ทั่วประเทศสหรัฐฯ
ต้องเผชิญกับสภาพอากาศหนาวเย็นถึงจุดเยือกแข็ง บางพื้นที่อุณหภูมิติดลบ
นับเป็นเดือนพฤศจิกายนที่มีอากาศหนาวเย็นที่สุดในรอบ 38 ปี
พยากรณ์อากาศคาดว่า
ในวันนี้พื้นที่ทั่วประเทศตั้งแต่รัฐไอดาโฮไปจนถึงเนบราสกา และ ไอโอวา
ไปยังทางใต้ที่รัฐเท็กซัส และ สุดแนวพื้นที่ทางตะวันออกของประเทศที่แถบเกรท เลคส์
จะยังคงเผชิญกับอุณหภูมิที่หนาวเย็นที่สุดเป็นประวัติการณ์ของเดือนพฤศจิกายนต่อไปอีก
ที่รัฐนิวยอร์ค ได้รับผลกระทบหนักที่สุด
เมื่อวานนี้พายุหิมะที่เกิดขึ้นทำให้บางพื้นที่ในเมืองบัฟฟาโรเกิดหิมะท่วมสูงถึง 6
ฟุต โดยในช่วงระยะเวลา 1 ชั่วโมง
หิมะที่ตกลงมาวัดปริมาณได้ 7.6-12.7 เซนติเมตร รถยนต์ และ
รถบรรทุกขนาดใหญ่จำนวนมาก ติดค้างอยู่ตามท้องถนนที่ถูกหิมะท่วมสูงที่ตกขาวโพลนแทบทุกพื้นที่ มีรายงานว่า
นักกีฬาหญิงในทีมบาสเก็ตบอลของมหาวิทยาลัย Niagara ติดอยู่ในรถบนถนนหลวงเกือบ
24 ชั่วโมง ซึ่งอากาศหนาวเย็นเช่นนี้
โดยปกติจะเกิดขึ้นช่วงปลายเดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค
เผยว่าได้เตรียมเจ้าหน้าที่จากกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติ
เข้ามาช่วยเจ้าหน้าที่ในนิวยอร์คช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ว
และได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในพื้นที่ 10 แห่ง มีรายงานรถไฟแอมแทร็ค ทางเมืองอัลเบนีไปยังบัฟฟาโรต้องระงับการให้บริการด้วย
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมาดริด
ประเทศสเปน เมื่อวันที่ 9 พ.ย. ว่า
ชาวสเปนเดินขบวนในอย่างน้อย 52 เมืองทั่วประเทศเมื่อวันเสาร์
เพื่อแสดงพลังคัดค้านแผนการลงประชามติอย่างไม่เป็นทางการ
ที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 9 พ.ย. ของชาวแคว้นกาตาลุญญา
ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อแยกดินแดนเป็นเอกราช
โดยในกรุงมาดริดประชาชนหลายร้อยคนฟังการอ่านแถลงการณ์ของ นายมาริโอ มาร์กัส โยซา
นักเขียนผู้พิชิตรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ซึ่งกล่าวถึงการลงประชามติครั้งนี้ว่า
ไม่เคารพ "หลักนิติธรรม หรือเจตจำนงที่แท้จริงของประชาชน" ที่เมืองบาร์เซโลนา
ซึ่งเป็นเมืองเอกของแคว้นกาตาลุญญา เกิดการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย
ระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนและฝ่ายคัดค้านการลงประชามติ ทางด้าน นายอาเธอร์ มาส
ผู้นำแคว้นกาตาลุญญา กล่าวเตือนว่า ความเคลื่อนไหวใดๆ ของสเปน
ในการขัดขวางการลงประชามติเชิงสัญลักณ์ในครั้งนี้
จะถือเป็นการโจมตีประชาธิปไตยโดยตรง ศาลรัฐธรรมนูญสเปนมีคำสั่งในสัปดาห์นี้
ให้รัฐบาลแคว้นปกครองตนเองกาตาลุญญาระงับการลงประชามติ
แต่รัฐบาลชาตินิยมของชาวกาตาลัน
ประกาศจะเดินหน้าจัดการหยั่งเสียงประชามติตามแผนที่กำหนดไว้ ส่วน นายกรัฐมนตรีมาเรียโน
ราฆอย ของสเปน กล่าวว่า
สเปนไม่สามารถจัดการลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชเหมือนสกอตแลนด์
เนื่องจากสเปนมีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษรบัญญัติห้ามไว้ ขณะที่ของอังกฤษไม่มี ชาวแคว้นคาตาโลเนียออกไปลงคะแนนเสียงในการทำประชามติถามประชาชน
ว่าคาตาโลเนียควรจะแยกตัวเป็นอิสระจากประเทศสเปนหรือไม่
ฝ่าฝืนคำสั่งศาลที่สั่งให้พวกเขาระงับการทำประชามติครั้งนี้...สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า
ชาวแคว้นคาตาโลเนียออกไปลงคะแนนเสียงในการทำประชามติเชิงสัญลักษณ์
ว่าพวกเขาควรจะแยกตัวเป็นอิสระจากประเทศสเปนหรือไม่แล้ว ในวันอาทิตย์ (9 พ.ย.)
โดยไม่ฟังเสียงต่อต้านอย่างหนักจากรัฐบาลกลางสเปน
รวมถึงคำสั่งศาลซึ่งระบุให้ระงับการโหวตครั้งนี้
ชาวกาตาลันจำนวนมากออกไปใช้สิทธิ์ตั้งแต่เช้า โดยบัตรลงคะแนนจะถามผู้มาใช้สิทธิ์ว่า
แคว้นคาตาโลเนียควรมีสถานะเป็นรัฐหรือไม่
หากใช้คาตาโลเนียควรแยกตัวเป็นอิสระหรือไม่ เคลาดิโอ วาบันกา
ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวอัลจาซีรา รายงานจากเมืองบาร์เซโลนา
เมืองเอกของแคว้นคาตาโลเนีย ว่า สถานที่หลายพันแห่งรวมทั้งโรงเรียนเอกชน
ถูกใช้เป็นหน่วยเลือกตั้ง ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นคาตาโลเนียคาดว่า
จะมีอาสาสมัครเข้ามาช่วยเหลือในหน่วยเลือกตั้งต่างๆทั่วทั้งแคว้นกว่า 40,000 คน ด้านนาย มิเกล อันโซ มูราโด
นักวิเคราะห์การเมืองชาวสเปน ให้สัมภาษณ์กับอัลจาซีราว่า
ผู้สนับสนุนการลงคะแนนเสียงประชามติอย่างไม่เป็นทางการครั้งนี้
จำเป็นต้องรวบรวมคะแนนโหวตให้ได้เกิน 2 ล้านเสียง
เพื่อกดดันรัฐบาลกลางให้เห็นด้วยกับการทำประชามติอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ แคว้นคาตาโลเนียมีประชากรประมาณ 7.5
ล้านคน เป็นหนึ่งในแคว้นที่มั่งคั่งที่สุดของสเปน
คาตาโลเนียเริ่มผลักดันการขยายอำนาจปกครองตนเองในปี 2006
หลังพวกเขาออกกฎบัตรกำหนดสถานะตนเองเป็น 'ประเทศ'
ก่อนจะถูกศาลรัฐธรรมนูญปฏิเสธในปี 2010
ซึ่งทำให้ความต้องการแยกดินแดนของชาวกาตาลันเพิ่มขึ้นอีก ประธานาธิบดี อาร์ตูร์ มาส ผู้นำรัฐบาลท้องถิ่น
เป็นผู้ผลักดันการทำประชามติครั้งนี้ โดยฝ่าฝืนคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งมีคำสั่งเมื่อวันอังคาร
(4 พ.ย.) ให้ระงับการทำประชามติ
ชาวเม็กซิโกหลายพันคนลุกฮือประท้วงในหลายพื้นที่ทั่วประเทศเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งหาตัวนักศึกษา
43 คน
ที่หายตัวไปหลังออกมาชุมนุมเรียกร้องความไม่เป็นธรรมในการจ้างงานและปะทะกับตำรวจ
ขณะที่เมื่อต้นสัปดาห์ได้พบหลุมฝังศพ 28
ศพที่ยังไม่ทราบว่าเป็นใครอยู่ในสภาพไหม้เกรียม เมื่อเดือนที่แล้ว
นักศึกษาของวิทยาลัยครูแห่งหนึ่งในเมืองทางตอนใต้ของเม็กซิโก
เดินทางมาประท้วงที่เมืองอีกัวลา รัฐเกร์เรโร เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมในการจ้างงานของครูที่อยู่ต่างจังหวัด
หลังจากประท้วงเสร็จและกำลังจะเดินทางกลับโดยรถประจำทาง
ได้มีชายหลายคนพร้อมอาวุธเปิดฉากยิงใส่รถประจำทางสามคัน
และอีกคันหนึ่งที่เป็นของทีมฟุตบอลในท้องถิ่น ทำให้นักศึกษาสามคน นักฟุตบอลหนึ่งคน
คนขับรถประจำทางและผู้โดยสารในแท็กซี่หนึ่งคนเสียชีวิต และอีกหลายคนได้รับบาดเจ็บ
จากนั้นตำรวจยังไล่ล่าและเชื่อว่าได้ยิงใส่กลุ่มนักศึกษาต่อ มีเจ้าหน้าที่ 22 คน
ที่ถูกควบคุมตัวฐานเกี่ยวข้องกับการยิงนักศึกษาครั้งนั้น โอมาร์ การ์เซีย
นักศึกษาคนหนึ่งที่รอดชีวิตเล่าว่าเห็นตำรวจนำตัวเพื่อนคนอื่น ๆ ไปเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่
26 กย. ขณะนั้นมีรายงานว่านักศึกษา 57 คนหายตัวไป
แต่สี่วันถัดมามีการประกาศว่านักศึกษา 13 คนเดินทางกลับบ้าน
แต่มีรายงานว่ารายชื่อซ้ำซ้อนกัน สุดท้ายแล้วยังเหลือนักศึกษาที่หาตัวไม่พบอีก 43
คน ขณะที่เมื่อต้นเดือนนี้อัยการประกาศว่าพบหลุมฝังศพตื้น ๆ หกหลุม มีศพอยู่ข้างใน
28 ศพ อยู่ในสภาพไหม้เกรียม
ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชจะต้องใช้เวลาหลายคนหรือหลายสัปดาห์เพื่อพิสูจน์ดีเอ็นเอ นายเอ็นริเก
พีนา ประธานาธิบดีเม็กซิโกรับปากว่าจะนำตัวผู้ก่ออาชญากรรมในครั้งนี้มาลงโทษให้ได้
เอเอฟพี – กองทัพไนจีเรียสามารถยึดเมืองชิบ็อก (Chibok) ในรัฐบอร์โนคืนจากกลุ่มติดอาวุธโบโกฮารัมได้สำเร็จ
หลังจากที่ถูกช่วงชิงไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว(13) โดยเมืองแห่งนี้เป็นบ้านของนักเรียนหญิง
200 กว่าชีวิตซึ่งถูกโบโกฮารัมลักพาตัวไปตั้งแต่เดือนเมษายน การปกป้องเมืองชิบ็อกมีผลอย่างยิ่งต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลประธานาธิบดี
กู๊ดลัก โจนาธาน และกองทัพไนจีเรีย
ซึ่งกำลังเผชิญเสียงติเตียนจากทั้งพลเมืองตนเองและนานาชาติที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวประกันกลับมาได้
และปล่อยให้เด็กหญิงเหล่านั้นตกอยู่ในเงื้อมมือของโบโกฮารัมนานถึง 7 เดือนแล้ว พล.อ.
โอลาจีเด โอลาเลเย โฆษกกองทัพ ส่งข้อความแจ้งผู้สื่อข่าวเอเอฟพีว่า
ทหารสามารถยึดเมืองคืนจากกลุ่มโบโกฮารัมได้เมื่อช่วงค่ำวันเสาร์ที่ผ่านมา(15) “ปฏิบัติการฟื้นคืนความสงบเรียบร้อยกำลังดำเนินการ
เมืองปลอดภัยดีแล้ว” นายพลผู้นี้ระบุ นักรบโบโกฮารัมได้บุกโจมตีเมืองชิบ็อกเมื่อวันพฤหัสบดี(13)
โดยเกิดการยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคงท้องถิ่นอยู่นานหลายชั่วโมง
จนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากทั้ง 2 ฝ่าย ชาวบ้านหลายคนเล่าว่า
พวกทหารไนจีเรียต่างพากันหนีตาย
ทิ้งหน่วยเฝ้าระวังชุมชนให้ต่อสู้กับโบโกฮารัมเพียงลำพังทั้งนี้
ยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากปฏิบัติการยึดคืนเมืองเมื่อวันเสาร์(15)
ประธานาธฺบดี กู๊ดลัก โจนาธาน ได้ประกาศเมื่อวันอังคารที่แล้ว(11)
ว่าจะลงชิงเก้าอี้ผู้นำไนจีเรียสมัยที่สอง
พร้อมสัญญาว่าจะกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธโบโกฮารัมที่ก่อเหตุโจมตีและลักพาตัวประชาชนอย่างต่อเนื่องตลอด
5 ปีที่ผ่านมานี้
เมื่อวานนี้(16) ยังเกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายที่ตลาดแห่งหนึ่งในเมืองอาซาเร
รัฐเบาชี คร่าชีวิตชาวบ้านไปอย่างน้อย 13 คน โดยตำรวจระบุว่า
มือระเบิดเป็นผู้หญิง ชาย 2 คนที่ชาวบ้านสังเกตเห็นว่าเดินเข้าไปในตลาดพร้อมกับมือระเบิด
รายหนึ่งถูกรุมประชาทัณฑ์จนเสียชีวิต ส่วนอีกรายตำรวจควบคุมตัวไว้ได้ ล่าสุด
ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุวินาศกรรมครั้งนี้ แต่รัฐเบาชีซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของไนจีเรียมีพรมแดนติดกับอีก
3 รัฐซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของกลุ่มอิสลามิสต์โบโกฮารัม
เอเอฟพี
– เศรษฐญี่ปุ่นเข้าสู่ “ภาวะถดถอย” ในไตรมาสสามระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายนที่ผ่านมา
ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการที่รัฐบาลโตเกียวเผยแพร่วันนี้(17) ซึ่งคาดว่าจะทำให้นายกรัฐมนตรี
ชินโซ อาเบะ ต้องเลื่อนแผนขึ้นภาษีการขายในปีหน้าออกไปก่อน และอาจตัดสินใจประกาศเลือกตั้งก่อนกำหนดการลงทุนด้านที่อยู่อาศัย
(residential investment) ที่ลดลง ตลอดจนการใช้จ่ายเงินทุน (capital
spending) และการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ยังคงซบเซา
ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของญี่ปุ่นหดตัวลง 0.4% ในไตรมาสสาม หรือ 1.6% เมื่อเทียบต่อปี (annualized
rate) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า การปรับขึ้นภาษีจาก 5% เป็น 8% เมื่อเดือนเมษายนกลายเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากเพียงใด
และยิ่งทำให้คำโฆษณาของ อาเบะ ที่ว่าจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 3
ของโลกให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งดูไกลความจริงเข้าไปทุกที ตัวเลขที่ออกมาถือว่าผิดจากความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์
ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะขยายตัวราว 0.5% จากการสำรวจความคิดเห็นโดยหนังสือพิมพ์ธุรกิจนิกเกอิ ปรากฏการณ์เช่นนี้ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่
อาเบะ จะประกาศเลือกตั้งก่อนกำหนดในเดือนธันวาคมปีนี้
และเลื่อนแผนขึ้นภาษีการขายเป็น 10% ในเดือนตุลาคมปีหน้าออกไปก่อน เศรษฐกิจญี่ปุ่นเปิดตัวในไตรมาสแรกของปีด้วยอัตราการขยายตัว
1.6% ซึ่งทำให้นโยบายเศรษฐกิจแบบ “อาเบะโนมิกส์”
เป็นที่กล่าวขานด้วยความคาดหวัง
ทว่าผลของการปรับขึ้นภาษีเมื่อเดือนเมษายนกลับทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัว 1.9%
ในไตรมาสสอง (เมษายน-มิถุนายน) หรือ 7.3% เมื่อเทียบรายปี
เนื่องจากผู้บริโภคและภาคธุรกิจต่างชะลอการจับจ่ายใช้สอย เดือนที่แล้ว ธนาคารกลางญี่ปุ่น
(บีโอเจ)
ได้ขยายมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเชิงรุกเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มซบเซา
แต่จากตัวเลขจีพีดีที่ออกมาทำให้หลายฝ่ายจับตาว่า บีโอเจ
จะยังคงเดินหน้าอัดฉีดเม็ดเงินต่อไปอีกหรือไม่ ก่อนหน้านี้ อาเบะ ระบุว่า
เขาจะรอดูตัวเลขจีดีพีประเมินรอบสุดท้ายของไตรมาส 3 ซึ่งจะประกาศในเดือนธันวาคม
ก่อนตัดสินใจเกี่ยวกับการขึ้นภาษีรอบสอง
อย่างไรก็ดี มาร์เซล ธีเลียนต์ จากสถาบัน แคปปิตอล
อีโนโคมิกส์ ได้ออกมาให้ความเห็นหลังทราบตัวเลขล่าสุดว่า “อุปสงค์ภายในประเทศแทบไม่กระเตื้องขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมา” “จากตัวเลขจีดีพีเบื้องต้นที่รัฐบาลญี่ปุ่นแถลงวันนี้
มีความเป็นไปได้สูงที่นายกรัฐมนตรี อาเบะ จะเลื่อนแผนขึ้นภาษี
และประกาศเลือกตั้งก่อนกำหนด”
แม้การขึ้นภาษีจะช่วยให้รัฐมีเงินรายได้มาลดหนี้สาธารณะของญี่ปุ่นที่สูงถึง
200% ของจีดีพี แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ อาเบะ ตกที่นั่งลำบาก
เพราะต้องพยายามสร้างสมดุลระหว่างการลดหนี้กับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่เน้นการใช้จ่าย สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า
นายกรัฐมนตรีมีแผนประกาศเลือกตั้งในวันที่ 14 ธันวาคม
ซึ่งเร็วกว่ากำหนดถึง 2 ปี เพื่อฟื้นคะแนนนิยมของรัฐบาล
โดยผู้สังเกตการณ์ชี้ว่า อาเบะ
ต้องการหยั่งเสียงประชาชนในช่วงที่ฝ่ายค้านยังตั้งตัวไม่ติดจากการพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งเมื่อ
2 ปีก่อน หนังสือพิมพ์ไมนิจิชิมบุน ระบุว่า อาเบะ
จะออกคำสั่งจัดทำร่างงบประมาณเพิ่มเติมในวันพรุ่งนี้(18) ก่อนประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร
เอเจนซีส์/ASTV
ผู้จัดการออนไลน์-เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฝ่ายชาวเคิร์ดเผย
กลุ่มติดอาวุธญิฮัดรัฐอิสลาม (ไอเอส) มีนักรบเข้าร่วมกว่า 200,000 คน ถือเป็นตัวเลขนักรบที่สูงกว่าข้อมูลข่าวกรองของชาติตะวันตกหลายเท่า ฟูอัด ฮุสเซน
ประธานคณะเสนาธิการร่วมของประธานาธิบดีมัสซูด บาร์ซานี
แห่งเขตปกครองเคอร์ดิสสถานในอิรัก เปิดใจให้สัมภาษณ์กับ “ดิ
อินดีเพนเดนท์ ออน ซันเดย์” โดยระบุ
ในความเป็นจริงแล้วกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) มีกำลังนักรบในสังกัดสูงถึงกว่า
200,000 คน ฮุสเซนระบุว่า กำลังรบของกลุ่มไอเอสที่มีสูงถึงกว่า 200,000 คนนั้นถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่า 7-8 เท่า
เมื่อเทียบกับข้อมูลข่าวกรองของชาติตะวันตกที่ระบุกลุ่มไอเอสมีนักรบไม่เกิน 31,500
คน ประธานคณะเสนาธิการร่วมของผู้นำเคอร์ดิสถานในอิรักยังระบุว่า
ในเวลานี้กลุ่มไอเอสสามารถยึดครองพื้นที่ราว 1 ใน 3 ของอิรัก และ 1 ใน 3 ของดินแดนซีเรียได้แล้ว
คิดเป็นพื้นที่รวมกันกว่า 250,000 ตารางกิโลเมตร
หรือคิดเป็นขนาดพื้นที่พอกับสหราชอาณาจักรทั้งประเทศ นอกจากนั้น
ข้อมูลข่าวกรองที่รวบรวมได้จากเจ้าหน้าที่ชาวเคิร์ดในพื้นที่ระบุว่า ขณะนี้มีพลเรือนผู้บริสุทธิ์จำนวนระหว่าง
10-12 ล้านคนติดค้างอยู่ในพื้นที่ยึดครองของกลุ่มไอเอส “ผมขอยืนยันได้ว่า
ในความเป็นจริงแล้วกลุ่มไอเอสมีนักรบในสังกัดสูงถึงกว่า 200,000 คน หาใช่มีกำลังเพียงไม่กี่หมื่นคนอย่างที่หน่วยข่าวกรองตะวันตกระบุ
นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่โลกตะวันตกกระโจนเข้าสู่ความขัดแย้งนี้
โดยที่พวกเขาแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับนักรบไอเอสที่เป็นศัตรู” ฟูอัด ฮุสเซน กล่าว ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา สำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ
(ซีไอเอ) เผยข้อมูลว่า กลุ่มนักรบไอเอสในอิรักและซีเรียน่าจะมีกำลังพลในสังกัดระหว่าง
20,000 – 31,500 คนเท่านั้น
โดยข้อมูลของทางซีไอเอนั้นส่วนใหญ่ได้มาจากการประเมินจากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญซึ่งมิได้อยู่ในพื้นที่
รวมถึงอาศัยการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม
ความเคลื่อนไหวล่าสุดบ่งชี้ถึงความผิดพลาดในการประเมินสถานการณ์ของสหรัฐฯและชาติพันธมิตร
ที่ประเมินศักยภาพของกลุ่มนักรบญิฮัดนี้ต่ำเกินไป ล่าสุด พลเอก มาร์ติน เดมพ์ซีย์
ประธานคณะเสนาธิการร่วมของสหรัฐฯ
ได้เปิดเผยระหว่างการเดินทางเยือนกรุงแบกแดดของอิรักแบบไม่แจ้งล่วงหน้าเมื่อวันศุกร์
(14 พ.ย.) โดยยอมรับเป็นครั้งแรกว่า
สหรัฐฯประเมินแสนยานุภาพของกลุ่มไอเอสต่ำเกินไป
และว่าอาจจำเป็นต้องส่งทหารอเมริกันจำนวน 80,000 คนกลับเข้าไปในอิรัก
จึงจะเป็นการเพียงพอต่อการกวาดล้างกลุ่มไอเอส
เอเจนซีส์ – ผู้นำของกลุ่ม 20 ประเทศเศรษฐกิจรายสำคัญของโลก (จี20)
ตกลงกันในวันอาทิตย์ (16 พ.ย.)
ที่จะดำเนินมาตรการใหม่ๆ
เพื่อเป็นการกระตุ้นส่งเสริมเศรษฐกิจโลกโดยรวมให้เติบโตเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษอีก 2.1%
ภายในปี 2018 รวมทั้งยังเห็นพ้องต้องกันในเรื่องจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
และปราบปรามการเลี่ยงภาษี อย่างไรก็ดี
บรรยากาศของการประชุมซัมมิตที่ออสเตรเลียคราวนี้
ก็ถูกบดบังกลบรัศมีจากความสัมพันธ์ตะวันตก-รัสเซีย ที่ตกต่ำเลวร้ายจากกรณียูเครน
ถึงขั้นประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน บินกลับก่อนปิดประชุมอย่างเป็นทางการ ประธานาธิบดีปูตินแห่งรัสเซีย
เดินทางออกจากนครบริสเบน ไม่นานนักก่อนที่การประชุมสุดยอดกลุ่มจี20 จะปิดฉากลงอย่างเป็นทางการในวันอาทิตย์ หลังจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา
ของสหรัฐฯ กล่าวหาว่าเครมลินรุกรานยูเครน และผู้นำอังกฤษก็เตือนว่า ความขัดแย้งอาจยืดเยื้อ
ขณะที่ผู้นำโลกตะวันตกอีกหลายชาติขู่ออกมาตรการลงโทษรอบใหม่
หากมอสโกไม่ยอมถอนกำลังทหารและอาวุธออกจากยูเครน “ผมคิดว่า
ประธานาธิบดีปูตินคงพอรับรู้ว่า ตัวเองมาถึงทางแยกสำคัญ
ซึ่งหากรัสเซียยังบ่อนทำลายเสถียรภาพยูเครนไม่เลิก จะมีมาตรการลงโทษและมาตรการอื่นๆ
ตามมา” นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอนของอังกฤษ กล่าว และว่า “การลงโทษย่อมมีต้นทุนที่ต้องจ่าย แต่ต้นทุนจะสูงมากกว่านั้นหลายเท่าตัว
หากยอมให้ความขัดแย้งยืดเยื้อต่อไปในยุโรป” ทั้งนี้
รัฐมนตรีต่างประเทศสหภาพยุโรป (อียู) มีกำหนดประชุมในวันจันทร์ (17) นี้ เพื่อพิจารณามาตรการขั้นต่อไป
ซึ่งอาจรวมถึงการเพิ่มมาตรการลงโทษรัสเซีย
ด้านโอบามาสำทับว่า
การโดดเดี่ยวรัสเซียเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไมได้ เขากล่าวว่า “เรายึดมั่นความจำเป็นในการเคารพหลักการสากล คุณต้องไม่บุกรุกชาติอื่น
ไม่อัดฉีดเงินหรือสนับสนุนให้ตัวแทนเข้าไปทำลายประเทศอื่นที่มีกลไกการเลือกตั้งประชาธิปไตย”ในช่วงเช้าวันอาทิตย์ โอบามา พร้อมด้วยนายกรัฐมนตรีโทนี แอ็บบอตต์
ของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นเจ้าภาพการประชุม และนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ แห่งญี่ปุ่น
ยังได้ร่วมประชุมกันและออกคำแถลงต่อต้านความพยายามของมอสโกในการบ่อนทำลายเสถียรภาพในยูเครนตะวันออก
แอ็บบอตต์ระบุว่า ระหว่างการประชุมซัมมิตจี20 คราวนี้
เขาได้พูดคุยอย่าง “เข้มข้น” กับปูตินเกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครน
โดยตัวเขาประณามสิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครนตะวันออกขณะนี้
และเรียกร้องรัสเซียให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการสอบสวนการก่ออาชญากรรมกับเที่ยวบินเอ็มเอช17
ที่ถูกยิงตกเหนือพื้นที่ยึดครองของกบฏโปรรัสเซียในยูเครนตะวันออกในเดือนกรกฎาคม นอกจากนั้น ยังมีรายงานว่า
ผู้นำแคนาดาแสดงท่าทีลังเลที่จะจับมือกับประมุขเครมลิน ในส่วนปูตินนั้น
ก่อนเดินทางกลับได้ให้สัมภาษณ์สั้นๆ โดยแสดงความเชื่อมั่นว่า ขณะนี้
มีความเป็นไปได้ในการแก้ไขวิกฤตยูเครน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เขาให้เหตุผลว่า
ที่ต้องเดินทางกลับก่อน เนื่องจากต้องใช้เวลาบินนาน และต้องการพักผ่อนนอนหลับสัก 4-5
ชั่วโมง ก่อนเริ่มทำงานในวันจันทร์ นอกจากวิกฤตยูเครนแล้ว ประเด็นความมั่นคงและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศยังเบียดเข้ามาในวาระการหารือของผู้นำจี20
ซึ่งในตอนแรกมุ่งเน้นหนักประกาศผลักดันเศรษฐกิจโลกให้ขยายตัวเพิ่มพิเศษอีก
2.1% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เป้าหมายดังกล่าวหมายความว่าจะทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นอีก
2.2 ล้านล้านดอลลาร์ และสร้างงานนับล้านๆ ตำแหน่ง
โดยที่ประเทศต่างๆ จะดำเนินมาตรการใหม่ๆ ภายในประเทศและระหว่างประเทศ รวมแล้วกว่า 800
มาตรการ เป็นต้นว่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การขยายการค้า
และการสร้างศูนย์โครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกเพื่อจับคู่นักลงทุนที่มีศักยภาพกับโครงการต่างๆผู้นำจี20
ยังตั้งเป้าลดช่องว่างระหว่างชาย-หญิงในการมีส่วนร่วมด้านแรงงาน
ลงมาให้ได้ 25% ในปี 2025 อันจะทำให้มีการจ้างงานผู้หญิงเพิ่มขึ้นกว่า
100 ล้านคน และช่วยลดปัญหาความยากจน คำแถลงของที่ประชุมยังให้คำมั่นในการปราบปรามการเลี่ยงภาษีทั่วโลก ขณะเดียวกัน
อเมริกาและอีกหลายประเทศสามารถเอาชนะความพยายามของเจ้าภาพออสเตรเลีย
ที่ต้องการตัดประเด็นการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศออกจากวาระการประชุม ทั้งนี้
ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหัวสูงที่สุดในโลก ทั้งนี้คำแถลงสุดท้ายของซัมมิตจี20คราวนี้
เรียกร้องการดำเนินการอย่างแน่วแน่และมีประสิทธิภาพเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
ตามเป้าหมายในการรับรองพิธีสารที่มีผลผูกพันตามกฎหมาย
ในการประชุมภาวะโลกร้อนของสหประชาชาติ ที่ปารีสในปีหน้า ผู้นำจี20 ยังสนับสนุนกองทุน
“กรีน ไคลเมต” ของยูเอ็น
ที่มีจุดหมายในการช่วยเหลือประเทศยากจนรับมือกับปัญหานี้
โดยโอบามาประกาศสมทบเงินเข้ากองทุน 3,000 ล้านดอลลาร์
และญี่ปุ่นร่วมลงขัน 1,500 ล้านดอลลาร์นอกจากนี้
ผู้นำโลกยังเห็นพ้องร่วมกันต่อสู้กับไวรัสอีโบลา ซึ่งคาเมรอนกล่าวเมื่อวันเสาร์ (15)
ว่า ไม่ได้เป็นแค่วิกฤตด้านมนุษยธรรมเท่านั้น
แต่ยังเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงด้วย