วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

โลก 360 องศา - (โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง ปธน.ฟิลิปปินส์ แข่งดุ,ซาติก ข่าน บุตรชายคนขับรถเมล์ชาวปากีสถาน ได้เป็นนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน,ไฟป่ารุนแรงใกล้แหล่งพลังงานของแคนาดา,ทรัมป์ยิ้มว่าที่แคนดิเดตพรรครีพับลิกันแบบไร้คู่แข่ง เมื่อเท็ดครู๊ซถอนตัว)


เอเอฟพี/เอเจนซีส์ - เจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงกระจายกำลังออกไปรักษาการณ์ทั่วทั้งฟิลิปปินส์ ในวันนี้ (8 พ.ค.) อันเป็นวันสุกดิบก่อนหน้าการเลือกตั้งใหญ่ของประเทศ ซึ่งจะมีทั้งการชิงชัยตำแหน่งประมุขฝ่ายบริหาร และสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติ ตั้งแต่ระดับประเทศไปจนถึงท้องถิ่น ทั้งนี้ ภายหลังจากช่วงเวลาการรณรงค์หาเสียงที่มีการโจมตีใส่กันอย่างดุเดือด ขมขื่น และมีเหตุบาดเจ็บล้มตาย โดยจุดเด่นที่สุดย่อมเป็นเรื่องที่ โรดริโก ดูเตอร์เต ตัวเก็งที่จะชนะได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ ปราศรัยข่มขู่ว่าจะใช้วิธีเข่นฆ่าอาชญากรจำนวนนับพันนับหมื่นให้จบสิ้นชีวิตไปเลย ผลการสำรวจความนิยมของสำนักต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่า ดูเตอร์เต นายกเทศมนตรีของดาเวา เมืองทางภาคใต้ของประเทศ เป็นผู้ที่มีคะแนนนำอย่างชัดเจนในการเลือกตั้งซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันจันทร์ (9) เมื่อผู้ออกเสียงนับล้าน ๆ ต่างแสดงความพอใจต้อนรับการประกาศกร้าวของเขาที่จะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ความมั่นคงเข้าจัดการเด็ดขาดกับอาชญากรรมซึ่งกำลังทวีตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งคำขู่คุกคามของเขาที่ว่าจะปิดรัฐสภาเสียเลย หากฝ่ายนิติบัญญัติคัดค้านไม่ให้ความร่วมมือกับเขา  ประธานาธิบดี เบนีโญ อากีโน ซึ่งไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ในคราวนี้ เนื่องจากข้อจำกัดทางรัฐธรรมนูญที่ให้ดำรงตำแหน่งประมุขประเทศได้เพียงสมัยเดียว 6 ปีเท่านั้น ได้ออกมากล่าวเตือนหลายต่อหลายครั้งถึงอันตรายที่เมื่อได้ขึ้นดำรงตำแหน่งแล้ว ดูเตอร์เต จะกลายเป็นจอมเผด็จการ และในการกล่าวปราศรัยวันสุดท้ายของการหาเสียงเมื่อวันเสาร์ (7) เพื่อช่วย มาร์ โรซาส ที่เป็นผู้สมัครซึ่งพรรคลิเบอรัลของเขาส่งเข้าประกวด อากีโน ถึงขั้นเปรียบเทียบ ดูเตอร์เต กับ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำของพรรคนาซีเยอรมัน ทางด้าน ดูเตอร์เต ก็กล่าวหาโจมตีคณะบริหารของอากีโน ว่า กำลังวางแผน โกงอย่างมโหฬารเพื่อทำให้อดีตรัฐมนตรีมหาดไทย โรซาส ซึ่งผลโพลชี้ว่ามีคะแนนนิยมเป็นอันดับ 2 กลายเป็นผู้ชนะได้สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไป พวกผู้สนับสนุนของนายกเทศมนตรีปากกล้าผู้นี้ ยังเตือนว่า จะเกิด การปฏิวัติของประชาชน ถ้าดูเตอร์เตกลายเป็นผู้พ่ายแพ้ ทว่า ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องโยงใยอยู่กับฝ่ายทหาร ออกมาข่มขู่ว่าอาจจะเกิดการทำรัฐประหารยึดอำนาจ หากดูเตอร์เตเป็นผู้ชนะ บรรยากาศของช่วงการเลือกตั้งในฟิลิปปินส์ ซึ่งตามปกติก็มีความสับสนอลหม่าน และมีความเคยชินในวัฒนธรรมทางการเมืองที่นิยมใช้ความรุนแรงกันอยู่แล้ว จึงยิ่งเพิ่มทวีความตึงเครียดมากขึ้นไปอีก ถ้อยคำโวหารที่พวกเขาพูดกันออกมามีความเลวร้ายเอามาก ๆ การตอบโต้กันของพวกเขาก็มีความเลวร้ายเอามาก ๆ และนี่เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณไปถึงพวกผู้สนับสนุนจำนวนมากให้เตรียมตัวและใช้ความก้าวร้าวรุนแรงเพิ่มมากขึ้นอีกอีริก อัลเวีย ผู้นำของกลุ่มเฝ้าติดตามการเลือกตั้งที่ใช้ชื่อว่า ขบวนการพลเมืองแห่งชาติเพื่อการเลือกตั้งที่เสรี” (National Citizens Movement for Free Elections) กล่าวให้ความเห็นกับเอเอฟพี การรณรงค์หาเสียงคราวนี้ ก่อให้เกิดการแตกแยก และทำให้ประชาชนจำนวนมากเกิดการแตกขั้วแบ่งข้าง พวกเขาต่างรู้สึกว่าสามารถทำอะไรก็ได้เพื่อให้พวกเขาได้สิ่งที่ต้องการ  อัลเวีย ชี้ว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมานั้นส่วนใหญ่เกิดในระดับท้องถิ่น แต่เมื่อพวกผู้นำออกมาใช้ถ้อยคำโวหารอันโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้เรื่องลุกลามออกไป ตามตัวเลขของตำรวจทั่วประเทศ มีผู้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 15 คน จากเหตุรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งในปีนี้  คดีต้องสงสัยว่าจะเป็นเหตุรุนแรงเช่นนี้กรณีล่าสุด ได้แก่ คดีที่มีคนร้ายขว้างระเบิดมือเข้าไปในบ้านของขุนศึกทางการเมืองทรงอำนาจผู้หนึ่งในเขตจังหวัดมากีนดาเนา เมื่อคืนวันเสาร์ (7) ซึ่งทำให้เด็กหญิงอายุ 9 ปี ผู้หนึ่งเสียชีวิต ทั้งนี้ ตามคำแถลงของ ผู้บังคับการตำรวจ โจนาธาน เดล โรซาริโอ ผู้ทำหน้าที่โฆษกให้แก่กองกำลังเฉพาะกิจตำรวจติดตามการเลือกตั้ง ซึ่งตั้งฐานอยู่ในกรุงมะนิลา โฆษกผู้นี้กล่าวว่า กำลัง 90% ของตำรวจทั่วประเทศ ซึ่งมีอยู่ราว 135,000 คน ได้เข้าทำหน้าที่ต่าง ๆ อันเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งแล้ว และได้รับอำนาจให้ถือปืนเล็กยาวจู่โจมได้ ทางด้านกองทัพก็แถลงเช่นกันว่า กำลังทหารก็ได้รับมอบหมายให้เข้าทำหน้าที่ต่าง ๆ เกี่ยวกับการเลือกตั้ง การเลือกตั้งของฟิลิปปินส์นั้น จัดพร้อมกันในวันเดียวตั้งแต่การชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดี, รองประธานาธิบดี, สมาชิกวุฒิสภาจำนวนครึ่งสภา, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ไปจนถึงระดับท้องถิ่นตั้งแต่ ผู้ว่าการจังหวัด, สมาชิกสภาจังหวัด จนถึง นายกเทศมนตรี, สมาชิกสภาเทศบาล จากการที่มีผู้สมัครมากกว่า 44,000 คน เข้าแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งต่าง ๆ ราว 18,000 ตำแหน่งทั่วประเทศเช่นนี้ ยังส่งผลทำให้มีเรื่องการซื้อสิทธิขายเสียงเพิ่มขึ้นแบบพุ่งพรวด  ยุทธศาสตร์ที่ใช้กันก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เราได้เห็น ... การเปลี่ยนจากเพียงแค่ใช้เงินเพื่อซื้อเสียงกันโดยตรง มาเป็นการใช้มูลค่าของสิ่งของอื่น ๆ อย่างเช่น หมู, วัวควายเจมส์ จิเมเนซ โฆษกของคณะกรรมการการเลือกตั้งฟิลิปปินส์ บอกกับเอเอฟพี  เรากำลังได้รับแจ้งเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเช่น มีคนแจกข้าวของที่บรรจุอยู่ในถัง (พลาสติก) ซึ่งติดชื่อของผู้สมัครเอาไว้ บางรายก็แจกปี๊บที่ใส่พวกของชำต่าง ๆ เอาไว้ข้างใน  จิเมเนซ กล่าวว่า พวกนักการเมืองกำลังถูกบังคับให้ต้องหันมาใช้วิธีซื้อเสียง เพราะกลอุบายอย่างอื่น ๆ เป็นต้นว่า การโกงในขั้นตอนนับคะแนน เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้แล้ว เนื่องจากการลงคะแนนได้เปลี่ยนมาใช้ระบบอัตโนมัติเป็นส่วนมากนับตั้งแต่ปี 2000  พวกกลุ่มสังเกตการณ์ติดตามการเลือกตั้ง บอกว่า การจ่ายเงินซื้อเสียงอาจจะมีราคาต่ำมากเพียงแค่ 100 เปโซ (2.10 ดอลลาร์) สำหรับตำแหน่งอย่างเช่น สมาชิกสภาเทศบาลตำบล และจะมีราคาสูงขึ้นสำหรับตำแหน่งสูง ๆ ขึ้นไป  ของขวัญของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งถือเป็นความผิดตามกฎหมาย ทว่า มีประสิทธิภาพทีเดียว สำหรับที่พวกนักการเมืองจะนำมาใช้เรียกแรงสนับสนุน ในประเทศซึ่งประมาณอย่างหยาบ ๆ แล้ว ราวหนึ่งในสี่ของประชากรจำนวนทั้งสิ้น 100 ล้านคน ยังคงมีชีวิตอยู่ในระดับต่ำกว่าเส้นยากจน  มาตรการหนึ่งที่ประกาศออกมาใช้เพื่อขัดขวางการซื้อสิทธิขายเสียง ก็คือ คณะกรรมการการเลือกตั้งสั่งห้ามนำโทรศัพท์มือถือเข้าไปในสถานที่ลงคะแนน ทั้งนี้ ด้วยจุดประสงค์ที่จะห้ามไม่ให้ใครถ่ายภาพบัตรลงคะแนนของพวกเขา เพื่อนำไปเป็นหลักฐานยืนยันแก่ผู้ซื้อเสียง ว่า พวกเขากาบัตรให้แก่ผู้สมัครถูกคนแน่ ๆ

เอเจนซีส์ / MGR online – มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 12 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกนับสิบจากเหตุระเบิดหลายครั้งทั้งในกรุงแบกแดดและพื้นที่โดยรอบเมืองหลวงของอิรัก รายงานซึ่งอ้างแหล่งข่าวด้านความมั่นคงของอิรักระบุว่า เหตุโจมตีด้วยระเบิดครั้งที่รุนแรงที่สุด เกิดขึ้นในวันอาทิตย์ (8 พ.ค.) ที่เขตอาบูกราอิบ ทางตะวันตกของกรุงแบกแดด โดยแรงระเบิดในจุดนี้ส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย และมีพลเรือนเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ 2 ราย ขณะที่จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บมีอีกอย่างน้อย 16 ราย  ข้อมูลเบื้องต้นของทางการอิรักระบุว่า เหตุโจมตีดังกล่าวเป็นฝีมือของมือระเบิดฆ่าตัวตายรายหนึ่ง ที่จุดระเบิดที่ผูกติดกับตัวเองบริเวณด้านนอกเต็นท์จัดพิธีศพภริยา ของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรายหนึ่งในอีกด้านหนึ่งมีรายงานว่า ได้เกิดเหตุระเบิดอีกจุดหนึ่งซึ่งคร่าชีวิตพลเรือนไป 3 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 10 รายในย่านการค้าขายของเมืองมาดาอิน ที่ตั้งอยู่ห่างจากกรุงแบกแดดไปทางตะวันออกเฉียงใต้ไปราว 20 กิโลเมตร  นอกจากนั้นยังมีเหตุโจมตีด้วยระเบิดอีก 2 จุดกลางกรุงแบกแดด เป็นเหตุให้มีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 4 รายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 17 ราย ก่อนหน้านี้เมื่อวันศุกร์ (6) เพิ่งเกิดเหตุระเบิด 2 ครั้งซ้อนที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 9 รายในย่านที่พักไม่ไกลจากกรุงแบกแดดเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดที่มีการเผยแพร่โดยสำนักงานสหประชาชาติในอิรักระบุว่า เฉพาะในเดือนเมษายนที่ผ่านมาเพียงแค่เดือนเดียว มีชาวอิรักเสียชีวิตจากเหตุโจมตีลักษณะต่างๆ รวม 741 ราย ขณะที่ยอดผู้ได้รับบาดเจ็บมีทั้งสิ้น 1,374 ราย
 
ซาดิก ข่าน บุตรชายของชาวปากีสถานที่อพยพเข้ามายึดอาชีพเป็นคนขับรถเมล์ในลอนดอน สามารถเอาชนะคู่แข่งที่เป็นทายาทอภิมหาเศรษฐี ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีคนใหม่ของนครหลวงสหราชอาณาจักร ทั้งนี้เส้นทางเดินเข้าสู่ศาลาว่าการนครลอนดอนของเขา ถือได้ว่ามีท้องเรื่องดุจดังเทพนิยายสมัยใหม่เรื่องหนึ่ง  ซาดิก ข่าน (Sadiq Khan) บุตรชายของคนขับรถประจำทางชาวปากีสถาน ได้รับการประกาศในวันเสาร์ (7 พ.ค.) ว่าเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง ได้ขึ้นเป็นนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนคนใหม่ ภายหลังสามารถยังความปราชัยอย่างชนิดที่เรียกได้ว่ายับเยิน ให้แก่คู่แข่งขันคนที่ได้คะแนนใกล้เคียงเขาที่สุด นี่หมายความว่าพรรคเลเบอร์หวนกลับมาปกครองเมืองหลวงของสหราชอาณาจักรอีกครั้ง ภายหลังว่างเว้นไป 8 ปี ผู้สมัครจากพรรคฝ่ายค้านวัย 45 ปีผู้นี้ กลายเป็นชาวมุสลิมคนแรกที่ได้เป็นพ่อเมืองของนครหลวงแห่งสำคัญในโลกตะวันตก เมื่อการนับคะแนนของการเลือกตั้งท้องถิ่นในสหราชอาณาจักร ที่เรียกขานกันว่า ซูเปอร์ เทิร์สเดย์” (Super Thursday) ใกล้เสร็จสิ้นลง อันที่จริงชัยชนะของ ข่าน ดูจะเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อตอนที่นับคะแนนโดยดูจากการเลือกในอันดับแรกสุด (first preference votes) ซึ่งปรากฏว่าเขาได้ไป 46% นำหน้าคู่แข่งคนสำคัญ คือ แซค โกลด์สมิธ (Zac Goldsmith) แห่งพรรคคอนเซอร์เวทีฟ อยู่ 9% นับเป็นหลักหมายแสดงถึงการกลับมาบริหารเมืองหลวงสหราชอาณาจักรของพรรคเลเบอร์ ภายหลังทางคอนเซอร์เวทีฟครองอำนาจอยู่ 8 ปี การเลือกตั้งคราวนี้ใช้ระบบที่เรียกกันว่า supplementary vote หรือ contingent vote กล่าวคือ ผู้ลงคะแนนสามารถโหวตได้ว่าจะเลือกผู้สมัครคนใดเป็นอันดับแรกสุด และจะเลือกผู้สมัครคนใดเป็นอันดับสอง (second preference vote) ในเวลานับคะแนนนั้น จะเริ่มต้นด้วยการนับผู้ที่ได้เลือกเป็นอันดับแรกสุดก่อน หากไม่มีผู้สมัครคนใดได้คะแนนเกินครึ่งหนึ่งของผู้ใช้สิทธิออกเสียง ก็จะนำเอาเฉพาะคนได้คะแนนสูงที่สุดที่ 1 และที่ 2 มาพิจารณาอีกครั้ง คะแนนจากรอบแรกของผู้สมัครทั้งสองยังคงอยู่ตามเดิม แต่จะนับบัตรลงคะแนนกันอีกรอบ โดยถ้าคนไหนได้รับเลือกเป็นอันดับสอง ก็จะได้คะแนนเพิ่มขึ้นมา และผู้ที่ได้คะแนนทั้งหมดเกิน 50% ของจำนวนผู้มาใช้สิทธิ จะเป็นผู้ชนะ ถึงแม้มองกันในทางคณิตศาสตร์แล้ว ดูเป็นไปไม่ได้ที่ โกลด์สมิธ จะสามารถไล่แซง ข่าน ได้ในการนับคะแนนผู้ได้รับเลือกเป็นอันดับสอง แต่ก็ต้องทำการนับกันเพื่อให้ได้ผู้ชนะอย่างเป็นทางการ ซึ่งปรากฏว่า ข่าน ได้ไปทั้งสิ้น 57%  เจรามี คอร์บิน (Jeremy Corbyn) หัวหน้าพรรคเลเบอร์ ทวิตแสดงความยินดีกับ ข่าน ตั้งแต่ก่อนมีการประกาศผลอย่างเป็นทางการแล้ว โดยกล่าวว่า รอไม่ไหวที่จะได้ทำงานกับคุณเพื่อสร้างลอนดอนที่ยุติธรรมสำหรับทุกคน! #YesWeKhan”  การลงคะแนนเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคมคราวนี้ มีชาวลอนดอนมาใช้สิทธิกัน 45% ซึ่งถือว่าสูงแล้ว และเชื่อกันว่าการที่มีผู้ออกมาโหวตกันมากเช่นนี้ ข่าน คือผู้ที่ได้รับอานิสงส์ ทั้งนี้เขาได้คะแนนโหวตไปรวมทั้งสิ้นราว 1.1 ล้านเสียง  ข่าน เป็นอดีตทนายความทางด้านสิทธิมนุษยชน และก็เป็น ส.ส.ของเขตทูตทิ่ง (Tooting) อันเป็นเขตทางใต้ของลอนดอนมาตั้งแต่ปี 2005 เขาเป็นรัฐมนตรีคนสำคัญทีเดียวในคณะรัฐมนตรีพรรคเลเบอร์ของอดีตนายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราวน์ และภายหลังเลเบอร์พ่ายแพ้การเลือกตั้งทั่วไป โดยที่ เดวิด คาเมรอน หัวหน้าพรรคคอนเซอร์เวทีฟ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนที่ เขาก็ยังมีชื่อเป็น รัฐมนตรีเงาคนหนึ่งของพรรคเลเบอร์ที่กลายสภาพเป็นฝ่ายค้าน  อย่างไรก็ตาม ข่านตัดสินใจลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีเงาเมื่อปีที่แล้ว และเริ่มการรณรงค์หาเสียงเพื่อเป็นนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน สืบแทน บอริส จอห์นสัน (Boris Johnson) ซึ่งครองตำแหน่งมา 2 สมัยและแสดงความจำนงไม่ต้องการลงแข่งขันอีก ข่าน พึ่งพาอาศัยรากเหง้าภูมิหลังของตนเองที่เป็นลูกของชนชั้นผู้ใช้แรงงาน และเติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านแฟลตการเคหะสภาเทศบาลลอนดอน เป็นประกาศนียบัตรรับรองอันแข็งแกร่ง ในการต่อสู้กับ โกลด์สมิธ ซึ่งมีภูมิหลังมาจากครอบครัวอภิสิทธิ์ชน  โกลด์สมิธนั้นแม้ไม่ได้สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และถูกไล่ออกจากโรงเรียนพับลิกสคูลระดับเยี่ยมที่สุดอย่าง อีตัน (Eton) แต่เขาคือลูกชายของ เซอร์เจมส์ โกลด์สมิธ (Sir James Goldsmith) อภิมหาเศรษฐีที่ปัจจุบันล่วงลับไปแล้ว และเป็นน้องชายของ เจมิมา ข่าน (Jemima Khan) แทบจะตลอดช่วงเวลารณรงค์หาเสียงเพื่อเป็นนายกเทศมนตรีลอนดอนคราวนี้ เขามีคะแนนนิยมตามหลัง ข่าน มาโดยตลอด ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากความพยายามอันประสบความล้มเหลวของบางผู้บางคนในฝ่ายของเขาที่จะเชื่อมโยง ข่าน เข้ากับบุคคลที่เป็นพวกอิสลามิสต์สุดโต่งบางคน  เจมิมา ซึ่งเป็นอดีตภรรยาของ อิมรอน ข่าน (Imran Khan) นักคริกเก็ตชื่อก้องชาวปากีสถาน ที่ในปัจจุบันกลายเป็นนักการเมืองคนสำคัญไม่น้อยในประเทศนั้น ได้ทวิตแสดงความรู้สึกของเธอ ภายหลังผลการเลือกตั้งปรากฏชัดเจนออกมาว่า เศร้าที่การรณรงค์หาเสียงของ แซค ไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงคนที่ฉันรู้จัก เขาเป็นนักการเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม, มีความคิดอิสรเสรี และมีความซื่อสัตย์  ชัยชนะของ ข่าน ต้องถือว่าเป็นชัยชนะส่วนตัวค่อนข้างมาก เนื่องจากตัดแย้งเป็นตรงกันข้ามอย่างชัดเจนกับผลการเลือกตั้งท้องถิ่นโดยรวมในวันซูเปอร์ เทิร์สเดย์ ของพรรคเลเบอร์ กล่าวคือ เลเบอร์พ่ายแพ้ยับในสกอตแลนด์ จนอยู่ในอันดับ 3 ตามหลังพรรคชาตินิยมชาวสกอตต์ และพรรคสกอตติช คอนเซอร์เวทีฟ ที่สามารถฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ยังสามารถดิ้นรนต่อสู้จนรักษาพื้นที่ในสภานิติบัญญัติแคว้นเวลส์ และในสภาเทศบาลของท้องถิ่นต่างๆ ในแคว้นอิงแลนด์เอาไว้ได้เป็นส่วนใหญ่  จากลูกคนขับรถเมล์ที่อพยพมาจากปากีสถาน ภายหลังการรณรงค์หาเสียงซึ่งได้เห็นฝ่ายคู่แข่งสำคัญของเขา พยายามที่จะโยงใย ข่าน เข้ากับพวกอิสลามิสต์สุดโต่งแล้ว มาถึงตอนนี้นายกเทศมนตรีคนใหม่ก็ต้องเผชิญภารกิจในการนำเอาชุมชนต่างๆ ที่มีความแตกต่างหลากหลายของลอนดอนเข้ามารวมตัวสามัคคีกัน เพื่อรักษาฐานะความเป็นนครระดับท็อปของโลกเอาไว้ให้ได้  ในการกล่าวปราศรัยรับตำแหน่ง ข่านให้สัญญาที่จะเป็น นายกเทศมนตรีของชาวลอนดอนทุกๆ คนและกล่าวว่า บิดาผู้ล่วงลับของเขา ซึ่งอพยพมาจากปากีสถานในช่วงทศวรรษ 1960 จะต้อง ภาคภูมิใจมาก  ผมไม่เคยนึกฝันเลยว่า คนอย่างผมนี่จะได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีของลอนดอน และผมต้องการที่จะกล่าวขอบคุณสำหรับชาวลอนดอนทุกผู้ทุกคนซึ่งทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในวันนี้เขากล่าว  เขาให้คำมั่นที่จะทำงานเพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยและการคมนาคมขนส่งซึ่งประชาชนสามารถจ่ายไหวให้มากขึ้น, ที่จะลดมลพิษ, และที่จะส่งเสริมให้มีตำแหน่งงานมากขึ้นและเป็นงานที่ให้ค่าตอบแทนดียิ่งขึ้น  ผมต้องการให้ชาวลอนดอนทุกผู้ทุกคนได้รับโอกาสแบบที่นครของเราได้มอบให้แก่ผมและแก่ครอบครัวของผม เป็นโอกาสที่ไม่เพียงให้ได้รอดชีวิตเท่านั้นแต่ให้ได้เติบโตเจริญรุ่งโรจน์อีกด้วยเขากล่าว  เส้นทางเดินสู่ศาลาว่าการนครลอนดอนของข่าน ว่าไปแล้วก็เหมือนกับเป็นเทพนิยายสมัยใหม่เรื่องหนึ่ง  เขาเกิดในลอนดอนเมื่อปี 1970 ในครอบครัวที่พ่อแม่เดินทางอพยพมาจากปากีสถานไม่นานนัก ข่านเป็นลูกคนที่ 5 ในจำนวนพี่น้องผู้ชาย 7 คน และพี่สาวอีกคนหนึ่ง  เขาเติบโตในหมู่บ้านแฟลตการเคหะของเทศบาลในย่านทูตทิ่ง ซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัยที่ประกอบด้วยคนเชื้อชาติต่างๆ คละเคล้ากัน และต้องนอนบนเตียงแบบ 2 เตียงซ้อนกันอยู่จนกระทั่งเขาอายุ 24 ปี  ข่านชอบเล่าอยู่เรื่อยๆ ว่า บิดาของเขาเป็นคนขับรถประจำทางทาสีแดงที่ขึ้นชื่อของลอนดอน ส่วนมารดาเป็นช่างเย็บผ้า พี่ชายของเขาคนหนึ่งเป็นช่างซ่อมรถ  เขาเป็นนักมวยที่ว่องไวบนเวที โดยได้เรียนรู้กีฬาชนิดนี้จากการที่ต้องป้องกันตัวในเวลาอยู่บนท้องถนนสมัยเด็ก เมื่อต้องต่อสู้กับพวกที่ด่าทอด้วยคำพูดเหยียดเชื้อชาติใส่เขา พี่ชายของเขา 2 คนก็เป็นผู้ฝึกสอนกีฬาชกมวยอยู่ในเวลานี้ เขายังเคยลงวิ่งรายการลอนดอนมาราธอนในปี 2014 ด้วย  ตอนที่เรียนหนังสือในโรงเรียน เขาเคยต้องการศึกษาต่อด้านวิทยาศาสตร์และมีอาชีพเป็นทันตแพทย์ ทว่าอาจารย์คนหนึ่งเกิดเห็นพรสวรรค์ของเขาในเรื่องการโต้วาที และชักนำให้เขาหันไปเรียนนิติศาสตร์  เขาสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยนอร์ท ลอนดอน และเริ่มต้นเป็นทนายความฝึกหัดในปี 1994 ณ สำนักงานกฎหมาย คริสเตียน ฟิชเชอร์ (Christian Fisher legal firm) ซึ่งในที่สุดเขาก็ได้เป็นทนายความหุ้นส่วน (partner) คนหนึ่งของสำนักงานกฎหมายแห่งนี้  เขามีความชำนาญเป็นพิเศษทางด้านสิทธิมนุษยชน และได้เป็นประธานของ ลิเบอร์ตี” (Liberty) กลุ่มรณรงค์เรียกร้องเสรีภาพพลเมืองอยู่ 3 ปี  เขาเคยเป็นทนายว่าความแก้ต่างให้ หลุยส์ ฟาร์ราข่าน (Louis Farrakhan) หัวหน้าขบวนการ เนชั่น ออฟ อิสลาม” (Nation of Islam movement) และ บาดาร์ อาหมัด (Babar Ahmad) ซึ่งเขารู้จักจากการไปมัสยิดแห่งเดียวกัน อาหมัดถูกจำคุกในสหรัฐฯภายหลังยอมรับว่าจัดหาความสนับสนุนต่างๆ ให้แก่ระบอบตอลิบานในอัฟกานิสถาน  เคยถูกข่มขู่เอาชีวิต ข่านเข้าร่วมพรรคเลเบอร์ตั้งแต่อายุ 15 ปี เมื่อตอนที่นายกรัฐมนตรีมาร์กาเรต แธตเชอร์ ของพรรคคอนเซอร์เวทีฟ กำลังรุ่งเรืองเฟื่องฟู  เขาได้รับเลือกตั้งเป็นตัวแทนจากเขตทูตทิ่ง เข้าไปในนั่งอยู่ในสภาเขตวันด์สเวิร์ธ (Wandsworth local borough) ซึ่งพวกคอมเซอร์เวทีฟครอบงำอยู่เมื่อปี 1994 และได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของเขตนี้ในปี 2005  จนถึงเวลานี้ เขาก็ยังพำนักอยู่ในย่านนี้กับ ซาดิยา (Saadiya) ภรรยาที่เป็นทนายความเช่นกันของเขา และบุตรสาววัยรุ่น 2 คนของทั้งคู่ นายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราวน์ ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นรัฐมนตรีดูแลกิจการชุมชนในปี 2008 ต่อมาก็ได้เป็นรัฐมนตรีคมนาคม ซึ่งถือเป็นรัฐมนตรีสำคัญระดับวงในคณะรัฐมนตรี (cabinet) และกลายเป็นรัฐมนตรีมุสลิมคนแรกที่ได้เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีระดับวงใน  ในสภาผู้แทนราษฎร เขาออกเสียงให้รับรองการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน ซึ่งทำให้เขาถูกข่มขู่เอาชีวิตหลายครั้ง  ในการหาเสียงเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีลอนดอนคราวนี้ เขามุ่งโฟกัสไปที่เรื่องการจัดหาที่อยู่อาศัยที่พอจะจ่ายกันไหวให้แก่ชาวลอนดอน และการระงับไม่ขึ้นค่าโดยสารระบบคมนาคมขนส่งสาธารณะ  ข่านถือเป็นนายกเทศมนตรีคนที่ 3 ของกรุงลอนดอน นับตั้งแต่ที่มีการปฏิรูปกฎหมายและจัดตั้งตำแหน่งนี้ขึ้นมา โดย 2 คนแรก คือ เคน ลิฟวิ่งสโตน (Ken Livingstone) แห่งพรรคเลเบอร์ (ปี 2000-2008) และ บอริส จอห์นสัน แห่งพรรคคอนเซอร์เวทีฟ (ปี 2008-2016)

รอยเตอร์ - สภาพอากาศร้อนกับลมแล้งโหมกระพือไฟป่าลามทั่วแหล่งพลังงานในอัลเบอร์ตาของแคนาดา โดยมีแนวโน้มแผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่กว้างขึ้นอีกเท่าตัว รวมทั้งเข้าใกล้เขตพื้นที่โครงการทรายน้ำมัน แม้จะมีการคาดว่าสภาพอากาศที่เย็นลงในวันอาทิตย์ (8) อาจช่วยให้สามารถควบคุมเพลิงได้บ้าง อย่างไรก็ตาม หากไม่มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ก็เป็นไปได้ว่าไฟป่าอาจลามต่อเนื่องนานเป็นเดือน  ไฟป่าครั้งร้ายแรงที่ส่งผลให้ทางการแคนาดาต้องอพยพประชาชนทั้ง 88,000 คน ออกจากเมืองฟอร์ตแมคเมอร์เรย์ รัฐอัลเบอร์ตา ก่อนหน้านี้ ถูกคาดหมายว่า จะลุกลามสองเท่าครอบคลุมอาณาบริเวณ 1,872,200 ไร่ ในช่วงคืนวันเสาร์ (7) ซึ่งเป็นวันที่ 7 ของเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเป็นภัยธรรมชาติที่สร้างความสูญเสียมากที่สุดในประวัติศาสตร์แคนาดา  เจ้าหน้าที่รัฐอัลเบอร์ตา ชมเชยผู้อพยพ ว่า มีความอดทน พร้อมระบุว่า เมืองคัลการี และ เอ็ดมอนตัน ซึ่งเป็นเมืองเอกของอัลเบอร์ตา เหมาะที่สุดที่จะได้รับการสนับสนุนระยะยาว เช่น การรักษาพยาบาล กับค่าใช้จ่ายสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน บ่งชี้ว่า วิกฤตไฟป่าอาจไม่จบลงง่าย ๆ  เจ้าหน้าที่ดับเพลิง คาดว่า ไฟป่าที่เคลื่อนตัวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือตามแรงลม ทั้งยังได้เชื้อไฟจากป่าที่แห้งแล้งหนักถึงขนาดจุดไฟติด น่าจะลามถึงพื้นที่ส่วนที่ติดกับรัฐซัสกาเชวานในช่วงคืนวันเสาร์  ฟอร์ตแมคเมอร์เรย์ เป็นศูนย์กลางทรายน้ำมันของแคนาดา เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (6) มีการระงับการผลิตน้ำมันดิบราวครึ่งหนึ่งจากกำลังผลิตทั้งหมดทั่วประเทศ หรือ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน (บีพีดี)  แชด มอร์ริสัน ผู้จัดการแผนกป้องกันไฟป่าของอัลเบอร์ตา แถลงว่า เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเริ่มจัดการกับไฟป่าทันทีที่ตรวจพบทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเมื่อเวลา 18.00 น. ของวันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม  มอร์ริสัน ยังคาดว่า ไฟป่าจะเผาไหม้บริเวณชายขอบโครงการที่ดำเนินการโดย ซันคอร์ เอเนอร์จี แต่ตั้งข้อสังเกตว่าโครงการดังกล่าวรวมถึงโครงการอื่น ๆ มีความสามารถและทรัพยากรในการรับมือไฟป่า  ทั้งนี้ ผู้ดำเนินการทรายน้ำมันอย่างน้อย 10 ราย ลดกำลังผลิตแล้ว เนื่องจากต้องอพยพคนและดำเนินการมาตรการฉุกเฉินอื่น ๆ   โครงการทรายน้ำมันของซันครูด เผยว่า จะระงับปฏิบัติการทางเหนือของอัลเบอร์ตา พร้อมอพยพพนักงานหนีควันไฟ แต่ยืนยันว่า ไม่มีภัยคุกคามจากไฟป่าแต่อย่างใด  นอกจากนั้น อากาศที่มีแนวโน้มเย็นลงในวันอาทิตย์ (8) อาจทำให้เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงได้ มอร์ริสัน ยังคาดว่า หากไม่มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ไฟป่าอาจลุกลามนานเป็นเดือน แม้ยังไม่มีการประเมินความเสียหายของทรัพย์สินในฟอร์ตแมคเมอร์เรย์อย่างครบถ้วน ทว่า นักวิเคราะห์คนหนึ่ง คาดว่า ความสูญเสียที่ประกันภัยต้องจ่ายอาจเกินกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  แดเนียลล์ ลาริวี รัฐมนตรีกิจการภายในของอัลเบอร์ตา แถลงว่า ยังไม่สามารถควบคุมไฟป่าได้ และเตือนประชาชนไม่ให้พยายามเดินทางกลับบ้าน  เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกว่า 500 คน กำลังต่อสู้กับไฟป่า ทั้งภายในและรอบ ๆ ฟอร์ตแมคเมอร์เรย์ ร่วมกับเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินบรรทุกน้ำ 14 ลำ ทางด้านตำรวจได้นำประชาชนอีกกลุ่มอพยพออกจากแหล่งทรายน้ำมันทางเหนือของฟอร์ตแมคเมอร์เรย์เมื่อวันเสาร์ ซึ่งเป็นการเดินทางที่ยากลำบาก เนื่องจากต้องผ่านพื้นที่มอดไหม้และมีกลุ่มควันหนาทึบลาริวี ยังตั้งความหวังว่า จะนำประชาชนราว 25,000 คน ที่หนีขึ้นไปทางเหนือตอนแรกแล้วถูกตัดขาด กลับลงไปทางใต้ภายในวันเสาร์  นอกจากนั้น ขณะนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ฟอร์ตแมคเมอร์เรย์จะฟื้นตัวเร็วแค่ไหน ราเชล น็อตลีย์ นายกรัฐมนตรี อัลเบอร์ตา แถลงเมื่อเช้าวันเสาร์ว่า ได้ปิดระบบแก๊สทั้งหมดในเมืองฟอร์ตแมคเมอร์เรย์ ระบบไฟฟ้าได้รับความเสียหาย ขณะที่น้ำประปาไม่สามารถดื่มได้  อย่างไรก็ตาม สก็อตต์ ลอง จากสำนักงานบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินของอัลเบอร์ตา กล่าวว่า ทางสำนักงานได้เริ่มวางแผนการอพยพประชาชนกลับทันทีที่สถานการณ์ปลอดภัยแล้ว ซึ่งแม้ไม่สามารถบอกได้ว่าเมื่อใด แต่เชื่อว่าคงจะไม่ยาวนานหลายเดือน

รอยเตอร์ - ตุรกียิงปืนใหญ่สังหารกลุ่มติดอาวุธกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) 55 คน ในภาคเหนือของซีเรียเมื่อช่วงเย็นวันเสาร์ (7) แหล่งข่าวกองทัพระบุ ในการตอบโต้การยิงจรวดนานหลายสัปดาห์ใส่เมืองพรมแดนแห่งหนึ่งของตุรกี  นอกเหนือจากการสังหารนักรบกลุ่มนี้ การยิงปืนใหญ่ใส่แคว้นซูราน และแคว้นทัลเอลฮิสน์ทางตอนเหนือของอเลปโป รวมทั้งเขตบารากิดาห์และเขตคูซัคสิก ยังได้ทำลายเครื่องติดตั้งขีปนาวุธ 3 เครื่อง และยานพาหนะ 3 คันด้วย แหล่งข่าวระบุในวันอาทิตย์ (8) เมื่อช่วงวันเสาร์ (7) การโจมตีทางอากาศของกลุ่มพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ ในซีเรียได้คร่าชีวิตกลุ่มติดอาวุธไอเอส 48 คน รายงานจากสำนักข่าวอนาโดลูของทางการระบุ เมืองพรมแดนคิลลิสของตุรกี ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับแนวหน้าของดินแดนที่ไอเอสยึดครองในซีเรีย ถูกจรวดโจมตีอยู่เป็นประจำในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ เมืองคิลลิสอยู่ห่างเมืองอเลปโปไปทางเหนือราว 60 กิโลเมตร อเลปโปเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในซีเรีย และรางวัลทางยุทธศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในสงครามกลางเมืองนี้ที่ดำเนินมากว่า 5 ปี กองทัพตุรกีมักตอบโต้ด้วยการระดมยิงปืนใหญ่เข้าสู่ภาคเหนือของซีเรีย แต่เจ้าหน้าที่กล่าวว่า มันเป็นเรื่องยากที่โจมตีเป้าหมายเคลื่อนที่ของกลุ่มไอเอสด้วยปืนครก เจ้าหน้าที่ตุรกี กล่าวว่า พวกเขาจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากพันธมิตรตะวันตกมากกว่านี้ในการปกป้องพรมแดน  จนถึงตอนนี้ การยิงจรวดใส่เมืองคิลลิสทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วราว 20 คน และบาดเจ็บเกือบ 70 คน อนาโดลู รายงาน

เอเจนซีส์/MGR online - บิญาน ซานเกเนห์ รัฐมนตรีกระทรวงปิโตรเลียมของอิหร่าน ออกมาเปิดเผยในวันเสาร์ (7 พ.ค.) โดยระบุ กำลังการผลิตน้ำมันรายวันของอิหร่านในขณะนี้ได้เพิ่มสูงขึ้นจนแตะระดับ 2.4 ล้านบาร์เรลต่อวันแล้ว กำลังการผลิตน้ำมันของอิหร่านขยับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ที่มาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงถูกยกเลิกไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ภายใต้ข้อตกลงประวัติศาสตร์ในเรื่องโครงการนิวเคลียร์  ระหว่างช่วงเวลาที่เราถูกคว่ำบาตร กำลังการผลิตน้ำมันของเราอยู่ที่ราว 1.35 ล้านบาร์เรลต่อวันเท่านั้น แต่ยอดการส่งออกน้ำมันของเราในชั่วโมงนี้ได้ปรับเพิ่มขึ้นมาเป็น 2.4 ล้านบาร์เรลต่อวันแล้วรัฐมนตรีว่าการกระทรวงปิโตรเลียมของอิหร่านกล่าวระหว่างเข้าร่วมพิธีเปิดนิทรรศการนานาชาติว่าด้วยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในกรุงเตหะราน ซึ่งมีบริษัทพลังงานเกือบ 2,000 แห่ง จาก 38 ประเทศเข้าร่วม เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวฟาร์ส รายงานว่า อิหร่านเริ่มการส่งออกน้ำมันไปยังลูกค้ารายสำคัญอย่างกรีซ ในปริมาณ 60,000 บาร์เรลต่อวัน ถือเป็นการรื้อฟื้นสายสัมพันธ์ด้านพลังงานครั้งเก่าก่อนระหว่างรัฐบาลเตหะราน กับดินแดนในยุโรปที่เคยเป็นผู้ซื้อน้ำมันรายสำคัญจากอิหร่าน ตั้งแต่ยุคก่อนการคว่ำบาตร มอห์เซน กัมซารี หนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของบรรษัทน้ำมันแห่งชาติของอิหร่าน (เอ็นไอโอซี) ระบุ การส่งออกน้ำมันจากอิหร่านไปยังกรีซได้เริ่มต้นแล้วในสัดส่วน 60,000 บาร์เรลต่อวัน  รายงานข่าวระบุว่า การส่งออกน้ำมันล็อตแรกนี้เป็นผลพวงมาจากการบรรลุข้อตกลงเมื่อเดือนมกราคม ระหว่างเอ็นไอโอซี กับทาง เฮลเลนิก ปิโตรเลียมซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านโรงกลั่นน้ำมันของกรีซ โดยที่ข้อตกลงระยะยาวฉบับนี้จะช่วยให้กรีซสามารถนำเข้าน้ำมันได้ครอบคลุมสัดส่วน 1 ใน 4 ของความต้องการใช้น้ำมันทั้งหมดของประเทศกรีซ ถือเป็นลูกค้าน้ำมันรายสำคัญของอิหร่านมายาวนานตั้งแต่ก่อนที่อิหร่านจะถูกโลกตะวันตกคว่ำบาตรเมื่อปี 2012 จากผลพวงของโครงการพัฒนานิวเคลียร์  ก่อนหน้านี้ บิญาน ซานเกเนห์ รัฐมนตรีกระทรวงปิโตรเลียมของอิหร่าน ออกมาเปิดเผยว่า มีคำสั่งซื้อจากหลายประเทศในยุโรปซึ่งจะทำให้อิหร่านสามารถส่งออกน้ำมันสู่ทวีปนี้ได้ในปริมาณมหาศาลราว 700,000 บาร์เรลต่อวัน หรือเป็นการ ทุบสถิติเดิมที่ยุโรปเคยสั่งซื้อน้ำมันจากอิหร่านในปริมาณ 400,000 บาร์เรลต่อวัน ในยุคก่อนการคว่ำบาตร  ทั้งนี้ อิหร่าน และมหาอำนาจทั้ง 6 ชาติ (กลุ่ม P5+1) ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ชาติ สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน บวกกับอีก 1 ประเทศมหาอำนาจจากฝั่งยุโรปอย่าง เยอรมนี สามารถบรรลุความตกลงประวัติศาสตร์ทางด้านนิวเคลียร์กันได้เมื่อ 14 ก.ค.ปีที่แล้ว ถือเป็นการปิดฉากการเจรจาแบบมาราธอนที่ใช้เวลายาวนานกว่า 1 ทศวรรษ และถือเป็นข้อตกลงซึ่งพลิกโฉมการเมือง และความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางครั้งใหญ่  หลังการบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาแถลงยกย่องว่า นี่ถือเป็นก้าวย่างสำคัญไปสู่ โลกแห่งความหวังที่เพิ่มสูงขึ้นและตอกย้ำในเวลาต่อมาว่า ข้อตกลงประวัติศาสตร์นี้ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางอาวุธนิวเคลียร์ และลดทอนความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง  ขณะที่ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ผู้นำสายกลางของอิหร่าน แถลงว่า ความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ครั้งนี้ถือเป็นข้อพิสูจน์ว่า การมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ได้ผลดียิ่ง และว่าหากการเผชิญหน้ากันอย่างศัตรูระหว่างวอชิงตัน และเตหะรานยังดำเนินอยู่ต่อไปก็คงไม่มีความเป็นไปได้แม้แต่น้อยที่ข้อตกลงเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้  อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศว่า จะเดินหน้าทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางทำลายล้างข้อตกลงอัปยศฉบับนี้ ซึ่งทางฝ่ายอิสราเอลมองว่าเป็น การยอมจำนนครั้งประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ และโลกตะวันตกให้แก่ชาติที่ชั่วร้ายอย่างอิหร่าน  ภายใต้ข้อตกลงนี้ มาตรการลงโทษคว่ำบาตรอิหร่านทั้งหลายทั้งปวงของสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (อียู) และองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่บังคับใช้มายาวนานได้ถูกยกเลิกเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา แลกเปลี่ยนต่อการที่รัฐบาลเตหะรานยอมตกลงตัดทอนโครงการนิวเคลียร์ของตน ซึ่งสหรัฐฯ และโลกตะวันตกสงสัยมาโดยตลอดว่า มีเป้าหมายในการสร้าง ระเบิดนิวเคลียร์ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เตหะรานยืนกรานปฏิเสธ  นักวิเคราะห์มองว่า การบรรลุข้อตกลงประวัติศาสตร์ครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะสำคัญ ทั้งสำหรับบารัค โอบามา และฮัสซัน รูฮานี และถือเป็นผลดีต่อการลดทอนความตึงเครียดในเวทีการเมืองระหว่างประเทศที่มีมายาวนาน ถึงแม้ว่าผู้นำทั้งสองต่างต้องเผชิญหน้าต่อแรงต่อต้านอย่างหนักหน่วงจากบรรดา นักการเมืองสายเหยี่ยวภายในประเทศของตนเอง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่นักการเมืองจำนวนมากยังคงมองอิหร่านเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่เป็น แกนอักษะแห่งปีศาจ  ด้านสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอ ของทางการอิหร่าน รายงานว่า ผลของข้อตกลงนิวเคลียร์นี้จะทำให้อิหร่านได้รับเงินนับหมื่นล้านดอลลาร์ที่ถูกอายัดไว้กลับคืนมา ขณะที่บรรดามาตรการคว่ำบาตรที่มีต่อธนาคารกลาง บริษัทน้ำมันแห่งชาติ บริษัทชิปปิ้ง และสายการบินของอิหร่านได้ถูกยกเลิก ถึงแม้มาตรการขององค์การสหประชาชาติในเรื่องการคว่ำบาตรห้ามซื้อขายอาวุธกับอิหร่านจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปอีก 5 ปี และห้ามอิหร่านจัดซื้อเทคโนโลยีด้านขีปนาวุธอีกนาน 8 ปี  ว่ากันว่า ผลประโยชน์ที่อิหร่านจะได้รับจากข้อตกลงนิวเคลียร์คราวนี้อาจสร้างความกังวลต่อพันธมิตรอาหรับของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกรณีของซาอุดีอาระเบีย ประเทศที่ปกครองโดยมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่เชื่อว่า อิหร่านซึ่งเปรียบเหมือนผู้นำของฝ่ายมุสลิมนิกายชีอะห์ให้การสนับสนุนต่อศัตรูของตนทั้งในสมรภูมิที่ซีเรีย เยเมน และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค  อย่างไรก็ดี รัฐบาลอเมริกันมองเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่านที่มี ศัตรูร่วมกันคือ กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่กำลังยึดครองพื้นที่กว้างขวางทั้งในอิรัก และซีเรียอยู่ในเวลานี้ และถือเป็น ภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อสันติภาพของโลก ในอีกด้านหนึ่งการยุติมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวง จะช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจอิหร่านเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถกลับเข้าสู่ ตลาดน้ำมันได้อีกครั้ง แม้ในความเป็นจริงแล้วกว่าที่น้ำมันจากอิหร่านจะกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดโลกได้อย่างเต็มรูปแบบนั้นอาจต้องรอถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2016 ก็ตาม

รอยเตอร์ - คิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ กล่าวเปิดประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ หรือที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่าพรรคผู้ใช้แรงงานเกาหลี ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ครั้งแรกในรอบ 36 ปี ในวันศุกร์ (6พ.ค.) ยกย่องความสำเร็จของประเทศในการทดสอบนิวเคลียร์และยิงดาวเทียมสู่อวกาศเมื่อไม่นานที่ผ่านมา ท่ามกลางความกังวลขึ้นเรื่อย ๆ ว่า มันจะเป็นอารัมภบทของการทดสอบนิวเคลียร์รอบที่ 5 รายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐเกาหลีเหนือ ที่ออกอากาศในช่วงค่ำวันศุกร์ (6 พ.ค.) เผยให้เห็นภาพผู้นำวัย 33 ปี ขนาบข้างด้วยเหล่าผู้ช่วยทางทหารระดับสูงระดับสูงของเขา ในห้องประชุมขนาดใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยเหล่านายทหารและผู้แทนพรรคจากทั่วประเทศหลายพันคน  คาดหมายว่า ระหว่างการประชุมครั้งนี้ นายคิมจะกระชับอำนาจการควบคุมเพิ่มเติม เหนือประเทศที่ถูกโดดเดี่ยวจากโลกภายนอกมากขึ้นเรื่อย ๆ จากความทะเยอทะยานทางอาวุธนิวเคลียร์ ในนั้นรวมถึงการทดสอบนิวเคลียร์รอบ 4 ในดือนมกราคม อันกระตุ้นให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติลงมติในเดือนมีนาคม เห็นชอบยกระดับคว่ำบาตรหนักหน่วงกว่าเดิม  ในปีแห่งการประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 7 กองทัพและพรรค ประสบความสำเร็จใหญ่หลวงในการทดสอบระเบิดไฮโดรเจนครั้งแรกและปล่อยดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลก กวางมยองซอง-4 (Kwangmyongsong-4) เพื่อเปร่งประกายความองอาจของ จูเช โจซอนเขากล่าวโดยอ้างถึงอุดมการณ์ที่ยึดถือในเกาหลีเหนือ ซึ่งผสมผสานระหว่างลัทธิมาร์ก กับชาตินิยมสุดขั้วของคิม อิลซุง ผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นปู่ของผู้นำคิมหนุ่ม ผลลัพธ์ออกมาประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  นักวิเคราะห์ต่างชาติคาดหมายว่า ผู้นำรุ่น 3 แห่งราชวงศ์คิม จะนำนโยบาย บยองจินมาใช้อย่างเป็นทางการ พร้อม ๆ กับการแสวงหาอาวุธนิวเคลียร์และพัฒนาเศรษฐกิจ หลังการจับกระต่าย 2 ตัว อาวุธนิวเคลียร์และพัฒนาเศรษฐกิจ มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะประกาศให้ประเทศของเขาเป็นรัฐอาวุธนิวเคลียร์ และนั่นคือเป้าหมายหนึ่งเดียวหยาง มู-จิน จากมหาวิทยาลัยศึกษาเกาหลีเหนือในกรงโซล ระบุ เขาอาจวางพิมพ์เขียว 5 หรือ 7 ปี สำหรับพัฒนาเศรษฐกิจ  ผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่ได้รับเชิญให้ไปรายงานข่าวการประชุม ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปภายในศูนย์วัฒนธรรม 25 เมษายน ขณะที่คาดหมายว่าจะมีผู้แทนของพรรคผู้ใช้แรงงานเกาหลีทั่วประเทศหลายพันคนมาร่วมประชุมสมัชชาที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1980 ก่อนที่นายคิมจะลืมตาดูโลกเสียอีก  สำนักข่าวยอนฮับของเกาหลีใต้ รายงานโดยอ้างสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐเกาหลีเหนือระบุว่า สมัชชาพรรคแรงงานแดนโสมแดง จะเปิดตัวพิมพ์เขียวอันเลิศเลอที่จะนำพาประเทศไปสู่ชัยชนะขั้นเด็ดขาดแห่งการปฏิวัติของเราภายใต้การนำของคิมจองอึน อนุญาตให้เศรษฐกิจตลาดนอกระบบเติบโตได้ แม้ไม่ได้บรรจุอยู่ในนโยบายของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ แต่ขณะเดียวกัน การพบเห็นแท็กซี่และรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนนมากขึ้น เช่นเดียวกับสินค้าต่าง ๆ ในร้านค้าและอาคารต่าง ๆ อยู่ระหว่างก่อสร้างมากมาย ก็พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าชาวเกาหลีเหนืเริ่มมั่งมีมากขึ้นและใช้จ่ายบริโภคมากขึ้น  เกาหลีใต้สั่งเฝ้าระวังขั้นสูง ท่ามกลางความคาดหมายว่าเกาหลีเหนือจะทดสอบนิวเคลียร์ครั้งที่ 5 ในช่วงเวลาเดียวกับเปิดประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ ขณะที่ในทางเทคนิคแล้ว เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ยังคงอยู่ในภาวะสงคราม เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างปี 1950 - 1953 สิ้นสุดลงด้วยข้อตกลงสงบศึกชั่่วคราว ไม่ใช่สนธิสัญญา

อาจไม่ต้องรอดูกันให้ยืดเยื้อยาวนานอีกต่อไป สำหรับศึกชิงชัยตำแหน่งตัวแทนพรรครีพับลิกัน เพราะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีชื่อดังส่อเค้าว่ากำลังจะได้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันแบบแบเบอร์ในการลงสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงปลายปีนี้ หลังจากที่ในวันอังคาร (3 พ.ค.) ที่ผ่านมา ทรัมป์เป็นฝ่ายเก็บชัยชนะในการเลือกตั้งขั้นต้นที่มลรัฐอินดีแอนา จนทำให้คู่แข่งคนสำคัญที่เหลือในสังเวียนอย่าง เท็ด ครูซ ตัดสินใจประกาศถอนตัวจากการชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคไปแล้ว  เมื่อเท็ด ครูซ วุฒิสมาชิกคนดังจากมลรัฐเทกซัส ออกมายอมรับแบบสิ้นท่าในวันอังคาร (3) โดยระบุ ตัวเขามองไม่เห็นหนทางที่เป็นไปได้เหลืออยู่อีกแล้ว ในการที่เขาจะได้รับการเสนอชื่อเป็นให้ตัวแทนพรรครีพับลิกันในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2016 และครูซได้ประกาศขอถอนตัวจากการแข่งขันอย่างเป็นทางการ การตัดสินใจของครูซที่กลายเป็น ข่าวดีสำหรับทรัมป์ในครั้งนี้ มีขึ้นภายหลังจากที่มีการประกาศผลการเลือกตั้งขั้นต้นที่มลรัฐอินดีแอนาซึ่งชี้ชัดว่าครูซเป็น ฝ่ายพ่ายแพ้ยับเยินให้แก่ทรัมป์ โดยที่ส.ว.ดังจากเทกซัสได้คะแนนเพียง 36.6 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ทรัมป์ได้คะแนนราว 53.3 เปอร์เซ็นต์  เรากำลังจะเป็นฝ่ายที่คว้าชัยชนะในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะถือเป็นชัยชนะขั้นเด็ดขาด และผมขอย้ำยุทธศาสตร์เดิมของผมที่ว่า อเมริกาจะต้องมาก่อนทรัมป์ประกาศกร้าวท่ามกลางกลุ่มผู้สนับสนุน ณ ศูนย์บัญชาการการเลือกตั้งในอาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ ในมหานครนิวยอร์ก หลังคว้าชัยเด็ดขาดในมลรัฐอินดีแอนา ชัยชนะสำหรับทรัมป์ที่อินดีแอนาถือเป็นชัยชนะในศึกเลือกตั้งขั้นต้นเป็นมลรัฐที่ 7 ติดต่อกันแล้ว ท่ามกลางความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าของเหล่าสมาชิกขบวนการหยุดยั้งสกัดกั้นทรัมป์ ที่มุ่งหวังที่จะยับยั้งไม่ให้มหาเศรษฐีฝีปากกล้าผู้นี้ ได้รับเสียงจากตัวแทนผู้ลงคะแนนถึงครึ่งหนึ่ง ก่อนหน้าที่จะถึงการประชุมใหญ่ของพรรครีพับลิกันในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้  ในอีกด้านหนึ่ง การตัดสินใจประกาศถอนตัวจากสังเวียนชิงตำแหน่งตัวแทนพรรครีพับลิกันของเท็ด ครูซ ถือเป็นเรื่องที่พลิกโผอยู่มิใช่น้อย เนื่องจากวุฒิสมาชิกคนดังที่มีจุดยืนอนุรักษนิยมแบบสุดขั้วรายนี้ ได้ประกาศย้ำมาโดยตลอดว่า เขาจะเดินหน้าชิงชัยเพื่อเป็นผู้สมัครของพรรครีพับลิกันไปจนกระทั่งถึง วันสุดท้าย  การเลือกที่จะก้าวถอยออกมาของครูซทำให้เวลานี้เหลือเพียง จอห์น คาซิก ผู้ว่าการมลรัฐโอไฮโอ ซึ่งได้คะแนนนิยมต่ำมากเพียงรายเดียวเท่านั้น ที่ยังคงยืนกรานจะเป็นคู่แข่งขันของโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อให้ได้เป็นตัวแทนรีพับลิกัน ในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงปลายปีนี้  ทั้งนี้ มีการประเมินว่า เมื่อเวลาล่วงเลยถึงวันที่ 7 มิถุนายน ซึ่งถือเป็นวันสุดท้ายของการจัดเลือกตั้งขั้นต้น ของฝ่ายรีพับลิกัน โดยที่จะมีการชิงชัยใน 5 มลรัฐและหนึ่งในนั้นคือรัฐใหญ่อย่างแคลิฟอร์เนีย นั้น โดนัลด์ ทรัมป์ น่าจะได้คะแนนตัวแทนผู้ออกเสียงเกินครึ่งตามที่ต้องการสำหรับการเป็นตัวแทนของพรรคในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีที่คาดว่าจะมีคู่แข่งเป็นนางฮิลลารี คลินตัน จากฝั่งเดโมแครต  นักวิเคราะห์การเมืองอเมริกันจากหลายสำนักลงความเห็นตรงกันว่า การคว้าชัยชนะอย่างต่อเนื่องของทรัมป์ เปรียบเหมือนกับเป็น กระจกบานใหญ่ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ชาวอเมริกันจำนวนหลายล้านคนที่เบื่อหน่ายเอือมระอา ต่อเหล่านักการเมืองจากกลุ่มอำนาจเก่า ยังพร้อมที่จะเทคะแนน ให้กับมหาเศรษฐีปากกรรไกรจากนิวยอร์กผู้นี้ ที่ถูกมองเป็นนักการเมืองทางเลือกใหม่  กระแสที่มาแรงแบบต่อเนื่องและดูเหมือนจะฉุดไม่อยู่ของโดนัลด์ ทรัมป์ ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้หลายฝ่ายเริ่ม มองข้ามช็อตไปแล้วว่า หากผู้สมัครจากฝั่งรีพับลิกันรายนี้เป็นฝ่ายที่เข้าวินคว้าตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯมาครองได้ในท้ายที่สุด นโยบาย อเมริกาต้องมาก่อนของทรัมป์จะถูกแปรเปลี่ยนมาประยุกต์ใช้ให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้อย่างไร และจะเกิดผลกระทบอย่างไรบ้าง หากแนวนโยบายนี้ซึ่งมีใจความสำคัญว่า บรรดาพันธมิตรของสหรัฐฯทั้งในเอเชียและยุโรปจะต้องควักกระเป๋าตัวเองมากขึ้นแทนการหวังพึ่งแต่การปกป้องจากกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯ ในการดูแลความมั่นคงอย่างเช่นที่ผ่านมา ถูกนำมาปรับใช้อย่างเต็มรูปแบบ

(เครดิตอ้างอิง : คอลัมน์ข่างต่างประเทศ , MGR online)

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น