มีคำถามมากมาย
ที่เกิดขึ้นกับแฟนคลับ หรือติ่งนิยายกำลังภายใน มีการพูดคุยกันถึงประเด็นที่ว่า
เหตุใด นิยายกำลังภายในชุด “กระบี่ไร้เทียมทาน” จึงไม่ถูกนำมารีเมก หรือสร้างใหม่
เหมือนกับนิยายชื่อดังอื่นๆ อาทิ มังกรหยก ดาบมังกรหยก 8 เทพอสูรมังกรฟ้า กระบี่เย้ยยุทธจักร
ชอลิ้วเฮี้ยง ฯลฯ
เคยมีข่าวว่าไต้หวันนำไปสร้างในเวอร์ชั่นที่เปลี่ยนแปลงเนื้อหาจากฉบับของ RTV
ค่อนข้างมาก รวมทั้งตัวแสดง ทำให้ไม่ได้รับความนิยม อีกทั้ง เมื่อช่วงปี
2556 หรือปี 2013 เคยมีข่าวว่า
ทีมงานของ ATV คิดจะรีเมกซีรีส์ชุดนี้ให้กลับมาโด่งดังอีกครั้ง
โดยจะให้ลูกชายของฉีเส้าเฉียนที่ชื่อ เอ็ดเวิร์ด ฉี มาเล่นในบท ฮุ้นปวยเอี๊ยง
ที่พ่อของตนเคยแสดงไว้จนโด่งดัง แต่เป็นอันต้องพับโปรเจ็คท์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เนื่องจากทางการฮ่องกงไม่ต่อใบอนุญาตให้กับสถานีโทรทัศน์ ATV ทำให้สถานีโทรทัศน์แห่งนี้ต้องปิดตัวเองไป เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2558 หรือสิ้นสุดการออกอากาศถึงปี 2015 เท่านั้น ปิดฉากสถานีโทรทัศน์ที่เก่าแก่ ช่องแรกของฮ่องกง
ออกอากาศอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1957 เปลี่ยนเป็นฟรีทีวีมาตั้งแต่ปี
1982 (และปีนั้นก็เปลี่ยนชื่อจาก RTV มาเป็น
ATV ด้วย)
พอโปรเจ็คท์พับไป
ก็ไม่มีข่าวว่าซีรีส์ชุดนี้จะถูกใครซื้อลิขสิทธิ์ไปสร้างต่อ
เนื่องจากลิขสิทธิ์เป็นของ ATV ส่วนอึ้งเอ็ง
เจ้าของบทประพันธ์ไม่ใช่ผู้ถือลิขสิทธิ์ในฉบับทีวี แต่ยังถือลิขสิทธิ์ในฉบับนิยายต่อไป
(และได้เสียชีวิตไปแล้ว) แต่ว่าฉบับทีวี
มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาจากบทประพันธ์ไปเยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะตั้งแต่กลางๆ
เรื่องไปจนถึงท้าย จนทำให้อึ้งเอ็งขอถอนตัวจากทีมเขียนบท
และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสร้าง ภ.ชุด Reincarnated (1978)
ตลอดจนถึงภาคต่อจากนิยายชุดนี้ ยอดยุทธจักรมังกรฟ้า Dragon Strike 1979 (เพี้ยนไปจากบทประพันธ์ไปมาก)
ถามว่าเสียดายมั๊ย
แฟนคลับนิยายจีนทั่วโลก บ่นเสียดายกันหมด ที่ไม่มีโอกาสได้เห็นนิยายชุดนี้
ถูกสร้างได้ตรงตามบทประพันธ์ ในเวอร์ชั่นสมบูรณ์ลงตัวที่สุด เคยมีสร้างในฉบับเป็นภาพยนตร์โดยชอว์บราเดอร์
อันนั้นถือว่าใกล้เคียงบทประพันธ์ที่สุดแล้ว
และก็ทีมนักแสดงก็เป็นชุดเดียวกับเวอร์ชั่นทีวีของ RTV ได้แต่ภาวนาว่า
ช่องหูหนานของจีน (ยักษ์ใหญ่ของทีวีจีนแผ่นดินใหญ๋)
จะคิดอยากจะสร้างเรื่องนี้ขึ้นมา
และขอซื้อลิขสิทธิ์นิยายเรืองนี้จากทายาทของอึ้งเอ็ง หรือซื้อลิขสิทธิ์เรื่องนี้จากอดีตผู้บริหาร
ATV มาสร้างให้คนรุ่นหลังได้ดูกัน ก็คงจะน่าสนใจดี
และไม่จำเป็นต้องเอาลูกของฉีเส้าเฉียนมาเล่นก็ได้ ดูแล้วรูปร่างหน้าตา
ไม่ทำให้เชื่อว่าเป็นฮุ้นปวยเอี๊ยงเท่าไหร่
เอ็ดเวิร์ด ฉี ลูกชายของฉีเส้าเฉียน |
เกร็ดความรู้
หรือข้อคิดที่ได้จากนิยาย
“กระบี่ไร้เทียมทาน”
หรือที่ได้จากนิยายจีนทั่วไปเกือบทุกเรื่องก็คือ
-สำนักเทพ
หรือสำนักคุณธรรม เน้นภาพพจน์ ชื่อเสียง หน้าตา โดยคนที่เป็นผู้นำหรือเจ้าสำนัก
จะต้องวางมาด วางฟอร์มเป็นคนดี ให้สมกับที่ชาวยุทธยกย่อง แม้เบื้องหลัง
ภูมิหลังจะเคยทำผิดคิดชั่ว (ไปแอบเป็นชู้กับคนอื่น,มีลูกติด
ที่ไม่สามารถเปิดเผยหรือรับเป็นศิษย์ของสำนักได้ เพราะเกรงว่าความลับจะแตก
หรือถูกแฉ หรือผิดกฎสำนัก ไม่สามารถเป็นเจ้าสำนักได้) ในกรณีของเรื่องนี้ เจ้าสำนักแชซ้ง
ซึ่งเป็นเจ้าสำนักบู๊ตึ๊ง ทำผิดกฎสำนักด้วยการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง
และมีลูกด้วยกันถึง 2 คนก็คือ ฮุ้นปวยเอี๊ยง
ที่ตนเองเก็บมาเลี้ยงไว้ในโรงครัวของสำนัก กับต๊กโกวหงส์
ซึ่งเป็นธิดาที่เกิดกับตนเองกับซิมเม่งกุน
แต่ซิมเม่งกุนแต่งงานไปอยู่กินกับต๊กโกวบ้อเต๊ก ทำให้ทุกคนเข้าใจผิดคิดว่า
ต๊กโกวหงส์เป็นธิดาของต๊กโกวบ้อเต๊ก ตามกฎของสำนักบู๊ตึ๊ง ซึ่งเป็นสำนักนักพรตเก่าแก่นับถือลัทธิเต๋า
(คล้ายเส้าหลิน,ง่อไบ๊,คุนลุ้น,คงท้ง) ผู้ที่ก้าวขึ้นเป็นศิษย์เอกต้องถือศีลบวช
คล้ายๆ นักบวช จึงมีกฎข้อห้าม ว่าห้ามแต่งงาน ห้ามมีเพศสัมพันธ์
และยิ่งหากจะก้าวขึ้นเป็น หน.สำนัก ทุกอย่างต้องทำตามกฎของสำนักอย่างเคร่งครัด
ประวัติภูมิหลังจะต้องดี
แต่ก็แปลก
เหมือนเป็นสัจธรรมของยุทธภพ หรือสัจธรรมของโลกก็ไม่รู้ คนดีมากๆ มักไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโต
หรือเป็นเจ้าสำนักหรอก ก็ดูอย่างแชซ้ง มาเป็นโป่วเง็กจือ
ก็ล้วนแต่มีภูมิหลังที่ไม่สะอาดซักคน ล้วนเป็นคนสีเทาๆ
แต่ทำตัวหรือวางภาพพจน์ให้คนอื่นมองว่าตนเป็นคนดีเสมอ หรือในเรื่องอื่นๆ
อย่างในเรื่อง มังกรหยก ภาคจอมยุทธ์ยิงอินทรี เอี้ยก้วย
ก็มีชะตากรรมเดียวกับฮุ้นปวยเอี๊ยง อยู่ในสำนักช่วนจินก่า ก็ถูกศิษย์พี่แต่ละคนดีๆ
ทั้งนั้น กลั่นแกล้ง จนอยู่ไม่ได้ ส่วนหน.สำนักก็มัวแต่ง่วนอยู่กับอำนาจของตน
ศักดิ์ศรีของสำนัก และการจำศีลถือศีลของตน โดยไม่ใส่ใจปัญหาภายในของสำนัก
ปล่อยให้ศิษย์ไม่ดีที่สร้างภาพว่าดีปกครองสำนัก และกดขี่ศิษย์ในสำนักคนอื่นๆ
ในลักษณะกดหัว ให้ซูฮกเป็นพวก กรณีอย่างศิษย์หัวดื้อและฉลาดอย่างเอี้ยก้วย
ไม่ยอมเล่นอยู่ในเกมอำนาจของศิษย์พี่ในสำนักช่วนจินก่าและบรรดาอาจารย์อา
คนใหญ่คนโตในสำนักก็เล่นเกมอำนาจด้วย ทำให้สุดท้ายเอี้ยก้วย ก็ขอเป็นศิษย์เนรคุณ
ลาออกจากสำนักไปเป็นศิษย์ของเซียวเหล่งนึ่ง แห่งสำนักสุสานโบราณแทน
ศิษย์คนใดกระทำความผิด
ให้เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของสำนัก จะถูกลงโทษ หรือถูกขับจากการเป็นศิษย์สำนักทันที
แม้ว่าจะเคยทำคุณงามความดีมามากเพียงใด ก็ไม่สน และบางทีก็ไม่มีกระบวนการในการสืบสวน
ให้ความยุติธรรมแก่จำเลย ถูกปรักปรำด้วยพยานหลักฐานง่ายๆ ก็หลงเชื่อกันทั้งสำนัก
ทั้งหัวหงอกหัวแก่ กรณีของฮุ้นปวยเอี๊ยงถูกปรักปรำว่าฆ่าแชซ้ง อาจารย์/เจ้าสำนัก หรือกรณีของเอี้ยก้วย
ถูกกล่าวหาว่ามีเพศสัมพันธ์กับอาจารย์หญิง อย่างเซียวเหล่งนึ่ง ทั้งๆ
ที่เป็นกระบวนการฝึกวิชาสาวหยก ที่ชายหญิงจะต้องมีการถ่ายทอดพลังให้แก่กัน
และภายในร่างกายจะร้อนผ่าว ด้วยอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น
กำหนดไม่ให้สวมใส่อาภรณ์ใดๆ ในช่วงที่มีการถ่ายทอดพลัง
แม้จะฝึกวิชานี้กันในที่ลับปลอดภัยแล้ว แต่ศิษย์ชั่วของช่วนจินก่า ก็มาเห็นเข้า
จากเดิมที่มีอคติต่อเอี้ยก้วยอยู่แล้ว จึงยิ่งเข้าใจผิดหนักขึ้น
หาว่าเอี้ยก้วยกับเซียวเหล่งนึ่ง(ซึ่งมีศักดิ์เป็นศิษย์กับอาจารย์)
มีเพศสัมพันธ์กัน และในยุทธจักรนิยายจีนทั้งหลายก็จะไม่มีการสอบสวนทวนความใดๆ
ทั้งสิ้น จะมีการตั้งข้อหาและตัดสินไปโดย ประจักษ์พยานที่เห็นตรงหน้า
ก็หลงเชื่อและปรักปรำไปแล้วว่าคนๆ นั้นกระทำผิด คนในสำนักหรือสังคมนั้นๆ
ก็ไม่มีใครมีสติปัญญาที่จะ คิดย้อนแย้ง นอกกรอบ หรือตั้งข้อสังเกตอะไร
ที่จะคัดง้าง คัดค้านความเชื่อผิดๆ เหล่านั้น
(ผู้อ่านอาจจะเถียงในประเด็นนี้หรือเห็นแย้งก็เป็นได้
ก็เอี้ยก้วยกับเซียวเหล่งนึ่ง ภายหลังก็มาเป็นคู่ผัวตัวเมียกันจริงๆ ไม่ใช่เหรอ
แล้วใยจึงมาเถียงว่าไม่ผิด ผู้เขียนก็ขอบอกว่า ก็ ณ ขณะนั้น
ที่เขากำลังฝึกวิชากันอยู่ แล้วมีคนมาเห็น เขายังไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กันนี่
เขาแค่ฝึกวิชากันอยู่ สถานะความเป็นศิษย์อาจารย์จึงยังถือว่ายังถูกต้องอยู่ ณ ขณะนั้น
ต้องถือว่าเขายังเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้กระทำผิดศีลธรรม แต่ถูกปรักปรำไปก่อนแล้ว ในช่วงเวลานั้น
และมันก็โจษขานกันไปทั่วยุทธภพ แล้วในเวลาต่อมาเซียวเหล่งนึ่งถูกอาวเอี๊ยงฮง
(บิดาบุญธรรมของเอี้ยก้วย) จี้จุด และอื้อจื่อเพ้ง ศิษย์ชั่วของช่วนจินก่า
(ทีแอบชอบเซียวเหล่งนึ่งมานานแล้ว) นำผ้ามาปิดตา และข่มขืนเซียวเหล่งนึ่ง
ทำให้เซียวเหล่งนึ่งเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเอี้ยก้วย แต่ภายหลังผ่านมาหลายปี
จึงล่วงรู้ความจริงว่าเอี้ยก้วย ไม่ได้ล่วงล้ำกระทำการข่มขืนหรืออนาจาร
เซียวเหล่งนึ่ง ซึ่งตนนับถือเป็นอาจารย์มาก่อนเลย
เป็นการสวมรอยของอื้อจื่อเพ้งนั่นเอง (อุ้ย! พูดเรื่องกระบี่ไร้เทียมทาน
แต่ไฉนจึงลากยาวมาถึงมังกรหยกได้เนี่ย ขออภัย มันเกี่ยวโยงกันนิดหน่อย
เพื่อให้เห็นตรรกะ อะไรบางอย่างที่คล้ายกันของนิยายจีน)
-สำนักพรรคมาร
มีอยู่จริง ทั้งในโลกนิยายจีน หรือในโลกความเป็นจริงของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย
เพราะขึ้นชื่อว่า หลงติดกับอยู่ในเกมแห่งอำนาจ หรืออยู่ในโลกของการปกครองแล้ว
ขึ้นไม่มีทางจะหนีพ้น กับดักของคนชั่ว คนดีที่ดีเกินไป
หรือคนดีที่ไม่มีเขี้ยวเล็บอะไรเลย หรือเป็นคนดีชนิดตรงเป็นเส้นไม้บรรทัดนั้น
จะตกเป็นเหยื่ออันโอชะของคนชั่วเสมอ (ข้อนี้จะต้องให้ยกตัวอย่างมั๊ย คิดว่าผู้อ่านก็พอจะเห็นภาพในสมอง
ทั้งจากในนิยายหรือโลกแห่งความเป็นจริง) สัจธรรมของยุทธภพก็คือ
คนเลวน้อยก็จะเป็นสุนัขรองบ่อนของคนเลวที่เก่งกว่า ฉลาดกว่า หรือมีอำนาจกว่าเสมอ
หรือพูดอีกนัยหนึ่ง จะต้องมีคนที่ชั่วและเลวกว่าคนเก่าเสมอ จึงจะขึ้นมาปกครองคนเลวคนก่อนได้
ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เช่น ทาง ดีเอ็นเอ ก็คือสืบทอดตามชาติพันธุ์ เช่น
พ่อหรืออาจารย์เป็นเจ้าสำนัก ลูกหรือศิษย์ก็จะเจริญรอยตามความชั่วนั้น
ด้วยการก้าวขึ้นเป็นหน.สำนักคนต่อไป และคนชั่วที่ชั่วแบบโบราณ คือชั่วแบบไม่มีชั้นเชิง
ไหวพริบ เป็นพวกใช้กำลังมากกว่าสมอง
ก็จะตกเป็นคนที่พ่ายแพ้หรือเป็นเหยื่อของคนชั่วที่มีชั้นเชิง ไหวพริบ
หรือสมองมากกว่า ในเรื่อง “กระบี่ไร้เทียมทาน”
เหนือกว่าพรรคบ้อเต๊ก ยังมีพวกจอมมารแห่งหุบเขาสุขสันต์ หรือโป่วเง็กจือ
และเหนือกว่าพวกจอมมารหุบเขาสุขสันต์กับโป่วเง็กจือ ก็คือจอมมารจากแคว้นอุยเกียง
พวกจอมมารขาวดำ และเจ้าหญิงอนัตตา และชั่วกว่าพวกจอมมารแห่งแคว้นอุยเกียงยังมี มารชมพู
เหนือกว่ามารชมพู ยังมีผู้คุมกฏโคมสีนั้นสีนี้และจอมมารฟ้า มารดิน มารคนแห่งพรรคบัวขาวอีก
(ตัวละครพวกนี้อยู่ในภาค 2 Dragon Strike 1979 ยอดยุทธจักรมังกรฟ้า) ฯลฯ
ไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น
ใครจะดีจะเลวอย่างไร
จะเป็นผู้นำที่ภายนอกแสร้งดี แต่ข้างในมีแผลชนักติดหลัง
หรือเป็นผู้นำที่ภายนอกแสนเลวร้าย ชั่วช้า แต่ภายในอ่อนโยน
แฝงความมีน้ำใจเอื้ออารีต่อคนบางคนที่ตนเองรู้สึกชื่นชอบ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของโลกมนุษย์จัดสรร
พระเจ้าจัดสรรมาให้แล้ว ถ้าที่สุดปกครองได้ คนใต้บังคับบัญชาอยู่ดีกินดี
ก็ไม่เห็นว่าจะต้องมาเรียกร้องหาผู้นำที่แสนดีอะไรให้มันปวดขมองเลย
เพราะมนุษย์โลกล้วนสนใจแต่เรื่องของตัวเองกันทั้งนั้น
ไม่มีใครสนใจว่าผู้นำจะไปสร้างเวรสร้างกรรมอะไรต่อบ้านเมือง
สร้างหายนะต่อยุทธภพหรอก จนเมื่อวันหนึ่งความเดือดร้อนนั้นมา
มากระทบหรือประจักษ์อยู่ต่อหน้าหรือข้างตัวแล้วเท่านั้น
กระบวนการต่อต้านหรือขับไล่ หรือรวมกันของคนดีเพื่อเอาชนะคนชั่ว คนพาล จึงจะเกิดขึ้น
เฉกเช่นโลกของยุทธนิยายกำลังภายในจีน ก็ไม่ต่างกับเรืองของโลกมนุษย์จริงๆ
ในทุกวันนี้เลย แม้แต่น้อย ต่างกันแค่โลกจริง มันแต่งตัวดูภายนอกไม่รู้ว่าเลว
จิตใจของมนุษย์ในโลกจริงมันสลับซับซ้อน มองเห็นได้ยากกว่า
แต่วันหนึ่งก็จะรู้ความจริงขึ้นมาจนได้ว่า อ๋อ ไอ้นี้มึงมันตอแหล มึงโกงทั้งโคตร
มึงมันชั่วยั้นเงา ไอ้นี่มันมาคืนความสุขให้กูเบื้องหน้า
เบื้องหลังมันก็คืนเงินทอนกันด้วยหลังวัด อะไรทำนองนี้ โกยหล่ะโยม อาตมาไปก่อนนะ
เหมือนจะแพ้ แต่ไม่แพ้ :
กระบี่ไร้เทียมทาน
(คัดลอกจากบทความของคุณ พชร สมุทวณิช
ใน MGR online, 11 ธ.ค. 2553)
“กระบี่ไร้เทียมทาน” ถือเป็นหนึ่งในความทรงจำสำหรับเด็กชายที่โตมาเป็นวัยรุ่นในยุค 80 ต้องจดจำซีรีส์ฉายทางทีวีเรื่องนี้ได้
ว่ากันตามจริงแล้ว ผมดูซีรีส์ “กระบี่ไร้เทียมทาน” ที่ “ฉีเส้าเฉียน” แสดงเป็นพระเอก “ฮุ้นปวยเอี้ยง” ตามมาด้วยนางเอกสองคนที่เด่นพอๆ กันอย่าง “เหมียวเข่อซิ่ว” ที่แสดงเป็น “ต๊กโกวหงส์” กับ “หวีอันอัน” ที่แสดงเป็น “โป่วเฮียงกุน” ก่อนที่จะตามอ่านหนังสือนิยายจีนกำลังภายในเรื่องนี้ที่เขียนโดย “อึ้งเอ็ง” ก็ร่วมสิบปีผ่านไป
สารภาพตามตรงว่า “กระบี่ไร้เทียมทาน” ที่เป็นซีรีส์เรื่องยาวทางทีวี มันติดตรึงในความทรงจำของผม จนทำให้เวลาอ่านหนังสือนิยายจีนกำลังภายในเรื่องนี้ อดที่จะนึกภาพตามเป็นตัวละครทางทีวีเสียไม่ได้ ซึ่งตรงนี้ โดยปกติทั่วไปแล้ว ผมจะรู้สึกว่าเป็นการเสียอรรถรสในการอ่าน เวลามีหนังอะไรที่นำหนังสือนิยายมาสร้าง ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติไหนๆ ผมจะพยายามหาทางหาหนังสือมาอ่านก่อน ก็เพราะอยากจะจินตนาการพระเอก นางเอก ตลอดจากบรรยากาศ อารมณ์ความรู้สึกจากตัวหนังสือ ออกมาเป็นเรื่องราวของเราเอง มากกว่าที่จะให้ผู้กำกับหนังมาจัดการให้
แต่สำหรับ “กระบี่ไร้เทียมทาน” การอ่านหนังสือทีหลังดูหนัง ผมกลับรู้สึกว่าสนุกดี เพราะหนังซีรีส์นี้ทำให้สุดยอดมากๆ อ่านหนังสือไป ก็นึกถึงตัวละครและฉากตอนตามหนัง สร้างอารมณ์ความรู้สึกสนุกสนานในการอ่านได้อีกแบบ
จนถึงเดี๋ยวนี้ หากผมจะนึกภาพ “ฮุ้นปวยเอี้ยง” ผมก็จะนึกถึงหน้า “ฉีเส้าเฉียน” แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนตัวละครกลางอากาศหลังจากสำเร็จยอดยุทธไหมฟ้าแล้ว ผมก็บอกตามตรงว่า จำหน้าตาดาราคนที่มาแสดงแทน “ฉีเส้าเฉียน” ไม่ได้จนบัดนี้
ส่วนนางเอกนั้น ผมจำได้ว่าในสมัยนั้น ผมชอบ “หวีอันอัน” มากกว่า “เหมียวเข่อซิ่ว” เพราะภาพลักษณ์ของ “หวีอันอัน” สมัยนั้นจะเป็นใสๆ น่ารักน่าเอ็นดู เด็กวัยรุ่นสมัยนั้นน่าจะชอบสไตล์ของ “หวีอันอัน” มากกว่า หลังจากเวลาผ่านมาร่วมยี่สิบปี ผมกลับมาเห็นรูปของนางเอกทั้งสองคน (จริงๆ สาม ถ้านับรวม “หม่าเหมียนเอ๋อ” ที่แสดงเป็น “ลุ้นอ้วงยี้”) ผมกลับรู้สึกว่า “เหมียวเข่อซิ่ว” สวยกว่า นี่เป็นการยืนยันว่า ความรู้สึกถึงเรื่องความสวยงามต่อสตรีของคนเรานั้นสามารถเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
นอกจากนี้ “ต๊กโกวหงส์” ที่แสดงโดย “เหมียวเข่อซิ่ว” นั้น ว่าไปแล้ว ในบทของหนัง(และในหนังสือ) มีความซับซ้อนและลึกซึ้งกว่า เรียกได้ว่าเป็นบทบาทของตัวละครที่เด่น และต้องอาศัยฝีมือการแสดงที่เหนือชั้นจึงจะสามารถตีบทแตก
ที่ว่ามาทั้งหมดข้างต้นนั้นเป็นสิ่งแรกที่ผมชอบใจกับ “กระบี่ไร้เทียมทาน” ส่วนเรื่องที่สองที่ผมเหมารวมความชอบใจในความทรงจำที่มีต่อ “กระบี่ไร้เทียมทาน” อาจจะนอกเหนือไปจากเนื้อหาเรื่องราวของเรื่องนี้มากไปหน่อย นั่นก็คือ บทเพลงของ “ซีรีส์ทางทีวี” ของ “กระบี่ไร้เทียมทาน” ที่ผมชอบเอามากๆ โดยเฉพาะที่มีการเอามาแปลงเป็นเนื้อร้องภาษาไทยโดยวงดนตรี “PM5” นั้น ผมรู้สึกว่า ถ่ายทอดออกมาได้ตรงตามปรัชญาของเรื่องราว และฟังแล้วสร้างอารมณ์ลึกซึ้งสะเทือนใจ สอนอะไรได้หลายๆ อย่าง สมัยนั้นยังจำได้ว่าผมชอบร้องเพลงนี้เล่น และถึงตอนนี้ก็ยังจำเนื้อร้องได้
เพลงนี้ นอกจากหาฟังได้ทางอินเตอร์เน็ตแล้ว ผมยังดั้นด้นหาแผ่นเสียงของวงดนตรี “PM5” เอาไว้ฟังเพลิน ผมจดเนื้อร้องจากความทรงจำ บวกกับพยายามจะฟังเช็คจากต้นฉบับเอาไว้ได้ดังนี้
สุดขอบฟ้านั้น ใครไม่อาจไปถึง
บนดอยภูเขาสูง เมฆเทียมเฉียดเมฆา
ชะตาชีวิตนั้น มันสูงเหลือคณา ดังทิวาลับไป
ขุนเขาสายเมฆผ่าน ลิ่วลิบลอยผ่านไป
สิงห์เสือเขาพฤกษ์ป่า ดูมากมีเภทภัย
ขอเดินต่อไป ไม่กลัวเกรงชะตา
เหม่อมองแสงจันทร์พราว ยิ่งพาเศร้าใจ
เราไม่เคยหวั่น ขอฟาดฟันฝ่า แม้มากดื่นศัตรู
ใช้คมกระบี่ ชี้ทางองอาจ ขอมุ่งพิฆาตศัตรู
ความหมายของเนื้อร้องภาษาไทยของ “กระบี่ไร้เทียมทาน” ที่แต่งโดย “PM5” นี้ ความหมายดี และลึกซึ้งกินใจ และสอนเราให้เข้าใจชีวิตได้มากนะครับ ยิ่งพออายุมากขึ้น ผมยิ่งรู้สึกชอบเพลงนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และถือเป็นแผ่นเสียงแผ่นโปรดของผมที่หยิบมาฟังบ่อยที่สุดแผ่นหนึ่งเลยทีเดียว
เรื่องที่สามจากการที่ได้อ่านและได้ดู “กระบี่ไร้เทียมทาน” เรื่องนี้ ผมถูกใจกับลีลาของ “โป่วเง็กจือ” ที่ผมจัดเข้ารอบท้ายๆ ของ “วิญญูชนจอมปลอมจากนิยายจีนกำลังภายใน” แม้ไม่ติดสามอันดับแรก แต่ก็เรียกได้ว่า กรรมการอย่างผมก็คิดหนักจนนาทีสุดท้ายหล่ะครับ (สามสุดยอดวิญญูชนจอมปลอมจากนิยายจีนกำลังภายในในดวงใจของผมเป็นใครบ้าง จะเขียนถึงในภายหลัง)
แม้ว่า มีตัวละครร้ายๆ ในเรื่องที่ชั่วแสบสามานย์อย่าง “ต๊กโกวบ้อเต็ก” ที่เป็นหัวหน้าหนึ่งในสามค่ายสามสถาบันที่ตั้งป้อมฆ่าฟันกัน แต่ “ต๊กโกวบ้อเต้ก” ก็ถือว่าโฉดชั่วเพราะโดนกระทำหยามใจก่อนจากเจ้าสำนักบู๊ตึ้ง บิดาของ “ฮุ้นปวยเอี้ยง” เพราะไปแอบกิ๊กกับ “ซิมบ่วงกุน” หรืออีกหนึ่งในสามค่ายที่ถือเป็นตัวร้ายโฉดชั่วอย่าง “เจ้าสำนักสราญรมณ์” ต้นตระกูลของ “โป่วเง็กจือ” กับ “โป่วเฮียงกุน” ก็ยังชั่วเพราะความแค้นที่แค่ไปแอบขโมยสุดยอดวิชาบู๊ตึ้งแต่กลับถูกกักขังทรมานในบึงน้ำเย็นอยู่ร่วมสิบปี
แต่การที่ “โป่วเง็กจือ” ใช้เล่ห์เหลี่ยมเพทุบายหลอกล่อให้สำนักบู๊ตึ้งรับเป็นศิษย์ แล้วทยอยจัดการซือเฮียซือตี๋ตลอดจนซือแป๋ซือเจ็กร่วมสำนัก เพื่อต้องการครอบครองเป็นเจ้าสำนักบู๊ตึ้งนั้น จัดว่าเป็นการสร้างภาพ “วิญญูชนจอมปลอม” ใช้ได้เลยทีเดียว
กลับมาพูดถึงหนังสือนิยายจีนกำลังภายในเรื่องนี้กันบ้าง นิยายจีนกำลังภายในของ “อึ้งเอ็ง” เรื่องนี้ เป็นสไตล์ของเขา ไม่มีปรัชญากินใจ หรือประโยคคมคายอะไรมากมาย แต่ที่กล่าวกันว่า เรื่องนี้เป็นสุดยอดของเขา ก็เพราะนอกจากการเดินเรื่องที่กระชับ ที่บางคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นแนวมาตรฐานธรรมดาของนิยายจีนกำลังภายใน แต่การที่สร้างตัวละครต่างๆ ได้อย่างมีสีสัน นอกจากเหล่าตัวเอกที่ว่าข้างต้นแล้ว ยังมีตัวละครอย่าง “ก้วงตงลิ้ว” แห่งง้อไบ๊ “อี่ชงเทียน” แห่งบู๊ตึ้งที่สำเร็จไหมฟ้าเหมือนกับ “ฮุ้นปวยเอี้ยง” และยังมี “จอมมารดำ-ขาว” ที่ถือเป็นอีกบทบาทที่โดดเด่นมากในซีรีส์ทีวี และยังมีการผูกตำนานของ “บัวหิมะ” ให้ปรากฏในเรื่องนี้อีกต่างหาก ทั้งหมดนี้เป็นความประทับใจเรื่องที่สี่ ที่มีต่อ “กระบี่ไร้เทียมทาน” ของผม
แต่สุดยอดของเรื่อง “กระบี่ไร้เทียมทาน” ของ “อึ้งเอ็ง” เรื่องนี้ที่ผมชอบมากก็คือ การเดินเรื่องแนวบู๊เฮียบอยู่ดีๆ มาตอนท้ายเรื่อง “อึ้งเอ็ง” สามารถสร้างบรรยากาศแนวดราม่าออกมาได้สะเทือนใจสุดๆ
ความเป็น “คน” ถูกตีแผ่ออกมาได้อย่างถึงแก่น ซาบซึ้งสะเทือนใจเป็นที่สุด คนคนหนึ่งนั้น ย่อมมีหลายด้านหลากมิติ ผู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าเลิศคุณธรรมใช่ว่าจะไม่มีตำหนิ ความผิดพลาดของคนนั้นสามารถเป็นทั้งบทเรียนที่ให้เราจดจำไม่กระทำผิดซ้ำ ส่วนผู้ที่ตระหนักไม่ได้จะทับถมเป็นความแค้น จนผลร้ายสุดท้ายย่อมตกอยู่กับคนผู้นั้นเอง
เล่าไปหมดแล้วสำหรับความประทับใจสี่เรื่องถึงการอ่านหนังสือ “กระบี่ไร้เทียมทาน” ก็มาถึงความประทับใจที่ห้าเรื่องสุดท้าย ขอกล่าวโดยกว้างๆ ถึงโดยรวมของนิยายจีนกำลังภายในสักหน่อย นักอ่านนิยายจีนกำลังภายในทั้งหลาย ไม่รู้ว่าจะคิดเหมือนผมหรือเปล่า ถึงเรื่องวิชาวรยุทธต่างๆ ที่ปรากฏในหน้ากระดาษที่เราอ่านถึงวิถียุทธภพ ผมมองว่า สุดยอดของการสำเร็จวิชาที่ผมได้ผ่านสายตา จะมีข้อสังเกตอันหนึ่งคือ สอนให้เรารู้ถึงพื้นฐานของการก่อร่างสร้างความเป็นตัวตนของบุคคลหนึ่งขึ้นมา นั่นคือ ความสำคัญของการเริ่มต้น
จะสังเกตได้ว่า สุดยอดวิชาในบู๊ลิ้ม ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของเส้าหลิน จนมาที่ “ยอดยุทธไหมฟ้า” ใน “กระบี่ไร้เทียมทาน” นี้ จะสอนให้เรารู้จักถึง “การเริ่มต้นใหม่”
“วิชาไหมฟ้า” มีหลักการอยู่ที่ว่า ย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มแรก เผชิญหน้ากับความตาย จากนั้นฟื้นคืนสู่ชีวิต เหมือนหนอนไหมที่สำรอกใยพันธนาการตัวเอง ก่อนหลุดพ้นกลายเป็นผีเสื้อ
“ยอดยุทธไหมฟ้า” นี้ ต่อให้คร่ำเคร่งฝึกปรือเป็นสิบๆ ปี แต่ยังไม่สามารถเข้าใจในแก่นแกนที่ว่า ให้มีความกล้าเผชิญหน้ากับจุดคับขัน เมื่อพาตัวเองเข้าสู่จุดอับ เมื่อล้มลุกคลุกคลานและเรียนรู้เข้าใจถึงความอับจนหนทางและสัมผัสประสบการแห่ง “ความพ่ายแพ้” ถ่องแท้ลึกซึ้งว่าความพ่ายแพ้นั้นเป็นเช่นไร
จากนั้นมีความเด็ดเดี่ยวที่จะพาตัวเองกลับมาจากหายนะความพ่ายแพ้ กลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่
เมื่อกล้าที่จะรู้จักความพ่ายแพ้ อดทนที่จะเรียนรู้ประสบการณ์ของการล้มลุกคลุกคลาน ไม่ย่นย่อที่จะลุกขึ้นสู้นับหนึ่งใหม่ ก็จะฟื้นคืนสู่ชีวิต และสำเร็จยอดวิชาไหมฟ้า
“กระบี่ไร้เทียนทาน” นิยายจีนกำลังภายในเรื่องนี้ สอนให้เราตระหนักในเรื่องที่ว่า...
เหมือนจะแพ้ แต่ไม่แพ้
ว่ากันตามจริงแล้ว ผมดูซีรีส์ “กระบี่ไร้เทียมทาน” ที่ “ฉีเส้าเฉียน” แสดงเป็นพระเอก “ฮุ้นปวยเอี้ยง” ตามมาด้วยนางเอกสองคนที่เด่นพอๆ กันอย่าง “เหมียวเข่อซิ่ว” ที่แสดงเป็น “ต๊กโกวหงส์” กับ “หวีอันอัน” ที่แสดงเป็น “โป่วเฮียงกุน” ก่อนที่จะตามอ่านหนังสือนิยายจีนกำลังภายในเรื่องนี้ที่เขียนโดย “อึ้งเอ็ง” ก็ร่วมสิบปีผ่านไป
สารภาพตามตรงว่า “กระบี่ไร้เทียมทาน” ที่เป็นซีรีส์เรื่องยาวทางทีวี มันติดตรึงในความทรงจำของผม จนทำให้เวลาอ่านหนังสือนิยายจีนกำลังภายในเรื่องนี้ อดที่จะนึกภาพตามเป็นตัวละครทางทีวีเสียไม่ได้ ซึ่งตรงนี้ โดยปกติทั่วไปแล้ว ผมจะรู้สึกว่าเป็นการเสียอรรถรสในการอ่าน เวลามีหนังอะไรที่นำหนังสือนิยายมาสร้าง ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติไหนๆ ผมจะพยายามหาทางหาหนังสือมาอ่านก่อน ก็เพราะอยากจะจินตนาการพระเอก นางเอก ตลอดจากบรรยากาศ อารมณ์ความรู้สึกจากตัวหนังสือ ออกมาเป็นเรื่องราวของเราเอง มากกว่าที่จะให้ผู้กำกับหนังมาจัดการให้
แต่สำหรับ “กระบี่ไร้เทียมทาน” การอ่านหนังสือทีหลังดูหนัง ผมกลับรู้สึกว่าสนุกดี เพราะหนังซีรีส์นี้ทำให้สุดยอดมากๆ อ่านหนังสือไป ก็นึกถึงตัวละครและฉากตอนตามหนัง สร้างอารมณ์ความรู้สึกสนุกสนานในการอ่านได้อีกแบบ
จนถึงเดี๋ยวนี้ หากผมจะนึกภาพ “ฮุ้นปวยเอี้ยง” ผมก็จะนึกถึงหน้า “ฉีเส้าเฉียน” แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนตัวละครกลางอากาศหลังจากสำเร็จยอดยุทธไหมฟ้าแล้ว ผมก็บอกตามตรงว่า จำหน้าตาดาราคนที่มาแสดงแทน “ฉีเส้าเฉียน” ไม่ได้จนบัดนี้
ส่วนนางเอกนั้น ผมจำได้ว่าในสมัยนั้น ผมชอบ “หวีอันอัน” มากกว่า “เหมียวเข่อซิ่ว” เพราะภาพลักษณ์ของ “หวีอันอัน” สมัยนั้นจะเป็นใสๆ น่ารักน่าเอ็นดู เด็กวัยรุ่นสมัยนั้นน่าจะชอบสไตล์ของ “หวีอันอัน” มากกว่า หลังจากเวลาผ่านมาร่วมยี่สิบปี ผมกลับมาเห็นรูปของนางเอกทั้งสองคน (จริงๆ สาม ถ้านับรวม “หม่าเหมียนเอ๋อ” ที่แสดงเป็น “ลุ้นอ้วงยี้”) ผมกลับรู้สึกว่า “เหมียวเข่อซิ่ว” สวยกว่า นี่เป็นการยืนยันว่า ความรู้สึกถึงเรื่องความสวยงามต่อสตรีของคนเรานั้นสามารถเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
นอกจากนี้ “ต๊กโกวหงส์” ที่แสดงโดย “เหมียวเข่อซิ่ว” นั้น ว่าไปแล้ว ในบทของหนัง(และในหนังสือ) มีความซับซ้อนและลึกซึ้งกว่า เรียกได้ว่าเป็นบทบาทของตัวละครที่เด่น และต้องอาศัยฝีมือการแสดงที่เหนือชั้นจึงจะสามารถตีบทแตก
ที่ว่ามาทั้งหมดข้างต้นนั้นเป็นสิ่งแรกที่ผมชอบใจกับ “กระบี่ไร้เทียมทาน” ส่วนเรื่องที่สองที่ผมเหมารวมความชอบใจในความทรงจำที่มีต่อ “กระบี่ไร้เทียมทาน” อาจจะนอกเหนือไปจากเนื้อหาเรื่องราวของเรื่องนี้มากไปหน่อย นั่นก็คือ บทเพลงของ “ซีรีส์ทางทีวี” ของ “กระบี่ไร้เทียมทาน” ที่ผมชอบเอามากๆ โดยเฉพาะที่มีการเอามาแปลงเป็นเนื้อร้องภาษาไทยโดยวงดนตรี “PM5” นั้น ผมรู้สึกว่า ถ่ายทอดออกมาได้ตรงตามปรัชญาของเรื่องราว และฟังแล้วสร้างอารมณ์ลึกซึ้งสะเทือนใจ สอนอะไรได้หลายๆ อย่าง สมัยนั้นยังจำได้ว่าผมชอบร้องเพลงนี้เล่น และถึงตอนนี้ก็ยังจำเนื้อร้องได้
เพลงนี้ นอกจากหาฟังได้ทางอินเตอร์เน็ตแล้ว ผมยังดั้นด้นหาแผ่นเสียงของวงดนตรี “PM5” เอาไว้ฟังเพลิน ผมจดเนื้อร้องจากความทรงจำ บวกกับพยายามจะฟังเช็คจากต้นฉบับเอาไว้ได้ดังนี้
สุดขอบฟ้านั้น ใครไม่อาจไปถึง
บนดอยภูเขาสูง เมฆเทียมเฉียดเมฆา
ชะตาชีวิตนั้น มันสูงเหลือคณา ดังทิวาลับไป
ขุนเขาสายเมฆผ่าน ลิ่วลิบลอยผ่านไป
สิงห์เสือเขาพฤกษ์ป่า ดูมากมีเภทภัย
ขอเดินต่อไป ไม่กลัวเกรงชะตา
เหม่อมองแสงจันทร์พราว ยิ่งพาเศร้าใจ
เราไม่เคยหวั่น ขอฟาดฟันฝ่า แม้มากดื่นศัตรู
ใช้คมกระบี่ ชี้ทางองอาจ ขอมุ่งพิฆาตศัตรู
ความหมายของเนื้อร้องภาษาไทยของ “กระบี่ไร้เทียมทาน” ที่แต่งโดย “PM5” นี้ ความหมายดี และลึกซึ้งกินใจ และสอนเราให้เข้าใจชีวิตได้มากนะครับ ยิ่งพออายุมากขึ้น ผมยิ่งรู้สึกชอบเพลงนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และถือเป็นแผ่นเสียงแผ่นโปรดของผมที่หยิบมาฟังบ่อยที่สุดแผ่นหนึ่งเลยทีเดียว
เรื่องที่สามจากการที่ได้อ่านและได้ดู “กระบี่ไร้เทียมทาน” เรื่องนี้ ผมถูกใจกับลีลาของ “โป่วเง็กจือ” ที่ผมจัดเข้ารอบท้ายๆ ของ “วิญญูชนจอมปลอมจากนิยายจีนกำลังภายใน” แม้ไม่ติดสามอันดับแรก แต่ก็เรียกได้ว่า กรรมการอย่างผมก็คิดหนักจนนาทีสุดท้ายหล่ะครับ (สามสุดยอดวิญญูชนจอมปลอมจากนิยายจีนกำลังภายในในดวงใจของผมเป็นใครบ้าง จะเขียนถึงในภายหลัง)
แม้ว่า มีตัวละครร้ายๆ ในเรื่องที่ชั่วแสบสามานย์อย่าง “ต๊กโกวบ้อเต็ก” ที่เป็นหัวหน้าหนึ่งในสามค่ายสามสถาบันที่ตั้งป้อมฆ่าฟันกัน แต่ “ต๊กโกวบ้อเต้ก” ก็ถือว่าโฉดชั่วเพราะโดนกระทำหยามใจก่อนจากเจ้าสำนักบู๊ตึ้ง บิดาของ “ฮุ้นปวยเอี้ยง” เพราะไปแอบกิ๊กกับ “ซิมบ่วงกุน” หรืออีกหนึ่งในสามค่ายที่ถือเป็นตัวร้ายโฉดชั่วอย่าง “เจ้าสำนักสราญรมณ์” ต้นตระกูลของ “โป่วเง็กจือ” กับ “โป่วเฮียงกุน” ก็ยังชั่วเพราะความแค้นที่แค่ไปแอบขโมยสุดยอดวิชาบู๊ตึ้งแต่กลับถูกกักขังทรมานในบึงน้ำเย็นอยู่ร่วมสิบปี
แต่การที่ “โป่วเง็กจือ” ใช้เล่ห์เหลี่ยมเพทุบายหลอกล่อให้สำนักบู๊ตึ้งรับเป็นศิษย์ แล้วทยอยจัดการซือเฮียซือตี๋ตลอดจนซือแป๋ซือเจ็กร่วมสำนัก เพื่อต้องการครอบครองเป็นเจ้าสำนักบู๊ตึ้งนั้น จัดว่าเป็นการสร้างภาพ “วิญญูชนจอมปลอม” ใช้ได้เลยทีเดียว
กลับมาพูดถึงหนังสือนิยายจีนกำลังภายในเรื่องนี้กันบ้าง นิยายจีนกำลังภายในของ “อึ้งเอ็ง” เรื่องนี้ เป็นสไตล์ของเขา ไม่มีปรัชญากินใจ หรือประโยคคมคายอะไรมากมาย แต่ที่กล่าวกันว่า เรื่องนี้เป็นสุดยอดของเขา ก็เพราะนอกจากการเดินเรื่องที่กระชับ ที่บางคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นแนวมาตรฐานธรรมดาของนิยายจีนกำลังภายใน แต่การที่สร้างตัวละครต่างๆ ได้อย่างมีสีสัน นอกจากเหล่าตัวเอกที่ว่าข้างต้นแล้ว ยังมีตัวละครอย่าง “ก้วงตงลิ้ว” แห่งง้อไบ๊ “อี่ชงเทียน” แห่งบู๊ตึ้งที่สำเร็จไหมฟ้าเหมือนกับ “ฮุ้นปวยเอี้ยง” และยังมี “จอมมารดำ-ขาว” ที่ถือเป็นอีกบทบาทที่โดดเด่นมากในซีรีส์ทีวี และยังมีการผูกตำนานของ “บัวหิมะ” ให้ปรากฏในเรื่องนี้อีกต่างหาก ทั้งหมดนี้เป็นความประทับใจเรื่องที่สี่ ที่มีต่อ “กระบี่ไร้เทียมทาน” ของผม
แต่สุดยอดของเรื่อง “กระบี่ไร้เทียมทาน” ของ “อึ้งเอ็ง” เรื่องนี้ที่ผมชอบมากก็คือ การเดินเรื่องแนวบู๊เฮียบอยู่ดีๆ มาตอนท้ายเรื่อง “อึ้งเอ็ง” สามารถสร้างบรรยากาศแนวดราม่าออกมาได้สะเทือนใจสุดๆ
ความเป็น “คน” ถูกตีแผ่ออกมาได้อย่างถึงแก่น ซาบซึ้งสะเทือนใจเป็นที่สุด คนคนหนึ่งนั้น ย่อมมีหลายด้านหลากมิติ ผู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าเลิศคุณธรรมใช่ว่าจะไม่มีตำหนิ ความผิดพลาดของคนนั้นสามารถเป็นทั้งบทเรียนที่ให้เราจดจำไม่กระทำผิดซ้ำ ส่วนผู้ที่ตระหนักไม่ได้จะทับถมเป็นความแค้น จนผลร้ายสุดท้ายย่อมตกอยู่กับคนผู้นั้นเอง
เล่าไปหมดแล้วสำหรับความประทับใจสี่เรื่องถึงการอ่านหนังสือ “กระบี่ไร้เทียมทาน” ก็มาถึงความประทับใจที่ห้าเรื่องสุดท้าย ขอกล่าวโดยกว้างๆ ถึงโดยรวมของนิยายจีนกำลังภายในสักหน่อย นักอ่านนิยายจีนกำลังภายในทั้งหลาย ไม่รู้ว่าจะคิดเหมือนผมหรือเปล่า ถึงเรื่องวิชาวรยุทธต่างๆ ที่ปรากฏในหน้ากระดาษที่เราอ่านถึงวิถียุทธภพ ผมมองว่า สุดยอดของการสำเร็จวิชาที่ผมได้ผ่านสายตา จะมีข้อสังเกตอันหนึ่งคือ สอนให้เรารู้ถึงพื้นฐานของการก่อร่างสร้างความเป็นตัวตนของบุคคลหนึ่งขึ้นมา นั่นคือ ความสำคัญของการเริ่มต้น
จะสังเกตได้ว่า สุดยอดวิชาในบู๊ลิ้ม ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของเส้าหลิน จนมาที่ “ยอดยุทธไหมฟ้า” ใน “กระบี่ไร้เทียมทาน” นี้ จะสอนให้เรารู้จักถึง “การเริ่มต้นใหม่”
“วิชาไหมฟ้า” มีหลักการอยู่ที่ว่า ย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มแรก เผชิญหน้ากับความตาย จากนั้นฟื้นคืนสู่ชีวิต เหมือนหนอนไหมที่สำรอกใยพันธนาการตัวเอง ก่อนหลุดพ้นกลายเป็นผีเสื้อ
“ยอดยุทธไหมฟ้า” นี้ ต่อให้คร่ำเคร่งฝึกปรือเป็นสิบๆ ปี แต่ยังไม่สามารถเข้าใจในแก่นแกนที่ว่า ให้มีความกล้าเผชิญหน้ากับจุดคับขัน เมื่อพาตัวเองเข้าสู่จุดอับ เมื่อล้มลุกคลุกคลานและเรียนรู้เข้าใจถึงความอับจนหนทางและสัมผัสประสบการแห่ง “ความพ่ายแพ้” ถ่องแท้ลึกซึ้งว่าความพ่ายแพ้นั้นเป็นเช่นไร
จากนั้นมีความเด็ดเดี่ยวที่จะพาตัวเองกลับมาจากหายนะความพ่ายแพ้ กลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่
เมื่อกล้าที่จะรู้จักความพ่ายแพ้ อดทนที่จะเรียนรู้ประสบการณ์ของการล้มลุกคลุกคลาน ไม่ย่นย่อที่จะลุกขึ้นสู้นับหนึ่งใหม่ ก็จะฟื้นคืนสู่ชีวิต และสำเร็จยอดวิชาไหมฟ้า
“กระบี่ไร้เทียนทาน” นิยายจีนกำลังภายในเรื่องนี้ สอนให้เราตระหนักในเรื่องที่ว่า...
เหมือนจะแพ้ แต่ไม่แพ้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น