วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แกรมมี่รุกธุรกิจทีวีดาวเทียม/เคเบิ้ลทีวี ยุทธศาสตร์ใหม่บนน่านน้ำสีน้ำเงินของอากู๋ (จริงเหรอ)

แกรมมี่รุกธุรกิจทีวีดาวเทียม/เคเบิ้ลทีวี ยุทธศาสตร์ใหม่บนน่านน้ำสีน้ำเงินของอากู๋ (จริงเหรอ)


พลันที่มีการเปิดตัวเจ้ากล่องรับสัญญาณที่เรียกว่า 1-SKY ที่ทำร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจสื่อทีวีดาวเทียมช่องอื่นๆ อีกหลายเจ้ามาผนึกรวมกันบนฐาน platform เดียวกัน ก็เป็นที่ฮือฮาของบรรดาสื่อมวลชน ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ตลอดจนผู้ชมหรือผู้บริโภคที่เสพสื่อทางทีวีหรือเคเบิ้ลทีวีพอสมควร และก่อนหน้านี้ ก็พอจะรับทราบว่าอากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม แกมีความคิดที่อยากจะเปิดช่องทีวีเป็นของตนเองมาตั้งนานแล้ว และช่องทีวีดาวเทียมของเครือแกรมมี่ก็เปิดตัวชิมลางมาได้ซักพักนึงแล้วทั้ง 4 ช่องเดิม ก็คือ Green , Bang , Fan TV และ Acts แต่ก็ยังไม่สามารถเรียกเรตติ้งได้สูงสุดในระบบได้ รวมถึงยังไม่สามารถตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายคนดูได้ครบทุกเซ็กเม้นท์ตามแต่ใจของอากู๋ได้อย่างครบถ้วน มาคราวนี้จึงดำริ ที่จะเปิดอีก 4-6 ช่องให้ครบ 10 ช่อง เพื่อขอก้าวไปเป็นผู้นำในธุรกิจทีวีดาวเทียมนี้ แต่จริงๆ แล้ว เป้าหมายที่อากู๋มาเปิดทีวีดาวเทียมก็คือ ต้องการเม็ดเงินรายได้จากค่าโฆษณาที่จะได้รับจากธุรกิจทีวีดาวเทียมมากกว่า ซึ่งสมมติฐานที่อากู๋ตั้งเอาไว้ก็คือ หากมีช่องที่มีรายการที่ดี มีคอนเท้นต์ที่ดี มีผู้ชมที่ตรงกลุ่มเป้าหมายของแต่ละช่อง ก็ง่ายต่อการที่สินค้าจะหันมาลงโฆษณาในช่องทีวีดาวเทียม เพราะผลประโยชน์ก็จะ win win ด้วยกันทั้งคู่ เจ้าของสินค้าก็จะลงโฆษณาได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ไม่ต้องหว่านแห หว่านเม็ดเงินไปแบบไร้ทิศทาง ประหยัดงบโฆษณาได้มากอักโข เพราะการลงโฆษณาในฟรีทีวีย่อมแพงกว่าในทีวีดาวเทียมหลายเท่านัก อีกทั้งยังสามารถต่อรองกับช่องทีวีดาวเทียมได้ง่ายกว่า เพราะการแข่งขันในช่วงแรกคงยังไม่สูงมากนัก ในส่วนของเจ้าของสถานีทีวีดาวเทียม ก็ได้ประโยชน์จากค่าโฆษณาสินค้าที่จะไหลออกจากฟรีทีวีมาเข้าช่องของตน และดูเหมือนแนวโน้มก็นับวันที่จะไปในแนวทางนั้น ขอเพียงแต่ว่ามีการจัดเรตติ้งในช่องทีวีดาวเทียมได้อย่างแน่ชัดว่าช่องไหน มีฐานกลุ่มลูกค้าใหญ่กว่ากัน มีกำลังซื้อมากน้อยขนาดไหน ซึ่งก็ไม่ยากที่จะวิเคราะห์ เพราะดูจาก content ของช่อง และพฤติกรรมของผู้บริโภคในการเลือกรับชมช่องทีวีดาวเทียม ซึ่งต้องทำควบคู่ไปกับการทำสำรวจความนิยมของคนดูได้อีกทางนึง ประโยชน์อีกอย่างนึงของช่องทีวีดาวเทียมก็คือเขาไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทานหรือผลประโยชน์อื่นใดให้กับหน่วยงานของรัฐที่คุมสื่อ ทำให้เขาประหยัดเงินงบประมาณตรงส่วนนี้ ไปไว้ในการลงทุนทำรายการดีๆ เพื่อป้อนสู่ทีวีของเขาได้มากกว่าฟรีทีวี และเขาสามารถสื่อสาร message ต่างๆ ไปยังกลุ่มผู้ชมคนดูแบบเฉพาะกลุ่มทำให้สามารถสื่อได้ตรงและลึก ชัดเจนได้มากกว่ารายการบนฟรีทีวีที่ต้องทำออกมาเป็น mass และบางครั้งก็ขาดมุมมองด้านลึก มีแต่ด้านกว้าง และถูกจำกัดด้านเวลาหรือ airtime มากเกินไป ทำให้ความสมบูรณ์ของเนื้อหายังไงก็สู้รายการที่ผลิตเพื่อป้อนทีวีดาวเทียมไม่ได้

ถ้าจะมาวิเคราะห์โอกาสทางการตลาดของแกรมมี่ในการรุกธุรกิจทีวีดาวเทียมหรือเคเบิ้ลทีวีนั้น ก็ต้องถือว่าแกรมมี่ได้เปรียบคู่แข่งหรือพันธมิตรทางธุรกิจสื่อทีวีดาวเทียมเจ้าอื่นๆ อยู่มากโข ทั้งในฐานะเป็นบริษัทบันเทิงเบอร์ 1 ของไทย มีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเองด้วย เป็นบริษัทแม่และบริษัทลูกในเครือที่ผลิต content ด้านบันเทิงป้อนสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีอยู่แล้ว เกือบทุกช่อง อีกทั้งมีบุคลากร ทีมงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังอยู่มากที่สุดในวงการ ทำให้แกรมมี่ได้เปรียบคู่แข่งในจุดนี้ จึงเป็นหัวหอกในการรวบรวมสื่อทีวีดาวเทียมเกือบทุกเจ้าเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรและร่วมเดินไปบน platform เดียวกัน โดยใช้พาหะที่ชื่อว่า 1-SKY เป็นเครื่องมือและรวมไปถึงเป็นตัวสินค้าที่จะสามารถนำออกมาขาย แปลงเป็นเงินหรือรายได้เข้าบริษัทได้ก่อนในชั้นแรก นี่คงเป็นความชาญฉลาดของอากู๋ที่ออกตัวแรงและก็ทำแต้มนำเจ้าอื่นไปได้ก่อนเลย โดยที่คู่แข่งคนอื่นๆ ได้แต่จำใจเข้าร่วม และกลืนน้ำลายเอื้อกๆ มองตาปริบๆ ให้อากู๋ และแกรมมี่ วิ่งแซงหน้าไปปักธงเอาไว้ก่อนเลย ในน่านน้ำสีน้ำเงินแห่งนี้

หันมามองยุทธศาสตร์ของบริษัทจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ ที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองมาเรื่อยตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปี โดยเมื่อแรกก่อตั้งบริษัท บริษัทเป็นเพียงสตูดิโอในการผลิตเพลง และส่งให้บริษัทออนป้า จัดจำหน่าย พอหลังจากนั้นก็ตั้งบริษัท MGA มาเป็นแขนขาของตนเอง ในช่วง 10 ปีแรกของบริษัท ยังคงเป็นค่ายเพลงที่เน้นผลิตผลงานเพลงแต่เพียงอย่างเดียวและเริ่มรุกทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเพลงหรือมา support ธุรกิจเพลง อาทิ ตั้งบริษัท a-time media เพื่อดูแลสื่อวิทยุในเครือทั้ง 4 คลื่น (Hot wave,Green wave, Radiovote Sattlelite,Radio Noproblem) ตั้งบริษัทเอ็กซ์แซ็กท์ เพื่อผลิตละครป้อนสถานี และผลิตรายการทีวี ,ตั้งบริษัท Teentalk เพื่อผลิตรายการเพลงทางฟรีทีวี ,ตั้งบริษัทแกรมมี่ฟิมล์ เพื่อผลิตภาพยนตร์ ,ตั้งบริษัท (จีเอ็มเอ็มไลฟ์) ที่ดูแลการจัดคอนเสิร์ตให้กับศิลปินในค่าย เป็นต้น ปีที่ 11-20 นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ลงทุนในธุรกิจนอกไลน์สายงานเพลงมากขึ้น และตั้งบริษัทที่จะรองรับรูปแบบธุรกิจสื่อบันเทิงครบวงจร อาทิ ตั้งบริษัท อินเด็กซ์ เพื่อดูแลการจัดอีเว้นท์ และโชว์บิซ ,ตั้งบริษัทอามาทิส เพื่อดูแลบริหารศิลปินในค่ายในเครือทั้งหมด ,ตั้งบริษัทเพื่อดูแลด้านลิขสิทธิ์เพลง ,ตั้งบริษัทเพื่อผลิตและขายตรงสินค้าอุปโภคบริโภคด้วย เช่น บะหมี่โฟร์ยู เครื่องสำอางค์ U-Star ,จัดตั้งสถาบันดนตรีมีฟ้า เป็นโรงเรียนสอนด้านดนตรีแก่บุคลากรภายในและภายนอกองค์กร พร้อมๆ กับยุคนี้มีการเปลียนแปลงโครงสร้างบริหารองค์กรครั้งใหญ่ มีการเปลี่ยนชื่อบริษัท จากแกรมมี่เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เป็น จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ มีการดึงตัวคนนอกมาเป็นผู้บริหารองค์กร อาทิ วิสิฐ ตันติสุนทร ,อภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นต้น มีการแตกค่ายเพลงออกเป็นค่ายย่อยๆ มากมายในยุคนี้ อาทิ มอร์มิวสิค กรีนบีนแกรมมี่แกรนด์ แกรมมี่โกลด์ อาร์พีจี เมกเกอร์เฮด จีนี่เรคคอร์ด เอ็กซ์แซ็กท์ เป็นต้น ปีที่ 21 ถึงปัจจุบัน มีการยุบหลายบริษัทที่ไม่ทำกำไร หรือควบรวมบางบริษัทที่ใกล้เคียงกัน เพื่อลดบุคลากร ลดค่าใช้จ่าย มีการจ้างพนักงานออก และก็มีการตั้งบริษัทใหม่ หรือซื้อกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับสื่อด้านอื่นๆ อาทิ มีการยุบบริษัทแกรมมี่ฟิมล์ทิ้งแต่ไปจัดตั้งบริษัท จีทีเอช โดยร่วมกับไทเอ็นเตอร์เทนและหับโห้หิ้น เป็น joint venture กัน ,ยุบค่ายเพลงเล็กๆ ทิ้งไปมากมาย ตั้งค่ายเพลงใหม่อย่างสนามหลวง มีการตั้งบริษัท gmm media ,gmmtv เพื่อดูแลการผลิตรายการโทรทัศน์ในเครือทั้งหมด บริษัทลูกอย่างเอ็กแซ็กท์ก็ตั้งบริษัทซีนาริโอขึ้นมาแยกออกเป็นอีกบริษัทเพื่อผลิตซิทคอมป้อนฟรีทีวี ตั้งบริษัทจีเอ็มเอ็มอินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อดูแลศิลปินไทยไปโกอินเตอร์ และมีผลงานในต่างประเทศ ดูแลด้านลิขสิทธิ์ทั้งหมดในต่างประเทศ รวมถึงศิลปินต่างประเทศที่มา cover งานเพลงของแกรมมี่ และเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับศิลปินต่างประเทศมาขายในบ้านเรา ซื้อกิจการนิตยสารอิมเมจ และซื้อหัวแม็กาซีนเมืองนอกมาผลิตในไทย อาทิ Maxim , Her World, Attitude , เข้าไปถือหุ้นใหญ่ในเครือ นสพ.มติชน , ถือหุ้นใหญ่ในบ.แฟมิลี่โนว์ฮาว ที่เป็นเจ้าของ Money Channel ,ถือหุ้นใหญ่ใน Office Mate เรียกได้ว่า แกรมมี่เป็นบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่ไม่ใช่แค่ในเมืองไทย น่าจะใหญ่สุดในภูมิภาคอาเซี่ยนนี้ด้วย ซึ่งครั้งนึงเคยมีค่ายเพลงจากฝั่งยุโรปติดต่อขอซื้อกิจการ หรือ Takeover จากแกรมมี่ แต่อากู๋ ไพบูลย์ ไม่ยินดีที่จะขายให้ เพราะมองเห็นศักยภาพในตัวเอง ที่จะสามารถสร้างอาณาจักรความยิ่งใหญ่ได้เอง ยุคนั้นพี่เต๋อยังกุมบังเหียนนั่งเป็น CEO อยู่

บทวิเคราะห์ของผู้เขียนต่อกรณีของการรุกไปในธุรกิจทีวีดาวเทียม/เคเบิ้ลทีวีของอากู๋ หรือแกรมมี่ในครั้งนี้นั้น น่าจะเป็นไฟต์บังคับมากกว่า มากกว่าที่จะเป็นวิสัยทัศน์อันเฉียบคมหรืออะไรของอากู๋มากนัก เพราะแต่เดิมอากู๋ต้องการทำทีวีแบบเดียวกับช่องฟรีทีวี ประเภท ไอทีวีเดิม หรือช่องทีวีไทย แต่ติดตรงการจะเปิดช่องฟรีทีวีใหม่ในยุครัฐบาลอานันท์ มีการแข่งขันประมูลกันสูงมาก และไอทีวีได้ไป (จนตอนหลังโดนให้จ่ายค่าสัมปทานย้อนหลังถึงกับเจ๊ง ปิดกิจการไป) ต่อมาในยุคสุรยุทธ์ การให้สัมปทานฟรีทีวีใหม่บนคลื่นสัญญาณ UFH ถูกกำหนดให้ต้องเป็นรูปแบบทีวีสาธารณะ ต้องมีกฏเกณฑ์ต่างๆ มากมายที่ไม่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจหากำไร จนอากู๋ก็ต้องล่าถอยออกไปอีก พอมาในยุคปัจจุบันกระแสทีวีดาวเทียมได้รับความนิยม โดยช่องที่เป็นโมเดลต้นแบบที่ทำแล้วประสบความสำเร็จก็คือ astv โด่งดังมาจากการชุมนุมขับไล่ทักษิณ ตั้งแต่ช่วงปี 2548 และช่องเนชั่นทีวี 2 ช่องนี้น่าจะเป็นช่องบุกเบิกฟรีทีวีดาวเทียมยุคแรกๆ ที่คนหันมาติดดาวเทียมกันมากขึ้น จากการอยากจะติดตามข่าวสารบ้านเมือง และก็ช่องทรูวิชั่นส์เดิมที่เป็นช่องเคเบิ้ลเก่าแก่แบบบอกรับสมาชิกที่มีฐานคนดูแบบมีกำลังซื้อสูง พอมีการติดจานรับสัญญาณดาวเทียมกันมากขึ้นโดยเฉพาะตามต่างจังหวัดอันเนื่องมาจาก ตจว.รับสัญญาณโทรทัศน์ไม่ดี พวกเสาหนวดกุ้งไม้เวิร์ค จึงหันมาติดจานดาวเทียม ซึ่งก็มีการทำราคาถูกลงมามาก จากนโยบายจานแดงติดฟรีของทรูวิชั่นส์นั่นแหละเป็นตัวจุดกระแสแรกๆ ที่ทำให้คนหันมาติดจานกันมากขึ้นแทนเสาโทรทัศน์แบบเดิมๆ ทำให้อากู๋ ไพบูลย์สบช่องรุกทำธุรกิจทีวีดาวเทียมทันที โดยหวังจะเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ให้ได้ ซึ่งก็ไม่ง่ายนั้น (เดี๋ยวจะได้วิเคราะห์ต่อไปถึงเหตุผล) แต่หากดูจากวิสัยทัศน์ของอากู๋ จริงๆ แล้วนั้น โดยส่วนตัวของผู้เขียนคิดว่าถ้าอะไรเป็นความคิดไอเดียของท่านนั้นมักจะล้มเหลว ไม่ประสบความสำเร็จ เสียส่วนใหญ่ (ขอโทษอากู๋ด้วยนะครับที่ต้องพูดแบบตรงไปตรงมา และวิเคราะห์ไปตามเนื้อผ้าจริงๆ) พอสิ้นยุคพี่เต๋อ มาแล้ว การนำพาองค์กรอย่างแกรมมี่ของอากู๋นั้น แตกไลน์ไปเยอะมาก พยายามจะหันลงไปทำธุรกิจในหลายด้าน ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มี know how และยังไม่มีบุคลากรเลยด้วยซ้ำ มีแต่เงินทุนที่ทุ่มลงไป จะเห็นว่าในรอบหลายปีมานี้ ธุรกิจที่แกรมมี่ทำแล้วไม่สามารถทำรายได้หรือกำไรเป็นกอบเป็นกำ มีอยู่มากมาย ทั้งๆที่บริษัทมี asset มีบุคลากรผู้เชี่ยวชาญเก่งๆ ในค่ายอยู่เป็นจำนวนมาก ดังจะเห็นได้จากช่วง 10 ให้หลังมานี้ บริษัทแกรมมี่ทำกำไรในแต่ละปีน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ หรือบุคลากรที่ตัวเองมีอยู่ และแม้จะมีการซื้อตัวหรือดึงนักบริหารมืออาชีพเข้ามานำทัพในบริษัทอยู่ช่วงนึงแล้วก็ยังไม่ประสบผลเท่าที่ควร ในมุมมองของผู้เขียนนั้นมองว่า แกรมมี่โดยอากู๋นั้นได้มองข้ามหรือลืมปรัชญาในการดำเนินธุรกิจของตนเองไป ลืมรากเหง้าขององค์กรไป นั่นก็คือ ตัว core business ที่แท้จริง ซึ่งก็คือธุรกิจเพลง ซึ่งเป็นปรัชญาในการก่อตั้งบริษัทเมื่อครั้งเริ่มแรกกับพี่เต๋อ อุดมการณ์ในการที่จะก่อตั้งค่ายเพลงและสร้างธุรกิจเพลง การขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมผลิตเพลงไทยก้าวไปข้างหน้าและให้เติบโตต่อไปได้ แกรมมี่ทำเหมือนกัน พอยึดกุมตลาดเอาไว้ได้ก็หยุดพัฒนาต่อ แล้วหันไปทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องต่อ โดยไม่สนใจที่จะโฟกัสตัวธุรกิจเพลง ซึ่งเป็นหลักชัยที่สำคัญ อีกทั้งยังทำไปไม่สุดทางด้วย คือหยุดที่จะคิดและพัฒนาต่อ ซึ่งจะด้วย key man ที่เป็นหัวใจอย่างพี่เต๋อเสียชีวิต หรือจะอ้างการมาของเทคโนโลยีการดาวน์โหลดเพลงทำให้อุตสาหกรรมเพลงถึงทางตัน แต่จริงๆ แล้วผู้เขียนยังคิดว่า นั่นไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริง จะขอตอบทีละอัน ในกรณีของขาดตัวขับเคลื่อนหรือ key man ที่สำคัญ นั้น ผู้เขียนไม่เห็นด้วย เพราะในตอนนั้นแกรมมี่ไม่ได้สร้างงานโดยพี่เต๋อเพียงคนเดียว ทีมงานที่พี่เต๋อได้สร้างไว้เก่งๆ มีมากมาย สุดแล้วแต่จะเรียกใช้ใคร ทีมโปรดิวเซอร์เก่งๆ ในประเทศนี้มารวมกันอยู่ในแกรมมี่ไม่รู้กี่สิบคน และทีมแต่งเพลงอีกหลายสิบชีวิต ปัญหาจึงไม่ใช่อยู่ที่มันสมองไม่มี แต่อยู่ที่กรอบความคิดและวิสัยทัศน์ของผู้นำ กำหนดทิศทางผิดหรือไม่ และมองไม่เห็นเฟรมเวิร์คอันนี้มากกว่า ส่วนข้อต่อมาก็คือการมาของเทคโนโลยีการดาวน์โหลดเพลง มาฆ่าอุตสาหกรรมเพลงหรือทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ยิ่งไม่เห็นด้วยหนักเข้าไปอีก ไม่ว่าจะมองว่าเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าหรือตลาดเพลงที่บริโภคหรือเสพงานผ่านรูปแบบเดิมๆ คือ CD,cassette tape แผ่นเสียง, MP3 หรืออะไรก็แล้วแต่ เป็นแต่เพียงตัวเลือกที่เพิ่มขึ้นมาของทางเลือกในการเสพงานมากกว่า ผู้บริโภคมีทางเลือกเพิ่มขึ้น เทคโนโลยีคือเหรียญ 2 ด้าน ที่นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการผลิตงานเพลงให้ง่ายขึ้น ทำงานได้รวดเร็วขึ้น ประหยัดขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำไมมุมนี้ถึงไม่มองบ้างหล่ะ แต่กลับไปมองว่ามันมาแล้วทำให้ผู้บริโภคไม่ซื้อเทป ไม่ซื้อซีดี หันมาโหลดฟรีกันอย่างเดียว ในส่วนตัวของผู้เขียนยังมีความนิยมชมชอบที่จะซื้องานเพลงในรุปแบบเดิมอยู่คือซื้อเป็นซีดี คาสเซ็ทเทป หรือแผ่นเสียงมากกว่าที่จะเก็บเป็นในรูปของไฟล์หรือ load bit หรือโหลดเข้ามาไว้ในมือถือ อาจจะด้วยเป็นคนรุ่นเก่า แต่เชื่อว่าแม้กระทั่งคนรุ่นใหม่สมัยนี้ยังชอบที่จะสะสมงานเพลงในรูปแบบซีดี แผ่นเสียง คาสเซ็ท อยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เพราะมีคุณค่าจับต้องได้ สะสมได้ โดยเฉพาะแฟนคลับที่ตามงานศิลปิน เป็นแฟนพันธุ์แท้ชอบสะสมเป็นคอลเลคชั่น เพียงแต่ในปัจจุบันงานเพลงใหม่ๆ ค่ายเพลงไม่นิยมทำออกมาในรูปแบบเดิมๆ หรือทำมาในจำนวนจำกัด ผู้เขียนเห็นว่าการที่ยอดขายในปัจจุบันลดลงไม่ใช่ผลจากเทคโนโลยีแต่เพียงอย่างเดียว แต่เพราะความอ่อนด้อยของคุณภาพงานเพลงในปัจจุบันมันลดน้อยถอยลงมากกว่า เมื่อเทียบกับงานเพลงในสมัยก่อน เพราะปัจจุบันหันมาเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพการผลิต ดนตรีที่ใช้บันทึกเสียงในห้องอัดยังใช้คอมพิวเตอร์ผลิตเอาเลย คุณภาพการร้องของนักร้องในสมัยนี้ก็เทียบไม่ได้กับนักร้องสมัยก่อน พอร้องสดขึ้นเวทีแต่ละครั้งจะรู้เลยว่าลิปซิงค์ หรือพอร้องเต็มเสียงก็รู้เลยว่าเสียงไม่เหมือนตอนฟังในอัลบั้มหรือห้องอัดที่มีการตัดต่อออกมาอย่างดี ทำให้เราไม่ประทับใจในความสามารถของนักร้องในปัจจุบันเท่ารุ่นก่อน นักร้องคุณภาพในยุคนี้นั้นนับหัวนับตัวได้เลยว่ามีกี่คน ในขณะที่จำนวนนักร้อง ศิลปิน หรือวงดนตรีผุดขึ้นใหม่รายวันราวกับดอกเห็ด เวทีประกวดเยอะแยะมากมายที่คัดนักร้องที่หน้าตา ไม่มีคุณภาพการร้องเอาเสียเลย ความเป็นจริงก็คือคุณภาพของงานเพลงในยุคนี้ต่างหากที่มันทำลายอุตสาหกรรมเพลงโดยภาพรวม ทำให้ผู้บริโภคในยุคนี้ที่เขาฉลาดและมีทางเลือกมากขึ้น เลือกที่จะไม่ซื้องานแบบทั้งอัลบั้ม ทำให้ค่ายเพลงต้องหันมาทำเพลงแบบเพลงต่อเพลง คือโปรโมตเป็นซิงเกิ้ล ทำไมอุตสาหกรรมเพลงในเกาหลีถึงไปได้ดีหล่ะ ค่าย SM Entertainment , หรือ JYP ทำไมถึงสร้างนักร้องของเกาหลีให้โด่งดังในระดับเอเชียและระดับโลกได้หล่ะ อีกทั้งแผ่นเสียงและการโหลดก็ค่ายดีควบคู่กัน อาทิ อัลบั้มของศิลปิน Wondergirl , rain, TVXQ, Binbang, CN Blue , 2 PM ,SuperJunior, Girl generation , Cara จึงขายดีในระดับเอเชียและไปตีตลาดได้ทั่วโลกหล่ะ หากแกรมมี่จะผลักดันจริงๆ ศิลปินในค่ายที่มีศักยภาพอีกหลายคนที่ไม่ใช่พี่เบิร์ดทำไมไม่ถูกผลักดันให้โกอินเตอร์ มากกว่านี้ ทั้งๆ ที่แกรมมี่มีบุคลากรเก่งๆ ที่มีศักยภาพอยู่เยอะ ที่ผ่านมาการผลักดัน เต๊ะ ศตวรรษ ,ไชน่าดอลล์ ,ดราก้อนไฟว์ ,กอล์ฟ ไมค์ ชิน ชินวุฒิ ไอซ์ ศรัณญู นั้น ผู้เขียนยังไม่ขอเรียกว่าโกอินเตอร์แล้ว แต่เป็นการโกเป็นบางประเทศของเอเชียเท่านั้น เอาง่ายๆ เก่งจริง ต้องครองตลาดที่อยู่ใกล้ๆ อย่างอาเซี่ยนให้ได้ก่อน และก็ตลาดจีน ญี่ปุน เกาหลี ไต้หวันนั้นต้องเจาะได้ทุกประเทศ ศิลปินที่แกรมมี่ผลักดันทีผ่านมานั้นยังมีศักยภาพไม่เพียงพอ ต้องระดับพี่เบิร์ด อัสนีวสันต์ ทาทายัง ใหม่ คริสติน่า เจเจตริน ถ้าเป็นยุคนี้ก็ต้องเป็นบี้เดอะสตาร์ ดาเอ็นโดรฟิน อ๊อฟ ปองศักดิ์ ตูน บอดี้สแลม ปั๊บโปเตโต้ แก้มวิชญานี แต่ศิลปินเบอร์ระดับนี้กับไม่ถูกผลักดันออกนอกประเทศเท่าที่ควร ทั้งที่ศักยภาพไปได้ไกลกว่าระดับประเทศแล้ว จึงเป็นสิ่งที่ตัวผู้เขียนใช้คำว่าไปไม่สุดทางของการทำธุรกิจค่ายเพลง และไม่โฟกัสในจุดแข็งอันนี้ กลับไปมุ่งธุรกิจอื่นที่คาดคิดเอาเองว่าจะสร้างกำไรได้มากกว่า โดยลืมไปว่าธุรกิจที่กำลังจะมุ่งไปนั้นตัวเองไม่ได้มีจุดแข็งที่เหนือกว่าคู่แข่งเลย และต้องลงทุนลงแรงเสียทรัพยากรไปโดยเปล่าประโยชน์

ผู้เขียนขอขยายความในส่วนของธุรกิจทีวีดาวเทียม/เคเบิ้ลทีวีดังนี้ การที่แกรมมี่รุกทำธุรกิจนี้โดยกะจะทำถึง 10 ช่อง ซึ่งก็ไม่ได้เยอะอะไรเมื่อเทียบกับปริมาณ 200 กว่าช่องที่มีอยู่ในปัจจุบัน การจัดหมวดหมู่ของช่องเคเบิล้นั้นจำแนกตามประเภทเนื้อหาได้ดังนี้ กลุ่มแรกคือกลุ่มช่องข่าวหรือรายงานสถานการณ์ประจำวัน อาทิ ช่อง TNN 24 , Astv new1, Nation, Spring News, Voice TV, T-News ,Money Channel ,CNN,NHK,BBC,CNBC,Bloomberg เป็นต้น กลุ่มต่อมาคือกลุ่มช่องบันเทิง,ละคร,ภาพยนตร์,เพลง อาทิ ช่องเพลงของทั้งแกรมมี่,อาร์เอส, channel V, MTV, POP,Majung ช่องละครของ Media, Acts ,ช่องหนัง เช่น HBO,Star Movies,Cinemag,Syfy,Universal, KBS,Cartoon Network, M picture กลุ่มของสารคดี ทอล์คโชว์ เรียลลิตี้โชว์ เช่น Discovery ,Animal Plannet,History,Documentary ,National Geographic,FTV,Tango กลุ่มของช่องกีฬา,ผจญภัย ได้แก่ ช่อง  Espn,Truesport ,Football Plus ,X-Zyte เป็นต้น โดยช่องกีฬา เป็นช่องที่คนดูเคเบิ้ลทีวีของ Truevision หรือบอกรับสมาชิกต้องการดูมากที่สุด เพราะเป็นแหล่งที่รับชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีคทีมใหญ่ๆเพียงที่ดียว จะเห็นได้ว่าแกรมมี่จะมีช่องที่รวมกันอยู่ในหมวดบันเทิงเสียส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด ซึ่งฐานคนดูส่วนใหญ่ในบ้านเรากลับดูข่าว วิเคราะห์ข่าว และรายงานสถานการณ์ประจำวัน รวมถึงกีฬาเสียเป็นหลักใหญ่มากกว่า ซึ่งเป็นช่องทีมี content ที่ดีที่สุด รองลงมาคือในกลุ่มสารคดี ทอล์คโชว์ เรียลลิตี้โชว์ อีกทั้งการยัดเยียดโฆษณาเข้าไปมากๆ ในเคเบิ้ลทีวีหรือทีวีดาวเทียมก็ไม่เป็นผลดีมากนัก หากรายการไม่มีกลุ่มฐานที่เหนียวแน่นแล้วหล่ะก็ ลูกค้ามีรีโมตที่จะเปลี่ยนไปเลือกดูช่องอื่นได้ทันที และยิ่งมีตัวเลือกยิ่งมากยิ่งเสี่ยงต่อการเสียฐานลูกค้าไปได้โดยง่าย ส่วนประเด็นที่แกรมมี่โดยอากู๋ ไพบูลย์ ได้ซื้อลิขสิทธิ์บอลยูโร 2012 มาเพื่อไว้เป็นจุดขายในการจูงใจให้ผู้บริโภคคนไทยหันมาติดกล่อง 1-SKY เพื่อรับชมแบบต้องเสียค่าบริการรายเดือนด้วย น่าจะเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการถูกวิพากย์วิจารณ์โจมตี ในส่วนที่ค้ากำไรเกินควรหรือไม่ ในเมื่อขายกล่องได้แล้วยังจะมาเก็บค่าสมาชิกเป็นรายเดือนอีก โมเดลนี้ทรูวิชั่นส์ก็ทำมาแล้ว และผู้บริโภคคนไทยจำนวนหนึ่ง (ก็มากพอดู) ที่ไม่พร้อมจะจ่ายก็หันไปซื้อกล่องสัญญาณเถื่อนมาลักลอบดักจับสัญญาณเพื่อชมฟรีไม่เสียรายเดือน ใช่ว่าบางคนจะไม่มีกำลังซื้อ เพียงแต่เขาไม่ยอมรับหรือรับไม่ได้กับการเอารัดเอาเปรียบมากจนเกินไปของผู้ให้บริการต่างหาก มันควรจะเป็นการคืนกำไรให้กับสังคมมากกว่าเหมือนเมื่อครั้งนึง บ.ทศภาค ในเครือไทยเบฟเวอเรจ ก็เคยได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลยูโรมาก่อน และก็ถ่ายทอดสดผ่านฟรีทีวีให้ประชาชนได้ชมฟรี แล้วตัวเองก็ได้เม็ดเงินจากค่าโฆษณาของสปอนเซอร์ทั้งหลายแล้ว ขาดทุนนิดหน่อยแต่ได้คืนกำไรกลับสู่สังคม จึงทำให้ช่วยสร้างภาพลัษณ์ให้กับเบียร์ช้างและคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี และได้รับคำชื่นชมจากประชาชนเป็นวงกว้างอีกด้วย ทางแกรมมี่น่าจะนำไปพิจารณาให้ดี เพราะบางทีการได้มาในสิ่งหนึ่งอาจเสียอีกสิ่งหนึ่งหรือที่เรียกว่าได้ไม่คุ้มเสีย เพราะในอนาคตถ้าคุณได้ใจประชาชนในวงกว้างแล้ว เขาก็จะสรรเสริญชื่นชมคุณแบบปากต่อปากซึ่งจะกลายมาเป็นปฏิกิริยาสะท้อนกลับด้านบวก ทำให้คุณมีฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ รายได้ก็จะเพิ่มขึ้นไปเองโดยอัตโนมัติ ไม่รู้ว่าอากู๋จะคิดในประเด็นเหล่านี้ได้หรือไม่ หรือไม่คิดหรอก เพราะที่ผ่านมาคิดจะทำอะไรก็ทำไปเลย ซึ่งผู้เขียนเองก็รู้สึกผิดหวังในแกรมมี่ เมื่อก่อนจะติดตามงานเพลงของศิลปินแกรมมี่เกือบทุกคน มาตลอด เรียกได้ว่าเพลงไหน ใครแต่งคำร้อง ทำนอง สามารถจะบอกได้ เดี๋ยวนี้แทบไม่รู้จักทั้งทีมผู้ผลิตงานและตัวศิลปินก็ไม่รู้จักซักเท่าไหร่ เยอะเหลือเกิน เมื่อก่อนเรายังตามงานเป็นอัลบั้ม ซื้อเป็นคาสเซ็ทหรือ CD เราจะรู้ที่มาที่ไปของศิลปิน ตลอดจนพัฒนาการของศิลปินแต่ละคน คอนเซ็ปต์อัลบั้มนี้ต่างจากอัลบั้มชุดก่อนอย่างไร เดี๋ยวนี้ต้องฟังกันเป็นเพลงๆ ไป ถ้าศิลปินคนใดเปิดตัวมาไม่ชอบ ฟังไม่ติดหู มีอันต้องจบเลิกติดตามกันไปเลย ยังเสียดายอุดมการณ์การทำธุรกิจเพลงของพี่เต๋อ นี่ถ้าพี่เต๋อยังมีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้แล้วหล่ะก็ ไอ้เจ้าสหภาพการดนตรีอาจก่อตั้งโดยการนำของพี่เต๋อมากกว่าก็เป็นได้ และผู้ที่จะติดตามแห่กันลาออกจากแกรมมี่ตามมาจะมีมากกว่าแค่ดี้ อัสนี วสันต์ และโอมชาตรี เป็นแน่ เพราะพี่เต๋อคงจะอยากลาออกมาโฟกัสที่ธุรกิจเพลงจริงๆ มากกว่าทำธุรกิจครอบจักรวาลแต่หาความเป็นจุดแข็งในตัวเองไม่เจอ เช่นที่อากู๋ทำอยู่เวลานี้

บางทีการที่เราจะคิดใหญ่แต่ทำเล็ก ผลที่ได้อาจยิ่งใหญ่เกินกว่ากิจการที่ทำใหญ่ขยายใหญ่โตแบบไร้ทิศทาง แต่หารากไม่เจอ พอเมื่อเวลาเอ่ยชื่อถึงองค์กรนั้นแล้วทุกคนร้องยี้ อันนี้เราจะเป็นแบบไหนดี ระหว่าง IBM กับ Apple หรือ Grmmmy กับ Love is

รวบรวมข่าวที่เกี่ยวกับการเปิดตัว 1-SKY และรุกธุรกิจทีวีดาวเทียม/เคเบิ้ลทีวี

แกรมมี่ทุ่ม 3,000 ล้าน เปิดตัวกล่อง "1 SKY" ชูกลยุทธิ์ "All in one" รวมพันธมิตร ไทย-เทศ เสริมทัพ ปฏิวัติการดูทีวีของคนไทย


เปิดตัวได้ยิ่งใหญ่ทีเดียว สำหรับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ย่านอโศก อย่าง "จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" ที่ยอมทุ่มเงินถึง 3,000 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจ เปิดตัวกล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียม 1SKY งานนี้" อากู๋- ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม" ประธานใหญ่กลุ่มบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ธุรกิจใหม่นี้ ทุ่มทุนถึง 3,000 ล้านบาท เป็นความร่วมมือของเหล่าพันธมิตรกลุ่มธุรกิจบันเทิงไทยและเทศ บุคคลชั้นนำในวงการโทรทัศน์ รวมทั้งผู้ประกอบการเคเบิลทีวี และทีวีดาวเทียม อาทิ เจเอสแอล, กันตนา, อาร์เอส, เวิร์คพ้อยท์ฯ, ลักษ์ 666 , ทีวีพูล ฯลฯ ตลอดจนผู้ผลิตรายการชั้นนำจากต่างประเทศ ทั้งช่องรายการเอ็นเตอร์เทนเมนและกีฬา อาทิ คิกซ์, Thrill,วอเนอร์ ทีวี ,เอเอสเอ็น และยูโรสปออร์ต โดยเชื่อมั่นว่าธุรกิจนี้ จะกลายเป็นธุรกิจหลักสำคัญในอนาคต โดยคาดหมายทำรายได้ในปีแรก 2,500 ล้านบาท จากการขายกล่อง 1.5 ล้านกล่อง ซึ่งปัจจุบันมียอดสั่งซื้อจากทั่วประเทศแล้วกว่า 1.5 แสนกล่อง และจากการสั่งสมประสบการณ์ด้านบันเทิงมาถึง 28 ปี จะสร้างความเชื่อมั่นในการสร้างแบรนด์ให้กับคอนเทนต์ชั้นนำ ได้รับความนิยมในตลาดเมืองไทยแน่นอน นอกจากกล่อง 1SKY ยังสามารถเชื่อมต่อกับจานดาวเทียมทุกประเภท มีทั้งช่องรายการแบบฟรีทีวี ให้ชมกว่า 100 ช่อง และยังเพิ่มเติมด้วยช่องรายการพิเศษแบบเพย์ทีวี ที่เลือกจ่ายเมื่ออยากดู ไม่นับรวมอีก 3 ช่องรายการพิเศษระดับโลก ที่ให้เฉพาะลูกค้าชมฟรี แบบไม่มีรายเดือน โดยกล่อง "วันสกาย" จะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พ.ย. 54 นี้

1 SKY กล่องรับสัญญาณเคเบิ้ลทางเลือกใหม่ของผู้ชมทีวี


คุณผุ้ชมที่เป็นคอทีวี เอ็นเตอร์เทรนเม้น กีฬาและอื่นๆ ห้ามพลาดข่าวนี้ค่ะ เพราะตอนนี้วงการเคเบิ้ลได้ปฏิวัติช่องทางการรับชมทีวีให้คุณผู้ชมสะดวกสบาย

จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เปิดตัวกล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียม 1SKY รวมพันธมิตรชั้นนำในวงการโทรทัศน์ไทย-เทศ ผู้ประกอบการเคเบิ้ลทีวี ทีวีดาวเทียม อย่าง เนชั่นกรุ๊ป//เจเอสแอล//กันตนา//อาร์เอส//เวิร์คพ้อยท์//ลักษ์666//ทีวีพูล//เมเจอร์ซินิเพล้กกรุ๊ป//สหมงคลฟิล์ม//จีทีเอช// รวมทั้งผู้ผลิตรายการจากต่างประเทศ เอ็นเตอร์เทรนเม้น กีฬา ไม่ว่าจะเป็น วอเนอร์ทีวี//เอเอสเอ็น//ยูโรสปอร์ต และอีกมากมายที่พร้อมใจกันมาผนึกกำลังกันสร้างทางเลือกใหม่ให้กับผู้ชมโทรทัศน์ไทย กว่า100ช่อง

นอกจากทีมผู้บริหาร ผู้ผลิตรายการ ผู้ประกอบการเคเบิ้ลทีวี ทีวีดาวเทียม แล้วในงานยังมี ศิลปินดารา ทุกสังกัดในวงการบันเทิงตบเท้ามาร่วมแสดงความยินดีกับ วันสกาย ที่พวกเค้าต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่แหละคือการปฏิวัติการดูทีวีของคนไทย

กล่องรับสัญญาณ วันสกายนอกจากจะรวบรวมจัดเรียงหมวดหมู่ประเภทของรายการต่างๆเพื่อสะดวกต่อการรับชมแล้ว ราคายังสบายกระเป๋าไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน และเชื่อมต่อได้กับจานดาวเทียมทุกประเภททั้ง ซีแบนและ เคยูแบน อีกด้วยค่ะ ที่สำคัญคุณผู้ชมสามารถติดตามรับชมข่าวสารในวงการบันเทิง และรายการวาไรตี้สนุกจากช่องแมงโก้ทีวีของเราได้จากกล่อง วันสกาย ที่ช่อง104 โดยจะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการวันที่ 1 พฤศจิกายน นี้

หลายปีก่อน "อากู๋-แห่งจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ได้ประกาศปรับโครงสร้าง พัฒนาธุรกิจ จากค่ายเพลง สู่การเป็นคอนเทนต์โพรไวเดอร์ มาปีนี้ อากู๋ ประกาศก้องอีกครั้ง กับการรุกเข้าสู่การเป็น "โอเปอเรเตอร์" หรือผู้ให้บริการด้านทีวีดาวเทียมอย่างเต็มรูปแบบ โดยทุกแนวทางของการก้าวไปข้างหน้า อากู๋ จะมีธุรกิจฐานหลัก ทั้ง เพลง ละคร โชว์บิซ หนัง และบันเทิงอื่นๆ ในเครือ เป็นแกนของการขยายงานไปข้างหน้า


++ปูฐานรากธุรกิจทีวีดาวเทียม

ปีที่ผ่านมา บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ รุกเข้าสู่การเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม โดยการทยอยเปิดช่องทีวีดาวเทียม 4 ช่อง ภายใต้ความรับผิดชอบของหน่วยธุรกิจจีเอ็มเอ็ม บรอดคาสติ้ง ได้แก่ ช่องที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ ช่อง รายการแฟนทีวี ช่องเอ็กซ์ แชนแนล เป็นช่องละครของกลุ่มเอ็กแซ็กท์ และซีเนริโอ ช่องแบง แชนแนล เป็นช่องรายการวาไรตี ที่จับกลุ่มคนดูตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงคนทำงาน และช่องกรีน แชนแนล เป็นช่องรายการเพลง 24 ชั่วโมง ที่มีทั้งเพลงเก่า เพลงใหม่ และมิวสิกวิดีโอ ที่หาชมยาก เจาะกลุ่มคนทำงาน และกลุ่มครอบครัว

แต่ละช่องที่เปิดให้บริการในปีที่แล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จค่อนข้างดี มีฐานคนดูขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยรายได้ของกลุ่มธุรกิจจีเอ็มเอ็ม บรอดคาสติ้ง เติบโตดีมาก มียอดรายได้กว่า 360 ล้านบาท โดยช่อง เอ็กซ์ แชนแนล เติบโตสูงมากถึง 200% และแฟน ทีวี ยังคงเป็นช่องที่สร้างรายได้สูงสุด ปีนี้คาดว่าจากช่องเดิม 4 ช่อง คือ ช่องแฟนทีวี ,แบง แชนแนล ,กรีน แชนแนล และเอ็กซ์ แชนแนล ยังสามารถเติบโตได้อีกไม่ต่ำกว่า 80%

ส่วนช่องใหม่ที่เปิดตัวไปแล้ว โดยการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ ได้แก่ช่อง เจ เอส แอล แชนแนล ซึ่งจับมือกับบริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จำกัด จัดตั้ง บริษัท เจ เอส แอล แชนแนล จำกัด เข้ามาบริหาร ช่องสาระแน แชนแนล ที่แกรมมี่ร่วมทุนกับ บริษัท ลักษ์ (666) จำกัด ช่องเจเคเอ็น ที่ร่วมมือกับบริษัท เอสทีจี มัลติมีเดีย ฯเป็นช่องซีรีส์ญี่ปุ่น เกาหลี และช่องเพลย์ แชนแนล โดยความร่วมมือระหว่างแกรมมี่กับ จีทีเอช ทุกช่องได้รับการตอบรับที่ดี

การเกิดขึ้นของช่องรายการใหม่ๆ ของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ยังมีต่อเนื่อง ซึ่งตามแผนเดิมของ อากู๋ คือ เปิดใหม่อีก 5-10 ช่อง โดยรูปแบบการลงทุนจะมีทั้งที่ลงทุนเองทั้งหมด และการร่วมทุนกับพาร์ตเนอร์ ไม่ว่าจะเป็นช่องกีฬา หรือช่องอื่นๆ

++ก้าวเข้าสู่โอเปอเรเตอร์รายใหญ่

ในความคิดของนายไพบูลย์ กับการรุกเข้าสู่ธุรกิจทีวีดาวเทียม ไม่ได้หยุดอยู่เพียงการเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์เท่านั้น จากคำบอกเล่าของกูรูในแวดวงสื่อ พูดเหมือนกันว่า อากู๋ มองและคิดเยอะกว่าที่คนทั่วไปเห็น และสิ่งที่ได้เห็นล่าสุด คือ การเปิดตัวเป็นโอเปอเรเตอร์ด้านสื่อทีวีดาวเทียมอย่างเต็มรูปแบบ โดยการนำร่องด้วย "วัน สกาย" (1 Sky) กล่องมหัศจรรย์ ที่ให้บริการครบวงจรรองรับการรับชม ทั้งฟรีทีวีและเพย์ทีวี (Pay TV)

ครั้งนี้อากู๋ทุ่มทุนมหาศาลกว่า 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบในการจัดซื้อคอนเทนต์ประมาณจำนวน 2,100 ล้านบาท ได้แก่ ลิขสิทธิ์รายการบันเทิง 650 ล้านบาท และกีฬา 1,500 ล้านบาท ในระยะ 3 ปีนับจากนี้ ส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนผลิตและจำหน่ายกล่องรับสัญญาณวัน สกาย

สำหรับ "วัน สกาย" ถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ อากู๋วางเป้ายอดขายปีแรกไว้ที่ 1.5 ล้านกล่องภายใน 1 ปี(ถึงสิ้นปี 2555) และภายในปี 2557 คาดว่าจะจำหน่ายได้ 4 ล้านกล่อง โดยกล่องรับสัญญาณวัน สกาย มี ทั้งหมด 3 รุ่น คือ รุ่นสมาร์ท ราคา 1,500 บาท รับชมฟรีทีวีเกือบ 200 ช่อง รวมทั้ง 3 ช่องพิเศษ 1SKY one, 1 SKY two, 1SKY three ฟรี และสามารถชมช่อง Pay TV เพิ่มเติมได้ เริ่มออกจำหน่ายในตลาดทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป กล่องรุ่น 1 SKY รุ่น อีซี่ (easy) ราคา 500 บาท สำหรับกลุ่มที่เน้นดูเฉพาะฟรีทีวี และ 1 SKY รุ่น จีเนียส เอชดี (Genius HD) ราคา 2,500 บาท สำหรับรับชมช่องสัญญาณเอชดี ซึ่งจะเริ่มต้นจากจำนวน 6 ช่อง ซึ่งกล่องทั้ง 2 รุ่นจะเริ่มขายประมาณต้นปีหน้าพร้อมกัน

การเกิดขึ้นของกล่องรับสัญญาณ "วัน สกาย" เป็นเครื่องกระตุ้นให้ตลาดทีวีดาวเทียม และเคเบิลทีวีขยายตัวมากยิ่งขึ้น ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการ ที่ทำให้เกิดการแข่งขันเสรีอย่างชัดเจน ผู้ผลิตคอนเทนต์ไม่ต้องมาเสียค่าเรียงช่อง ทำให้ใช้งบกับการทำตลาดสร้างแบรนด์ และการลงทุนอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันผู้ชมก็สามารถรับชมรายการได้มากขึ้น ซึ่งในอนาคต "วัน สกาย" จะสามารถใช้ได้กับจานรับสัญญาณเคยู- แบนด์ จากปัจจุบันที่ใช้ได้กับซี-แบนด์เท่านั้น

ส่วนจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ รายได้จาก "วัน สกาย" ที่จะเกิดขึ้น ปีแรกจะมาจากการขายกล่องรับสัญญาณเป็นหลัก มีสัดส่วนประมาณ 45% ส่วนอีก 3 ปีข้างหน้ารายได้หลักจะมาจากระบบสมาชิกที่ซื้อแพ็กเกจ คิดเป็นสัดส่วน 60% หรือมีสมาชิกประมาณ 6 แสนราย ทั้งนี้ ภายใน 1 ปี คาดว่าจะมีรายได้จากวัน สกาย 2,500 ล้านบาท และ ภายใน 3 ปี จะคิดเป็นสัดส่วน 28% ของธุรกิจโดยรวมของแกรมมี่ และทำให้บริษัทเติบโตปีละไม่น้อยกว่า 12% จากปัจจุบันบริษัทมีรายได้ประมาณ 8,000 ล้านบาท

เห็นกันชัดๆ เลยว่า อนาคตจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จะไม่ใช่แค่ค่ายเพลง หรือแค่ผู้ผลิตคอนเทนต์อีกต่อไป แม้งานทั้ง 2 ส่วนนั้นจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่จะยังทำอยู่ และก็ยังเป็นเส้นเลือดที่สำคัญในการหล่อเลี้ยงธุรกิจและทิศทางการเติบโตใหม่ๆ การลงทุนด้านช่องรายการ ปีหน้ายังคงเดินต่ออีกอย่างน้อย 5 ช่องที่บริษัทจะผลิตเอง โดยจะมีช่องข่าว 2 ช่อง และอื่น ๆ อีก 3 ช่อง ส่วนช่องที่ซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศไม่ได้กำหนด บริษัทพร้อมลงทุนโดยพิจารณาจากคุณภาพ โดยเฉพาะรายการกีฬา ที่พร้อมจะประมูลซื้อลิขสิทธิ์รายการกีฬาทุกประเภท เพราะต่อจากนี้ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ สามารถให้บริการในรูปแบบสมาชิกในระบบแพ็กเกจและเพย์ เพอร์ วิวได้

ธุรกิจใหม่ที่เกิดขึ้น นอกจากการเป็นวิชันในการก้าวไปสู่ความฝัน และความคาดหวังของอากู๋แล้ว ธุรกิจหลัก ก็ยังเป็นธุรกิจก้าวไปพร้อมๆ กันอย่างแข็งแกร่งอีกด้วย จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ นับจากนี้ คงไม่ต่างอะไรกับ "วอเนอร์ เมืองไทย" ที่มีเครือข่ายพร้อมทั้งบันเทิง และสาระ และยังเป็นโอเปอเรเตอร์ เป็นเจ้าของสื่อและเป็นคล้ายๆ ผู้ให้บริการด้านเครือข่ายไปในตัว

การสยายปีกจาก “คอนเทนท์ โพรวายเดอร์” ผลิตคอนเทนท์เพลงและบันเทิงมากว่า 28 ปี ปีนี้ บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ได้ขยายการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดเตรียมงบลงทุน 3,000 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีต่อจากนี้ เพื่อก้าวสู่ธุรกิจใหม่ “แพลตฟอร์ม โอเปอเรเตอร์” ที่ให้บริการครบวงจรรองรับได้ทั้งฟรีทีวีและเพย์ทีวี (ผ่านดาวเทียม) ที่สำคัญยังเป็นการรุกธุรกิจทีวีดาวเทียมที่แตกต่างจากเจ้าอื่นๆ ภายใต้ยุทธการล้าง "เสาก้างปลา"


จุดไคลแมกซ์ของพญาเสือแห่งวงการบันเทิง "อากู๋" ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม คือการ "กินรวบ" ตั้งแต่ "ต้นน้ำ" ยัน "ปลายน้ำ" ขย่มธุรกิจ "ฟรีทีวี" เขย่าธุรกิจ "ทีวีดาวเทียม"

เบื้องหลังแผนกินรวบของอากู๋ ภายใน 1-2 ปีนี้ ทีวีดาวเทียมจะแย่งส่วนแบ่ง "งบโฆษณา" จาก "ฟรีทีวี" (ช่อง 3,5,7,9,11) ได้เพิ่มเป็น 20% คิดเป็นมูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันมีส่วนแบ่ง 10% มูลค่า 6,000 ล้านบาท อากู๋มองว่าหลังจากแกรมมี่ได้สร้างแพลตฟอร์มกล่องรับสัญญาณโทรทัศน์ดาวเทียมรูปแบบใหม่ “วันสกาย” (1sky) จะมีการจัดเรียงช่องรายการใหม่เป็นหมวดหมู่ ต่างจากปัจจุบันที่มีอยู่อย่างกระจัดกระจาย ไม่มีมาตรฐาน อีกทั้งยังมีการนำเทคโนโลยีมาแสวงหาประโยชน์ในการจัดเรียงช่องอย่างไม่เป็นธรรม โดยจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดเรียงช่องเป็นหลักล้านบาทต่อเดือน

อย่าแปลกใจทำไม! "ตระกูลมาลีนนท์" ถึงเฉือนหุ้น "บีอีซีเวิลด์" (ช่อง 3) ขายให้สถาบันในและต่างประเทศ 111.26 ล้านหุ้น ที่ราคา 34 บาท รับเงินเข้ากระเป๋า 3.78 พันล้านบาท เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2553 นั่นเพราะวิชั่นที่ยาวไกล วันหนึ่งอีกไม่ไกลฟรีทีวีจะสูญเสียฐานผู้ชมให้กับทีวีดาวเทียมอย่างถาวร

"ที่แกรมมี่เงียบอยู่นานใช่ว่าเรา 'แอบหลับ' แต่กำลังใช้ 'ความคิด' (การใหญ่)" อากู๋ บอกนักข่าว แต่ทว่าเกมทั้งหมดที่อากู๋เดิน ผลประโยชน์วัดกันที่ "มูลค่าหุ้น" ความมั่งคั่งที่สื่อถึงความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด

"หุ้นผมจะขึ้นมั้ยเนี่ย!" แม่ทัพใหญ่แกรมมี่ โพล่งเรื่องหุ้น GRAMMY ติดตลกถึง 2 ครั้งติดต่อกัน กลางห้องประชุมชั้น 21 ตึกจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ที่เต็มไปด้วยเหล่านักวิเคราะห์ไม่ต่ำกว่า 20 ราย พากันมานั่งรออากู๋ กับลูกชายคนโต ฟ้าใหม่ ดำรงชัยธรรม และทีมงานวันสกาย มัลติมีเดีย

ช่วงต้นปี 2554 อากู๋เริ่มเดินแผนคลื่นใต้น้ำแอบไปจับมือกับ วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ จ้างสามารถคอร์ปอเรชั่น ผลิตอุปกรณ์รับสัญญาณดาวเทียม ปิดข่าวเงียบเชียบไม่ยอมให้คู่แข่งรู้ เพิ่งมาเปิดเผยเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 จากนั้นก็วางสตอรี่ออกข่าวเป็นช็อตๆ ผ่าน เดียว วรตั้งตระกูล กรรมการผู้จัดการ หน่วยธุรกิจจีเอ็มเอ็ม บรอดคาสติ้ง ได้ ปรีย์มน ปิ่นสกุล ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน ศิษย์เก่าดีแทคมาช่วยวางแผนทางการเงิน

ในปี 2555 อากู๋ประมาณการรายได้ในปีแรกขายกล่องวันสกาย อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท โดยมียอดขาย 1.5 ล้านกล่อง ปี 2556 รายได้เพิ่มเป็น 2,800 ล้านบาท และในปี 2557 รายได้เพิ่มเป็น 3,136 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตปีละ 12% โดยยอดขายกล่องรับสัญญาณดาวเทียมในช่วง 3 ปีที่ 4 ล้านกล่อง

กล่องวันสกาย มีทั้งหมด 3 รุ่น ราคา 500 บาท 1,500 บาท และ 2,500 บาท ได้ฤกษ์เปิดศึกถล่มคู่แข่งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 พร้อมกันทั่วประเทศ สามารถเชื่อมต่อกับจานดาวเทียมทุกระบบ สามารถดูทีวีได้มากกว่า 100 ช่อง ภายใต้แนวคิด “ออล อิน วัน สกาย เยอะดี น่าดู”

ดูเหมือนว่าเป้าหมายของอากู๋ จ้องเบียด True Visions ผู้ประกอบการ "แพลตฟอร์ม โอเปอเรเตอร์" รายใหญ่ของเมืองไทย มีจำนวนสมาชิก 1.7 ล้านราย และจานดาวเทียม PSI ที่เป็นเจ้าตลาด 40% ทำธุรกิจมา 20 ปี มีฐานลูกค้ามากกว่า 7.5 ล้านครัวเรือน
เกมของอากู๋ ไม่เพียงมี สามารถคอร์ปอเรชั่น เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ แต่ยังจับมือกับ นิรันดร์ ตั้งพิรุฬธรรม ประธานชมรมผู้ผลิตและค้าจานดาวเทียม เจ้าของ "อินโฟแซท" รวมผู้ประกอบการอีก 5 ราย คือ ไดนาแซท, อินโฟแซท, ไทยแซท, ไอเดียแซท และลีโอเทค ที่พร้อมรับกล่องสัญญาณทีวีดาวเทียมวันสกาย ไปจำหน่ายพ่วงกับจานดาวเทียม โดยแกรมมี่ทุ่มงบการตลาดสูงถึง 200 ล้านบาท เพื่อให้เข้าถึงทุกครัวเรือน
ทำไม! ถึงไม่เอา PSI ของ สมพร ธีระโรจน์พงษ์ มาเป็นพันธมิตร อากู๋ ตอบว่า "จุดยืนอุดมการณ์ไม่เหมือนกัน" ก่อนจะให้เหตุผลว่า PSI เก็บค่าเรียงช่องใครอยากอยู่ข้างหน้าต้องเสียเงิน แต่ของแกรมมี่ไม่เก็บค่าเรียงช่องได้ปีละ 100 ล้านบาท

อากู๋ เล่าให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังหลังเสร็จแจกแจงรายละเอียดต่างๆ ให้นักวิเคราะห์ฟังว่า อีกไม่นานแกรมมี่ จะได้เงิน 3,000 ล้านบาท ที่ต้องควักสดๆ เพื่อลงทุนธุรกิจดาวเทียมกลับคืนมา ประมาณปลายปี 2554 หรือต้นปี 2555 แกรมมี่จะได้ "เพื่อนใหม่" จาก "ฝั่งอเมริกา" เขาเป็นก๊วนที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องทีวีดาวเทียมมากๆ เขาแวะเวียนมาคุยตั้งนานแล้ว ตอนนี้ก็ยังคุยกันทางโทรศัพท์ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ถามว่าพันธมิตรใหม่จะเข้ามาในรูปแบบใด อากู๋ อธิบายคร่าวๆ ว่า มีหลากหลายวิธี เช่น แกรมมี่เสนอขายหุ้นให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) หรือให้ผู้ถือหุ้นเดิมนำหุ้นออกมาขาย หรือขายหุ้นในส่วนของวันสกาย มัลติมีเดีย ก็ได้ จากนั้นก็นำบริษัทนี้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
"สุดท้ายจะเป็นรูปแบบใดใกล้ๆ ปลายปีนี้ เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังอีกที แต่รูปแบบขายหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมคิดว่าคงไม่ค่อยโอเคเท่าไร เพราะผมไม่มีนโยบายขายหุ้นตัวเองออกมา (ถืออยู่ประมาณ 56%) มีแต่จะเก็บเพิ่ม “ของดี” ใครเขาขายกัน (หัวเราะ)"
เจ้าตัวยังฝากบอกผ่าน BizWeek ด้วยว่า ใครไม่อยากเก็บหุ้น GRAMMY ไว้แล้ว เพราะกลัวน้ำตาตก "ให้เอามาขายให้ผมจะรับซื้อหมด" คิดดูเราจ่ายเงินปันผลทุกปี เราให้ผลตอบแทนปีละ 10-20% (ปันผล+กำไรส่วนต่าง) ใครจะไม่อยากได้..จริงมั้ย!!!
แม่ทัพใหญ่แกรมมี่ บอกว่า ทุกวันนี้ราคาหุ้น GRAMMY ยังต่ำกว่าพื้นฐานมาก ผู้ถือหุ้นกำกันแน่นไม่ยอมปล่อย รวมถึงตัวผมด้วย (หัวเราะ) จำได้ปีก่อน (ปี 2553) เคยบอกนักข่าว นักวิเคราะห์ และนักลงทุนทุกคนว่า ราคาเป้าหมายหุ้น GRAMMY ต้องหุ้นละ 30 บาทเท่านั้น...อากู๋หงายไพ่ป๊อก!! เผยไต๋จดหมายความคิด การเดินหมากแบบ "เผยไต๋-เล่นกับไฟ" ไม่เพียงสร้างราคา สร้างความมั่งคั่งทางลัดได้เท่านั้น เจ้าตัวยังเอ่ยด้วยว่า เชื่อมั้ย! ป่านนี้ราคาหุ้นยังไม่ถึงไหนเลย ยิ่งตอนนี้มีธุรกิจทีวีดาวเทียมมาเสริมทัพแล้ว แถมยังทำไม่เหมือนใครอีก ฉะนั้นราคาเหมาะสมต้องสูงกว่านี้แน่นอน
"อย่าให้บอกเลยว่า ตัวเลขราคาหุ้น (GRAMMY) ในใจของผมตอนนี้เท่าไร..อายเขา (สงสัยจะสูงมาก)"
กลับมาที่เรื่องพันธมิตร บอสใหญ่แกรมมี่ บอกว่า เหตุที่อยากได้เพื่อนใหม่ เพราะ "อยากได้เงิน" มาต่อยอดธุรกิจ อยากให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นนำกลับมาจ่ายเงินปันผลให้แฟนพันธุ์แท้ที่ถือหุ้นแกรมมี่มานาน
"ตอนนี้คิดเล่นๆ นะ อาจออกหุ้นเพิ่มทุนขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมก็ได้ ตอบแทนที่เขาอยู่กับเรามานานแสนนาน ถือเป็นการเพิ่มสภาพคล่องด้วย" หนึ่งในแขนงความคิดที่แตกออกมา
ถามว่าธุรกิจดาวเทียมตอบโจทย์แกรมมี่ทั้งหมดหรือยัง อากู๋ ตอบว่า "นี่แค่เริ่มต้น" ยังมีอะไรอีกมากมายที่คิดจะทำภายใน 3 ปีข้างหน้านี้ ให้รอดูทุกคนจะเห็นแกรมมี่ผุดอีก 4-5 ธุรกิจใหม่มาอีก
"หลักการคือ ผมจะนำคอนเทนท์ที่มีอยู่มาต่อยอดธุรกิจ เช่น ต่อยอดไปในธุรกิจ Real Estate หรือธุรกิจท่องเที่ยว เป็นต้น ตอนนี้ยังไม่อยากเล่ารายละเอียด เดี๋ยวรอให้เป็นรูปเป็นร่างค่อยกลับมาเล่าให้ฟัง เรายังมีเรื่อง “เซอร์ไพรส์” นักลงทุนอีกเพียบ (พูดไปอมยิ้มไป)"
เจ้าตัวไม่ลืม "คุย" ติดปลายนวมไว้ "ข่ม" คู่แข่งเล็กๆ "ที่ผ่านมาผมเป็นลีดเดอร์ในทุกๆ เรื่อง" ฉะนั้นเมื่อคิดจะทำอะไรต้อง "แตกต่าง" และสามารถ "ต่อยอดธุรกิจ" ที่แกรมมี่มีได้ ที่สำคัญต้องทำธุรกิจแบบเป็นมิตรไม่เป็นภัยกับสังคม ดีลเลอร์ทุกคนที่รับของแกรมมี่ไปขายต้องได้กำไรอย่างคุ้มค่า

อย่างเราขายกล่องรุ่น 1SKY Smart ราคา 1,500 บาท ต้นทุนแค่ 1,000 บาท ส่วนรุ่น 1SKY รุ่นอีซี ราคา 500 บาท เราก็ขายให้ดีลเลอร์แค่ 360-380 บาท ส่วนต่างที่เหลือเขาก็รับไปเต็มๆ ส่วนใครอยากซื้อจานของสามารถ พ่วงกล่องรับสัญญาณ 1SKY ก็ไม่น่าเกิน 2,000 บาท ต้นทุนของสามารถ น่าจะประมาณ 1,500-1,600 บาท เห็นมั้ย! ทุกคนได้ประโยชน์เท่าๆกัน คนดูก็ได้เพราะ "ถูกมาก" (ถูกกว่าเจ้าอื่น)

บิ๊กแกรมมี่ เอ่ยขึ้นว่า การที่แกรมมี่เลือกจะเติบโตในธุรกิจทีวีดาวเทียม ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจหลักที่ทำอยู่มันแย่ หรือเดินเข้าสู่ทางตีบตันเหมือนที่ใครพยายามบอก อย่างในปี 2554 ธุรกิจเพลงยังคงสร้างกำไรสุทธิอันดับ 1 มากกว่า 60% หลังปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ ธุรกิจดิจิตอล สร้างรายได้อันดับ 2 ก็ยังเติบโตมากขึ้น ส่วนธุรกิจโชว์บิซ ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เราจะพยายามผลักดันผลประกอบการธุรกิจเดิมในขยายตัวปีละ 15%  ส่วนธุรกิจทีวีดาวเทียม แนวโน้มจะขึ้นแท่นสร้างรายได้ให้แกรมมี่เป็นอันดับ 2 คิดดูกำไรขั้นต้นเฉพาะ Set-Top Box ก็เกิน 20% แล้ว ยังไม่รวมกำไรขั้นต้นอย่างอื่นๆ นะ ถ้ารวมปี 2555 กำไรขั้นต้นจะอยู่ 9% ปี 2556 ประมาณ 30% ปี 2557 ราวๆ 35%  "เรามั่นใจคงใช้เวลาไม่นานจะขึ้นแท่น "อันดับ 1" ธุรกิจแพลตฟอร์ม โอเปอเรเตอร์ หาก พีเอสไอ โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นเจ้าตลาดอยากรับกล่องเราไปขาย..ผมยินดีนะ ไม่ปิดกั้น ที่ผ่านมาเราถือเป็นเจ้าของคอนเทนท์รายสำคัญที่ทำให้ PSI ขายจานได้ ที่ผ่านมาเขาก็เกรงใจเราตลอด” เจ้าพ่อแกรมมี่ บอกในห้องแถลงข่าวว่า ตอนนี้แกรมมี่มองข้ามไปถึงปี 2557 แล้ว ธุรกิจใหม่จะสร้างรายได้ให้แกรมมี่มากถึง 28% ส่วนอีก 72% เป็นรายได้จากธุรกิจเดิม สัดส่วนธุรกิจใหม่จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ที่ธุรกิจทีวีดาวเทียมมีสัดส่วนรายได้เพียง 2% พอปี 2555 จะขึ้นเป็น 20% ปี 2556 ประมาณ 26% รายได้ของธุรกิจทีวีดาวเทียม จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 12% สำหรับสัดส่วนรายได้ในปี 2555 ของ วันสกาย มัลติมีเดีย จะมาจากการขายกล่อง 45% สมาชิก 32% คิดเป็น 330,000 ราย โฆษณาและสปอนเซอร์ 11% ส่วนในปี 2556 จะมีรายได้จากการขายกล่อง 30% สมาชิก 51% คิดเป็น 450,000 ราย และโฆษณาและสปอนเซอร์ 9% และปี 2557 จะมีรายได้จากการขายกล่อง 27% สมาชิก 60% คิดเป็น 600,000 ราย โฆษณาและสปอนเซอร์ 10%
"ตัวเลขที่ยกมานี้ หลายคนอาจมองว่าผมฝันไปหรือเปล่า! ลองคิดตามผมดูนะ ทั่วประเทศยังต้องการกล่องรับสัญญาณอีก 50 ล้านเครื่อง แค่นี้ก็ต้องร้องอุทาน!..ไอ้หยา!!! ดังๆ แล้ว นี่คือ โอกาสของวันสกาย จะเข้าไป ที่สำคัญเราจะคุ้มทุนภายใน 1 ปีครึ่ง อีกอย่างคอนเทนท์ของเราสามารถนำไปทำอะไรได้มากมาย ช่องดาวเทียมเราก็ไม่เหมือนคนอื่น ผมคิดจะทำคาราโอเกะออนไลน์ คุณไม่ต้องไปซื้อแผ่น หรือชิพแล้ว แค่ติดตั้งกล่องสัญญาณของเราก็สามารถร้องคาราโอเกะได้แล้ว"

นอกจากนี้ อากู๋ บอกว่า กำลังคิดจะทำ "โฮมช้อปปิ้ง" ร่วมมือกับเกาหลีนำของมาขาย และคิดจะนำนักฟุตบอลระดับโลกที่มีชื่อเสียงมาแข่งกีฬาในเมืองไทย เราก็จะมีรายได้จากการจัดกิจกรรมเพิ่ม ยังทำอะไรได้อีกมากมาย ยิ่งตอนนี้เรามีคนรุ่นใหม่ 30-40 คน มาร่วมงานรับรองง่ายนิดเดียว
ไอเดียอากู๋กำลังบรรเจิดเล่าต่อว่า คนอยู่บนตึกสูง โครงการอสังหาริมทรัพย์ และโรงแรม ไม่ต้องน้อยใจ คุณก็ติดกล่องสัญญาณของเราได้ ทำเหมือนเป็นเคเบิล โอเปอเรเตอร์ ตอนนี้มีคนติดต่อเข้ามาแล้ว ไม่นานคงได้เข้าไปคุยกัน ผมเชื่อว่ารุ่น 1SKY Smart (ราคา 1,500 บาท) จะขายดีที่สุด เพราะไม่แพงแถมได้ดูเป็นร้อยช่องคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

นายใหญ่แกรมมี่ กล่าวปิดท้ายว่า การรุกธุรกิจแพลตฟอร์ม โอเปอเรเตอร์ ถือเป็นการขยับตัวครั้งที่ 3 ของแกรมมี่ และมันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน
"รอติดตามตอนต่อไปของผมเร็วๆ นี้ ผมจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แบบที่ใครไม่เคยเห็น รับรองรายได้เยอะดีน่าดู" พญาเสือแห่งวงการบันเทิงไม่ลืมที่จะทิ้ง "รอยเขี้ยว" เขย่าราคาหุ้น GRAMMY เติมกำไรด้วยคำพูดแบบยังไม่ต้องลงทุน

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทั่วโลกกล่าวสดุดีและไว้อาลัยแด่สตีฟ จ็อบส์

Birth   February 24, 1955





Died   October 5, 2011





เป็นอะไรไม่รู้ เมื่อเช้านี้พอผมได้รับทราบข่าวการเสียชีวิตของสตีฟ จ๊อบส์ ก็รู้สึกตกใจและใจหายเหมือนกัน ต่อการจากไปก่อนวัยอันควรของเขา แม้จะรู้ว่าเขามีโรคภัยรุมเร้าที่รักษาตัวมานาน แต่ก็ยังคิดว่าเขาน่าจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกนาน แต่พอทราบว่าเขาเสียชีวิตแน่ๆ แล้ว และสื่อทีวีหลายช่องก็มีการนำเสนออัตชีวประวัติ และผลงานของเขาหลายช่อง ตลอดทั้งวัน มันก็ทำให้ผมน้ำตาไหลออกมา ในความรู้สึกเสียใจและเสียดายบุคคลที่มีคุณค่าต่อวงการไอทีระดับโลกท่านนี้ คล้ายๆ ตอนที่ไมเคิล แจ็คสันเสียชีวิตเลย อารมณ์ประมาณเดียวกัน เพราะเป็นบุคคลที่ผู้เขียนชื่นชอบ เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เขียนทำบล็อกนี้ขึ้นมาด้วย จะเห็นได้จากบทความเก่าๆ ในบล็อกจะพูดถึงสตีฟ จ๊อบส์ในหลายๆ กรณี และพูดถึงสินค้าของเขาด้วย หากจะกล่าวคำสดุดี คำอาลัยที่ควรค่าแก่บุคคลท่านนี้แล้วหล่ะก็ มันคงมากล้นเกินบรรยาย ไม่รู้จะสดุดีอย่างไรให้ประทับใจ ขอส่งมอบบทเพลงเพื่อเป็นการไว้อาลัยต่อการจากไป อย่างไม่มีวันกลับ แด่ สตีฟ จ๊อบส์ ก็แล้วกัน 

R.I.P   Steve Jobs








วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สัญญาณ(ลาง) บอกเหตุ ทุนนิยมโลกกำลังจะล่มสลาย

สัญญาณ(ลาง) บอกเหตุ ทุนนิยมโลกกำลังจะล่มสลาย





เมื่อตอนต้นปี ผู้เขียนได้ติดตามข่าวเกี่ยวกับกระแสการต่อต้านผู้ปกครองหรือรัฐบาลของชาติมุสลิมหลายชาติ ที่เรียกกว่า อาหรับสปริง โดยจุดเริ่มต้นมาจากชาติตูนีเซียก่อน และลามมายังอียิปต์ และลิเบีย ภายหลังจากนั้นก็ตามมาด้วย เยเมน ซีเรีย บาห์เรน หรือแม้แต่กระทั่งประเทศมุสลิมใหญ่อย่างซาอุดิอาระเบียก็มีปรากฏการณ์เช่นนี้ด้วยเช่นกัน กรณีของตูนีเซียนั้นเกิดจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งทำการเผาตัวเองตายเพื่อประชดหรือต่อต้านการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเทศกิจที่มาบังคับขับไล่ เด็กหนุ่มคนนี้ที่นั่งขายผักอยู่บนทางเท้า ทำให้เกิดความไม่พอใจ เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จุดขึ้นจากคนๆ เดียวแต่ลุกลามกลายเป็นการลุกฮือต่อต้านของประชาชนจำนวนมากที่ไม่พอใจการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐต่อประชาชนตาดำๆ คนหนึ่ง ที่ไม่มีทางเลือก ตกงาน หางานทำไม่ได้ ต้องมานั่งขายผัก แต่ก็โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจรังแก อันนี้คือชนวนของความไม่พอใจของประชาชนที่มีเชื้ออยู่ก่อนแล้วจากการบริหารงานของรัฐที่ไม่สนใจดูแล ปากท้องของประชาชนให้อยู่ดีกินดี ข้าวยากหมากแพง ในกรณีของอียิปต์ก็เป็นการลุกฮือขึ้นประท้วงของประชาชน ที่ไม่พอใจการบริหารงานของรัฐที่ปล่อยให้ข้าวยากหมากแพง โดยเฉพาะขนมปัง ซื้อเป็นอาหารหลักของคนอียิปต์ และกรณีของลิเบียเป็นการลุกขึ้นประท้วงของชนเผ่าบางชนเผ่า หรือผู้นำชนเผ่าบางกลุ่มที่ต้องการล้มล้างอำนาจของโมอัมมาร์ กัดดาฟี่ เพราะปกครองประเทศมาอย่างยาวนาน มีอำนาจล้นฟ้า กดขี่ และจัดสรรผลประโยชน์ให้กับบางชนเผ่าได้ไม่เพียงพอ ซึ่งประเทศนี้เกิดจากการรวมตัวของชนเผ่าจำนวนมาก หลากหลายสายพันธุ์ ทำให้มีคลื่นใต้น้ำอยู่โดยธรรมชาติ อีกทั้งยังได้แรงหนุน(ยุยง,เสี้ยมสอน)จากมหาอำนาจตะวันตกอย่างฝรั่งเศส อิตาลี อังกฤษ คอยหนุนหลังผู้นำกลุ่มกบฏ ให้ลุกขึ้นสู้ ขับไล่ล้มล้างอำนาจของผู้นำเผด็จการอย่างกัดดาฟี่เสีย เพียงเพราะชาติตะวันตกเหล่านั้น ต้องการทรัพยากรอันมีค่ามากมายของลิเบียนั่นก็คือน้ำมันนั่นเอง ส่วนในกรณีของซีเรียนั้น ผู้นำประเทศนั้นกุมอำนาจทางทหารไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ยากที่จะมีกลุ่มกบฏหรือต่อต้านใดๆ ที่จะมาโค่นล้มได้โดยง่าย อีกทั้งชาติมหาอำนาจก็ไม่อยากจะเข้าไปแทรกแซง เนื่องจากไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวกับน้ำมัน เรื่องอะไรจะเปลืองตัวเข้าไปแทรกแซง โดยดูตัวอย่างจากอเมริกาที่เข้าไปในอิรัก จนติดหล่ม เสียทั้งงบประมาณมหาศาล แต่สุดท้ายผลประโยชน์ด้านพลังงานหรือน้ำมันกลับตกอยู่กับบริษัทของของอดีตผู้นำรัฐบาล แต่ประชาชนคนอเมริกันไม่ได้ผลประโยชน์อะไรด้วย หนำซ้ำยังต้องมาเดือดร้อนจากการเป็นหนี้ภาครัฐท่วมหัว (หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น) แล้วประชาชนที่เป็นผู้จ่ายภาษีนั้น ต้องมาเดือดร้อนจากภาวะวิกฤติตอนช่วงแฮมเบอร์เกอร์ จนป่านนี้ยังโงหัวไม่ขึ้น

ผู้เขียนไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพการประท้วงเดินขบวนต่อต้านผู้นำรัฐบาล แบบที่เกิดในบ้านเราหรือเกิดขึ้นในชาติมุสลิม แบบที่เป็นอาหรับสปริง จะไปเกิดกับชาติที่เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่เจริญแล้ว พัฒนาแล้วอยางตะวันตกหรือยุโรป หรือเกิดกับชาติที่เป็นหัวหอกของทุนนิยมโลกอย่างอเมริกาหรืออังกฤษ ก็ได้เห็นในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน จ่ะว่าเป็นกระแสที่ลอกเลียนกันก็ไม่น่าจะใช่ เพราะถึงแม้รูปแบบจะคล้ายกันแต่บริบททางสังคม ปัญหาของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะกับชาติตะวันตกก็ไม่น่าจะเหมือนกับประเทศโลกที่สามอย่างประเทศทางเอเชีย ประเทศมุสลิม แต่เมื่อวิเคราะห์หาสาเหตุให้ลึกลงไปแล้วปรากฏว่ามูลเหตุจูงใจหรือต้นตอของปัญหามันคือปัญหาอันเดียวกัน เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นชาติที่พัฒนาแล้วหรือชาติที่ยากจน นั่นก็คือ การประท้วงคนรวย (ซึ่งมีอยู่เพียง 1 % ของประเทศ แต่กลับได้รับการจัดสรรผลประโยชน์หรือครอบครองผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของประเทศ) ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่วาจะเป็นคนชั้นกลางหรือคนชั้นล่างส่วนใหญ่ คือประมาณ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ต้องเป็นผู้รับกรรมเสมอ เวลาที่ประเทศเกิดวิกฤติ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการต้องเสียภาษีมากกว่าคนรวย(ที่เลี่ยงภาษีอยู่เป็นนิจ) เวลาประสบปัญหาทางการเงินก็จะถูกสถาบันการเงินตามทวงหนี้ ฟ้องล้มละลาย ยึดทรัพย์ หมดเนื้อหมดตัว, เวลาที่บริษัทหรือองค์กรที่ตนเองทำงานประสบปัญหาสภาพคล่องก็จะเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่จะต้องถูกลอยแพ เลิกจ้าง หรือไล่ออกจากงาน โดยที่บางประเทศไม่มีรัฐสวัสดิการให้ หรือถ้ามีก็จะถูกจำกัด ตัดทอน ลดเบี้ยเลี้ยงลง อันสืบเนื่องมาจากรัฐถังแตก เผชิญวิกฤติการเงิน รัฐประสบปัญหาหนี้สาธารณะเยอะเกินตัว จึงจำต้องตัดลดงบประมาณลง นี่แหละคือสาเหตุที่ไม่ว่าจะเป็นชาติไหนในโลกที่อยู่ในระบบทุนนิยมก็จะอยู่ในสภาพที่คล้ายๆ กัน รายได้ไม่เพียงพอกับค่าครองชีพที่นับวันจะสูงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อถีบตัว ข้าวของแพง รัฐบาลไม่สามารถจะแก้ไข ควบคุมดูแลปัญหาข้าวยากหมากแพงได้ ในบางประเทศประชาชนต้องอดอยากเพราะไม่มีข้าวกิน หรือต้องจ่ายซื้ออาหารในราคาแพง เพราะประเทศของตนไม่ใช่ประเทศเกษตรกรรมหรืออู่ข้าวอู่น้ำ หรือมีทรัพยากร ผลิตผลด้านอาหารที่เพียงพอ ต้องนำเข้ามา และบางประเทศต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติทำร้ายทำลายซ้ำซาก ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย ทำให้ไม่สามารถนำผลผลิตที่ลงทุนลงแรงไปเปลี่ยนเป็นเงินขึ้นมาได้ ประชาชนจึงต้องสิ้นเนื้อประดาตัว รอคอยให้รัฐมาช่วยแก้ไข เยียวยา ชุบชีวิต และเผชิญชะตากรรมนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางคนต้องเปลี่ยนสถานะจากคนมีอันจะกิน คนรวย กลายเป็นคนจนเพียงชั่วข้ามคืนจากภัยพิบัติธรรมชาติ และภัยร้ายทางเศรษฐกิจการเงิน ที่ใครก็ไม่อ่าจจะรู้ซึ้งได้ ถ้าไม่เคยประสบหรือเกิดกับตัวเอง ก็จะไม่เข้าใจหัวอกของคนที่ต้องเผชิญโชคชะตาที่เลวร้ายเล่นงาน
ในรอบ 1 ปีที่ผานมานี้ ผู้เขียนก็ได้รับทราบข่าวและติดตามข่าวที่เกี่ยวกับวิกฤติการเงินของทางฟากฝั่งอเมริกาและยุโรป ควบคู่ไปกับเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดกับหลายๆประเทศ เช่น ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เป็นต้น หรือแม้กระทั่งในบ้านเราเอง กับภัยน้ำท่วม ในบทความนี้จะขอโฟกัสไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ส่วนในประเทศเอาไว้จะได้กล่าวถึงในโอกาสข้างหน้าต่อไปเป็นการเฉพาะ สำหรับวิกฤติการเงิน หรือหนี้สาธารณะในยุโรป เริ่มก่อตัวมาได้ซัก 2-3 ปีมาแล้ว ภายหลังวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์หรือวิกฤติซับไพร์มของอเมริกา และเป็นผลพวงที่เกี่ยวเนื่องสืบทอดต่อกันมา เพียงแต่ในกรณีของสหรัฐอเมริกาใช้วิธีอัดฉีดเงินผ่าน QE 1,2 ลงไปช่วยยังต้นตอก็คือสถาบันการเงินหรือบรรษัทนั้นได้โดยตรงเลย และอย่างรวดเร็วด้วย ทำให้วิกฤติซับไพร์มเริ่มคลี่คลายลง และเบาบางลงได้ไม่ลุกลามต่อเนื่องเหมือนกรณีของยุโรป สำหรับกรณีของ EU หรือสหภาพยุโรปนั้น พอเกิดวิกฤติหนี้สินในกลุ่ม Pigs (โปรตุเกส,ไอร์แลนด์,กรีซ,สเปน) ดำเนินการแก้ไขล่าช้า เนื่องจากขาดเอกภาพในการตัดสินใจ เพราะ EU ประกอบขึ้นจากชาติสมาชิกตั้ง 17 ประเทศ จากประเทศทั้งหมด 27 ประเทศในยูโรโซน ซึ่งมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ขนบระเบียบที่แตกต่างกัน ทำให้ความเป็นเอกภาพมีน้อย และเมื่อกรีซต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF เป็นชาติที่ 3 ต่อจากไอร์แลนด์ โปรตุเกส และที่อยู่นอกเหนือยูโรโซนอีกอย่างฮังการี กลายเป็นประเทศที่มีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสูงสุด ทำให้การที่จะดำเนินการแก้ไขก็ยาก และมาตรการที่จะบังคับให้กรีซต้องปฏิบัติตามก็เข้มงวดเกินกว่าจะปฏิบัติได้ ประชาชนต้องรัดเข็มขัดตัวกิ่ว จนเกิดการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลในกรีซ และก็หลายประเทศในยุโรป อาทิ สเปน อิตาลี อังกฤษ และโลกก็กำลังจับตาการประชุมของผู้นำประเทศในชาติยุโรโซน ว่าจะจัดการช่วยเหลือกรีซอย่างไรให้รอดพ้นเส้นตายการชำระหนี้ ซึ่งจะมีขึ้นหลายระลอก และการนำเงินมาช่วยกรีซของชาติผู้นำยุโรปอย่างเยอรมันและฝรั่งเศส กำลังเผชิญการต่อต้านจากคนของชาติตนเองที่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการของรัฐ ทีจะนำเงินภาษีของชาติไปช่วยคนของชาติอื่น ซึ่งไมมีวินัยทางการเงินเลย ในช่วงที่ผ่านมา และถึงแม้ประสบวิกฤติแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย ยังคงใช้จ่ายเกินตัวและเสวยสุขบนความหายนะของเพื่อนร่วมทวีป

การลุกขึ้นมาประท้วงของบรรดานักศึกษาที่เพิ่งจบออกมาแต่หางานการทำไม่ได้ ต้องกลายเป็นผู้ว่างงานอย่างยาวนาน พากันไปประท้วงหน้าตลาดหุ้นวอลล์สตรีท โดยเรียกตนเองว่า Occupy WallStreet โดยแรกเริ่มเดิมทีก็เป็นคนกลุ่มเล็ก ๆ 100-200 คน จนผ่านไป 2 อาทิตย์ก็มีผู้คนมาเข้าร่วมประท้วงมากขึ้นส่วนใหญ่เป็น NGO กลุ่มต่างๆ หรือคนชั้นกลางพวก white collar ,คนที่ตกงานจากช่วงวิกฤติการเงินแฮมเบอร์เกอร์ หรือเลห์แมนบราเธ่อร์ล้ม มารวมตัวกันมากขึ้น และเดินไปบนสะพานบู้คลิน แนวร่วมก็มากขึ้นๆ จนถูกสลายการชุมนุมและถูกจับตัวไป 700 กว่าราย ตามข่าว และกระแสนี้ได้จุดประกายและลัทธิเอาอย่าง เนื่องจากเกิดการชุมนุมในลักษณะนี้กระจายไปยังหัวเมืองใหญ่ๆ หลายแห่งทั่วสหรัฐ อาทิ ที่ลอส แอลเจลิส, ซานฟรานซิสโก, ชิคาโก และบอสตัน และกระแสคงไม่หยุดอยู่แค่นี้คงลุกลามไปทั่วสหรัฐ ซึ่งคนกลุ่มนี้เขาอ้างว่าเขามาประท้วงคนรวยที่โลภกระหาย ไม่เคยเพียงพอ และคนกลุ่มนี้เองที่คุมกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเอาไว้ หรือคุมแม้กระทั่งนโยบายรัฐบาล คนกลุ่มนี้เมื่อเวลาประสบปัญหาวิกฤติการเงิน รัฐบาลก็จะเอาเงินภาษีของประชาชนเข้าไปอุ้ม ไปช่วยให้ฟื้น และเสวยสุขไปกับเงินเดือนสูงๆ มีโบนัสงามๆ ปลายปี มีเรือยอร์ช มีเครื่องบิน เฮลิค็อปเตอร์ส่วนตัว ในขณะที่คนจนยังต้องไปเข้าคิวขอคูปอง แสตมป์อาหารแจกจากทางราชการ หรือต้องไปขอเข้าคิวแย่งกันใช้สิทธิ์ค้างแรมในสถานที่ค้างแรมชั่วคราวของรัฐจัดไว้ให้สำหรับคนที่ไร้ที่อยู่ (บ้านโดนแบงค์ยึดไปแล้ว) จึงเป็นสิ่งที่ผู้มาประท้วงต้องการตะโกนบอกให้ภาครัฐลงมาดูแล สนใจ และช่วยเหลือ ให้มากกว่าที่เป็นอยุ่ และนับวันสังคมอเมริกันจะประกอบไปด้วยคนไร้ที่พัก คนจนจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อนนับ 100 ปี จริงๆ แล้วภาวะซบเซาของเศรษฐกิจอเมริกาเป็นมาแล้วกว่า 10 ปี ก่อนเหตุการณ์เลห์แมนบราเธอร์หรือวิกฤติซับไพร์มเสียอีก มันเริ่มมีวี่แววของลางบอกเหตุมานานแล้วก่อนหน้านี้ ภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในอเมริกามีมาแล้วหลายปี คนอเมริกันชอบใช้จ่ายเกินตัว มีบัตรเครดิตใช้กันทุกคนแม้กระทั่งนักศึกษาที่ยังไม่มีรายได้ การกู้ยืมเป็นไปอย่างง่ายดาย คนอเมริกันเกี่ยงงาน ไม่ทำงานที่มีรายได้ต่ำ ปล่อยให้คนผิวดำ คนเอเชียทำงานระดับล่างแทน ค่านิยมบริโภคนิยม ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยมีมานานแล้ว ในขณะที่คนอเมริกันมีศักยภาพในการแข่งขันต่ำ มี productivity ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับคนญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน อินเดีย เกาหลี ความขยันขันแข็งสู้คนเอเชียไม่ได้ ความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนค่าแรงงานของคนเอเซียหรือประเทศเกิดใหม่ (อุตสาหกรรมใหม่) ทำให้สินค้าอเมริกันแข่งสู้สินค้าจากเอเชียไม่ได้ โดยเฉพาะจีน ทำให้อเมริกันเป็นประเทศขาดดุลการค้าสูงมาก โดยเฉพาะขาดดุลให้กับจีนในขณะที่จีนก็พัฒนาตัวเองขึ้นมาจนสามารถผลิตหรือมีเทคโนโลยีในการผลิตสินค้าขั้นสูงได้ เพื่อส่งกลับไปขายให้กับอเมริกัน และยุโรป จนจีนร่ำรวยมหาศาล มีทุนสำรองมากที่สุดในเอเซีย

กระแสการชุมนุมเรียกร้องของผู้ประท้วงที่เกิดขึ้นทั่วทั้งยุโรป อเมริกา และหลายชาติที่เป็นมุสลิมกำลังจะบอกคนทั่วโลกว่า ทุนนิยมมันไปไม่รอด กำลังจะล่มสลาย เหตุก็เพราะว่าทุนนิยมส่งเสริมคนโลภให้รวยขึ้น และทำลายคนที่บริโภคเป็นอย่างเดียวให้เป็นเหยื่อ และรอวันหายนะลงไปเรื่อยๆ ในขณะที่ความเหลื่อมล้ำหรือช่องว่างทางการเงิน หรือฐานะ สถานภาพทางสังคม ห่างขึ้นๆ มากขึ้นทุกที ไม่เว้นทั้งในประเทศที่ร่ำรวยหรือประเทศที่ยากจน อยู่ในข่ายนี้หมด ตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้ระบบทุนนิยมประชาธิปไตยแบบนี้อยู่

ผู้เขียนคาดหวังว่ากระแสการชุมนุมประท้วงที่เกิดขึ้นทั่วโลกในเวลานี้ จะไปจุดประกายความคิดให้กับผู้ที่คุมกลไกเศรษฐกิจทั้งในระดับโลก ระดับประเทศ หรือระดับองค์กรใดๆ ได้ตระหนัก และคิดปฏิรูปกลไก กฎระเบียบ ให้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย การจัดสมดุลของทรัพยากรให้เท่าเทียมและเพียงพอ ไม่ทำให้เกิดความคิดถึงความเหลื่อมล้ำต่ำสูงมากจนเกินไป ก็จะทำให้ระบบทุนนิยมโลกยังคงดำรงอยู่ต่อไปได้ ไม่ถูกต่อต้าน และถึงเวลาที่มนุษย์โลกจะต้องคิดหาวิธีที่มนุษย์จะอยู่ด้วยกันแบบไม่ต้องแก่งแย่งแข่งขัน หาระบบที่ดีกว่าระบบทุนนิยมมาเป็น platform ใหม่ที่จะเดินตาม ปิดช่องโหว่ที่ทำให้มนุษย์ขาดความเท่าเทียมและไร้ประสิทธิภาพลง

ข่าวเกี่ยวกับการชุมนุมประท้วง

เอเอฟพี/เอเจนซี - ผู้ประท้วงวอลล์สตรีทราว 700 คนถูกจับกุม วานนี้ (1) หลังเคลื่อนขบวนบุกยึดสะพานบรูกลินในนครนิวยอร์ก จนต้องปิดการจราจรนานหลายชั่วโมง ตำรวจเผย

ผู้ประท้วงวอลล์สตรีทหันมาใช้สะพานบรูกลินเป็นสถานที่ชุมนุม หลังจากยึดสวนสาธารณะเล็กๆ ย่านแมนฮัตตันเป็นฐานที่มั่นเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน เพื่อประท้วงที่รัฐบาลจ่ายเงินโอบอุ้มบริษัทที่ขาดทุน และปล่อยให้บริษัทเอกชนเข้าไปมีอิทธิพลต่อการเมือง

โฆษกตำรวจนิวยอร์กเปิดเผยว่า มีผู้ถูกจับประมาณ 700 คน โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบจำนวนที่แน่ชัด ผู้ประท้วงบางคนถูกกักตัวไว้ไม่กี่ชั่วโมง ในขณะที่อีกหลายคนอาจถูกขังอยู่เป็นวันๆ ก่อนจะได้รับอิสรภาพ ก่อนหน้านี้ โฆษกสำนักงานตำรวจนิวยอร์กอีกนายหนึ่งระบุว่า มี “ผู้ประท้วงหลายร้อยคนตัดสินใจลงมาเดินบนท้องถนนและปิดกั้นการจราจร บางคนก็ฟังคำเตือน บางคนก็ยอมถอยกลับไป หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงเข้าจับกุม” กลุ่ม “ยึดวอลล์สตรีท” (Occupy Wall Street) ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในอียิปต์ เปิดเผยว่า มีผู้ประท้วงถูกจับกุมแล้วอย่างน้อย 50 คนพวกเขาบอกว่า การออกมาเคลื่อนไหวในย่านดาวน์ทาวน์ครั้งนี้ก็เพื่อ “แสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ว่าพวกเราไม่พอใจสภาพเศรษฐกิจ และบรรยากาศทางการเมืองในปัจจุบัน” ผู้ประท้วงเหล่านี้ยังตำหนิการกระทำที่รุนแรงของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หลังมีตำรวจอาวุโสนายหนึ่งใช้สเปรย์พริกไทยฉีดใส่ผู้ประท้วง 4 ราย และนำพวกเขาไปขังคุกเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน

ทางกลุ่มประกาศจะเดินขบวนครั้งใหม่ในบ่ายวันพุธนี้ (3 ต.ค.)ตามเวลาท้องถิ่นโดยจะเดินจากศาลาว่าการนครนิวยอร์กไปจนถึงย่านการเงิน เนื่องจากการที่ตำรวจจับกุมสมาชิกกลุ่มไปมากกว่า 700 คน ข้อหาชุมนุมขัดขวางการจราจรบนสะพานบรู๊คลินในนครนิวยอร์กวานนี้ ก่อนปล่อยตัวไป กลายเป็นชนวน ทำให้เกิดการประท้วงทำนองเดียวกัน ต่อเนื่องในหลายจุดในสหรัฐอเมริกา

การชุมนุมของชาวอเมริกันที่ต่อต้านกลุ่มธุรกิจในวอลล์สตรีทประกาศล่วงเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ต่อเนื่องกันแล้ว เป็นการรวมตัวกันอย่างหลวมๆของกลุ่ม "ยึดครองวอลล์สตรีท" (Occupy Wall Street) ที่มีเป้าหมายประท้วงรัฐบาล ที่ให้ความช่วยเหลือธนาคารและประท้วงภาคธุรกิจที่มีอิทธิพลแทรกแซงการเมือง

ล่าสุด จอร์จ โซรอส พ่อมดการเงิน ได้ออกโรงสนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วงเหล่านี้ โดยชี้ว่าความโกรธกริ้วของประชาชนมีต้นตอมาจากการจ่ายโบนัสที่เลยเถิดของธนาคารต่างๆท่ามกลางปัญหาทางเศรษฐกิจ

ล่าสุดได้มีการตั้งกลุ่มในรูปแบบเดียวกับ "กลุ่มยึดครองวอลล์สตรีท" แล้วทั่วประเทศ ถึง 21 เมืองทั่วประเทศ อาทิ ลอส แอลเจลิส, ซานฟรานซิสโก, ชิคาโก โคลัมบัส และบอสตัน บริเวณหน้าสำนักงานธนาคารกลางของแต่ละเมือง

นักเคลื่อนไหว “ออคคิวพาย วอลล์สตรีท” ชุมนุมใหญ่บริเวณไทม์สสแควร์ ย่านแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก วันที่ 15 ตุลาคม พร้อมกับการประท้วงที่เกิดขึ้นในเมืองสำคัญทั่วโลก ซึ่งเว็บไซต์ 15october.net อ้างว่า มีการชุมนุมเกิดขึ้นมากถึง 951 เมือง ใน 82 ประเทศ


เอเจนซี / เอเอฟพี - กระแสการประท้วงมุ่งต่อต้านความละโมบตะกละตะกลามของพวกชนชั้นนายทุนและภาคธนาคาร ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากการประท้วงวอลล์สตรีทในนิวยอร์ก เริ่มลุกลามบานปลายไปสู่เมืองสำคัญทั่วโลกเมื่อวันเสาร์ (15) ไม่ว่าจะเป็นวอชิงตัน, ไมอามี, โรม, มาดริด, ลิสบอน, อัมสเตอร์ดัม, ปารีส, เบอร์ลิน, ซูริค, เอเธนส์, บรัสเซลส์, โตเกียว, ฮ่องกง หรือซิดนีย์ โดยเฉพาะที่เมืองหลวงของอิตาลีได้เกิดเหตุจลาจลรุนแรงถึงขั้นจุดไฟเผารถยนต์และจู่โจมธนาคาร ขณะที่ในแดนต้นตออย่างนิวยอร์ก ผู้ประท้วงหลายพันคนได้เดินขบวนครั้งใหญ่สู่ย่านจัตุรัสไทม์สแควร์ และเกิดการปะทะกับตำรวจตลอดจนเกิดเหตุโกลาหลจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ

การประท้วงซึ่งจุดชนวนโดยกลุ่มนักเคลื่อนไหว “ออคคิวพาย วอลล์สตรีท” หรือขบวนการยึดครองวอลล์สตรีท ศูนย์กลางทางการเงินของโลกและเป็นแหล่งผลประโยชน์ของบริษัทและธนาคารยักษใหญ่ในสหรัฐฯนั้น เริ่มแพร่เชื้อลามไปสู่ยุโรป, นิวซีแลนด์และออสเตรเลีย, ตลอดจนบางส่วนของภูมิภาคเอเชีย โดยรายงานข่าวระบุว่า กระแสประท้วงในสหรัฐฯ และ “ความโกรธแค้น” ของชาวสเปนที่มีต่อนโยบายตัดงบรายจ่ายของรัฐบาลกำลังแผ่ลามไปถึง 951 เมืองจาก 82 ประเทศทั่วโลก

ที่มหานครนิวยอร์ก ที่ซึ่งการประท้วงความเอารัดเอาเปรียบของพวกทุนนิยมเริ่มเปิดฉากขึ้นจากการที่กลุ่มออคคิวพาย วอลล์สตรีทปักหลักกางเต็นท์ในสวนสาธารณะทางใต้ของแมนฮัตตัน ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา ปรากฏว่า ในวันนัดหมายร่วมประท้วงแบบพร้อมเพรียงกันทั่วโลกเมื่อวันเสาร์ (15) กลุ่มแกนนำในนิวยอร์ก ระบุว่า มีผู้ประท้วงอย่างน้อย 5,000 คนมาร่วมเดินขบวนไปยังจัตุรัสไทม์สแควร์ ใจกลางเกาะแมนฮัตตัน

ในระหว่างเคลื่อนขบวน ผู้ประท้วงซึ่งประกอบด้วยนักศึกษา, สหภาพแรงงาน กระทั่งครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ ต่างร้องตะโกนว่า “เราคือพลเมือง 99 เปอร์เซ็นต์”, “เราคือประชาชน” และ “คุณโอบามา เราต้องการความช่วยเหลือ” ขณะที่ตำรวจนิวยอร์กพยายามนำเครื่องกีดขวางมากั้นไว้

เหตุการณ์เริ่มบานปลายจนนำไปสู่การปะทะกันระหว่างผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนิวยอร์ก ที่บริเวณหัวถนนหมายเลข 46 และอเวนิวหมายเลข 7 หลังจากตำรวจพยายามขี่ม้าไล่ต้อนผู้ประท้วงให้ถอยออกจากไทม์สแควร์ ส่งผลให้ผู้ประท้วงซึ่งตื่นตกใจวิ่งหนีกันอลหม่าน และเกิดความชุลมุนวุ่นวาย จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย โดยหนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งถูกผลักล้มลงจนบาดเจ็บที่ใบหน้า

เอเอฟพีระบุว่า จากเหตุความวุ่นวายในนิวยอร์กเมื่อวันเสาร์ ทำให้ผู้ถูกจับกุมทั้งสิ้น 88 คน

ขณะที่ในกรุงวอชิงตัน ประชาชนราว 2,000-3,000 คนได้ออกมาแสดงพลังมวลชนกันที่สวนสาธารณะเนชันแนลมอลล์ ก่อนที่จะมีการเริ่มต้นพิธีเปิดอนุสรณ์สถานของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ นักต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองชาวผิวดำซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพและสิ้นชีวิตเพราะถูกลอบสังหาร ส่วนที่ไมอามี ชาวเมืองอย่างน้อย 1,000 คน ได้เดินขบวนในย่านดาวน์ทาวน์ เพื่อต่อต้านพวกบริษัท, ธนาคาร และสงครามในตะวันออกกลาง

ทั้งนี้ อเมริกันชนจำนวนมากต่างโกรธแค้นกรณีที่ธนาคารและสถาบันการเงินในสหรัฐฯ กอบโกยผลกำไรมหาศาลหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าโอบอุ้มพยุงฐานะเพื่อไม่ให้ล้มละลายในปี 2008 ขณะที่พวกเขารู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมที่ต้องตกระกำลำบากจากภาวะเศรษฐกิจอันย่ำแย่โดยที่มีตัวเลขคนตกงานสูงถึงกว่า 9 เปอร์เซ็นต์

ส่วนที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ผู้ประท้วงรวมหลายหมื่นคน ซึ่งสนับสนุนโดยสหภาพแรงงานใหญ่ที่สุดและนักศึกษา ได้เดินขบวนไปตามท้องถนนในเมืองหลวง แต่แล้วเหตุการณ์ก็ตึงเครียดและบานปลาย เมื่อผู้ประท้วงจำนวนหนึ่งได้จุดไฟเผารถยนต์, ทุบทำลายกระจกหน้าต่างของธนาคาร รวมถึงเผาหน่วยงานของกองทัพอิตาลี พร้อมกับขว้างปาก้อนหิน, ขวดน้ำ และพลุไฟใส่ตำรวจ ขณะที่ตำรวจก็ตอบโต้ด้วยการระดมยิงแก๊สน้ำตาและฉีดน้ำใส่เพื่อสลายกลุ่มผู้ประท้วงอันธพาลเหล่านี้


เหตุการณ์โกลาหลที่ดินแดนมักกะโรนีนับเป็นการก่อจลาจลรุนแรงที่สุดในบรรดาการประท้วงต่อต้านความโลภของนายทุนและคัดค้านนโยบายรัดเข็มขัดของรัฐบาลที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก นอกจากนี้จำนวนคนที่มาร่วมประท้วงในเมืองหลวงของอิตาลีครั้งนี้ ก็ยังนับเป็นการรวมตัวแสดงความไม่พอใจครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรป นับตั้งแต่เริ่มมีการประท้วงขึ้นที่จตุรัส ปูเอร์ตา เดล ซอล ในกรุงมาดริด ของสเปน เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมเป็นต้นมา

ส่วนที่กรุงมาดริด และ กรุงลิสบอน ก็มีรายงานว่า ประชาชนจำนวนหลายหมื่นคนได้ออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาลเมื่อวันเสาร์เช่นเดียวกัน โดยรอยเตอร์ระบุว่า เฉพาะที่เมืองหลวงของโปรตุเกสนั้น มีประชาชนมากกว่า 20,000 คน ออกมาเดินขบวนประท้วง ขณะที่ในเมืองปอร์โต เมืองใหญ่อันดับสองของแดนฝอยทอง ก็มีผู้ประท้วงจำนวนที่มากพอๆ กัน ทั้งนี้การประท้วงที่โปรตุเกสเกิดขึ้นเพียง 2 วันหลังจากที่รัฐบาลเพิ่งประกาศบังคับใช้มาตรการรัดเข็มขัดชุดใหม่

ข้ามไปที่กรุงเอเธนส์ ชาวกรีกราว 4,000 คน รวมตัวกันเดินขบวนไปยังจัตุรัสซินตักมา เพื่อต่อต้านนโยบายรัดเข็มขัดของรัฐบาล พร้อมกับถือแผ่นป้ายข้อความว่า “กรีซไม่ได้มีไว้ขาย”

นอกจากนี้ ที่กรุงลอนดอนก็เกิดเหตุวุ่นวายไม่แพ้กัน เมื่อผู้ประท้วงราว 800 คน มาปักหลักชุมนุมที่ย่านการค้าใกล้กับโบสถ์เซนต์ปอล พร้อมกับชูป้าย “สู้มัน!”, “ไม่ตัดงบ” และ “โกลด์แมน แซกส์ เป็นกิจการของซาตาน” ขณะที่มีรายงานด้วยว่า จูเลียน แอสซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ เว็บไซต์จอมแฉ ก็ออกมาร่วมชุมนุมในเมืองหลวงของอังกฤษครั้งนี้ด้วย

ด้านกองบัญชาการตำรวจนครบาลลอนดอน หรือ สกอตแลนด์ยาร์ด ระบุว่า มีผู้ถูกจับกุมฐานทำร้ายเจ้าพนักงาน 3 ราย และอีก 2 รายถูกจับฐานก่อกวนความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

ที่กรุงปารีส ซึ่งกำลังเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม จี-20 ระดับรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าdkiแบงก์ชาติ เพื่อหารือแนวทางแก้ไขวิกฤตหนี้และการขาดดุลงบประมาณบานเบอะในหลายประเทศ ก็ปรากฏว่าผู้ประท้วงราว 1,000 คน เดินขบวนกันที่ด้านหน้าศาลาเทศบาล

ที่เยอรมนี มีผู้ประท้วงหลายพันคนรวมตัวกันที่เบอร์ลิน, ฮัมบูร์ก และบริเวณด้านนอกที่ทำการของธนาคารกลางแห่งยุโรปในนครแฟรงก์เฟิร์ต

ข้ามฟากไปที่ฮ่องกง ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียของวาณิชธนกิจระดับบิ๊กๆ หลายราย อาทิ โกลด์แมน แซคส์ ก็ไม่รอดพ้นตกเป็นเป้าหมายของผู้ประท้วงเช่นกัน โดยประชาชนรวมกว่า 100 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาและผู้เกษียณอายุ ได้ชุมนุมกันที่เอ็กซ์เชนจ์ สแควร์ พร้อมกับถือป้ายตราหน้าพวกแบงก์ว่าเป็น “เซลล์มะเร็งร้าย”

ขณะที่ในกรุงโตเกียว ชาวญี่ปุ่นราว 100 คน ได้เดินขบวนแสดงความไม่พอใจรัฐบาลจากกรณีอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่จังหวัดฟูกูชิมะ

ในกรุงไทเป มีชาวไต้หวันกว่า 100 คน นัดชุมนุมกันที่บริเวณด้านนอกของที่ทำการตลาดหลักทรัพย์ไทเป โดยที่พวกเขาเรียกตนเองว่าเป็น “คน 99 เปอร์เซ็นต์ของไต้หวัน” พร้อมกับแสดงความไม่พอใจว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจนำมาซึ่งผลประโยชน์ของคนส่วนน้อยเฉพาะแค่บรรดาบริษัทเท่านั้น ขณะที่เงินเดือนของชนชั้นกลางก็น้อยนิดเพียงแค่พอเลี้ยงชีพเท่านั้น

ที่นครซิดนีย์ ชาวออสซีราว 2,000 คน ซึ่งรวมผู้แทนจากชนกลุ่มน้อยชาวอะบอริจิน, พวกคอมมิวนิสต์ ตลอดจนสหภาพแรงงาน ได้รวมตัวกันประท้วงรัฐบาลที่ด้านนอกธนาคารกลางของออสเตรเลีย

นอกเหนือจากเมืองต่างๆ ที่กล่าวมา ในทวีปอเมริกา ทั้งเม็กซิโก, เปรู และชิลี ก็มีประชาชนรวมหลายพันคน ออกมาแสดงความไม่พอใจรัฐบาลต่อกรณีระบบการเงินอันไม่เป็นธรรมและปัญหาว่างงาน

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เซี่ยงไฮ้นครของคนบาป

เซี่ยงไฮ้นครของคนบาป


นารีพิศวาส ฆาตกรรม และสิ่งผิดกฎหมาย

อำนาจมืด มาเฟีย มิตรภาพและการหักหลัง ล้างแค้น ไม่มีที่สิ้นสุด

ผู้ใดมีอำนาจ ผู้นั้นได้ครอบครอง


ซ่างไห่ หรือ เซี่ยงไฮ้ (จีน: 上海, พินอิน: Shànghǎi) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำแยงซีเกียง เป็นเขตการปกครองระดับเขตการปกครองพิเศษแบบเทศบาลนคร ซึ่งมีสถานะเทียบเท่ากับมณฑล พื้นที่อยู่ในมณฑลเจ้อเจียงแต่ไม่ได้ขึ้นกับมณฑล การปกครองขึ้นตรงกับรัฐบาลกลาง มีท่าเรือที่มีจำนวนเรือคับคั่งที่สุดในโลก ตามมาด้วยสิงคโปร์ และร็อตเตอร์ดัม เซี่ยงไฮ้ในอดีตเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมง แต่ในปัจจุบันเซี่ยงไฮ้กลายเป็นเมืองที่มีคนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นมากที่สุดในจีน เต็มไปด้วยร้านค้า สิ่งก่อสร้าง ถนนเต็มไปด้วยรถ จักรยาน และผู้คน สิ่งที่พบเห็นได้มากในเมืองนี้ จนอาจถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ คือต้นเมเปิลที่มีอายุเกือบร้อยปี ซึ่งปลูกโดยในสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองเซี่ยงไฮ้
ซ่างไห่มีพื้นที่ของท่าเทียบเรือกว่า 13.6 ตร.กม. นับตั้งแต่ปีทศวรรษที่ 80 ท่าเรือขนส่งซ่างไห่เป็นท่าเรือ ขนาดใหญ่ติดอันดับโลก ที่มีสินค้าเข้าออกสูงกว่า 100 ล้านตัน ปลายปี พ.ศ. 2546 มหานครเซี่ยงไฮ้ (Shanghai) ได้รับการขนานนามว่าเป็น "นครปารีสแห่งตะวันออก" ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มมหานครไฮโซอันดับ 5 ของโลก รองจาก กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. นิวยอร์ก ลอนดอน และ ปารีส รูปแบบการปกครองของมหานครซ่างไห่จัดอยู่ในกลุ่มเมืองที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง ซึ่งไม่ขึ้นต่อมณฑลใด ๆ ทั้งสิ้น และปัจจุบันประเทศจีนมีเมืองที่มีรูปแบบการปกครองลักษณะนี้ทั้ง สิ้น 4 เมืองด้วยกัน ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เทียนจินและฉงชิ่ง มหานครซ่างไห่ ปัจจุบันนับเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งของโลก และมีประชากรมากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศจีน เป็นเมืองศูนย์กลางความเจริญในด้านต่างๆ ของภูมิภาค ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การเงิน การลงทุน รวมถึง ด้านแฟชั่น และการท่องเที่ยว โดยการผลักดันของรัฐบาลซึ่งให้นครเซี่ยงไฮ้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำ และเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย เซี่ยงไฮ้จึงนับเป็นความภูมิใจของชาวจีน โดยเฉพาะชาวเมืองซึ่งถือกันว่าเมืองของตนเป็นสัญลักษณ์ของจีนยุคใหม่ ในด้านความก้าวหน้า และทันสมัย เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่มีการผสมผสานทางด้านวัฒนธรรม ทั้งของจีนและตะวันตกได้อย่างกลมกลืน โดยจะเห็นได้จากอาคารสถาปัตยกรรมในยุคอาณานิคมตามเขตเช่าเดิมของชาวตะวันตก ซึ่งในปัจจุบันกลายมาเป็น สัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของเมือง ในเขตเมืองเก่าบริเวณสวน Yuyuan ที่ถูกสร้างในสมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งยังคงไว้ด้านรูปแบบอาคารสถาปัตยกรรมแบบจีน ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ขายของที่ระลึกและศิลปะต่างๆ นอกจากนั้นสถานที่ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเยีอนเซียงไฮ้จะพลาดไม่ได้คือ ถนนหนานจิง อันเป็นสัญลักษณ์สำคัญอันหนึ่งของซ่างไห่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองและ เป็นถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยแหล่งร้านค้าสินค้าต่าง ๆ รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่มาจับจ่ายซื้อสินค้ามากมาย หนึ่งในย่านนั้นมีอาคารจินเหมาทาวเวอร์และ อาคารเซี่ยงไฮ้เวิร์ดไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศจีน นอกจากนั้นเซี่ยงไฮ้ยังเป็นเมืองทันสมัยอันดับที่ 25 ของโลกจาก 53 เมืองใหญ่ทั่วโลก เช่น ปักกิ่ง มอสโก นิวยอร์ก โตเกียว ลอนดอน และปารีส
ประชากรในเขตเซี่ยงไฮ้มีประมาณ 19,213,200 คน โดยอายุ 0-14 คิดเป็น 12.2% อายุระหว่าง 15-64 คิดเป็น 76.3% อายุ 65 ปีขึ้นไป คิดเป็น 11.5%

ที่มา :เว็บไซต์วิถีพีเดีย,สารานุกรมออนไลน์
หมายเหตุ เป็นมุมมองภาพลักษณ์ที่มักเกิดขึ้นในภาพยนตร์ มิใช่มุมมองภาพลักษณ์จริง ซึ่งถือเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวที่สุดของจีนเมืองนึงและของโลก


เพิ่งจะผ่านวันชาติจีนแผ่นดินใหญ่ ไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ถ้าจะพูดถึงเมือง 1 เมืองของจีน ที่พอจะใช้เป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งเรือง มั่งคั่งได้ดีที่สุด ก็น่าจะหมายถึง เซี่ยงไฮ้ ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน ความเป็นเมืองท่า อุตสาหกรรม การค้าพาณิชย์ ที่มีมาแต่ดึกดำบรรพ์ ทำให้เซี่ยงไฮ้ ถูกใช้เป็นฉากหลังของภาพยนตร์จำนวนมากหลายๆ เรื่อง 1 ในนั้น ได้แก่ ภ.เรื่อง The Lady From Shanghai ,Flowers of Shanghai และ ภ.ซี่รี่ย์สุดฮิตในยุค 80’s ก็คือ The Bunds หรือชื่อไทย “เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้” ผู้เขียนจึงขอนำเกร็ดเกี่ยวกับหนังทั้ง 3 เรื่องที่มีฉากหลังเป็นนครเซี่ยงไฮ้ มาเล่าสู่กันฟัง ถือเป็นการหวนรำลึกวันชาติจีน และเสี้ยวหนึ่งหรือมุมหนึ่ง ด้านมืด ของนครแห่งนี้ ครับ

The Lady From Shanghai ผู้ชายบินเข้ากองไฟ

ปี 1947

กำกับโดย ออร์สัน เวลส์ ผู้กำกับคนเดียวกับที่กำกับ ภ.เรื่อง Citizen Kane หนังที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดตลอดกาลเรื่องนึงในประวัติศาสตร์ของวงการฮอลลีวู้ด เรื่อง The Lady From Shanghai เป็นภ.แนว Film-Noir (ฟิมล์นัวร์) ที่ดีที่สุดเรื่องนึงในยุคปี 40’s มุ่งตีแผ่ด้านมืดในจิตใจของมนุษย์ ซึ่งตัวละครมักเป็น 1 หญิง 2 ชาย หรือไม่ก็ 2 หญิง 1 ชาย ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กัน และนำพาไปสู่จุดจบแบบคาดไม่ถึง ซึ่งภาพยนตร์แนวนี้จะมีตัวละครในแบบ Femme Fatale คือเป็นผู้หญิงร้ายลึกที่ใช้เครื่องเพศมาเป็นตัวหลอกล่อให้ชายหนุ่มมาตกเป็นเหยื่อของเธอ

เนื้อเรื่องว่าด้วย เรื่องราวของ ไมเคิล โอ ฮาร่า ที่ในค่ำคืนหนึ่ง เขาได้ไปช่วยเหลือผู้หญิงที่ชื่อ เอลซ่า ผู้หญิงแสนสวย ที่เขาหลงใหลในเสน่ห์ทั้งที่เพิ่งพบเจอเป็นครั้งแรก ให้รอดพ้นจากการถูกปล้น ทั้งนี้เธอเพิ่งจะเดินทางกลับมาจากเซี่ยงไฮ้ พร้อมกับสามี อาเธอร์ แบนนิสเตอร์ ที่มีอาชีพเป็นทนายความ คู่สามีภรรยากำลังจะเดินทางไปยังซานฟรานซิสโกโดยทางเรือและเพื่อเป็นการตอบแทนที่โอฮาร่าช่วยแฟนสาวของตัวไว้ เบนนิสเตอร์ ก็ว่าจ้างให้โอฮาร่าทำงานบนเรือยอชท์สุดหรูของเขา และระหว่างนั้นเองที่ชายหนุ่มได้รู้จักกับ จอร์จ กริสบี้ เพื่อนทนายของแบนนิสเตอร์ ทั้งนี้กริสบี้ว่าจ้างให้โอฮาร่าทำทีเป็นว่ามีส่วนรู้เห็นในการแกล้งตายของตัวเขา เพื่อหวังได้เงินประกัน โอฮาร่าตัดสินใจรับข้อเสนอดังกล่าวเพราะว่าเขาต้องการเงินจากการว่าจ้างเพื่อพาเอลซ่าหนี แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร เมื่อปรากฏว่ากริสบี้เสียชีวิตลงจริงๆ จากการถูกยิง ซึ่งนั่นก็ทำให้ไมเคิล โอฮาร่า

หนังได้ตัวออร์สัน เวลส์(ผู้กำกับ) มาแสดงนำคู่กับริต้า เฮย์วอร์ท นักแสดงสาวสวยที่เป็นภรรยาของเขาในช่วงเวลานั้น ซึ่งหลังจากที่ภาพยนตร์ออกฉายได้ไม่นานทั้งคู่ก็เลิกรากัน ฉากจบของหนังเรื่องนี้กลายเป็นสิ่งที่มีการพูดถึงกันมากที่สุด ออร์สัน เวลส์ใช้กรรมวิธีแบบเกินจริง มาเล่าเรื่องราวเพื่อแทนค่าอารมณ์ ความรู้สึกของตัวละคร ทั้งนี้ให้ไมเคิล โอฮาร่าถูกจับไปซ่อนไว้ที่บ้านอลเวงภายในสวนสนุก แต่ละฉากก็แสดงความสับสน กดดันของพระเอก แต่ถ้าใครได้ดู ภ.เรื่องนี้ ซีนหนึ่งที่จะจดจำได้ติดตาก็คือ ฉากในห้องกระจก (ซึ่งถูกนำมาลอกเลียนแบบใน ภ.ยุคหลังหลายต่อหลายเรื่อง อาทิ Chicago ในปี 2002, Black Swan ในปี 2010 เป็นต้น) แนะนำ เนื่องจากเป็น 1 ใน 1001 movies you must see before you die ด้วยครับ

Flowers of Shanghai นาฏกรรมของนางโลม

ปี 1998

กำกับโดย หัวเสี้ยวเสียน ปรมาจารย์ภาพยนตร์แห่งไต้หวัน

ภ.เรื่องนี้เป็นแนว period ย้อนยุค โดดเด่นด้านการกำกับภาพ การวางคอนเซ็ปต์ของหนัง สไตล์การเล่าเรื่อง โทนสีของภาพ การตัดต่อลำดับภาพ (ใช้วิธีการ fade in fade out) ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะเป็นต้นตอของแรงบันดาลใจ ที่ทำให้ หว่องกาไว ได้รับอิทธิพล ไปกำกับ ภ.เรื่อง In the Mood for Love หนังปี 1998 เพราะมีสไตล์ที่คล้ายกันมาก เรื่องนี้เล่าเรื่องเกี่ยวกับชายหนุ่ม ที่ชื่อเฮียหวังที่รับบทโดย เหลียงเฉาเหว่ย กับหญิงคณิกา ในหอนางโลม เป็นความเสน่หาส่วนตัว คุณชายหวังจึงเสนอตัวที่จะปลดหนี้ให้กับนางคณิการูปงามคนหนึ่ง แต่แล้วเขาก็มีใจให้กับหญิงคณิกาอีกคน หญิงคณิกาคนที่ถูกช่วยเหลือจึงชอกช้ำด้วยหัวใจที่หลงรักคุณชายหวังไปเสียแล้ว พล็อตเรื่องนั้น เล่นตัวอย่างเอียงอายด้วยการให้ตัวละครหลัก(คุณชายหวัง) ค่อยๆ รู้ความในใจของนางเอก ความสัมพันธ์ของเขาและเธอเดินหน้าอย่างเชื่องช้าและมั่นคง ราวกับผู้กำกับต้องการจะบอกให้คนดูค่อยๆ ดูชะตากรรมบางอย่างที่จะตามมาในท้ายเรื่อง

สิ่งที่ผู้กำกับ หัวเสี้ยวเสียน ตั้งใจนำเสนอมากกว่าก็คืออารมณ์ลุ่มหลงในบรรยากาศหนึ่งซึ่งเป็นทั้งเรื่องรัก และเรื่องใคร่ และที่สำคัญ เขาไม่ทำให้เรื่องของนางโลมอันแสนงามคนหนึ่งนั้น กลายเป็น epic ด้วยการทำให้เธอเป็นอะไรที่น่าสงสาร ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ตาม การไม่ผูกติดอยู่กับเงื่อนปม และข้อจำกัดใดๆ ทางศิลปะ ผู้กำกับระดับขึ้นหิ้งของไต้หวันยังเล่นชั้นเชิงกับคนดูอีกระดับนึง ในตอนต้นเรื่องที่ฉากต่างๆ อยู่ในห้องนั้น ตัวรองของหนังเอ่ยถึงกัญชา หรือยาสูบ (ประเภทฝิ่น) อันมีนัยถึงของมึนเมา หลังจากนั้นหนังก็โชว์เหนือด้วยการสอดรับ ไปตลอดทางกับธีมที่เรื่องต้องการจะพาไป เราจะเห็นว่าแม้แต่การใช้ฉากเข้าออก หรือการตัดต่อ ไวยากรณ์ของหนังเป็นไปอย่างนุ่มนวล ราวกับอารมณ์ที่ตกอยู่ในห้วงของการเสพของมึนเมา เป็นการเปรียบเปรยว่า เมื่อคนเราตกอยู่ในอารมณ์รักใคร่ จนยากจะถอนตัวไม่ขึ้น จนยากจะลืมตา ที่แท้เราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ถูกเหวี่ยงไปมา สับสนและมึนงง จนไม่ต่างอะไรกับการตั้งวงเสพของมึนเมา ซึ่งอยู่ในอาการเดียวกันกับที่ตัวละครเป็น โลกของ flowers of shanghai จึงไม่ใช่โลกที่เกียวกับนางคณิกาแต่เพียงเท่านั้น ในความหมายนี้มันแยกตัวเองออกไปจากสังคม และคาแรกเตอร์ต่างๆ ของตัวละครเป็นหนึ่งเสมือนตัวแทนของเงื่อนไขทางสังคมที่แสดงออกมา

บทพูด ไดอะล็อก และเครื่องแต่งกายที่เรียงรายออกมา ไม่ได้แค่โชว์ความงดงาม อลังการของเสื้อผ้าเท่านั้น แต่มีนัยทางอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครแฝงอยู่ด้วย อาทิ เช่น สีแดงที่แทนค่าอารมณ์ความปรารถนารุ่นแรง (passion) สีเทาอมเหลือง แทนค่า อาการกลืนไม่เข้า คายไม่ออก หรือหวานอมขมกล้ำกลืน การไม่ชี้ชัดไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือการไม่เสนอทางออกชัดเจนออกมา ทำให้คนดูมีทางเลือกที่จะคิดอะไรมากกว่า 1 อย่าง และมันไม่จำเป็นว่า เราต้องรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่หนังคิดและต้องการบอกออกมาจริงๆ ผู้เขียนคิดว่า หว่อง กาไว คงได้รับอิทธิพลจากหนังเรื่องนี้มาเต็มๆ ไม่มากก็น้อย ที่เขานำมาใช้ในงาน In the Mood for Love ของเขา อย่างน้อยก็สไตล์ของหนัง ซึ่งบางครั้ง การที่ตัวละครไม่พูดอะไรก็ดีกว่าพูด และบางครั้งการที่ตัวละครไม่เคลื่อนไหว แต่เหมือนไม่เคยหยุดนิ่ง ให้ภาษาของภาพเป็นตัวถ่ายทอดความรู้สึกเอาเอง นี่แหละงานของผู้กำกับที่เรียกว่าชั้นครู ของจริง

(ที่มา : ถอดความบางส่วนจากคอลัมน์ cinema,section entertrend bizweek ตุลาคม 2550,พรทิพย์ แย้มงามเหลือ และคุณเรนนี เดย์)

The Bund เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้

ปี 1980

กำกับโดย(ทีมผู้กำกับทั้ง 3 ภาค)   Chiu Chun-keung, Fok Yiu-leung, Tam Jui-ming, Lee Yiu-ming, Lau Si-yu

พระเอกในเรื่องคือสี่เหวินเฉียง เป็นคนมีอดีตที่สูญเสียและเจ็บช้ำ ซึ่งเขาอยากจะลืมให้หมด  เขาเคยเป็นนักศึกษาผลการเรียนระดับเกียรติยมของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง  แต่ด้วยอุดมการณ์รักชาติบ้านเมือง และความร้อนแรงของอารมณ์ในวัยหนุ่ม จึงได้เข้าร่วมกลุ่มเป็นผู้นำในการประท้วงความไม่เป็นประชาธิปไตย ต่อต้านคอรัปชั่น และเรียกร้องให้ขับไล่บรรดาประเทศจักรวรรดินิยมต่างชาติ นักล่าเมืองขึ้นทั้งหลายที่กำลังรุมกินโต๊ะประเทศจีนอยู่ในขณะนั้นออกไปพ้นแผ่นดินจีนให้หมด  ผลที่ได้รับคือนักศึกษาถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายจนบาดเจ็บลัมตายและถูกจับกุมคุมขังเป็นจำนวนมาก นักศึกษาสาวเพื่อนสนิทซึ่งเป็นคนรักของเขาถูกทหารรัฐบาลตีจนตายในที่ประท้วงนั้นเอง ตัวเขาก็ถูกจับเข้าคุก 3 ปี  เมื่อสี่เหวินเฉียงออกมาจากคุกเขาพยายามลืมความหลังที่เจ็บปวดทั้งหมด เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาได้ทำมานั้นล้วนไร้สาระ เขาได้เสียสละให้กับอุดมการณ์ความรักชาติมากเกินไป เขาจะไม่ทำเช่นนั้นอีก และมุ่งหน้าไปแสวงหาชีวิตใหม่ที่เซี่ยงไฮ้ นครใหญ่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดทางเศรษฐกิจของจีนซึ่งขณะนั้นอยู่ในสภาพเป็นเขตปกครองของบรรดาประเทศนักล่าอาณานิคมชาติต่างๆ เขาตั้งใจว่าที่นี่เขาจะทำเพื่อตัวเองเท่านั้นจะไม่คิดถึงคุณธรรมความดีและชาติบ้านเมืองอีกต่อไป

ในวันที่เขามาถึงวันแรกก็ได้พบกับติงลี่คนหนุ่มหาบสาลี่ขายจากสลัมในย่านชานเมืองเซี่ยงไฮ้ เขาได้ขอไปพักในบ้านสลัมของติงลี่ก่อนเพื่อติดตามหาฟางเยี่ยนเหวินเพื่อนเก่าของเขาที่มาอยู่ในเซี่ยงไฮ้ก่อนหน้านี้ ติงลี่ให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดี เขาพบว่าติงลี่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นอย่างฝงจิ้งเหยา ซึ่งเป็นผู้ทีมีอิทธิพลมากที่สุดในเซี่ยงไฮ้ส่วนที่เป็นเขตเช่าของฝรั่งเศสในขณะนั้น  ฟางเยี่ยนเหวินดีใจมากที่ได้พบสี่เหวินเฉียงผู้ชายที่เธอรักมาตลอดชีวิต เธอรู้สึกแปลกใจที่สี่เหวินเฉียงเปลี่ยนแปลงไปมากจากคนที่เอ่ยปากแต่ละคำก็มีแต่คำว่าเสียสละ อดทน ทำเพื่อชาติบ้านเมือง  กลายมาเป็นคนที่มุ่งหน้าแต่จะหาความก้าวหน้าในชีวิตที่เซี่ยงไฮ้  สี่เหวินเฉียงเพียงบอกเธอว่า  “ทุกอย่างที่ฉันเคยทำมันไร้สาระ ฉันเสียสละให้มันมากเกินไป อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย ฉันอยากเริ่มต้นใหม่ในเซี่ยงไฮ้” ขณะนั้นฟางเยี่ยนเหวินมีอาชีพเป็นหญิงโสเภณีชั้นสูงที่โด่งดังในนครเซี่ยงไฮ้แล้ว เธอมีลูกค้าขาประจำที่เป็นบุคคลมั่งคั่งร่ำรวยและมีอิทธิพลเป็นจำนวนมาก สี่เหวินเฉียงขอพักอาศัยอยู่กับเธอที่บ้านของเธอก่อน ซึ่งเธอตกลงและยังช่วยหางานให้สี่เหวินเฉียงทำอีกด้วย โดยสี่เหวินเฉียงได้ไปทำงานเป็นผู้จัดการโรงหนังเหม่ยหัวให้กับเถ้าแก่หลี่ซึ่งเป็นลูกค้าคนหนึ่งของฟางเยี่ยนเหวิน

สี่เหวินเฉียงสามารถสร้างผลงานดีเด่นเป็นที่พอใจของเถ้าแก่หลี่มาก เช่นเขาสามารถแก้ปัญหาการถูกนักเลงโรงหนังข้างเคียงข่มขู่คุกขามได้อย่างเรียบร้อย สามารถนำฟีล์มหนังที่ถูกบุกแย่งคืนไปได้จากหัวหน้าแก็งค์ที่ขโมยไปได้ด้วยตัวเขาคนเดียวโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อใดๆ ผลงานครั้งนี้ทำให้สี่เหวินเฉียงมีชื่อเสียงขึ้นมาในวงการนักเลงในเซี่ยงไฮ้ว่าเป็นคนหนุ่มที่เฉลียวฉลาด และมีความกล้าหาญเป็นเยี่ยม

จากความสามารถของสี่เหวินเฉียงทำให้อาปิ่งลูกน้องเก่ามือขวาของเถ้าแก่หลี่ไม่พอใจและจ้างมือปีนคนนอกมาดักสังหารสี่เหวินเฉียง คนที่ถูกจ้างมาเผอิญเป็นติงลี่ซึ่งเมื่อพบว่าเป้าหมายเป็นสี่เหวินเฉียงเขาจึงชะงักการลงมือและทำงานไม่สำเร็จ เขาถูกอาปิ่งตามฆ่าปิดปากจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่สี่เหวินเฉียงก็ตามไปช่วยมาได้ จากนั้นสี่เหวินเฉียงก็ชวนติงลี่มาพักอาศัยทำงานเป็นผู้ช่วยเขา ติงลี่บอกว่าเขาไม่ได้เรียนหนังสือทำอะไรก็ไม่เป็นจะช่วยอะไรสี่เหวินเฉียงได้ สี่เหวินเฉียงบอกว่าไม่เป็นไร ติงลี่เป็นคนฉลาดเขาจะสอนติงลี่เอง ต่อไปพวกเขาสองคนจะยิ่งใหญ่เหมือนฝงจิ้งเหยา

สี่เหวินเฉียงดำเนินแผนการต่อด้วยเล่ห์เหลี่ยมเชิงชั้นที่แยบยล จนสามารถทำให้อาปิ่งลงมือสังหารเถ้าแก่หลี่ได้ จากนั้นสี่เหวินเฉียงก็สังหารอาปิ่ง เมื่อโรงหนังเหม่ยหัวขาดผู้นำ บรรดานักเลงในแก็งค์จึงพากันยกให้สี่เหวินเฉียงเป็นผู้บริหารโรงหนังเหม่ยหัวคนต่อไป ถึงจุดนี้สี่เหวินเฉียงและติงลี่ก็สามารถสร้างอาณาจักรเล็กๆของตนเองขึ้นมาได้แล้ว

จากการที่ทั้งสองคนเข้าครอบครองเป็นผู้บริหารโรงหนังเหม่ยหัวทำให้ได้มีโอกาสรู้จักกับฝงจิ้งเหยาซึ่งเป็นผู้มีอิทธิเก็บค่าคุ้มครองโรงหนังเหม่ยหัวอยู่ ฝงจิ้งเหยาได้ฟังเรื่องราวของสี่เหวินเฉียงมาว่าเป็นคนหนุ่มมีการศึกษาดี เฉลียวฉลาด เก่งกล้าสามารถจึงให้ความสนใจและแวะไปที่โรงหนังด้วยตนเองแต่ไม่พบ จึงได้เชิญทั้งสองคนไปร่วมงานปาร์ตี้ที่เขาจัดขึ้น ในงานปาร์ตี้เมื่อเฝิงจิ้งเหยาได้พบกับสี่เหวินเฉียงและติงลี่ เขาก็รู้สึกถูกชะตาชอบใจคนหนุ่มทั้งสองคนนี้ และก็พอดีมีเรื่องเกิดขึ้นกับแขกที่มาในงานซึ่งเป็นเพื่อนของฝงจิ้งเหยาซึ่งถูกตำรวจสอบสวนกลางของทางการจีนที่อยู่นอกเขตเซี่ยงไฮ้ติดตามจับกุมอยู่ในข้อหา “ขายชาติ” แม้จะเข้ามาในบ้านของฝงจิ้งเหยาไม่ได้แต่ก็ล้อมบ้านไว้เพื่อรอจับกุม สี่เหวินเฉียงจึงอาสาจัดการกับเจ้าหน้าที่ที่ล้อมนอกบ้านทั้งหมดให้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฝงจิ้งเหยาดีมากขึ้นอีก ฝงจิ้งเหยาออกปากชวนให้ทั้งสองคนมาทำงานกับเขา แต่สี่เหวินเฉียงบอกว่าเขาอยากจะค่อยๆเรียนรู้งาน และไต่เต้าสร้างฐานะของเขาขึ้นมาเอง ซึ่งฝงจิ้งเหยาก็ไม่ว่าอะไรและคอยให้การสนับสนุนกิจการของสี่เหวินเฉียงอยู่ห่างๆ

ในระหว่างช่วงเวลานี้เอง   เจ้าหน้าที่กงสุลฝรั่งเศสต้องการกว้านซื้อที่ดินผืนใหญ่ในเขตเช่าฝรั่งเศสแต่ติดปัญหาที่มีเจ้าของโรงงานแห่งหนึ่งไม่ยอมขายไม่ว่าจะเสนอราคาเท่าใดก็ตาม ทำให้โครงการอสังหาริมทรัพย์ของคนฝรั่งเศสเดินหน้าไม่ได้  เขาจึงขอให้ฝงจิ้งเหยาช่วยเจรจาซึ่งก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน  ฝงจิ้งเหยาจึงใช้วิธีการจ้างมือปืนรับจ้างอาชีพภายนอกไปดักฆ่าเจ้าของโรงงานแห่งนี้   ซึ่งก็พอดีที่ลูกชายของเจ้าของโรงงานคือเฉินฮั่นหลิน   ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับฉิงฉิง  ลูกสาวของฝงจิ้งเหยาและเรียนโรงเรียนเดียวกันด้วย    ทั้งสองคนเดินทางกลับจากสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปลายพร้อมกัน  ฝงจิ้งเหยาชวนสี่เหวินเฉียงที่เผอิญไปหาฝงจิ้งเหยาที่บ้านมาด้วยกัน  ที่สถานีรถไฟสี่เหวินเฉียงสังเหตุเห็นมือปืนซ่อนปืนไว้ในมือเดินเข้ามาทางกลุ่มผู้ที่มารอรับจึงได้เข้าขัดขวางทำให้มือปืนทำงานไม่สำเร็จ มือปีนจึงจับฉิงฉิงที่เดินอยู่ใกล้ตัวไว้เป็นตัวประกัน  สี่เหวินเฉียงได้อาสาเป็นผู้เจราจาต่อรองกับมือปืนอย่างสุขุมรอบคอบ  และชาญฉลาด จนสามารถช่วยฉิงฉิงออกมาได้

ฉิงฉิงประทับใจในตัวสี่เหวินเฉียงมาก จากนั้นสองหนุ่มสาวก็มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นแม้ว่าสี่เหวินเฉียงจะพยายามควบคุมตัวเองและปฏิเสธความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดไม่ให้เกิดขึ้นแต่ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถห้ามหัวใจตนเองได้จนกลายเป็นความรักที่ซาบซึ้งผูกพันระหว่างกันขึ้นในที่สุด

ในระหว่างนั้นติงลี่เกิดไปหลงรักผู้หญิงที่เป็นเมียเก็บของนักเลงเจ้าถิ่นใกล้เคียงเข้าและเกิดปัญหาถึงขนาดไปฆ่านักเลงคนนั้นตาย ทำให้กลุ่มแก็งค์ต่างๆพากันใช้เป็นข้ออ้างร่วมมือกันกวาดล้างแก็งค์ของสี่เหวินเฉียงและติงลี่ โดยฝงจิ้งเหยาไม่สามารถยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้ เนื่องจากเป็นประเพณีปฏิบัติในวงการนักเลงเมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น และสี่เหวินเฉียงก็ไม่ใช่คนของเขาอีกด้วย เขาได้แต่ปรามว่าขอให้พวกแก็งค์ต่างๆพยามเว้นชีวิตคนแซ่สี่ไว้เท่านั้น

พวกแก็งค์ต่างๆลงมือรวดเร็วมากในการกวาดล้างแก็งค์ของสี่เหวินเฉียง เหตุการณ์ในตอนนี้แสดงให้เห็นถึงคุณธรรมน้ำมิตรที่เป็นข้อยึดเหนี่ยวสำคัญของโลกตะวันออก และแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนมีคุณธรรมของสี่เหวินเฉียง ในภาวะอับจนดังกล่าวสี่เหวินเฉียงตัดใจได้และบอกกับติงลี่ว่า “ไม่เป็นไร ไหนไหนเรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราสองคนจะรับมันด้วยกัน” ทั้งสองต้องหลบซ่อนด้วยความยากลำบาก จนในที่สุดฝงจิ้งเหยาก็ออกหน้าช่วยเหลือคนทั้งสองโดยรับเข้ามาทำงานให้กับเขา ทำให้แก็งค์ต่างๆต้องเลิกความพยายามในการติดตามสังหารคนทั้งสอง

ในการเข้ามาทำงานกับฝงจิ้งเหยาครั้งนี้ คนหนุ่มทั้งสองได้แสดงความสามารถและผลงานที่ยอดเยี่ยมในการทำงานให้สำเร็จได้ ทำให้ฝงจิ้งเหยาพอใจและไว้วางใจพวกเขามาก สี่เหวินเฉียงสามารถเจรจากับฝรั่งต่างชาติ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และการจัดการกับนักเลงกลุ่มอื่นๆที่แข็งข้อได้อย่างดีโดยมีติงลี่เป็นกำลังสำคัญในการทำงาน ในระหว่างนั้นฝงจิ้งเหยาต้องการเข้าไปรับสัมปทานกิจการสาธารณูปโภคน้ำประปา แต่ก็ถูกฝรั่งอังกฤษหักหลังทำให้มีเรื่องขัดแย้งกัน แต่สี่เหวินเฉียงสามารถจัดการให้พวกอังกฤษต้องยอมทำตามสัญญาที่ให้ไว้ด้วยการมอบสัมปทานกิจการน้ำประปาให้ฝงจิ้งเหยา

ในระหว่างนี้ก็มีเรื่องต่างๆเข้ามาทำให้สี่เหวินเฉียงไม่สบายใจและมีปัญหาคุกรุ่นภายในกับฝงจิ้งเหยามากขึ้นเรื่อยๆ เรื่องแรกก็คือหลูเชาเผิง เพื่อนเก่าของสี่เหวินเฉียงคนหนึ่งที่เคยต่อสู้ร่วมอุดมการณ์รักชาติมาด้วยกันสมัยเป็นนักศึกษา เขามาทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ในเซี่ยงไฮ้ หลูเชาเผิงเป็นคนตรงที่ไม่ยอมก้มหัวให้อิทธิพลและอำนาจเงิน เขาเกาะติดและเขียนบทความโจมตีพฤติกรรมที่เลวร้ายของเฝิงจิ้งเหยา แม้สี่เหวินเฉียงจะพยายามเตือนให้เขาหยุดก็ตาม เรื่องสุดท้ายที่ทำให้ฝงจิ้งเหยาโกรธมากก็คือ เขาเขียนบทความโจมตีสี่เหวินเฉียงและฝงจิ้งเหยาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการล้มบอลที่ทำให้ทีมฟุตบอลญี่ปุ่นชนะทีมฟุตบอลจากอังกฤษได้ ทำให้ฝงจิ้งเหยาส่งคนไปสังหารหลูเชาเผยเสียชีวิต

ปัญหาต่อมาก็คือสหรัฐอเมริกาไม่ชอบใจประวัติที่อื้อฉาวของฝงจิ้งเหยา จึงขัดขวางไม่ให้ฝงจิ้งเหยาได้รับเลือกเป็นประธานคนจีนในเขตเช่ารวม ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ฝงจิ้งเหยาต้องการมาก ฝงจิ้งเหยาจึงต้องสานสัมพันธ์กับฝ่ายญี่ปุ่นซึ่งกำลังต้องการเข้ามามีอิทธิพลในเซี่ยงไฮ้มากขึ้น และมีเป้าหมายไกลไปถึงขนาดต้องการยึดครองประเทศจีนทั้งประเทศ

ฝงจิ้งเหยาสร้างความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นทั้งทางการค้า และการประสานอิทธิพลเข้าด้วยกันโดยมีข้อแลกเปลี่ยนสำคัญคือให้ญี่ปุ่นช่วยสนับสนุนตนให้ได้ตำแหน่งประธานคนจีนในเขตเช่ารวม ซึ่งสหรัฐอเมริกาขัดขวางเขาอยู่ ประเด็นขัดใจครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อสายลับญี่ปุ่นที่มาเจรจางานกับสี่เหวินเฉียงถูกชาวจีนผู้รักชาติจากสำนักจิงอู่บุกสังหารแต่พลาดท่า ทำให้ญี่ปุ่นชักปืนจะยิงคนจีนผู้รักชาติคนนั้น สี่เหวินเฉียงจึงต้องลงมือช่วยคนจีนคนนั้นทำให้พวกญี่ปุ่นโกรธมาก เมื่อฝงจิ้งเหยาถามว่าทำไมถึงทำโง่ๆแบบนั้น เขาตอบว่า “ผมทนเห็นญี่ปุ่นฆ่าคนจีนตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้”

เรื่องสำคัญที่สุดที่ทำให้สี่เหวินเฉียงทนไม่ได้อีกต่อไป ทั้งที่กำลังใกล้ถึงวันแต่งงานระหว่างเขากับฉิงฉิงแล้วก็ตาม คือการที่ฝงจิ้งเหยาสบคมกับญี่ปุ่นลักลอบนำอาวุธสงครามเข้ามาในประเทศจีน สี่เหวินเฉียงรู้ดีว่าอาวุธสงครามเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ฆ่าชาวจีนผู้รักชาติในพื้นที่ต่างๆที่ญี่ปุ่นกำลังขยายอิทธิพลรุกรานจีนอยู่ และที่สำคัญก็คืออาวุธล็อตแรกที่นำเข้ามานี้จะถูกนำไปใช้ฆ่าผู้คนในสำนักมวยจิงอู่ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้รักชาติที่ทำการต่อสู้กับอิทธิพลของญี่ปุ่นที่แทรกซึมเข้ามาในเซี่ยงไฮ้มาโดยตลอด สี่เหวินเฉียงแอบประสานงานกับเฉินฮั่นหลินซึงเป็นตำรวจสันติบาลในขณะนั้นให้หาทางจัดการกับอาวุธสงครามเหล่านั้นเสีย ซึ่งเฉินฮั่นหลินได้แอบเข้าไปเก็บอาวุธเหล่านั้นไปหมดแล้ว แต่เนื่องจากเขายังต้องการกวาดล้างแก็งค์มังกรฟ้า (องค์กรลับของญี่ปุ่น) ไปด้วยพร้อมกัน จึงบอกให้สำนักจิงอู่นำคนเข้ามาล้อมทำร้ายพวกญี่ปุ่นโดยไม่ทราบว่าสี่เหวินเฉียงก็อยู่ที่นั่นด้วย ผลการปะทะคือพวกญี่ปุ่นเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคุณนายทากาดามิหรือ (ซากายูริ ผู้นำคนสำคัญคนหนึ่งของแก็งค์มังกรฟ้าและยอดมือสังหารของญี่ปุ่นซึ่งได้ฆ่าคนจีนผู้รักชาติไปแล้วเป็นจำนวนมาก) เรื่องนี้ทำให้ฝงจิ้งเหยาและญี่ปุ่นโกรธมาก ฝงจิ้งเหยาสั่งการให้ฆ่าสี่เหวินเฉียงทันที

สี่เหวินเฉียงได้รับบาดเจ็บและหนีไปซ่อนตัวที่สลัมบ้านเดิมของติงลี่ ติงลี่ตามไปแต่ไม่ฆ่าสี่เหวินเฉียงเขาเพียงตัดนิ้วก้อยไปให้ฝงจิ้งเหยา และยังให้เงินติดกระเป๋าและตั๋วรถไฟหนีออกจากเซี่ยงให้สี่เหวินเฉียงด้วย ฝงจิ้งเหยาโกรธติงลี่มากแต่ก็ไม่ฆ่าเขาเพราะยังเห็นความจำเป็นและประโยชน์ของติงลี่อยู่
ที่ฮ่องกงสี่เหวินเฉียงได้พบกับอาตี้และครอบครัว สี่เหวินเฉียงมองไม่เห็นอนาคตที่จะได้กลับไปเซี่ยงไฮ้อีก และพร้อมกันนั้นก็ตัดสินใจและต้องการจะใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบสมถะที่ฮ่องกง เขาจึงแต่งงานกับอาตี้ผู้หญิงพื้นบ้านที่น่ารักและมีอุปนิสัยดีงามที่พบที่นั่น ฉิงฉิง ไม่เชื่อว่าสี่เหวินเฉียงเสียชีวิตแล้วจนกระทั่งเดินทางไปฮ่องกงและพบว่าสี่เหวินเฉียงยังไม่ตายและได้แต่งงานแล้ว เธอพยายามตัดใจจากเขา แต่ก็ยังไม่สามารถรับรักจากติงลี่ที่แอบหลงรักเธอมานานแล้วได้อยู่ดี

อย่างไรก็ตามฝงจิ้งเหยายังคงอาฆาตสี่หวินเฉียงอยู่ และส่งมือปืนรับจ้างบุกไปฆ่าสี่เหวินเฉียงซึ่งเผอิญไม่อยู่บ้าน พวกมือปีนฆ่าอาตี้ น้องชายและ พ่อของอาตี้ตายอย่างทารุณ ทำให้สี่เหวินเฉียงเสียใจมากอีกครั้งหนึ่ง ทั้งๆที่เขาต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแล้วแต่ฝงจิ้งเหยาก็ยังตามมาทำร้ายเขาอีก เขาตั้งปฏิญาณว่า เขาจะต้องล้างแค้นฝงจิ้งเหยาให้ได้

ในช่วงเวลานั้นมีผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งจากปักกิ่งคือ เนี๊ยเหยินหวัง ต้องการเข้ามายึดครองพื้นที่ในเซี่ยงไฮ้แข่งกับฝงจิ้งเหยา คนคนนี้มีกองทัพจีนหนุนหลังและอ้างอุดมการณ์รักชาติบังหน้า แต่จิตใจจริงแท้ก็ไม่ได้ต่างจากฝงจิ้งเหยา สี่เหวินเฉียงจึงได้โอกาสกลับมาเซี่ยงไฮ้อีกครั้งโดยมาทำงานให้กับเนี๊ยเหยินหวัง ด้วยความที่สี่เหวินเฉียงรู้จุดอ่อนในกิจการของฝงจิ้งเหยาและกลไกการทำงานของฝงจิ้งเหยาเป็นอย่างดี เขาจึงสามารถช่วยเนี๊ยเหยินหวังค่อยๆทำลายกิจการค้า และอิทธิพลของฝงจิ้งเหยาให้ลดน้อยถอยลงเรื่อยๆได้

ติงลี่พยายามสร้างความสัมพันธ์กับฉิงฉิง เอาอกเอาใจดูแลนางอย่างดีที่สุด แล้วโอกาสของเขาก็มาถึงเมื่อพวกของเนี๊ยเหยินหวังวางแผนสังหารฝงจิ้งเหยา แต่กลับเป็นติงลี่และฉิงฉิงอยู่ในรถ ติงลี่ต่อสู้ปกป้องฉิงฉิงจนตัวเองได้รับบาดเจ็บเกือบเอาชีวิตไม่รอด ก่อนเขาจะเข้าสู่ห้องผ่าตัดนั้นเขาขอฉิงฉิงว่าถ้าเขาไม่ตายขอให้ฉิงฉิงยอมแต่งงานกับเขา ซึ่งฉิงฉิงรับปากเขาด้วยความสงสาร

แม้ว่าฉิงฉิงจะแต่งงานกับติงลี่แล้ว  แต่ในใจลึกๆนางก็ยังลืมสี่เหวินเฉียงไม่ได้ ในขณะเดียวกันติงลี่เองก็ไม่พอใจที่ได้พบความจริงข้อนี้  แต่แทนที่เขาจะใจเย็นๆค่อยๆปรับความเข้าใจกันเขากลับแสดงอาการหึงหวงและพูดจารุนแรงแสดงอาการไม่สุภาพกับฉิงฉิงอยู่บ่อยๆ  ดังนั้นขณะที่ฉิงฉิงเองพยายามทำใจและพยายามปฏิบัติต่อติงลี่ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อพบกับพฤติกรรมหึงหวงก้าวร้าวเกินเหตุเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงทำให้เธอเลิกคิดที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสกับสามี   ในที่สุดทั้งสองคนก็แยกกันอยู่และไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางเพศต่อกันเลย เพียงเป็นสามีภรรยาในนามเท่านั้น

ด้วยอำนาจอิทธิพลที่เนี๊ยเหยินหวังมีอยู่ร่วมกับแผนการต่างๆของสี่เหวินเฉียงซึ่งรู้ข้อมูลภายในทางธุรกิจของฝงจิ้งเหยาเป็นอย่างดี พวกเขาสามารถสลายอิทธิพลบารมีของฝงจิ้งเหยาลงได้เรื่อยๆ   ทางด้านการเมืองและภาพพจน์พวกเขาก็สามารถปลุกปั่นบรรดานิสิตนักศึกษา  และสหภาพแรงงานต่างๆให้ออกมาเดินขบวนต่อต้านและประจานว่าฝงจิ้งเหยาเป็นคนขายชาติ เป็นสุนัขรับใช้ญี่ปุ่นเข่นฆ่าคนจีน   ออกข่าวและบทความทางหนังสือพิมพ์เปิดโปงพฤติกรรมมาเฟียผิดกฎหมายต่างๆของฝงจิ้งเหยา  ด้านการเงินก็ปล่อยข่าวทำลายความเชื่อถือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ของฝงจิ้งเหยาและประสานกับธนาคารต่างๆ      ไม่ให้ปล่อยสินเชื่อให้ฝงจิ้งเหยา  ที่สำคัญคือพยายามบีบคั้นให้ฝงจิ้งเหยาลงมือใช้กำลังบุกสังหารเนี๊ยเหยินหวัง  ซึ่งติงลี่คัดค้านไม่เห็นด้วย แต่ฝงจิ้งเหยาก็ยังคงดำเนินการ  ซึ่งแน่นอนมีการวางแผนตั้งรับไว้แล้วเป็นอย่างดี  การลอบสังหารครั้งนี้เป็นการบุกสังหารในงานเลี้ยงระดับนานาชาติซึ่งทำไม่สำเร็จและมีพยานหลักฐานโยงไปถึงฝงจิ้งเหยา   ทำให้ฝรั่งเศสเนรเทศฝงจิ้งเหยาออกจากเขตเช่าฝรั่งเศสและเป็นการสิ้นสุดความรุ่งโรจน์ในชีวิตของฝงจิ้งเหยา

ในสภาพการหมดสิ้นอำนาจและอิทธิพลของฝงจิ้งเหยานั้น ติงลี่ก็แสดงตัวตนจริงๆของเขาที่ซ่อนอยู่โดยไม่มีใครรู้เลยว่าเขาเหนือชั้นกว่าที่ทุกๆคนคิดไว้มากนัก แม่เขา สี่เหวินเฉียง ฝงจิ้งเหยา ผู้คนรอบกายเขา ล้วนมีความเห็นว่าเขาเป็นคนบุ่มบ่ามทำอะไรไม่ค่อยยั้งคิด มักชอบใช่แต่กำลัง ไม่ฉลาดนัก คนที่รักเขาโดยเฉพาะแม่เขาและสี่เหวินเฉียงถึงกับกังวลว่าเขาจะดูแลชีวิตตัวเองต่อไปให้ดีได้อย่างไร? แต่เมื่อถึงเวลาที่ฝงจิ้งเหยาหมดสภาพลงและเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมแล้ว ติงลี่ก็แสดงตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมา เขาลอบยักยอกเงินทองทรัพย์สมบัติ โฉนดที่ดินต่างๆของฝงจิ้งเหยาเอาไว้เป็นของเขาเองจำนวนมาก รวมทั้งสร้างเครือข่ายขุมกำลังของตัวเองเอาไว้ด้วย แต่ฝงจิ้งเหยาก็ไม่ทำอะไรติงลี่เพราะไม่อยากให้ลูกสาวเขาเป็นหม้าย นอกจากนี้เขายังขอให้ฝงจิ้งเหยาเซ็นมอบอำนาจการบริหารกิจการทั้งหมดให้เขาด้วยซึ่งฝงจิ้งเหยาไม่ยอมเพราะต้องการให้ติงลี่ถอนตัวออกจากวงการนักเลงเพื่อให้สามารถดูแลลูกสาวของเขาให้มีความสุข

นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่เมื่อสี่เหวินเฉียงมาขอให้เขาเปิดโอกาสให้สี่เหวินเฉียงเข้าถึงตัวฝงจิ้งเหยาได้ เขาจึงเปิดโอกาสด้วยการวางแผนให้สี่เหวินเฉียงมีโอกาสเข้าถึงตัวฝงจิ้งเหยาได้ โดยเขาให้โอกาสทั้งสองคนดวลปืนกันด้วยเกมรัสเซี่ยนรูเล็ต ซึ่งทำให้สี่เหวินเฉียงสามารถสังหารฝงจิ้งเหยาล้างแค้นให้ครอบครัวของเขาได้  หลังจากที่สี่เหวินเฉียงฆ่าฝงจิ้งเหยาล้างแค้นได้สำเร็จแล้ว เขากลับควบคุมจิตใจตัวเองไม่ได้และกลับไปตามง้อฉิงฉิงอีก ซึงแน่นอนฉิงฉิงไม่ยอมกลับมาคืนดีกับเขาอีกและตัดสินใจเดินทางไปฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามฉิงฉิงยังคงให้เขาไปส่งเธอที่สโมสรละครและยังคงเก็บหนังสือที่มีรูปถ่ายคู่ของทั้งสองคนไว้นำติดตัวไปฝรั่งเศส ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ในเวลาต่อมาให้สี่เหวินเฉียงตัดสินใจตามฉิงฉิงไปฝรั่งเศสก่อนที่เขาจะถูกยิงเสียชีวิตในที่สุด

เมื่อกำจัดฝงจิ้งเหยาแล้วเนี๊ยเหยินหวังก็ไม่เห็นประโยชน์ของ สหภาพแรงงานต่างๆ และพรรคจิงอู่ อีกต่อไป เขาตระบัดคำมั่นสัญญาต่างๆที่เคยให้ไว้กับคนเหล่านี้จนหมดสิ้น ทำการกวาดล้างเข่นฆ่าผู้นำสหภาพแรงงานต่างๆ พรรคจิงอู่ และจะกำจัดสี่เหวินเฉียงเป็นคนต่อไปหลังจากที่ใช้สี่เหวินเฉียงกำจัดติงลี่ลงได้แล้ว ในขณะนั้นเป็นช่วงที่เกิดสุญญากาศขึ้นในเซี่ยงไฮ้จากการล่มสลายของฝงจิ้งเหยาซึ่งเนี๊ยเหยินหวังกำลังก้าวขึ้นมาแทนที่ สี่เหวินเฉียงกับติงลี่จึงได้ตกลงร่วมมือกันสู้กับเนี๊ยเหยินหวังและสามารถสังหารเนี๊ยเหยินหวังได้แต่ก็เป็นสาเหตุให้ฟางเยี่ยนเหวินเสียชีวิต

ภายหลังจากการเสียชีวิตของฝงจิ้งเหยา ฉิงฉิงก็เดินทางไปฝรั่งเศส สี่เหวินเฉียงร่วมกับติงลี่เข้าครองอำนาจในเซี่ยงไฮ้แทนฝงจิ้งเหยาทั้งหมด ติงลี่ได้เป็นประธานคนจีนในเขตเช่ารวมแทนฝงจิ้งเหยา สถานการณ์ในเซี่ยงไฮ้สงบเงียบมาก สี่เหวินเฉียงไม่ต้องการอยู่เซี่ยงไฮ้ต่อไปเพราะเขาคิดจะตามไปง้อฉิงฉิงที่ฝรั่งเศสและเขาคิดว่าถ้าอยู่เซี่ยงไฮ้ต่อไปนานๆอาจเกิดปัญหากับติงลี่ก็ได้เพราะว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ วันสุดท้ายก่อนไปจากเซี่ยงไฮ้เขาไปกินมื้อค่ำฉลองกับติงลี่และบอกติงลี่ว่าเขากำลังจะไปจากเซี่ยงไฮ้แต่ไม่บอกว่าจะไปไหน เมื่อเขาเดินพ้นประตูไนท์คลับออกมา ก็ถูกกลุ่มคนร้ายบนรถเก๋งที่จอดรออยู่วิ่งผ่านมาใกล้และรัวยิงด้วยอาวุธสงครามใส่สี่เหวินเฉียงจนล้มลงและสิ้นใจในวงแขนของติงลี่ที่ตามออกมา ก่อนตายเขาจึงค่อยบอกติงลี่ว่าเขากำลังจะไปฝรั่งเศส

เรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ปี 1980 นี้ สร้างโดย TVB ฮ่องกง นำแสดงโดย โจวเหวินฟะ,หลี่เหลียงเหว่ย,เจ้าหย่าจือ,โอวหยางเพ่ยซัน  เรื่องนี้เป็นซีรี่ย์มหากาพย์ 3 ภาค เฉพาะภาคแรกถูกนำกลับมาสร้างใหม่หลายเวอร์ชั่น อาทิเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้หักเหลี่ยมมังกร ปี 2007  พล็อตเรื่องได้รับแรงบันดาลใจจาก ภ.เรื่อง The God Father  แต่เนื้อหาไม่เหมือนกันซะทีเดียว มีการปรับแต่งให้เหมาะสมกับสภาพสังคมเซี่ยงไฮ้และชาวจีน แต่เนื้อหาเข้มข้น หักเหลี่ยม เฉือนคม และมีหักมุม ชิงรักหักสวาท ถือว่าครบรส ผู้เขียนยอมรับว่าเป็นซีรี่ย์ที่ดีที่สุดของฮ่องกงเรื่องนึงเลยทีเดียว มีความสมบูรณ์ทุกด้าน ทั้งการแสดง บท ประเด็นข้อคิดที่ได้จากเรื่อง จนทุกวันนี้หนังแนวเจ้าพ่อนี้ ยังหาเรื่องใดเทียบเคียงเรื่องนี้ยังไม่ได้เลย ยกให้เป็นซีรี่ย์ในดวงใจเรืองนึง ในโอกาสนี้ช่อง ACT Channel ทางเคเบิลทีวี ได้นำกลับมาฉายใหม่ จึงน่าติดตามมากๆ และถ้าเป็นในรูปแบบ DVD ลิขสิทธิ์ เห็นมีวางขายในร้าน J-Bics , Shibuya ด้วย ผู้อ่านสามารถหาซื้อมาดูหรือ Loadbit ก็ได้ ในยูทูปก็น่าจะมี ขอจบด้วยเพลงนำประกอบ ภ.ซีรี่ย์เรื่องนี้ที่โด่งดัง