วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

เหตุการณ์ 9/11 ฤาจะเป็นเพียงทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory,Chaos) ของใครบางคน


เหตุการณ์ 9/11 ฤาจะเป็นเพียงทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory,Chaos) ของใครบางคน

ก่อนอื่นขอร่วมรำลึกเหตุการณ์ 9-11 (11 กันยายน 2544) เป็นเหตุการณ์ที่ทั่วโลกต้องตกตะลึงกับการก่อวินาศกรรมเครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และคร่าชีวิตผู้คนไปหลายพันคนด้วยกัน

ย้อนเหตุการณ์อันเลวร้าย ตามเวลาในประเทศไทย
19:45 น. เครื่องบินโดยสารของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 11 จากบอสตันเข้าชนตึกเหนือ (ตึก 1 เป็นตึกที่มีเสาอากาศเห็นได้ชัด) ของตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ แล้วฉีกตัวตึกเป็นช่องพร้อมทั้งเกิดไฟไหม้

20:03 น. เครื่องบินโดยสารของสายการบิน ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 175 จากบอสตันเช่นกัน พุ่งเข้าชนตึกใต้ (ตึก 2) ของตึกเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ และระเบิดรุนแรง

20:43 น. เครื่องบินโดยสารเที่ยวบินที่ 77 ของสายการบิน อเมริกัน แอร์ไลน์ ชนอาคารเพนตากอน เกิดควันไฟพวยพุ่ง มีการอพยพคนในทันที

20:45 น. มีการอพยพคนที่ทำเนียบขาว

21:05 น. ตึกใต้ของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ถล่มยุบลง ท้องถนนปกคลุมด้วยกลุ่มควัน

21:10 น. บางส่วนของอาคารเพนตากอนถล่ม ขณะเดียวกันก็มีรายงานการตกของเครื่องบินโดยสารของ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93 ที่เขตชนบทของซอมเมอร์เซ็ต รัฐเพนซิลวาเนีย ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของพิตส์เบิร์ก

21:13 น. อาคารที่ทำการของสหประชาชาติเริ่มขนย้ายผู้คน โดยเป็นคนของสำนักงานใหญ่จำนวน 4,700 คน และจากยูนิเซฟกับฝ่ายอื่นของสหประชาชาติอีก 7,000 คน

21:28 น. ตึกเหนือของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ถล่มยุบตัวลงคล้ายกับถูกตอกด้วยเสาเข็มจากด้านบน เกิดฝุ่นอันหนาทึบ และเศษหักพังกระจายไปทั่ว

21:45 น. อาคารที่ทำการของรัฐทุกตึกในวอชิงตันอพยพคนทั้งหมด

21:48 น. ตำรวจยืนยันมีเครื่องบินตกที่ซอมเมอร์เซ็ต

21:53 น. ประกาศเลื่อนการเลือกตั้งขั้นต้นของนิวยอร์ก

22:18 น. สายการบิน อเมริกัน แอร์ไลน์ รายงานเรื่องเครื่องบินที่ถูกจี้ โดยเที่ยวบินที่ 11 เป็นเครื่องโบอิ้ง 767-200ER มีลูกเรือ 11 คน และผู้โดยสาร 81 คน ซึ่งกำลังเดินทางไปยังลอสแอนเจลิส ส่วนเที่ยวบินที่ 77 เป็นเครื่อง 757-200 กำลังเดินทางไปลอสแอนเจลิส โดยมีผู้โดยสาร 58 คน ลูกเรือ 6 คน เครื่อง 767-200ER เป็นลำที่ชนตึกเหนือของเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ และเครื่อง 757-200 ชนเพนตากอน

22:26 น. ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ รายงานเรื่องเครื่องบินที่ถูกจี้ โดยเที่ยวบินที่ 93 ออกจากนิวอาร์ก รัฐเดลาแวร์ ไปยังซานฟรานซิสโก และตกที่เพนซิลวาเนีย

22:59 น. ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ รายงานเรื่องเครื่องบินเที่ยวบินที่ 175 ที่กำลังเดินทางไปลอสแอนเจลิส มีผู้โดยสาร 56 คน ลูกเรือ 9 คน เป็นลำที่ชนตึกใต้ของเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์

23:04 น. สนามบินลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นที่หมายของเครื่องบิน 3 ลำ อพยพคนทั้งหมด

23:15 น. สนามบินซานฟรานซิสโกซึ่งเป็นที่หมายของเครื่องบินเที่ยวบินที่ 93 อพยพคนทั้งหมด

12 กันยายน 2544

03:10 น. ตึก 7 ซึ่งมี 47 ชั้นของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เกิดไฟไหม้

04:20 น. ตึก 7 ของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ซึ่งไม่มีคนอยู่แล้วถล่ม การถล่มเกิดจากความเสียหายที่เกิดขึ้นหลังจากตึก 1 และ 2 (ซึ่งอยู่คนละฝั่งถนน) ถล่มมาก่อนหน้านี้ ตึกรอบๆ บริเวณก็มีไฟไหม้ด้วย

04:30 น. เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลรายงานว่าเครื่องบินที่ตกในเพนซิลวาเนียอาจจะมีเป้าหมายในการชน แคมป์ เดวิด หรือ ทำเนียบขาว หรือ อาคารรัฐสภา อาคารใดอาคารหนึ่ง

06:45 น. ตำรวจนิวยอร์กรายงานว่ามีเจ้าหน้าที่สูญหาย 78 นาย และเชื่อว่าพนักงานดับเพลิงประมาณ 200 นายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

08:22 น. ไฟไหม้ที่เพนตากอนยังควบคุมไม่ได้ แต่สามารถจำกัดเขตการลุกลามได้แล้ว ในขณะที่เกิดเหตุหายนะอยู่นี้ ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้เดินทางจากฟลอริดากลับสู่วอชิงตัน และได้มีการออกแถลงการณ์ในเหตุการณ์ มีการขอให้ประชาชนร่วมกันสวดมนต์ให้กับผู้เคราะห์ร้าย รวมทั้งยังประกาศว่า "ผู้ที่กระทำการครั้งนี้จะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำ"

ต่อมามีรายงานว่าตึกอื่นๆ ในบริเวณนั้นก็ได้พังทลายลงทั้งหมด (เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ประกอบด้วยตึก 7 หลัง) อย่างไรก็ตาม ภาพถ่ายจากดาวเทียมแสดงให้เห็นว่า ตึก 5 ยังคงตั้งอยู่แต่ก็เสียหายยับเยินเช่นกัน สำหรับจำนวนผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บนั้นยังไม่ทราบแน่นอน แต่พบศพแล้วกว่า 200 ศพ และยังสูญหายอีกประมาณ 6,000 คน (ณ วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2544)

สรุปผู้เสียชีวิต
มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 2,973 คน: 246 คน บนเครื่องบิน, 2,602 คน ในนครนิวยอร์ก ในอาคารและพื้นดิน, และ 125 คน ในเพนตากอน รวมถึงนักผจญเพลิงนครนิวยอร์ก 343 คน, ตำรวจนครนิวยอร์ก 23 คน, ตำรวจการท่าเรือของนิวยอร์กและนิวเจอร์ซี 37 คน และผู้สูญหายอีก 24 คน

ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ช็อกโลกนี้แล้ว อเมริกาซึ่งเป็นประเทศผู้รับผลเสียหายโดยตรง ได้ประกาศกร้าวที่จะตามล่าตัวหัวหน้าผู้ก่อการร้าย ซึ่งตั้งเป้าไปที่นายอุสมะห์ บิน ลาเดน ปฏิบัติการถล่มอัฟกานิสถานก็เริ่มขึ้น ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของพวกตาลีบัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ที่พักพิงแก่ บินลาเดน หลังจากนั้นก็เปิดปฏิบัติการพายุทะเลทราย สงครามอิรักขึ้นอีกรอบ โดยบุกเข้าไปยึดอิรัก และจับกุมตัวนายซัดดัม ฮุสเซน ปธน.ของอิรัก ในขณะนั้น โดยข้อกล่าวหาว่าอิรักมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง แต่ก็ได้มีการพิสูจน์หลังจากที่นำตัวนายซัดดัม ฮุสเซน ขึ้นศาลจนให้มีการประหารชีวิตนายซัดดัมไปแล้ว ว่าอิรักไม่ได้มีอาวุธนิวเคลียร์ร้ายแรงเหล่านั้นเลย ทำให้ทั่วโลกต่างสงสัยเป้าประสงค์ของอเมริกา ที่มีนักวิเคราะห์ ผู้สังเกตการณ์ หน่วยข่าวกรองจากทั่วโลกตั้งข้อสังเกตุ และสมมติฐานไปในทางเดียวกันว่า อเมริกาสร้างสถานการณ์แหกตาประชาชนชาวโลก โดยการสมคบคิดกันระหว่าง ปธน.สหรัฐ นายจอร์จ บุช กับนายดิก เชนี่ย์ รอง ปธน.ฝ่ายความมั่นคง (มีบริษัทสำรวจน้ำมันเป็นของตนเองชื่อ บริษัท Halliburton และเป็นบริษัทที่ได้สัมปทานเข้าไปขุดเจาะน้ำมันในอิรัก) ร่วมกับประเทศมหาอำนาจที่เป็นพันธมิตร หรือ นาโต้ ต้องการเข้าไปยึดอิรักเพื่อหวังผลประโยชน์ก็คือบ่อน้ำมัน แหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของตะวันออกกลาง หากสำเร็จก็จะบุกต่อไปยึดอิหร่าน แหล่งทรัพยากรใหญ่ที่สุดนั่นเอง แต่แผนการอันชั่วช้านี้ของสหรัฐกับมิตรมหาอำนาจอื่นๆ กำลังจะกลับกลายเป็นหอกย้อนศรไปทิ่มแทงตนเอง เพราะในช่วง 2-3 ปีมานี้ สหรัฐและชาติมหาอำนาจในยุโรป ประสบกับวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างหนัก เริ่มจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ และตามมาด้วยวิกฤติเศรษฐกิจของทั่วทั้งสหภาพยุโรป โดยเร่มจากกรีซ ไอร์แลนด์ ฮังการี ก่อน มีนักวิเคราะห์หลายคนพูดว่าวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ที่ทำให้สหรัฐกลายเป็นประเทศที่ขาดดุลงบประมาณมโหฬาร มีหนี้สาธารณะจำนวนมาก ผลพวงไม่ใช่เป็นแค่เพียงเรื่องวิกฤติหนี้อสังหาริมทรัพย์ (sub-prime) การล้มละลายของวานิชธนกิจ (Lehman Brother) หรือบรรษัทขนาดใหญ่ยักษ์ (AIG,Citibank,GM) เท่านั้น แต่เป็นเพราะรัฐบาลสหรัฐนำงบประมาณของประเทศไปทุ่มให้กับสงครามในอิรักอย่างมากมายมหาศาล เป็นเวลากว่า 8 ปี จนเมื่อเร็วๆ นี้ ปธน.สหรัฐคนล่าสุด อย่างนายบารัค โอ บาม่า ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะถอนกำลังทหารออกจากอิรัก ในปลายปี 2554 เป็นอันสิ้นสุดภาวะสงครามในอ่าวเปอร์เซียอย่างถาวร แต่นั้นไม่ได้ทำให้สภาพความขัดแย้งที่แท้จริง และสภาพปัญหาระหว่างมหาอำนาจอย่างอเมริกากับชาติอาหรับในตะวันออกกลาง จะจบสิ้นไป ตรงกันข้ามยังสร้างรอยร้าวและหยั่งรากลึกของปัญหาในดินแดนแถบนี้ให้ทรุดหนักลงไปอีก การเข้มแข็งขึ้นของกลุ่มตาลีบัน การสร้างและผลิตอาวุธนิวเคลียร์และอาวุธเคมีใหม่ๆ ของอิหร่าน ดุลยภาพที่เปลี่ยนไปของมหาอำนาจใหม่อย่างจีน ที่แผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วเอเซีย โดยที่จีนมีเศรษฐกิจที่เติบใหญ่ขึ้น มีอำนาจซื้อที่สูงขึ้น เศรษฐกิจใหญ๋เป็นอันดับ 2 ของโลกแซงหน้าเยอรมันและญี่ปุ่นไปแล้ว แต่อเมริกากำลังอยู่ในภาวะของเสือลำบากที่ต้องรอการฟื้นคืน สิ่งที่สหรัฐอเมริการทำกับชาติในตะวันออกกลาง กำลังได้รับผลกรรมที่ตัวเองก่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โจทย์ของอเมริกาคงไม่ใช่ศัตรูในตะวันออกกลางแต่เพียงฝ่ายเดียวแล้ว พอเหลือบมาทางเอเซียตะวันออก ยังต้องสบตากับจีน มหาอำนาจตัวใหม่ รวมไปถึงลูกไล่ตัวแสบอย่างเกาหลีเหนืออีก ทฤษฎีสมคบคิดนี้ต้องถือว่าเป็นแผนที่ลงทุนสูง เข้าข่ายขี่ช้างจับตั๊กแตน หรือเผาบ้านเพื่อจับหนูตัวเดียว แต่พลอยทำให้หมดเนื้อหมดตัว หมดความน่าเชื่อถือ เครดิตที่ดีที่เคยสั่งสมมาเสียหาย แต่ผมกำลังคิดว่าผลกรรมที่ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ 2 ตึก พังพินาศลงมา อาจเป็นผลกรรมจากการที่ไปทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิม่า และนางาซากิ หรือไม่ วิญญาณของบรรพบุรุษชาวบูชิโด ไปเกิดเป็นจารชนไฮแจ็ค จี้เครื่องบินของอเมริกา เพื่อกระทำกามิกาเซ่ต่อตึกเวิลด์เทรด ที่เป็นสัญลักษณ์ของทุนนิยมโลกอย่างสหรัฐก็เป็นไปได้ ถ้าผมเป็นคนญี่ปุ่นผมคงน้ำตาไหล ไม่ใช่เพราะความสะใจหรือเวรกรรมที่สหรัฐได้รับ แต่เป็นเพราะเสียใจกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่ว่าครั้งใด มันเกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเองทั้งนั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น