ผู้เชี่ยวชาญกำลังตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการณ์โจมตีและสังหารหมู่ครูและนักเรียนของ "อาร์มี่ พับลิก สคูล" ในเมืองเปชวาร์ จังหวัดไคเบอร์ ปักตุนควา ของปากีสถาน อาจเป็นการตอบโต้ที่มาลาลา ซูซาฟไซ ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ คนร้ายที่มีจำนวนทั้งหมด 6 คน ได้ก่อเหตุสะเทือนขวัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ด้วยการบุกเข้าไปในโรงเรียน ที่มีนักเรียนราว 500 คน และเริ่มกราดยิงไม่เลือกหน้า พวกเขายังบังคับให้นักเรียนดูครูคนหนึ่งถูกราดน้ำมันและจุดไฟเผาทั้งเป็น และที่เธอถูกแยกออกมาโดยสังหารอย่างเหี้ยมโหด ก็เพราะเธอเป็นภรรยาของนายทหารคนหนึ่ง คนร้ายอีกคนหนึ่งกดระเบิดตัวเองในห้องเรียน ที่มีนักเรียนอยู่ถึง 60 คน เจ้าหน้าที่บอกว่า คนร้ายมีสายอยู่ในโรงเรียน ก่อนลงมือโจมตีที่มีการวางแผนมาอย่างดี กลุ่มเตห์รีค อี ตาลีบัน ปากีสถาน หรือ TPP ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบ และบอกด้วยว่า นี่แค่หนังตัวอย่างเท่านั้น นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ของอังกฤษ บอกว่า เป็นวันอันมืดมนของมนุษยชาติ และนับเป็นเหตุการณ์สังหารหมู่ที่เลวร้ายที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในภูมิภาคที่ปัญหาก่อการร้ายฝังรากลึกแห่งนี้ การที่เด็กนักเรียน 132 คน และครูอีก 9 คน ถูกสังหารหมู่ในครั้งนี้ ได้กลายเป็นรอยด่างและการโจมตีนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์ของปากีสถาน เด็กที่รอดชีวิตหลายคน ต่างเล่าเรื่องเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ตอนที่คนร้ายกรูเข้าไปในโรงเรียนและมองหาเด็กเพื่อเป็นเป้ากระสุนปืน ก่อนจะเปิดฉากยิงไม่เลือกหน้า ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มอย่างสะใจ และในช่วง 3 ชั่วโมงของปฏิบัติการโหด คนร้ายได้สังหารเด็กและครูไปถึง 141 คน ก่อนที่พวกเขาจะถูกวิสามัญ นอกจากผู้เชี่ยวชาญจะเชื่อว่า การลงมือของกลุ่มคนร้ายครั้งนี้ เป็นการตอบโต้ที่มาลาลาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพแล้ว ยังเชื่อว่าจะเป็นการแก้แค้นที่กองทัพปากีสถาน กวาดล้างตาลีบันอย่างหนักในพื้นที่นอร์ธ วาสิริสถาน ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มาลาลา บุคคลที่มีอายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เคยถูกตาลีบันจ่อยิงในระหว่างนั่งอยู่บนรถโรงเรียน เมื่อปี 2555 เพื่อเป็นการลงโทษที่เธอเคลื่อนไหวสนับสนุนการศึกษาแก่เด็กผู้หญิงในปากีสถาน ทำให้เธอกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับการกดขี่ผู้หญิงและสิทธิเพื่อการศึกษาจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ผู้เชี่ยวชาญ บอกว่า คนร้ายมีหลายเหตุผลในการโจมตีโรงเรียน แต่หนึ่งในนั้นคือการส่งสารไปถึงผู้สนับสนุนมาลาลา ซึ่งหลังเกิดเหตุ มาลาลาได้กล่าวว่า เธอหัวใจสลายจากการกระทำอันน่ากลัวที่เลือดเย็น แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคน ก็มองว่า การสังหารหมู่ครั้งนี้ พุ่งเป้าโดยตรงไปที่กองทัพปากีสถาน ที่ได้ชื่อว่า เกือบจะเป็นผู้ควบคุมทั้งความมั่นคงแห่งชาติและนโยบายต่างประเทศ โรงเรียนที่ถูกโจมตี ก็มีระบบการศึกษาที่แยกออกมา ทั้งยังมีการบริหารจัดการที่ดี รวมถึงมีอุปกรณ์การเรียนการสอนที่ดีกว่าโรงเรียนของลูกหลานพลเรือนทั่วไป ครูและนักเรียนก็ล้วนแล้วแต่เป็นภรรยาและลูกหลานของเจ้าหน้าที่ในกองทัพทั้งนั้น มีศพสองศพที่ถูกเผาจนจำไม่ได้ ถูกนำไปไว้ที่โรงพยาบาลทหารคอมไบน์ ในเมืองเปชวาร์ โดยเบื้องต้นพบว่า เป็นศพที่ไหม้เกรียมจากการระเบิดพลีชีพ โดยเชื่อว่า หนึ่งในจำนวนนี้ เป็นมือระเบิด และมีรายงานที่ยังไม่ยืนยันด้วยว่า บางศพที่ถูกส่งไปที่โรงพยาบาล ถูกตัดศีรษะด้วย ส่วนศพอื่นๆ ที่มีตั้งแต่อายุ 10-18 ปี ถูกยิงที่หน้าอกและศีรษะ
เด็กบางคนรอดชีวิตมาได้ เพราะเสื้อเปื้อนเลือดของเด็กอื่นและแกล้งตาย พ่อแม่บางคนรับศพลูกไปผิด เพราะใบหน้าไหม้เกรียมจากแรงระเบิดจนจำไม่ได้ กองทัพได้สรุปจำนวนผู้เสียชีวิตว่าเป็นเด็กนักเรียน 132 คน ครู 9 คน และเด็กที่บาดเจ็บอีก 122 คน ส่วนคนร้ายถูกวิสามัญทั้งหมด หน่วยข่าวกรองและตำรวจ ได้ใช้ปฏิบัติการบุกในเมืองเปชวาร์โดยทันควันหลังเกิดเหตุ และจับกุมผู้นำศาสนาได้ 2 คน กับคนที่เชื่อว่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุโจมตีที่เกิดขึ้นอีก 27 คน นอกจากนี้ ยังเชื่อว่า คนร้ายมีสายอยู่ในโรงเรียน เพราะพวกเขารู้ว่า มีเด็ก 150 คน กำลังดูการสาธิตการปฐมพยาบาลอยู่ภายในห้องประชุมใหญ่ พวกเขายังตามล่าเหล่าภรรยาทหารและสังหารพวกเธออีกด้วย ด้านกลุ่มตาลีบันในอัฟกานิสถาน ได้ประนามการโจมตีที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า การสังหารเด็กๆ ผู้บริสุทธิ์ ผิดหลักการของตาลีบัน และยังแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวผู้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักด้วย แต่กลุ่ม TTP อ้างว่า ได้ส่งมือปืนเข้าไปในโรงเรียน เพื่อตอบโต้กองทัพปากีสถาน ที่กวาดล้าง TTP และพันธมิตรในแถบนอร์ธ วาซิริสถาน อย่างหนัก พวกเขาอ้างว่าสมาชิกในครอบครัวได้ล้มตายไปเป็นจำนวนมากจากปฏิบัติการของกองทัพ และเลือกโรงเรียนของกองทัพ ก็เพราะรัฐบาลเล่นงานครอบครัวของพวกเขาก่อน และต้องการให้กองทัพรู้สึกเจ็บปวดเช่นเดียวกัน
เอเอฟพี/บีบีซี - ตำรวจบุกจู่โจมเข้าไปยังคาเฟ่กลางเมืองซิดนีย์ในช่วงเช้ามืดวันอังคาร(16ธ.ค.) หลังกลุ่มมือปืนควบคุมตัวพนักงานและลูกค้าร้านช็อกโกแลตเป็นตัวประกันตั้งแต่ช่วงเช้าวันจันทร์(15ธ.ค.) และชูธงอิสลามที่หน้าต่างกระจกของร้าน ขณะที่สำนักข่าวชื่อดังอ้างคำสัมภาษณ์ของตำรวจยืนยันเหตุจับตัวประกันยุติลงแล้ว ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีใกล้จุดเกิดเหตุได้ยินเสียงดังสนั่นหลายรอบ ระหว่างที่ตำรวจบุกเข้าไปภายใน จากนั้นก็พบเห็นตัวประกันหลายคนวิ่งออกมาจากอาคารและเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ก็รุดเข้าไปช่วยเหลือคนเหล่านั้น โดยสำนักข่าวบีบีซีรายงานว่าเบื้องต้นมีตัวประกันได้รับบาดเจ็บอย่างน้อยๆ 2 ราย และอ้างคำสัมภาษณ์ของตำรวจระบุว่าสถานการณ์จับตัวประกันคลี่คลายลงแล้วหลังสถานการณ์ยืดเยื้อมากว่า 16 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามยังไม่ทราบชะตากรรมของมือปืน โฆษกตำรวจยืนยันว่า "ปฏิบัติการสิ้นสุดลงแล้ว" ในตอนเช้าวันอังคาร(16ธ.ค.) แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ทางสำนักข่าวเอพีรายงานว่าตำรวจจู่โจมเข้าไปยังลินด์ท ช็อกโกแลต คาเฟ่ ไม่นานหลังพบเห็นตัวประกันราว 5 ถึง 6 คนวิ่งหนีออกมา จากนั้นพบเห็นผู้หญิงคนหนึ่งถึงกับร่ำไห้หลังได้รับความช่วยเหลือจากตำรวจ และคนอื่นๆอีก 2 รายถูกหามเปลออกมา เมื่อไปถึงโรงพยาบาล แพทย์พยายามทำการปั๊มหัวใจ แต่ในที่สุดได้เสียชีวิตลงแล้วทั้ง 2 ราย และมีรายงานข่าวว่าชายผู้ก่อเหตุเป็นชาวอิหร่าน วัย 49 ปี เป็นผู้ที่อพยพหนีภัยสงครามมาเมื่อปี 1996 คาดว่ามีการต่อสู้กันจนเสียชีวิตแล้ว แต่ยังไม่มีการรายงานอย่างเป็นทางการ
สถานการณ์บริเวณชายฝั่งตะวันออกของฟิลิปปินส์
หลังถูกพายุไต้ฝุ่น"ฮากูปิต"พัดถล่มในพื้นที่ ล่าสุด ประชาชนหลายแสนคน
ภายในศูนย์อพยพชั่วคราว เริ่มทยอยเดินทางกลับไปยังบ้านเรือนของตน
เพื่อสำรวจสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้น หลังพายุลูกนี้อ่อนกำลังลงแล้ว และเตรียมมุ่งหน้าไปทางฝั่งตะวันตกของประเทศรวมถึงกรุง"มะนิลา"
ด้วยความเร็วลมลดลง เหลือเพียง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แต่ทางการยังคงประกาศเตือนประชาชนให้เพิ่มความระมัดระวังอิทธิพลของพายุอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะฝนตกหนักคลื่นสูง น้ำท่วมฉับพลัน และดินถล่มในพื้นที่ เบื้องต้น มีรายงานผู้เสียชีวิตจากพายุในครั้งนี้
4 คน ประชาชนใน 16 จังหวัด
ไม่มีไฟฟ้าใช้ และมีการประกาศยกเลิกเที่ยวบินทั้งหมด 183
เที่ยว รวมถึงในวันนี้ ตลาดหุ้น และโรงเรียน ยังประกาศปิดทำการด้วย อย่างไรก็ตาม
จนถึงขณะนี้ ยังมีบางพื้นที่ที่ทางการยังไม่สามารถส่งความช่วยเหลือเข้าไปได้
เนื่องจากมีฝนตกหนัก และต้นไม้หักโค่นปิดทับเส้นทาง
จึงทำให้ยังไม่สามารถประเมินภาพรวม ความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้
นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ ระบุว่า ปัญหาคนไม่เชื่อใจตำรวจว่าปฏิบัติต่อประชาชนอย่างเป็นธรรมไม่ใช่ปัญหาของคนผิวดำหรือผิวสีเท่านั้น
แต่ปัญหาระดับประเทศ หลังเกิดการประท้วงคดีตำรวจผิวขาวทำร้ายคนผิวสีเสียชีวิต 2
คดีติดต่อกันใน 2 สัปดาห์ ประธานาธิบดีโอบามา แถลงหลังจากคณะลูกขุนใหญ่รัฐนิวยอร์กตัดสินไม่ฟ้องตำรวจผิวขาวที่ล็อกคอนายเอริก
การ์เนอร์ ชายผิวดำวัย 43 ปีจนเสียชีวิตระหว่างการจับกุมเมื่อวันที่
17 กรกฎาคมที่ผ่านมาเพราะต้องสงสัยขายบุหรี่เถื่อนว่า มีกรณีเกิดขึ้นมากมายเหลือเกินที่แสดงให้เห็นว่าผู้คนไม่เชื่อใจว่าตำรวจปฏิบัติต่อญาติมิตรของพวกเขาอย่างเป็นธรรม
บางกรณีเกิดจากความเข้าใจผิด บางกรณีเป็นความจริง เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของชาวอเมริกันทุกคนที่จะต้องตระหนักว่า
ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาของคนผิวดำหรือคนผิวสี แต่เป็นปัญหาของประเทศ ด้านนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก
นายบิล เดอ บลาซิโอ กล่าวว่า ทางการจะต้องแก้ไขความจริงพื้นฐานที่ถูกตอกย้ำทั้งจากกรณีของนายการ์เนอร์
และกรณีของนายไมเคิล บราวน์ วัยรุ่นผิวดำวัย 18 ปีที่ถูกตำรวจผิวขาวเมืองเฟอร์กูสันยิงเสียชีวิตเมื่อเดือนสิงหาคม นอกจากนี้ นายเดอ
บลาซิโอที่มีภรรยาเชื้อสายแอฟริกัน และลูก 2 คน กล่าวว่า รู้ดีว่าวัยรุ่นผิวดำจะต้องประสบกับสิ่งใดบ้าง
ทุกครอบครัวจะต้องสอนเด็กว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับตำรวจ พร้อมตั้งข้อสังเกตด้วยว่า
สหรัฐรับมือกับเรื่องสีผิวมานานหลายศตวรรษแล้ว
และเห็นว่าโครงการนำร่องติดกล้องที่ตัวตำรวจเพื่อบันทึกภาพขณะปฏิบัติหน้าที่จะช่วยสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือขึ้นได้ ขณะที่รัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐ นายเอริค โฮลเดอร์ แถลงว่า จะเร่งตรวจสอบกรณีการเสียชีวิตของนายการ์เนอร์อย่างอิสระและเป็นธรรม
พร้อมทั้งเรียกร้องให้ผู้ประท้วงคดีนี้ชุมนุมอย่างสันติ
ผู้สังเกตุการณ์ทางการเมืองในจีนชี้
การตัดสินใจจับกุมและขับ"โจว หย่งคัง" ออกจากพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นการกระทำอันกล้าหาญ
และสะท้อนถึงอำนาจของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ในรอบหลายทศวรรษของประวัติศาสตร์การเมืองจีน ทั้งนี้ คณะกรมการเมืองจีน หรือโปลิตบูโร ซึ่งเป็นคณะกรรมการกำหนดนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์จีน แถลงว่า การจับกุมเกิดขึ้น หลังจากที่ทางพรรคได้เริ่มต้นสอบสวนพฤติกรรมของนายโจว
หนึ่งในนักการเมืองทรงอิทธิพลที่สุดของประเทศเมื่อทศวรรษที่แล้ว
ตั้งแต่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และพบว่า นายโจว
ละเมิดวินัยของพรรคอย่างร้ายแรง ด้วยการใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปหาประโยชน์จากบุคคลอื่น
ทั้งยังรับสินบนจำนวนมหาศาล ทั้งด้วยตัวเอง และผ่านทางครอบครัว นอกจากนี้ ยังใช้อำนาจในทางมิชอบ
เอื้อประโยชน์ให้กับญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง และภรรยาน้อย ในการทำธุรกิจ
ส่งผลให้รัฐต้องขาดทุนอย่างมาก นอกเหนือจากเรื่องการนำความลับทั้งของพรรคและของประเทศออกไปเปิดเผย ผู้เชี่ยวชาญด้านกฏหมายจีนจากฟอร์ดแฮม ลอว์ สคูล นายคาร์ล
มินซ์เนอร์ ให้ความเห็นว่า การตั้งข้อกล่าวหานายโจวของประธานาธิบดีสี ถือเป็นการแหวกธรรมเนียมปฎิบัติที่มีมาช้านานของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มักจะยกเว้นเจ้าหน้าที่ระดับสูงมากๆในพรรคคอมมิวนิสต์ ไม่ต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดี
หลังจากที่เกษียณจากตำแหน่งไปแล้ว นายมินซ์เนอร์ กล่าวด้วยว่า การโค่นอำนาจนายโจว ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในจีน สะท้อนให้เห็นถึงอำนาจอันมหาศาลของนายสี
ในระบบการเมืองของจีนชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
นับตั้งแต่เริ่มยุคปฏิรูปประเทศ ในปลายปี 1970 ทั้งยังตอกย้ำว่า
ขณะนี้เกมการเมืองในจีนได้เปลี่ยนไปแล้ว
การถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐและยุโรป, ราคาน้ำมันดิ่งลงและค่าเงินรูเบิลที่อ่อนลงถึง 63 เปอร์เซ็นต์
ล้วนส่งผลต่อเศรษฐกิจรัสเซีย แต่กลับไม่กระทบต่อแรงสนับสนุนที่ชาวรัสเซีย
มีต่อประธานาธิบดีปูติน โดยผลสำรวจล่าสุดของ เลวาดา เซ็นเตอร์ พบว่า ผู้ถูกสำรวจ
57 % จาก 1,600 คน ใน 46 เขต ของรัสเซีย
ยกให้ประธานาธิบดีปูตินเป็นหนึ่งในผู้นำที่พวกเขาไว้วางใจมากที่สุด และผู้ถูกสำรวจ
85 % ยังพอใจผลงานการเป็นผู้นำของเขาด้วยการถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐและยุโรป, ราคาน้ำมันดิ่งลงและค่าเงินรูเบิลที่อ่อนลงถึง 63 เปอร์เซ็นต์
ล้วนส่งผลต่อเศรษฐกิจรัสเซีย แต่กลับไม่กระทบต่อแรงสนับสนุนที่ชาวรัสเซีย
มีต่อประธานาธิบดีปูติน โดยผลสำรวจล่าสุดของ เลวาดา เซ็นเตอร์ พบว่า ผู้ถูกสำรวจ
57 % จาก 1,600 คน ใน 46 เขต ของรัสเซีย
ยกให้ประธานาธิบดีปูตินเป็นหนึ่งในผู้นำที่พวกเขาไว้วางใจมากที่สุด และผู้ถูกสำรวจ
85 % ยังพอใจผลงานการเป็นผู้นำของเขาด้วย
ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 5 ปีในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาส่งผลกระทบอย่างหนักต่อประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน
รวมไปถึงค่าเงินรูเบิลรัสเซียที่ดิ่งเหวเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
แต่ถึงกระนั้นกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันหรือ “โอเปก”
ก็ยังยืนกรานที่จะคงระดับการผลิตไว้เท่าเดิม
ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
ชี้ราคาน้ำมันตกต่ำจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลก เข้าตำรามี “ผู้แพ้”
ก็ต้องมี “ผู้ชนะ” เมื่อวันที่ 27 พ.ย.
กลุ่มชาติโอเปกซึ่งนำโดยซาอุดีอาระเบียได้ตัดสินใจคงกำลังการผลิตที่ 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันในสหรัฐฯ ดิ่งลงทันที 4 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเปิดตลาดวันศุกร์(28 พ.ย.)
และยังคงดิ่งแรงต่อเนื่องมาจนถึงวันจันทร์ (1 ธ.ค.)
ซึ่งแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี
ขณะที่ประเทศสมาชิกรายย่อยอย่างเวเนซุเอลากลับต้องการให้โอเปกลดกำลังผลิต เพื่อพยุงราคาน้ำมันไม่ให้ตกต่ำไปกว่าที่เป็นอยู่ ซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในกลุ่มโอเปกแถลงเมื่อวันจันทร์(1)
ว่า เห็นด้วยกับการตัดสินใจของโอเปก ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า
ริยาดทำเช่นนี้เพราะต้องการให้ผู้ผลิตน้ำมันหินดินดาน (shale oil) ในสหรัฐฯ หรือแม้กระทั่งสมาชิกโอเปกบางประเทศต้องพลอยฟ้าพลอยฝน
โดยหวังผลในการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดระยะยาว
เพราะสภาพเศรษฐกิจของริยาดเองยังสามารถทนต่อราคาน้ำมันที่ตกต่ำได้อีกนานพอสมควร นับแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา
ราคาน้ำมันโลกปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเกือบ 40% โดยมีปัจจัยสำคัญจากผลผลิตน้ำมันหินดินดานของสหรัฐฯที่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น
ส่งผลให้ปริมาณการผลิตสูงเกินกว่าอุปสงค์
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยลบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป ทั้งนี้ หากสมาชิกโอเปก 12
ประเทศซึ่งผลิตน้ำมันดิบป้อนตลาดโลกถึง 1 ใน
3 ดำเนินการลดกำลังผลิตเพียงฝ่ายเดียวโดยปราศจากความเคลื่อนไหวแบบเดียวกันของคู่แข่ง
พวกเขาก็เสี่ยงที่จะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเติม
โดยเฉพาะกับเหล่าชาติผู้ผลิตน้ำมันจากหินดินดานในอเมริกาเหนือ
แต่อีกด้านหนึ่งหากตัดสินใจคงกำลังผลิตในปัจจุบันก็เท่ากับว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งของตลาด นักวิเคราะห์มองว่า
สงครามราคาครั้งนี้อาจทำให้น้ำมันหินดินดานสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในอนาคต
เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตสูงกว่า ซึ่งจะช่วยคลายแรงกดดันต่อโอเปกในระยะยาว
|
ราคาน้ำมันที่ตกต่ำยังส่งผลกระทบถึงประเทศที่ต้องพึ่งพาการส่งออกพลังงาน
โดยเฉพาะรัสเซียซึ่งค่าเงินรูเบิลดิ่งลง 9% มาอยู่ที่ 53.9
รูเบิลต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ และ 67 รูเบิลต่อ 1 ยูโร ในวันจันทร์(1 ธ.ค.) ซึ่งถือเป็นการอ่อนค่าหนักสุดในรอบวัน นับตั้งแต่ปี 1998 เงินรูเบิลรัสเซียอ่อนค่าลงเกือบ
60% ตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันตกต่ำ
ตลอดจนมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกที่หมายบีบรัสเซียให้เลิกสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในภาคตะวันออกของยูเครน รัสเซียนั้นมีรายได้หลักจากการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่กังวลว่า
เศรษฐกิจแดนหมีขาวเริ่มส่อสัญญาณเข้าสู่ภาวะถดถอย
ในขณะที่รัฐบาลมอสโกยังดึงดันไม่ยอมเปลี่ยนแปลงจุดยืนในเรื่องยูเครน
อุปสงค์น้ำมันที่ลดลงในยุโรป ประกอบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เสื่อมถอย ทำให้รัสเซียตัดสินใจระงับโครงการสร้างท่อส่งก๊าซเซาธ์สตรีม (South Stream) ซึ่งจะลอดผ่านทะเลดำเข้าสู่บัลแกเรียและต่อไปยังสหภาพยุโรป ทั้งๆ ที่โครงการนี้จะช่วยให้รัสเซียสามารถส่งก๊าซธรรมชาติเข้าถึงแผ่นดินยุโรปได้โดยไม่ต้องผ่านยูเครนปีละ 63 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 10% ของความต้องการใช้ก๊าซในยุโรป เวเนซุเอลา ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่จากละตินอเมริกา ก็เริ่มหามาตรการบรรเทาความเสียหายจากปัญหาราคาน้ำมันตกต่ำ ประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร ได้ออกคำสั่งตัดทอนงบประมาณรายจ่ายภาครัฐเมื่อวันศุกร์ (28 พ.ย.) โดยให้หั่นเงินเดือนเจ้าหน้าที่รัฐบาลตั้งแต่ระดับกระทรวงไปจนถึงรัฐวิสาหกิจ ไม่เว้นกระทั่งเงินเดือนของประธานาธิบดีเอง รายได้จากการจำหน่ายน้ำมันถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของเวเนซุเอลา ซึ่งปัจจุบันมีหนี้สินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังต้องเผชิญปัญหาเงินเฟ้อและการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคขั้นพื้นฐานซึ่งทำให้ประชาชนไม่พอใจ ด้าน คริสติน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการใหญ่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กลับมีมุมมองต่อวิกฤตราคาน้ำมันไปในเชิงบวก โดยชี้ว่าราคาน้ำมันซึ่งตกต่ำอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนอาจกระทบต่อผู้ส่งออกน้ำมันดิบบางราย แต่ในภาพรวมถือว่าเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลก เนื่องจากผู้บริโภคและภาคธุรกิจสามารถใช้พลังงานได้ในราคาที่ถูกลง และอาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศที่พัฒนาสูงสุดให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นราว 0.8% “งานนี้จะมีทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ แต่โดยพื้นฐานสุทธิถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับเศรษฐกิจโลก” บอสหญิงไอเอ็มเอฟ วัย 58 ปี กล่าวในการประชุมผู้นำภาคธุรกิจซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์เนิล ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย แสดงความเห็น หลังมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ของสหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐ มีผลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า รัสเซีย ไม่ตัดความเป็นไปได้ว่าจะดำเนินมาตรการตอบโต้ยุโรป แต่มาตรการเหล่านั้น ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อรัสเซีย และเป็นไปเพื่อปกป้องประเทศ ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ในแง่ความเป็นหุ้นส่วนการค้า และความร่วมมือในภาคอุตสาหกรรมที่ถูกอียูคว่ำบาตรนั้นประธานาธิบดีปูติน กล่าวว่า ทางเลือกอื่นนั้นมีอยู่เสมอ เมื่อใครบางคนไม่ต้องการคบค้ากับรัสเซีย และหากทบทวนปัญหาในภาพรวม จะพบด้านบวกมากกว่าด้านลบ มาตรการคว่ำบาตรจะเปิดโอกาสใหม่ๆ แก่ภาคการผลิตของรัสเซีย ผู้นำรัสเซีย วิจารณ์มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ว่า จะส่งผลกระทบต่อรัสเซียเพียงน้อยนิด และเป็นความพยายามบ่อนทำลายสถานการณ์ในยูเครน แทนจะช่วยคลี่คลาย โดยเฉพาะการใส่ชื่อนายอิกอร์ พล็อตนิสกี้ ผู้สถาปนาตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนแดเนียสค์ ในบัญชีบุคคลที่ถูกคว่ำบาตร อาจกระทบต่อการเจรจาสันติภาพในยูเครน มาตรการคว่ำบาตรใหม่ของยุโรป มุ่งเป้าภาคพลังงาน การเงินและกลาโหมของรัสเซีย โดยเฉพาะสามบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ รอสเนฟต์ ทรานสเนฟต์ และกาซพรอม เนฟต์ ถูกห้ามระดมทุนระยะยาวในตลาดทุนยุโรป การส่งออกเทคโนโลยีทางทหารของบริษัทรัสเซีย 9 แห่งก็ถูกคว่ำบาตรด้วย รวมถึงบริษัทผู้ผลิตปืนคาลาชนิคอฟ นอกจากนี้ ยังมีธนาคารของทางการรัสเซีย 5 แห่ง ที่ถูกห้ามกู้เงินระยะยาวเกิน 30 วันจากบริษัทยุโรป กับห้ามบุคคล 24 คน รวมถึงนักธุรกิจ สมาชิกรัฐสภารัสเซีย ซึ่งเป็นพันธมิตรของประธานาธิบดีปูติน ตลอดจนนักการเมืองในไครเมียและดอนบาส เดินทางเข้าอียู และอายัดทรัพย์สิน เที่ยวบินหลายเที่ยวในญี่ปุ่น ถูกยกเลิกหรือไม่ก็เปลี่ยนเส้นทางในวันนี้ (27 พ.ย.) เพื่อหลีกเลี่ยงควันไฟและเถ้าถ่านที่พวยพุ่งออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟอาโสะ บนเกาะคิวชู ทางตอนใต้ของประเทศ ทั้งนี้ สายการบินเจแปน แอร์ไลน์ส และออล นิปปอน แอร์เวย์ส เตือนผู้โดยสารเรื่องเที่ยวบินที่ถูกยกเลิก หรือเปลี่ยนเส้นทางลงจอดที่สนามบินคุมาโมโต เนื่องจากเถ้าภูเขาไฟลอยสูงถึง 800 เมตร โดยโฆษกของเจแปน แอร์ไลน์ส กล่าวว่า วันนี้ มีการยกเลิกเที่ยวบิน 8 เที่ยว ที่จะออกจากสนามบิน และอีก 4 เที่ยวบิน ที่จะเข้าไปลงจอด และยังมีอีกหนึ่งเที่ยวบิน ที่เปลี่ยนเส้นทางไปลงจอดที่สนามบินใกล้เคียงแทน และอาจมีอีกหลายเที่ยวบินที่ได้รับผลกระทบถ้าการปะทุของภูเขาไฟเลวร้ายลงไปอีก ขณะที่ โฆษกสนามบินคุมาโมโต กล่าวว่า มีการยกเลิกหนึ่งในเที่ยวบินนานาชาติ ส่วนอีกหนึ่งเที่ยวบินเปลี่ยนเส้นทางลงจอด ภูเขาไฟอาโสะ เริ่มปะทุเมื่อวันอังคาร ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านภูเขาไฟได้เตือนว่า หินภูเขาไฟและเถ้าถ่านอาจตกลงไปในรัศมี 1 กิโลเมตรรอบภูเขาไฟ และครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี ที่ภูเขาไฟอาโสะปะทุ และเกิดขึ้นในเวลา 2 เดือน หลังจากภูเขาไฟออนตาเกะ ในเมืองนางาโน่ปะทุโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า คร่าชีวิตนักปีนเขากว่า 60 คน ขณะเดียวกัน เมื่อเดือนที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนว่า จะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติบนเกาะคิวชู ที่อาจทำให้บางพื้นที่ ที่เป็นที่อยู่อาศัยของประชาชน 7 ล้านคน ต้องถูกฝังอยู่ใต้หินหลอมละลายภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น