำอธิบาย

(จากช่วงแรก ๆ ที่มีจำนวนไม่มาก ภายหลังประชากรทาสในสหรัฐมีเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นเพราะการเติบโตของประชากรตามธรรมชาติ เนื่องจากทาสเหล่านั้นมีลูกหลานของตัวเอง.

ชื่อ เกโซมีการสะกดหลายวิธี.

มีการพิจารณาทัศนะของคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการค้าทาสในบทความทัศนะของคัมภีร์ไบเบิล: พระเจ้าทรงเห็นชอบกับการค้าทาสไหม?” ในตื่นเถิด! ฉบับ 8 กันยายน 2001.

มนุษย์ใช้อำนาจเหนือมนุษย์ อย่างที่ก่อผลเสียหายแก่เขา

หลายคนเชื่อว่าพ่อค้าทาสจับทาสมาโดยการจู่โจมหมู่บ้านต่าง ๆ และจับตัวผู้คนตามใจชอบ. แม้ว่าเรื่องนี้อาจเกิดขึ้นจริง แต่พ่อค้าทาสคงจะจับผู้คนไปถึงหลายล้านคนไม่ได้ ถ้าไม่มีการร่วมมือจากเครือข่ายขนาดใหญ่ของผู้ปกครองและพ่อค้าชาวแอฟริกาดร. โรเบิร์ต ฮามส์ ศาสตราจารย์ประวัติศาสตร์แอฟริกาได้กล่าวไว้เช่นนั้นในการให้สัมภาษณ์ทางวิทยุ. เป็นเรื่องจริงที่ มนุษย์ใช้อำนาจเหนือมนุษย์อย่างที่ก่อผลเสียหายแก่เขา”!—ท่านผู้ประกาศ 8:9, ล.ม. )

(อ้างอิง : คัดลอกจากหน้าเพจของห้องสมุดออนไลน์ของว็อชทาวเวอร์ http://wol.jw.org/th/wol/d/r113/lp-si/102011169 )

กรณีศึกษาเรื่องจริงจากบทความต่อไปนี้ ซึ่งเป็นประสบการณ์จริงจากผู้ที่เคยตกเป็นทาส (เหยื่อการค้ามนุษย์ ซึ่งเกิดโดยตรงในประเทศอเมริกา)

บทสัมภาษณ์โปรดิวเซอร์สารคดี "เจ้าชายผู้กลายเป็นทาส"

"Price Among Slaves" - Film sheds light on Islam inU.S.

แปลโดย วาริษาฮ์ อัมรีล


สถานีโทรทัศน์ช่องพีบีเอส (PBS ช่อง 13 เป็นช่องเพื่อการศึกษาของอเมริกาเพิ่งฉายสารคดีโทรทัศน์เรื่อง "Prince Among Slaves" (เจ้าชายผู้กลายเป็นทาสไปเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2008 ที่ผ่านมา สารคดีความยาว 1 ชั่วโมงเรื่องนี้ได้ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตจริงของเจ้าชายอาฟริกาผู้ถูกชาวผิวขาวนักล่าทาสจับมาขายในอเมริกาเมื่อปี 1788 และตกเป็นทาสยาวนานถึงกว่า 40 ปี ก่อนจะได้รับอิสรภาพ และกลายเป็นบุคคลที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งในยุคสมัยนั้น

สารคดีโทรทัศน์ Prince Among Slaves ได้รับรางวัลสารคดียอดเยี่ยมปี 2007 จากเทศกาล American Black Film Festival (ภาพยนตร์อเมริกันผิวดำกำกับการแสดงโดย แอนเดรีย คาอิน และบิล ดุก ผู้กำกับเจ้าของรางวัลเอ็มมี่ (Emmy Award) โดยผ่านงานสร้างสรรค์ร่วมสมัย จดหมายเหตุ และไดอารี่ รวมทั้งการสัมภาษณ์นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง โดยมี มอส เดฟ (Mos Def), นักร้อง-นักแสดงอเมริกันผิวดำผู้เป็นมุสลิมใหม่เป็นดารานำแสดงและ อเล็กซ์ โครนีเมอร์ (Alex Kronemer), เจ้าของบริษัท Unity Productions Foundation (UPF) ผู้เป็นมุสลิมใหม่เป็นโปรดิวเซอร์ของสารคดีเรื่องนี้

เรื่องราวของ Prince Among Slaves มาจากหนังสือชีวประวัติซึ่งเขียนโดย ดร.เทอรรี่ อัลฟอร์ด

Prince Among Slaves เป็นเรื่องจริงสุดรันทดของ อับดุล-ราฮ์มานเจ้าชายอาฟริกันมุสลิมซึ่งโดนนักล่าทาสผิวขาวจับได้ในปี 1788 แม้เขาจะบอกว่าเขาเป็นเจ้าชายและพร้อมจะให้บิดานำค่าไถ่ตัวมาให้ ก็ไม่มีผู้ใดเชื่อ ท้ายที่สุดอับดุล-ราฮ์มานถูกนำตัวไปขายเป็นทาสในภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา เขาต้องผ่านความทุกข์เวทนาแสนสาหัส จนในที่สุดตกเป็นสมบัติของชาวไร่ยากจนและอ่านหนังสือไม่ออกที่ชื่อ โทมัส ฟอสเตอร์ แห่งนัทเชส รัฐมิสซิสซิปปี

อับดุล-ราฮ์มานตกเป็นทาสถึง 40 ปีเต็มก่อนจะได้รับอิสรภาพอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเขียนจดหมายร้องเรียนผ่านรัฐสภาสหรัฐฯ เป็นเวลานาน (อับดุล-ราฮ์มานอ่านออกเขียนได้ แต่นายทาสเจ้าของไร่ของเขากลับไม่รู้หนังสือจากนั้นเขาได้กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคสมัย และเดินทางกลับอาฟริกาในสถานภาพของเจ้าชาย

สารคดีเรื่องนี้จบลงด้วยงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ของลูกหลานอับดุล-ราฮ์มานทั้งที่อาศัยในอาฟริกาและในอเมริกา ที่เมืองนัทเชส รัฐมิสซิสซิปปี

อเล็กซ์ โครนีเมอร์ เจ้าของสารคดีโทรทัศน์เรื่องนี้หวังว่าตัวเองจะมีส่วนช่วยในการยุติการปะทะระหว่างอารยธรรม ซึ่งเขาบอกว่าเป็นสงครามที่เขาได้เผชิญในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งมาตั้งแต่วัยเด็ก

พ่อของอเล็กซ์เป็นชาวยิว ส่วนแม่เป็นคริสเตียน อเล็กซ์ก็เลยเติบโตมาท่ามกลางความสับสนด้านศรัทธา การที่แม่ของเขาเป็นมิชชันนารีโปรแตสแตนท์บอกว่ามนุษย์ส่วนใหญ่จะตกนรกยิ่งทำให้ทัศนะด้านศาสนาของอเล็กซ์ยิ่งแย่ไปใหญ่

แต่เมื่อเขาได้แสวงหาความจริง อเล็กซ์กลับได้พบสิ่งนั้นในอิสลาม

แม้อเลกซ์ซึ่งตอนนี้อายุได้ 57 ปีบอกว่าศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ชะตากรรมของชาวมุสลิมในสหรัฐฯ หลังเหตุการณ์ 9/11 ได้บังคับให้เขาต้องใช้ความเชี่ยวชาญที่มีอยู่เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวที่จะทำให้ชาวอเมริกันได้รู้จักอิสลามเพิ่มขึ้น เขาร่วมก่อตั้งมูลนิธิ Unity Productions Foundation(UPF) ซึ่งได้ผลิตสารคดีโทรทัศน์ที่ได้รับรางวัลหลายเรื่อง ซึ่งรวมทั้ง Muhammad: Legacy of a Prophet (มุฮัมมัดมรดกแห่งศาสนฑูตและCity of Light: The Rise and Fall of Islamic Spain (อาณาจักรแห่งแสงสว่างความรุ่งโรจน์และความเสื่อมถอยของอิสลามในสเปน)

และในสารคดีเรื่องใหม่ของเขา Prince Among Slaves อเลกซ์ได้ให้สัมภาษณ์ถึงแรงบันดาลใจของเขาและสารคดีเรื่องนี้

คำถามคุณหันมาให้ความสนใจในสารคดีเกี่ยวกับอิสลามได้อย่างไร

คำตอบมันเกิดขึ้นเมื่อปี 1998 ตอนนั้นผมกำลังถ่ายทำรายการสารคดี Hajj to Mecca (พิธีฮัจย์ที่เมกกะของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น (CNN)ซึ่งซีเอ็นเอ็นก็ได้แพร่ภาพสารคดีชุดนี้ออกไปทั่วโลก มีผู้ชมถึงกว่า 500 ล้านคน นั่นแหละที่ทำให้ผมได้ตระหนักถึงอิทธิพลของสื่อโทรทัศน์ในการถ่ายทอดเรื่องราวสู่ผู้ชมจำนวนมากมายมหาศาลทั่วทุกมุมโลก

ก่อนเกิดเหตุการณ์ 9/11 ชาวอเมริกันส่วนใหญ่แทบไม่รู้เรื่องของโลกภายนอก อย่าว่าแต่เรื่องอิสลามหรือมุสลิมเลย ชาวอเมริกันไม่รู้เรื่องศาสนาของโลกตะวันออกแม้แต่น้อย เราก็เลยพยายามเติมช่องว่างตรงนี้ ถ่ายทอดเนื้อหาที่ช่วยให้ผู้คนได้เข้าใจเรื่องราวเบื้องหลังพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์และทีวีทั้งหลาย เป้าหมายของเราคือสันติภาพผ่านสื่อมวลชน

คำถามการที่ในวัยเด็กคุณมาจากครอบครัวที่มีศาสนาหลากหลายช่วยในงานนี้ได้อย่างไร

คำตอบช่วยได้มากเลยละ ผมเข้าใจว่าไม่จำเป็นที่ศาสนาใดศาสนาหนึ่งจะทำให้คนแต่ละคนเป็นคนดีหรือเลว แต่เป็นที่ตัวคนๆ นั้น ความพยายามของเขาและข้อจำกัดของเขาที่นำเขาไปสู่ความเป็นคนดี ผมว่ามนุษย์ทุกคนมีข้อบกพร่อง แต่ศาสนานี่ละที่จะนำพาผู้คนไปสู่หนทางที่ดี ทางนำที่ถูกต้อง

แต่กระนั้นก็ตาม คุณจะเห็นว่ามีตัวอย่างมากมายที่คนทำผิดในนามศาสนา

คำถามชาวอเมริกันก่อนสงครามรู้เรื่องอิสลามและมุสลิมอย่างไรบ้าง

คำตอบก็รู้ละ และรู้มากกว่าชาวอเมริกันในยุคปัจจุบันตั้งเยอะ มีความสัมพันธ์มากมายของบรรดาบิดาผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาและอเมริกายุคบุกเบิกกับอิสลามและโลกอาหรับ โมร็อคโคเป็นประเทศแรกที่ประกาศรับรองประเทศสหรัฐอเมริกาหลังจากอเมริกาประกาศตนเป็นเอกราชไม่ขึ้นกับอังกฤษ โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson ค.ศ.1743-1826ประธานาธิบดีคนที่สามของสหรัฐฯ มีคัมภีร์อัล-กุรอานไว้ในห้องสมุดส่วนตัว ดูสิ...ชายผู้ชาญฉลาดเหล่านี้ซึ่งได้ร่วมกันก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาขึ้นมา เป็นนักอ่านหนังสือตัวยง และพวกเขาอ่านตำราที่มาจากโลกอิสลามด้วย

คำถามสิ่งนี้ส่งผลต่อความคิดที่ว่าอเมริกาคือชาติยิว-คริสต์อย่างไร

คำตอบผมว่าต้องดูด้วยว่าอิสลามได้มีบทบาทต่อการก่อตั้งประเทศอเมริกาอย่างไร ซึ่งผสมปนเปกันไป ความเชื่อมโยงของชาวมุสลิมในประวัติศาสตร์ยุคเริ่มต้นของอเมริกาเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง อย่างเช่นทาสจากอาฟริกานั้นคาดว่ามีร้อยละ 25 ที่เป็นชาวมุสลิม พวกเขานำวิทยาการที่เหนือกว่ามาเผยแพร่ให้กับนายทาสที่ซื้อตัวพวกเขา นำความรู้ที่เป็นประโยชน์มาช่วยสร้างประเทศอเมริกา

อเมริกาเป็นหนี้บุญคุณทาสชาวมุสลิมแน่นอน

คำถามสารคดีเรื่องนี้ได้รับการตอบรับจากผู้ชมอย่างไรบ้าง

คำตอบจำนวนมากบอกว่าพวกเขาไม่เคยตระหนักเลยว่าอเมริกาในยุคก่อตั้งนั้นมีมุสลิมจำนวนมากทีเดียวและก็เรื่องราวของเจ้าชายอับดุล-ราฮ์มานผู้กลายเป็นทาสก็บอกไว้แล้ว เรื่องราวของเขาก็คือ เขาอาศัยในโลกที่เป็นสากล เรื่องราวยุคเริ่มต้น เจ้าชายผู้กลายเป็นทาส และเรื่องราวของคนที่ตกจากที่สูงสุดลงสู่ที่ต่ำสุดเป็นเรื่องราวที่รันทดเสมอ.

(อ้างอิง : คัดลอกจากหน้าเพจ musachiza บทความชื่อ จากเจ้าชายในอัฟริกา ต้องกลายเป็นทาสในอมริกา http://www.oknation.net/blog/musachiza/2011/08/09/entry-1 )
ปีนี้เป็นวาระ 207 ปี ที่รัฐสภาอังกฤษได้ออกกฎหมายห้ามการค้าทาส เมื่อ ค.ศ.1807 การค้าทาสรุ่งเรืองในยุคของการค้นพบโลกใหม่ คือทวีปอเมริกา และการอพยพชาวยุโรปเข้าไปตั้งถิ่นฐานในอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ ซึ่งต้องการแรงงานในการบุกเบิก การทำเหมืองแร่ และเกษตรกรรม และแรงงานส่วนใหญ่ก็คือ คนผิวดำที่ถูกนำตัวมาจากทวีปแอฟริกา ในคริสต์ศตวรรษที่ 16-19 ประมาณว่ามีชาวแอฟริกา จำนวน 12-15 ล้านคน ถูกส่งตัวลงเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังดินแดนอันห่างไกล โดย 85 เปอร์เซ็นต์ ถูกส่งไปยังบราซิล และอาณานิคมต่างๆ ของสเปน อังกฤษ ฝรั่งเศส และฮอลันดา ในทะเลแคริบเบียน และประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ ถูกส่งไปยังสหรัฐ ซึ่งในเวลานั้นอยู่ในความปกครองของอังกฤษ  ภาพของทาสผิวดำที่เห็นจากหนังสือ และภาพยนตร์ ก็คือมนุษย์ที่ถูกล่ามโซ่ ใส่ขื่อคา ถูกเฆี่ยนตี และทำร้ายร่างกาย หรือทรมานด้วยวิธีการอันทารุณโหดร้าย รวมทั้งถูกนาบด้วยเหล็กที่เผาไฟจนแดงเพื่อประทับตราของเจ้าของทาส ไม่ต่างจากวัวควาย  การค้าทาสเริ่มต้นด้วยสงครามระหว่างชนเผ่า และผู้ที่ตกเป็นเชลยก็จะถูกขายแก่พ่อค้าชาวอาหรับ ต่อมาชาติตะวันตกก็ได้เข้าร่วมในการค้าทาสอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทำให้สงครามระหว่างเผ่า นอกจากความขัดแย้งในเรื่องต่างๆ แล้ว ยังกลายเป็นการหาสินค้าคือเชลย มาขายแก่พวกพ่อค้าทาส เมื่อความต้องการทาสในทวีปอเมริกาสูงขึ้น ก็ทำให้เกิดการลักพาตัว ชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่แถบชายฝั่งทวีปแอฟริกา และขบวนการล่าชนพื้นเมืองที่อยู่ลึกเข้าไปในทวีปด้วยน้ำมือของคนแอฟริกันด้วยกันเอง เพื่อนำมาขายแก่พ่อค้า ซึ่งบางครั้งก็เพียงแค่แลกเปลี่ยนกับของเล็กๆ น้อยๆ เช่น เหล้า เสื้อผ้า เครื่องประดับ มีด ดาบ และปืน  การค้าทาสในสมัยนั้นมีลักษณะเช่นเดียวกับการค้าปศุสัตว์ คนผิวดำทั้งที่เป็นเชลยและถูกจับมาจะถูกล่ามโซ่ติดกันและเดินทางเป็นระยะทางไกลในเวลากลางคืน เพื่อให้หลบหนีได้ยาก จนมายังสถานที่เป็นศูนย์กลางการค้าทาส ที่นั่นจะมีการประมูลทาส เมื่อประมูลได้แล้วเจ้าของก็จะประทับตราของตนลงบนตัวทาส และส่งต่อไปยังชายทะเลเพื่อลงเรือเล็กไปขึ้นเรือใหญ่ต่อไป สภาพในเรือก็อดอยาก สกปรก แออัด และทุกข์เข็ญ จนหลายคนเสียชีวิตกลางทาง ซึ่งก็จะถูกจับโยนลงทะเลเหมือนซากสัตว์  การค้าทาสเป็นการส่งเสริมให้มีการทำสงครามระหว่างเผ่า การลักพาตัว ขณะเดียวกันก็เป็นการโยกย้ายถิ่นฐานโดยไม่สมัครใจของชาวแอฟริกันจำนวนมหาศาล ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ วิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรม ของทวีปแอฟริกาโดยรวม จากอดีตถึงปัจจุบัน และการค้าทาสก็เป็นอาชญากรรม และความเลวร้ายที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันเอง เพื่อผลประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว  อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการห้ามค้าทาสมาเป็นเวลา 207 ปีแล้ว แต่ปัจจุบัน การค้ามนุษย์ก็ยังดำเนินอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วโลก ด้วยรูปแบบและวิธีการที่เปลี่ยนไปตามสภาพของสังคม แต่ความทุกข์ทรมาน ความปวดร้าวจิตใจ และการสูญเสียคุณค่าของความเป็นมนุษย์ของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ย่อมจะไม่ต่างไปจากทาสในสมัยก่อน หรอกครับ  “คุณประภัสสร เสวิกุล  ได้กล่าวไว้ใน นสพ. คมชัดลึก”