วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2558

ยุทธจักรนักการเมือง ตอน ลำนำเพลงดาบ (4) อาบโลหิต พิชิตบัลลังก์ จากถัง สู่ชิง ตอนที่ 4


ราชวงศ์หมิงหรือต้าหมิง (大明)เป็นราชวงศ์สุดท้ายที่สถาปนาขึ้นโดยชนชาติฮั่น ภายใต้กองทัพประชาชนที่นำพาโดยจูหยวนจางในปีค.ศ. 1368 ด้วยการตั้งอิ้งเทียนฝู่ (นานกิง) ขึ้นเป็นราชธานี ใช้ชื่อรัชกาลว่าหงอู่ และขนานนามตนเองเป็นหมิงไท่จู่(明太祖) จากนั้นทรงออกปราบปรามกองกำลังต่างๆที่เหลืออยู่ในซื่อชวน (เสฉวน) หยุนหนัน (ยูนนาน) อีกทั้งบุกขึ้นทางเหนือจนแผ่นดินมีความเป็นปึกแผ่น

 
ปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงนามจูหยวนจาง เดิมถือกำเนิดในอำเภอเพ่ย มณฑลเจียงซู มีนามว่าจูจ้งปา ในวัยเยาว์จูหยวนจางมักจะแวะเวียนไปเที่ยวเล่นที่วัดหวงเจี๋ยว์ จนเจ้าอาวาสที่วัดให้ความเอ็นดูในความฉลาดหลักแหลม และสอนการอ่านเขียนให้ จนทำให้จูหยวนจางสามารถรู้หนังสือได้ในระดับหนึ่ง เมื่อจูหยวนจางอายุได้ 17 ปีได้เกิดภัยแล้ง ภัยจากตั๊กแตน และโรคระบาดขึ้น ทำให้บิดา มารดา และพี่ของเขาทยอยเสียชีวิตไปในเวลาเพียงครึ่งเดือน จูหยวนจางจึงตัดสินใจปลงผมออกผนวช โดยมีหน้าที่คอยจุดธูป กวาดพื้น ตีระฆัง อีกทั้งในช่วงเวลานั้นยังต้องอดทนต่อการถูกหลวงจีนรูปอื่นๆค่อนขอดว่าออกบวชเพื่อให้มีข้าวกิน ภายหลังภัยแล้งลุกลามสาหัสขึ้น ทำให้แม้แต่วัดวาอารามอันเป็นสถานที่ต้องอาศัยผู้คนมาบริจาคก็อยู่ไม่รอด เจ้าอาวาสจำต้องส่งพระสงฆ์ให้ออกไปธุดงค์หาทางอยู่รอดเอาเอง จูหยวนจางจึงต้องแบกสัมภาระติดตามขบวนธุดงค์ออกมา ซึ่งในช่วงเวลาที่ออกธุดงค์นี่เอง ทำให้จูหยวนจางได้เห็นและสัมผัสถึงความทุกข์ยากของประชาชน ผ่านไป 3 ปีจูหยวนจางได้กลับมายังวัดหวงเจี๋ยว์อีกครั้ง เขาได้รับจดหมายชักชวนจากสหายนามทังเหอให้ไปเข้าร่วมกองทัพประชาชนภายใต้ธงของกัวจื่อซิง (郭子興)หลังจูหยวนจางไปเข้าร่วมกับกองทัพ ได้สร้างผลงานทางการศึกหลายครั้ง บวกกับเป็นคนที่อ่านออกเขียนได้ในระดับหนึ่ง จึงได้รับการให้ความสำคัญจากกัวจื่อซิงเป็นอย่างยิ่ง จนได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในแม่ทัพสำคัญในกองทัพ อีกทั้งได้แต่งงานกับบุตรีบุญธรรมของกัวจื่อซิง กระทั่งภายหลังจึงได้ออกจากหาวโจวซึ่งเป็นฐานที่ตั้งของกัวจื่อซิง สร้างกองกำลังของตนขึ้นมา  กองทัพภายใต้การนำพาของจูหยวนจางได้บุกเข้ายึดจี๋ชิ่ง (นานกิงในปัจจุบัน) แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นอิ้งเทียนฝู่ จากนั้นก็ค่อยๆขยายกองกำลังไปเรื่อยๆ สามารถบุพิชิตกองทัพของเฉินโหย่วเลี่ยงได้ในปี 1367 เอาชนะกองกำลังของจางซื่อเฉิง (张士诚) จนจางซื่อเฉิงต้องฆ่าตัวตาย กระทั่งเมื่อเอาชนะกองกำลังตามแนวชายฝั่งเจ้อเจียงของฟังกั๋วเจิน (方国珍)ได้ จึงตั้งตนขึ้นเป็นฮ่องเต้ และทำให้ประเทศจีนได้กลับคืนสู่ความเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง

ประหารขุนนาง ยกเลิกเสนาบดี - จัดอำนาจรวมศูนย์

หลังจูหยวนจาง หรือที่ถูกขนานพระนามตามชื่อรัชกาลว่าฮ่องเต้หงอู่ขึ้นครองราชย์ ได้ทุ่มเทเพื่อที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคม และผลผลิตในประเทศ โดยด้านหนึ่งพยายามลดภาระของประชาชนและชาวนา ในขณะที่อีกด้านก็เร่งปฏิรูประบบการปกครองที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งลงโทษขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง
โดยในช่วงเวลานี้ หมิงไท่จู่ได้ให้โอกาสชาวบ้านที่ต้องอพยพเพราะภัยสงครามจนไม่มีที่ทำกิน ให้เข้าไปจับจองที่ดินที่รกร้างว่างเปล่า โดยทางการจะเป็นผู้จัดหาพันธุ์พืชและเครื่องมือให้ นอกจากนั้นยังมีการยกเว้นภาษีและการเกณฑ์แรงงานให้กับผู้ที่ไปบุกเบิกพื้นที่ใหม่ๆเป็นเวลา 3 ปี ทำการส่งเสริมด้านชลประทาน ทำให้ราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยลำดับ  ทว่าในด้านการปฏิบัติต่อขุนนางนั้น แม้ในช่วงต้นของการสถาปนาราชวงศ์ จะมีการปูนบำเหน็จและพระราชทานตำแหน่งให้กับขุนนางที่มีผลงาน ทว่าเพื่อที่จะรวบอำนาจให้รวมศูนย์ไว้ที่องค์ฮ่องเต้ บวกกับการที่มีนิสัยเป็นคนที่ระแวงสงสัยในตัวผู้อื่น ทำให้ในรัชกาลหงอู่มีการประหารฆ่าขุนนางผู้มีคุณูปการไปไม่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในกรณีสำคัญที่เห็นได้ชัดก็อย่างเช่นกรณีของหูเหวยยง (
胡惟庸) กับหลันอี้ว์ (蓝玉)  หูเหวยยงได้เข้ากองทัพติดตามจูหยวนจางที่เหอโจว ได้เป็นที่ปรึกษาที่สำคัญตั้งแต่ก่อนจะครองราชย์ จนกระทั่งได้ดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดีในเวลาต่อมา หูเหวยยงได้รับความโปรดปรานจากหมิงไท่จู่เป็นอย่างยิ่ง ทำให้เริ่มมีอิทธิพลและกุมอำนาจต่างๆเอาไว้ในมือ มีขุนนางจำนวนมากที่มาเข้าเป็นสมัครพรรคพวกมากมาย จนมักกระทำการโดยพลการอยู่เสมอ อย่างเช่นฎีกาที่เหล่าขุนนางเขียนถวายฮ่องเต้ หากมีฎีกาใดที่ไม่เป็นประโยชน์กับตนก็จะไม่ยอมถวายขึ้นไป  สุดท้ายในปีค.ศ. 1380 เมื่อมีคนกล่าวโทษว่าหูเหวยยงนั้นมีความคิดที่จะก่อกบฏ หมิงไท่จู่จึงมีรับสั่งให้ประหารหูเหวยยง พร้อมทั้งถือโอกาสในการกวาดล้างวงศ์ตระกูลและสมัครพรรคพวกของหูทั้งหมด นอกจากนั้นในภายหลังยังมักจะอาศัยข้ออ้างการเป็นพรรคพวกของหูเหวยยงเป็นอาวุธในการปกครอง กล่าวคือเมื่อใดที่ทรงระแวงสงสัยบุคคล ขุนนาง หรือเจ้าของที่ดินคนไหน ที่คาดว่าอาจจะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ ก็จะถูกประหารด้วยข้อกล่าวหาดังกล่าว แม้กระทั่งล่วงเลยมาถึง 10 ปียังมีการอาศัยข้อหานี้ทำการประหารครั้งใหญ่อีกครั้ง โดยในคดีดังกล่าวตั้งแต่ต้นจนจบ มีผู้ที่ถูกประหารชีวิตไปทั้งสิ้นกว่า 30,000 คน  ส่วนหลันอี้ว์ เป็นแม่ทัพที่เคยสร้างผลงานในการศึกสงครามมากมาย จนได้รับการพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเหลียงกั๋วกง แต่ด้วยความถือดีที่มีผลงาน จึงใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่รักษากฎหมาย และไม่รักษาธรรมเนียมจารีตของความเป็นขุนนางกับฮ่องเต้ ภายหลังได้ถูกจับตัวในข้อหาเตรียมก่อการกบฏ โดยการลงโทษในครั้งนี้มีผู้ที่ร่วมสังเวยชีวิตไปอีกกว่า15,000 คน นอกจากคดีหู-หลันแล้ว ความระแวงที่หมิงไท่จู่มีต่อเหล่าขุนนาง ได้ลุกลามไปจนกระทั่งบรรดาขุนนางที่เคยมีคุณูปการในครั้งบุกเบิกแผ่นดินมาด้วยกันกับจูหยวนจางถูกประหารไปแทบหมดสิ้น จนเรียกได้ว่าคนที่รอดชีวิตได้นั้นมีน้อยจนนับได้ หลังจากเกิดเหตุการณ์คดีหูเหวยยงแล้ว จูหยวนจางจึงได้ยกเลิกระบบอัครเสนาบดี แล้วแบ่งอำนาจการปกครองออกเป็น 6 กระทรวงได้แก่กระทรวงการปกครอง การคลัง พิธีการ กลาโหม ราชทัณฑ์ (ยุติธรรม) และโยธาฯ โดยแต่ละกระทรวงให้มีเจ้ากระทรวง 1 คนกับผู้ช่วยอีก 2 คน และให้เจ้ากระทรวงทั้ง 6 ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้ อีกทั้งได้กำหนดรูปแบบให้กระทรวงกลาโหมจัดสรรกำลังประกอบด้วย 5 กองบัญชาการได้แก่ กองบัญชาการฝ่ายซ้าย ขวา หน้า หลังและกลาง  จากความระแวงที่เกิดขึ้น ยังทำให้มีการจัดตั้งหน่วยงานสำคัญที่มีในการตรวจสอบขึ้น ได้แก่สำนักงานตรวจการ(督察院) และหน่วยงานองครักษ์เสื้อแพร (锦衣卫) เพื่อให้เป็นหน่วยงานพิเศษในการตรวจสอบขุนนางในราชสำนักและราษฎรทั่วราชอาณาจักร จากนั้นยังทรงแต่งตั้งพระโอรสทั้งหลายให้ออกไปเป็นเจ้ารัฐประจำอยู่ในหัวเมืองต่างๆ โดยมีเป้าหมายในด้านหนึ่งเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและศักยภาพในการป้องกันชาวมองโกลจากทางเหนือ ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็เป็นมาตรการป้องกันการร่วมมือระหว่างเหล่าองค์ชายกับขุนนางกังฉินในราชสำนักเพื่อชิงราชบัลลังก์ อีกทั้งทรงตรามาตรการเสริมเพื่อป้องกันการใช้อำนาจบาตรใหญ่จนเกินควบคุมของบรรดาเชื้อพระวงศ์ ด้วยการบัญญัติไว้ว่า สำหรับฮ่องเต้ในอนาคตหากมีความจำเป็น ให้สามารถถอดถอนเจ้ารัฐหัวเมืองเหล่านี้ได้ การดำเนินมาตรการต่างๆดังกล่าว นับได้ว่าปฐมกษัตริย์ราชวงศ์หมิงได้ทรงสร้างระบบรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จขึ้น โดยเฉพาะการยกเลิกตำแหน่งเสนาบดี อันถือเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบสังคมการปกครองจีน เนื่องจากนับย้อนไปตั้งแต่สมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้รวบรวมแผ่นดินจีนเป็นปึกแผ่นเป็นต้นมา ตำแหน่งเสนาบดีก็ดำรงอยู่ในฐานะของการเสริมพระราชอำนาจของฮ่องเต้มาโดยตลอด อีกทั้งในหลายครั้งยังเป็นอำนาจที่คอยถ่วงดุลพระราชอำนาจของฮ่องเต้เอาไว้ การที่หมิงไท่จู่ยกเลิกระบบดังกล่าว จึงเป็นการทำให้ฮ่องเต้สามารถใช้พระราชอำนาจโดยตรงยิ่งและเต็มที่มากยิ่งขึ้น
       
ราชธานีปักกิ่ง - สารานุกรมหย่งเล่อ

หลังหมิงไท่จู่ได้ทรงลงอาญาต่อขุนนางจำนวนมาก และส่งโอรสทั้ง 24 คนไปเป็นเจ้าหัวเมืองต่างๆ ทำให้ทรงเชื่อว่าหลังจากนี้ไปราชวงศ์ที่ก่อตั้งขึ้นมาก็จะมีเสถียรภาพอันมั่นคง ท่ามกลางบรรดาโอรสที่ส่งออกไปนั้น กลุ่มที่ไปครองหัวเมืองทางเหนือจะมีกำลังแข็งแกร่งมากที่สุด เนื่องจากมีภารกิจต้องป้องกันมองโกลจากทางเหนือ ซึ่งในกลุ่มดังกล่าวมีพระโอรสองค์ที่ 4 นามจูตี้ผู้เป็นเจ้าครองรัฐเอี้ยน (
燕王朱棣) กับเจ้ารัฐจิ้นที่มีกำลังกล้าแข็งที่สุด  ในปีที่หมิงไท่จู่ทรงมีพระชนม์มายุ 64 พรรษา รัชทายาทนามจูเปียว () กลับมาด่วนสิ้นพระชนม์ไปโดยกะทันหัน จูหยวนจางทรงเสียพระทัยมาก จึงได้แต่งตั้งจูหยุ่นเหวิน(朱允炆)บุตรชายของจูเปียวขึ้นเป็นรัชทายาทแทน  การตัดสินพระทัยในครั้งนี้ถือว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ประการหนึ่ง เพราะหลังจากที่หมิงไท่จู่สวรรคต จูหยุ่นเหวินได้ขึ้นครองราชย์ด้วยวัยเพียง 21 พรรษามีพระนามว่าฮุ่ยตี้ (惠帝) มีชื่อรัชกาลว่า เจี้ยนเหวิน (建文) หลังก้าวสู่บัลลังก์มังกรไม่นาน ฮุ่ยตี้ทรงเชื่อข้อเสนอที่ให้ยกเลิกเจ้ารัฐหัวเมืองของขุนนางใหญ่อย่างฉีไท่ หวงจื่อเฉิง จึงทยอยปลดเจ้ารัฐโจว รัฐไต้ รัฐฉี รัฐเซียง โดยบางคนถูกลดขั้นเป็นสามัญชน บ้างก็ถูกประหาร อีกทั้งใช้ข้ออ้างป้องกันชายแดง โยกย้ายกองกำลังของเจ้ารัฐเอี้ยน เพื่อเตรียมปลดในลำดับต่อไป ทว่าคำสั่งนี้ถูกเจ้ารัฐเอี้ยนได้แก้ลำด้วยการใช้ข้ออ้าง กำจัดขุนนางชั่วข้างกายฮ่องเต้” (清君側) เคลื่อนทัพลงใต้ ยกพลมุ่งลงมายังอิ้งเทียนฝู่ โดยเรียกชื่อกองทัพว่า กองทหารจิ้งหนัน” (难之役)ที่มีความหมายว่า กองทหารกำจัดเภทภัยภายในขึ้น  สงครามกลางเมืองครั้งนี้กินเวลายืดเยื้อกว่า 3 ปี กระทั่งปีค.ศ. 1402 เมื่อกองทัพของจูตี้บุกถึงเมืองหลวง หลีจิ่งหลง แม่ทัพรักษาเมืองได้เปิดประตูเมืองให้ทัพจิ้งหนานเข้าเมือง ทว่าในยามนั้น กลับมองเห็นว่าพระราชวังเกิดเพลิงลุกโหมพวยพุ่ง กว่าที่เจ้ารัฐเอี้ยน-จูตี้ได้ส่งทหารเพื่อไปดับเพลิง ก็พบว่ามีคนถูกคลอกตายไปแล้วไม่น้อย ในขณะที่หมิงฮุ่ยตี้ก็เหมือนหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งนักประวัติศาสตร์ได้เรียกเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า การจลาจลจิ้งหนาน” (难之变)  เมื่อยึดครองเมืองอิ้งเทียนได้แล้ว จูตี้จึงปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ ทรงมีพระนามว่าหมิงเฉิงจู่ (明成祖) และตั้งชื่อรัชกาลว่า หย่งเล่อ” () หลังทรงครองราชย์แล้ว หมิงเฉิงจู่ได้ดำเนินการกวาดล้างครั้งใหญ่ โดยมีขุนนางผู้ใหญ่ข้างกายหมิงฮุ่ยตี้กว่า 50 คนที่ถูกจัดให้เป็นขุนนางฉ้อฉล ถูกสั่งประหาร 9 ชั่วโคตร โดยหนึ่งในนั้นมีคดีอันเลื่องลือของฟังเซี่ยวหรู (方孝孺) ที่ถูกประหาร 10 ชั่วโคตรโดยนอกจากญาติ 9 ชั่วโคตรแล้ว ยังมีสหายและลูกศิษย์ประหารรวมไปด้วยจำนวนถึง 873 คน  หมิงเฉิงจู่ทรงให้ความสำคัญกับพื้นที่ทางเหนือเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นในปีแรกของรัชกาลหย่งเล่อ ทรงเปลี่ยนชื่อเป่ยผิงเป็นเป่ยจิง (ปักกิ่ง) อีกทั้งมีดำริจะย้ายศูนย์กลางการปกครองขึ้นไปอยู่ทางเหนือ ดังนั้นในปีค.ศ. 1416 ทรงมีรับสั่งสร้างพระราชวังขึ้นที่ปักกิ่ง ใช้ระยะเวลาการสร้างถึงเกือบ 4 ปี ด้วยการระดมช่างฝีมือจากเหอหนัน ซันตง ซันซี และอันฮุยจำนวนหลายแสนคน จนสำเร็จเสร็จสิ้นในราวปีค.ศ. 1420 จากนั้นในปีค.ศ. 1422 จึงมีราชโองการให้ย้ายราชธานีจากอิ้งเทียนฝู่ไปยังปักกิ่งอย่างเป็นทางการ  หมิงเฉิงจู่ยังเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับด้านวิทยาการความรู้ โดยรับสั่งให้รวบรวมสรรพวิชาที่มีมาตั้งแต่ในอดีตไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์ ปรัชญา ศาสนา ศิลปะ ฯลฯขึ้น มีการระดมบุคคลากร 147 คนเข้ามาช่วยกันจัดเรียบเรียง และออกมาเป็นเล่มในครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. 1404 ทว่าหมิงเฉิงจู่ยังเห็นว่าตำราดังกล่าวยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์พอ จึงให้ทำการปรับปรุงแก้ไขอีกครั้ง คราวนี้มีการใช้คนเรียบเรียงและเขียนทั้งสิ้นมากถึง 2,169 คน และใช้หอคัมภีร์เหวินยวน (文渊) ที่นานกิงที่เป็นเก็บตำรา การเรียบเรียงแก้ไขครั้งนี้ได้ลุล่วงในปี 1407 และคัดลอกเย็บเล่มเสร็จสิ้นในปีถัดมา มีจำนวนทั้งสิ้น 22,877 บรรพ จัดเรียบเรียงเป็น 11,095 เล่ม ฮ่องเต้หมิงเฉิงจู่ได้พระราชทานนามว่า สารานุกรมหย่งเล่อ (乐大典)  นอกจากสารานุกรมชิ้นใหญ่นี้แล้ว ในราชวงศ์หมิงยังเป็นยุคที่วรรณกรรมประเภทนิยายเริ่มต้นได้รับความนิยมอย่างมาก ถือเป็นเป็นยุคต้นที่นิยายในรูปแบบภาษาพูดที่เรียบง่าย ()ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายและสืบเนื่องไปถึงราชวงศ์ชิง โดยเฉพาะในราชวงศ์หมิง ได้บังเกิดผลงานประพันธ์ที่โดดเด่นๆที่เป็นที่รู้จักกันจนถึงทุกวันนี้มากมายอาทิ นิยายพงศาวดารสามก๊ก (三国演) ในช่วงปลายราชวงศ์หยวนถึงต้นราชวงศ์หมิง ส่วนเรื่องซ๋องกั๋ง หรือผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน (浒传)และ ไซอิ๋ว ()西游 และบุปผาในกุณฑีทอง (金瓶梅) ถูกประพันธ์ขึ้นในสมัยรัชกาลเจียชิ่งกับวั่นลี่ โดยสามก๊กที่ประพันธ์โดยหลอก้วนจงนั้นน่าจะเป็นนิยายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในบรรดานิยายจีนที่เคยมีมา

 

ในยุทธนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่อง "พยัคฆ์ราชซ่อนเล็บ" ที่เขียนโดย เยี่ยกวน และแปลโดย น.นพรัตน์  มีเนื้อหาที่ตัวละครถูกย้อนเวลาไปในช่วงเวลาของรัชสมัยฮ่องเต้หงอู่ (จูหยวนจางผู้ก่อตั้งราชวงศ์หมิง) คาบเกี่ยวในช่วงเวลาที่องค์ชายจูตี้ พระโอรสองค์ที่ 4 ของจักรพรรดิหงอู่ กำลังจะก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้นามว่าหย่งเล่อ ตัวละครเอกที่ชื่อ เซี่ยสิน ซึ่งเป็นคนในยุคปัจจุบันอาชีพเป็นสายสืบของกรมตำรวจ แต่ทำงานพลาดถูกแก๊งค์อาชญากรรมยาเสพติดจับได้ ระหว่างหนีก็ดันไปประสบอุบัติเหตุถูกรถชน จนหมดสติ แต่ที่แย่กว่านั้น ก็คือ เมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาไปอยู่ในยุคสมัยฮ่องเต้หงอู่ เขาต้องถูกแก๊งค์ฝ่ายความมั่นคงลับ (หรือซีไอเอ) ของราชสำนักฮ่องเต้ ให้เขาสวมรอยเป็น หยางชวี ที่เป็นสายลับคนสำคัญที่ถูกส่งเข้าไปตีสนิทพระโอรสองค์หนึ่ง ซึ่งมีพฤติกรรมเป็นกบฏ คิดก่อการล้มล้างราชบัลลังก์ฮ่องเต้ แต่บังเอิญหยางชวีมาเสียชีวิตเสียก่อน เรื่องบังเอิญเป็นใจ เมื่อเซี่ยสินที่เป็นเพียงชายขอทาน แต่บังเอิญมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับหยางชวี  ทำให้จางสือซัน ซึ่งเป็นบุคคลในหน่วยสืบราชการลับและคนสนิทของหยางชวี จึงเสนอเงื่อนไขอันปฏิเสธมิได้ให้กับเซี่ยสิน ต้องยินยอมสวมรอยเป็นหยางชวี เพื่อมิให้แผนการของฝ่ายความมั่นคงต้องเสียไป และเป็นการตกกระไดพลอยโจนของเซี่ยสิน ชะตากรรมของเขาที่ต้องสวมรวอยเป็นหยางชวีตบตาคนรอบข้างให้ได้และทำให้ทุกคนเชือว่าเขาเป็นหยางชวีตัวจริง และเข้าไปสอดแนมและทำตามแผนการของแก๊งของจางสือซันและฟ่งซีฮุย ในขณะที่ตัวเซี่ยสินเองก็ต้องเอาตัวรอดในเกมการเมืองนี้ให้ได้ ในขณะที่ต้องสืบหาความจริงไปด้วยว่า หยางชวีตัวจริงเหตุใดจึงตาย อีกทั้งเซี่ยสินซึ่งเป็นคนยุคปัจจุบันที่ศึกษาประวัติศาสตร์ก็ทราบดีว่า ในห้วงเวลาของประวัติศาสตร์นั้น ฮ่องเต้ทีขึ้นครองราชย์ต่อจากหงอู่คือเจ้าชายจูตี้ ในนามหย่งเล่อ เขาจึงจำเป็นต้องเอาตัวไปรับใช้ใกล้ชิดองค์ชายจูตี้ให้ได้ เพื่อจะได้รับความดีความชอบ ส่งผลต่อชะตาชีวิตและความก้าวหน้าของตนเอง พล็อตเรื่องนี้เป็นแนวทะลุมิติอิงประวัติศาสตร์คล้ายๆ ปู้ปู้จิงซิน แต่อยู่คนละยุคสมัย
เนื้อเรื่องย่อแบบยาวๆ เข้าไปอ่านที่นี่ก็ได้ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=jackfruit-k&month=30-06-2014&group=61&gblog=1

สมุทรยาตราของเจิ้งเหอ (郑和下西洋)

หลังจากหมิงเฉิงจู่ได้ชิงบัลลังก์มาจากพระนัดดา สิ่งที่ส่งผลให้ไม่สบายพระทัยมาโดยตลอดก็คือหลังเกิดเพลิงไหม้พระราชวังแล้ว กลับไม่สามารถค้นพบพระศพของหมิงฮุ่ยตี้ (เจี้ยนเหวินตี้) และเพื่อสืบเรื่องราวดังกล่าวให้ชัดเจน จึงมีพระประสงค์ที่จะส่งขุนนางออกไปเพื่อตามหาร่องรอยอย่างลับๆ
ภายหลังหมิงเฉิงจู่ทรงมีดำริว่าหมิงฮุ่ยตี้อาจจะหลบหนีออกไปทางทะเล จึงตัดสินพระทัยที่จะสร้างขบวนเรือเพื่อเดินทางไปค้นหา โดยพระองค์ได้มอบหมายภาระหน้าที่นี้ให้กับเจิ้งเหอ (
郑和) ขันทีที่ติดตามพระองค์มาเป็นเวลานาน  เจิ้งเหอเดิมแซ่หม่า มีนามว่าเหอ นามรองซันเป่า เป็นชนชาติหุยที่เกิดในมณฑลหยุนหนัน (ยูนนาน) หลังจากที่เข้ามาเป็นขันที หมิงเฉิงจู่หรือองค์ชายจูตี้ในยามนั้นทรงให้ความไว้เนื้อเชื่อใจและโปรดปรานในสติปัญญาความสามารถของหม่าเหอมาก ภายหลังจึงพระราชทานแซ่ เจิ้งให้ โดยในประวัติศาสตร์ได้บันทึก เจิ้งเหอมีรูปร่างสูงใหญ่ถึง 7 ฟุต มีน้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม ท่าเดินสง่าน่าเกรงขาม น้ำเสียงกังวานมีพลัง  ในปีค.ศ. 1405 ขบวนเรือของเจิ้งเหออันประกอบด้วยเรือที่ประกอบด้วยเรือสินค้า เรือรบ และเรือสนับสนุนในแบบต่างๆ โดยแบ่งเป็นเรือใหญ่จำนวน 62 ลำ และเรือเล็กอีกมากกว่า 200 ลำ พร้อมด้วยผู้คนกว่า 27,800 คน อันประกอบด้วยลูกเรือ ทหาร ช่างเทคนิค นักพยากรณ์อากาศ แพทย์ และล่าม และแล้วกองเรือยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์จีนและของโลกในยุคนั้นจึงได้เริ่มออกเดินทางโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะตามหาร่องรอยของหมิงฮุ่ยตี้ รวมไปถึงเจริญสัมพันธไมตรีกับแว่นแคว้นต่างๆ อีกทั้งเป็นการไปแสวงหาผลประโยชน์ทางการค้าอีกด้วย เจิ้งเหอได้ออกกองเรือเดินสมุทรทั้งสิ้น 7 ครั้งตั้งแต่ปีค.ศ. 1405 – ปีค.ศ. 1433 นับเป็นระยะเวลาเกือบ 30 ปี และเดินทางเป็นระยะทางมากกว่า 50,000 กิโลเมตร ผ่านดินแดนกว่า 30 ประเทศจากทะเลจีนใต้ไปจนถึงชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกา โดยกองเรือภายใต้การนำพาของขันทีเจิ้งเหอผู้นี้ได้เคยติดต่อกับอาณาจักรอยุธยาด้วย นอกจากนั้นกาวิน แมนซี (Gavin Menzies) อดีตทหารเรือชาวอังกฤษ ได้เคยนำเสนอทฤษฎีที่ว่า ในการเดินเรือครั้งหนึ่งของเจิ้งเหอ เขาน่าจะไปไกลถึงทวีปอเมริกา ซึ่งหากเป็นจริง เขาก็จะเป็นผู้ค้นพบทวีปอเมริกาก่อนโคลัมบัสเกือบร้อยปี  เรื่องราวที่ทำให้เห็นว่า การที่ราชวงศ์หมิงที่ในช่วงต้นมีความเจริญก้าวหน้ามากมายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นกำลังทหาร สถาปัตยกรรม วรรณกรรม แต่หารู้ไม่ว่าหลังจากที่ฮ่องเต้หมิงเฉิงจู่ได้ขึ้นครองราชย์ ได้ทรงบ่มเพาะมูลเหตุแห่งความวิบัติเอาไว้ จนทำให้ช่วงกลางราชวงศ์บังเกิดความพลิกผันและการรัฐประหารอันเป็นเหตุราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ ต้องทรุดโทรมจนถึงกาลพินาศภายใต้เงื้อมมือของชนชาติโฮ่วจินในที่สุด

เครดิตอ้างอิง (บทความนี้ถอดความมาจากคอลัมน์ มุมจีน ธารประวัติศาสตร์  26 กุมภาพันธ์ 2551 ผู้จัดการออนไลน์)

 
 
 

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

อากับหลานคุยกัน ตอนที่ 1 (นายก,จาเจียง,มาริโอ้,แก๊งค์ฮอร์โมนส์,เล่ห์ละครดี)


อากับหลานคุยกัน

อา คือ ชายวัยกลางคน บุคลิกสุขุมลุ่มลึก มาดเนี๊ยบทรงภูมิ  การศึกษาสูง  มีประสบการณ์ทำงานอดีตเคยเป็นข้าราชการ ปัจจุบันเป็นผู้บริหารของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ไลฟ์สไตล์เป็นคนเก็บตัว เงียบขรึม แต่เป็นคนสนใจสิ่งต่างๆ รอบตัว ใฝ่หาความรู้รอบตัว ทันกระแสสังคม ใจดี มีเงินใช้

หลาน คือเด็กวัยรุ่น มาดทะเล้น ซนๆ (มันเกรียน) ชอบซักถามผู้ใหญ่ ในเรื่องที่ตนเองไม่รู้หรือสงสัย ไม่เข้าใจ จริงๆ แล้วเป็นเด็กเนิร์ดๆ เป็นเด็กฉลาดรอบรู้ แต่แสร้งทำเป็นไร้เดียงสา ปรับตัวเก่ง เชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นที่เอ็นดูของผู้ใหญ่

-คุณอาครับ ทำไมนายกรัฐมนตรีของไทยถึงต้องทำหน้าดุๆ เสียงดุๆ คอยตะคอกเสียงใส่นักข่าว หรือผู้สื่อข่าวออกทีวีด้วยครับ ทำไมไม่เห็นเหมือนโอบาม่า ปธน.สหรัฐที่เขาพูดจา เหมือนคนใจดี ยิ้มแย้มตลอดเวลา

-จริงๆ แล้ว ท่านนายกลุงตู่ ท่านเป็นคนใจดีนะ ไม่ใช่คนดุร้ายอะไร การที่ผู้ใหญ่ดุใส่นักข่าวหรือข้าชั้นผู้น้อย ก็แสดงว่า ท่านกำลังสั่งสอน ตักเตือน ในสิ่งที่นักข่าวหรือชั้นผู้น้อยทำไม่ถูกต้องหรือท่านเคยว่ากล่าวตักเตือนแล้วไม่ฟัง หรือยังคงทำสิ่งไม่ดีซ้ำเดิมๆ ท่านจึงต้องทำเสียงดุ ส่วนการที่ท่านต้องทำสีหน้าดุ เคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา ก็เป็นเพราะปัญหาของบ้านเมืองเรามันยุ่งเหยิง เยอะแยะ ทำให้ท่านต้องมีหน้าที่ต้องคอยตอบปัญหา แก้ไขปัญหาต่างๆ ในบ้านเมืองมากมาย จึงดูเหมือนท่านเป็นคนเคร่งเครียด แสดงออกมาทางสีหน้าดุดัน และน้ำเสียงดุ ตะคอกเสียงออกมาเป็นบางครั้ง ในขณะที่ ปธน.สหรัฐ จริงๆ ท่านก็มีมุมเครียดให้เห็นอยู่บ้างนะ แต่สื่อทีวี บ้านเขาอาจไม่ค่อยจับมุมเครียดมาให้เห็นบ่อยมั้ง จึงเห็นว่า ปธน.โอบาม่า เวลาโผล่ทางทีวี เห็นแต่มุมที่ท่านยิ้มบ่อย เราจึงมองว่าท่านมีมาดเป็นคนใจดีมั๊ง
 
 
-คุณอาครับ ทำไมคุณจาพนม กับเสี่ยเจียง ทะเลาะกัน แล้วทำไมต้องมาฟ้องไม่ให้หนัง Fast 7 ไม่ได้ฉายด้วยอ่ะครับ แล้วตอนนี้ศาลแพ่งได้สั่งระงับคำสั่งคุ้มครองสิทธิ โดยอนุญาตให้ฉายได้ตามปกติแล้ว แล้วอย่างนี้เท่ากับเสี่ยเจียงถือว่าแพ้คดีต่อเสี่ยจาแล้วหรือยังครับ

-เรื่องฟ้องรักษาสิทธิโดยให้ระงับการฉายหนัง Fast 7 นั้นจบไปแล้ว ผลก็ออกมาตามที่ศาลมีคำสั่งระงับการคุ้มครองสิทธิ แต่เรื่องคดีที่เสียเจียงฟ้องคุณจา ยังไม่จบ ก็คงต้องยืดเยื้อออกไป ขึ้นอยู่กับทั้ง 2 ฝ่ายว่าจะมาเจรจา พูดคุย ตกลงหาข้อยุติกันได้หรือไม่ หรือจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกันไปจนกว่าจะหาข้อยุติ หรือศาลตัดสินเป็นที่สิ้นสุดได้ ก็เป็นอันจบ  จาคงเสียเปรียบตรงที่เคยไปหยิบยืมเงินของเสี่ย กะว่าจะเอาไปสร้างหนัง แต่สุดท้ายงานไม่สำเร็จ แต่เชิดเงินเสี่ยไปแถมจาไม่คิดต่อสัญญาเป็นเด็กในสังกัด เสี่ยก็คงแค้นใจ ก็เลยฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย บวกกับความกำกวมของสัญญาผูกมัด ที่ต่างฝ่ายต่างพูดไม่ตรงกัน ข้างฝ่ายเสี่ยแจ้งว่าจาต่อสัญญาอัตโนมัติโดยไม่ต้องเซ็นต์ลงนามต่อหน้า แต่ข้างฝ่ายจาแจ้งว่าเป็นสัญญาที่ทำลับหลัง ตนเองไม่ได้รับรู้ แต่ประเด็นที่น่าตกใจ ก็คือเสี่ยเจียงฟ้องเรียกค่าเสียหายในครั้งนี้เป็นมูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาท ซึ่งก็สงสัยเหมือนกันว่า แกเอาอะไรมาตีค่าความเสียหายในสัญญาถึงได้มากมายถึงเพียงนี้ เพราะถ้าจะเทียบเคียง ด้วยการนำหนังของสหมงคลฟิล์มที่เคยสร้างมาทั้งหมด และออกฉายนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ มา นำเอารายได้ทุกเรื่องมาบวกรวมกัน ก็ยังไม่น่าจะถึง 1,600 ล้านบาทเลยนี่นา (ห้ามนำเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวร และสุริโยทัยมารวมนะ นั่นเป็นหนังของท่านมุ้ย) จึงเป็นเรื่องที่ออกจะโอเว่อร์เกินไป และนี่อาจเป็นแรงกดดันนึงก็ได้ที่ฝ่ายจา ไม่อยากไปพูดคุยด้วยหรือไม่

 
-คุณอาครับ ผมอยากมีหัวนมสีชมพูครับ ทำไงดี จะได้มีสาวๆ มากรี๊ดบ้าง ไรบ้าง

-เอาอะไรมาคิด ทำไม สาวๆ สมัยนี้ ถึงชอบผู้ชายที่มีหัวนมสีชมพู นี่มันค่านิยมบ้าบออะไรกันนี่ หัวนมสีดำหรือชมพู มันจะมีค่าอะไร หากคนคนนั้นไม่มีความดีอยู่ในตัว ถ้าแกมันเลวแต่หัวนมสีชมพู ผู้หญิงจะชอบงั้นหรือ

-เอิ่ม คุณอาครับ มันเป็นค่านิยมของเด็กวัยรุ่นยุคนี้อ่ะครับ แสดงถึงความฟรุ้งฟริ้ง งุงิครุคริ ขนาดหัวนมยังเป็นสีชมพู ริมฝีปากสีแดง แสดงถึงสุขภาพที่ดี คุณสมบัติที่ดีของหนุ่มรูปงามไงครับ

-เอิ่ม อาขอสำรอกอาหาร..แป๊บนะ แล้วไง อยากมีหัวนมสีชมพูหน่ะเหรอ ก็ไม่ยาก ถอดเสื้อออกมา เดี๋ยวอาจะบิดหัวนมแกให้บวม เดี๋ยวพอมันบวมเป่ง หัวนมมันก็จะอมสีชมพูเอง

-ไม่เอาสิครับ คุณอา... งั้นผมไม่อยากแล้ว คือผมเห็นกระแสในโซเชียล ที่วันก่อน เกิดเรียลลิตี้ตามติดมาริโอ้ ที่ไปรายงานตัวจับใบดำใบแดง คัดเลือกเกณฑ์ทหาร เนื่องจากขอผ่อนผันการเกณฑ์ทหารมาครบตามกำหนดแล้ว แต่ประเด็นมันอยู่ที่แฟนคลับตามไปดูมาริโอ้ ถอดเสื้อเพื่อเข้าตรวจร่างกาย และตื่นตะลึงกับความแน่นตึงของอกล่ำๆ ของมาริโอ้ และหัวนมสีชมพู กรี๊ดกันลั่นสถานี และอีกประเด็นก็คือลุ้นว่ามาริโอ้จะจับได้ใบดำหรือใบแดง เนื่องจากแฟนคลับแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายนึงอยากให้มาริโอ้จับได้ใบดำ เพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นทหาร จะได้อยู่มีผลงานให้พวกเขาดูต่อไป แต่แฟนคลับอีกกลุ่มหนึ่ง อยากให้มาริโอ้ได้ใบแดงจะได้เป็นทหารรับใช้ชาติ ซึ่งก็จะได้เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับวัยรุ่น และแฟนคลับ

-ก็ถูกต้องแล้วนี่ มาริโอ้ก็เป็นนักแสดงวัยรุ่นชื่อดัง เป็นตัวอย่างของเยาวชน ในเมื่อมารายงานตัว ตรวจร่างกาย เพื่อเข้ารับการคัดเลือกเป็นทหารเกณฑ์ ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ลูกผู้ชายไทยที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว แล้วทำไมบรรดาแฟนคลับจะต้องไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับเขาด้วย อาก็ได้ฟังข่าวเรื่องนี้เหมือนกัน ดูเหมือนการที่มีนักข่าวหรือแฟนคลับแห่ไปสังเกตการณ์ดูเขา ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองเลย เกิดความอึดอัด คือทำหน้าไม่ถูก จะดีใจที่จับได้ใบดำ หรือเสียใจดีที่ไม่ได้รับใช้ชาติดี นี่ถ้าเป็นอานะ จะสมัครเป็นทหารรับใช้ชาติไปเลย ได้ใจแฟนคลับกันไปเลย ไม่ต้องมาคอยแห่ตามกันแบบนี้

-ถึงคุณอาอยากจะสมัคร แต่เขาก็คงไม่เอาหรอกครับ ก็คุณอาเป็นโรคหอบหืดมิใช่หรือ ยังไงก็เป็นทหารไม่ได้หรอกครับ คุณอาก็พูดได้สิ อีกอย่างมาริโอ้กำลังมีผลงานมากมายทั้งในไทยและเมืองจีน ขืนไปเกณฑ์ทหารซักปี 2 ปี ผลประโยชน์ที่จะได้ก็หายหมดสิครับคุณอา แล้วบางทีแฟนคลับก็อาจจะลืมด้วย

-แล้วทำไมนักร้องนักแสดงเกาหลี มันไม่คิดแบบนี้บ้างนะ เห็นสมัครรับใช้ชาติกันโครมๆ

-คุณอาครับ มาตรฐานความเป็นอยู่ของทหารเกณฑ์บ้านเรากับเกาหลีมันแตกต่างกันไงครับ ทหารเกณฑ้บ้านเราเหมือนไอ้เณร มันไม่เท่ห์เหมือนต่างชาติเขาหรอกครับ

-แล้วไง การรับใช้ชาติมันเป็นหน้าที่ การเสียสละความสุขส่วนตัวเพียงแค่นี้ ทำไม่ได้หรืออย่างไร การรับใช้ชาติมันไม่เท่ห์ตรงไหน ดูอย่างลูกชายท่านเนวิน ชิดชอบ ยังไปสมัครเป็นทหารเลย

-แต่คุณอาครับ แต่เยาวชนคนไทยมีซักกี่คนที่จะคิดเช่นนี้กันครับ

-ก็นี่ไง เราถึงต้องปลูกฝังค่านิยม 12 ประการกันอยู่ไง ยิ่งเรามีผู้นำเป็นทหารมาก่อน ท่านเข้าใจว่าปัญหาของคนไทยอยู่ที่ไหน ถึงได้บัญญัติค่านิยมขึ้นมาให้เราเยาวชนไทยควรยึดถือ

 
-คุณอาครับ แล้วถ้าเยาวชนคนไทยไปกระทำอะไรที่ไม่เหมาะสม หรือขัดต่อค่านิยมอันดีงามของต่างบ้านต่างเมืองเขา นี่เราจะผิดมั๊ยอ่ะครับ ถ้าในบ้านเราถือว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ปกติ ไม่ได้ขัดต่อค่านิยมอะไรมากนัก

-เอิ่ม ประเด็นนี้ ถ้าไปทำอะไรที่ขัดต่อค่านิยมอันดีงามของต่างบ้านต่างเมือง ก็ต้องถือว่าผิด ไม่เหมาะสม คือขนบธรรมเนียม ค่านิยมของแต่ละสังคมไม่เหมือนกัน ไปอยู่ที่ใดก็ต้องเคารพและปฏิบัติตนตามค่านิยมในประเทศนั้นๆ อันนี้จะหมายถึง กลุ่มเด็กวัยรุ่นเซเลปหรือนักแสดงในเรื่องฮอร์โมนส์ของบ้านเราใช่มั๊ยที่ไปเต้นแร้งเต้นกาในขบวนรถไฟที่ญี่ปุ่นใช่มั๊ย เรื่องนี้ชัดเจนว่าเด็กกลุ่มนี้กระทำการไม่เหมาะควร อาจเป็นพฤติกรรมที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือเล่นแผลงๆ โดยไม่คิดให้รอบคอบก่อน แต่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี หากว่ามีคนอื่นกระทำเลียนแบบหรือเอาอย่าง เพราะเด็กเหล่านี้เป็นไอด้อลของวัยรุ่นในเมืองไทยด้วย เรื่องนี้ทางต้นสังกัดของเด็กก็ได้ออกมาขอโทษทุกฝ่ายและมีบทลงโทษกับเด็กในสังกัดของตนแล้ว ต้องถือว่ากรณีนี้น่าจะเป็นกรณีศึกษาที่ดีสำหรับคนไทยทุกคน จะได้ไม่ไปทำอย่างนี้อีก อย่างน้อยน้องๆ เขาก็สำนึกผิดแล้ว และก็เป็นกรณีศึกษาให้กับพวกเราคนไทยนำไปเป็นข้อคิดและบทเรียน


 
-คุณอาครับ เล่ห์ละครดีทำเอาผมปั่นป่วนไปหมดเลยครัช อยากมีเมียเป็นคุณหนูเคทจังเลยครัช

-เอิ่ม...เรื่องละคงละคร นี่ไม่ต้องเอามาคุยกับอาเลยนะ อาไม่รู้เรื่องหรอก ไม่เคยดูเลย และไม่คิดจะดูด้วย ไอ้เรื่องละครน้ำเน่าบ้านเรานี่ มันมอมเมาประชาชนมานานแล้ว

-แต่คุณอาครับ ผมอยากให้คุณอาต้องดูละครเรื่องนี้ครัช รับรองว่า เมื่อดูเสร็จแล้ว มุมมองความคิดของคุณอาจะเปลียนแปลงไปเลยครัช จะได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ในละครไทยบ้านเรา

-อย่ามากล่อมเสียให้ยากเลย ไอ้หลานเอ๋ย ละครน้ำเน่าเนี่ย อาไม่เคยดู และไม่คิดจะดูด้วย

-ถ้าอย่างนั้น เรามาพนันกันมั๊ยครัช คุณอา ถ้าคุณอาดูตั้งแต่ ep.1-10 ได้จนจบตลอดรอดฝั่ง โดยไม่ข้ามแม้แต่ซีนเดียว หลานก็จะยอมนั่งทนดูรายการคืนความสุขในคืนวันศุกร์ร่วมกับคุณอาทุกอาทิตย์ครับ โดยไม่เปลี่ยนไปดูการ์ตูนที่ช่องเคเบิ้ลอีกเลย แต่หากคุณอาดูเล่ห์ละครดีไม่จบตามเงื่อนไข ก็จะต้องถูกบังคับให้มาดูการ์ตูนเป็นเพื่อนผมที่ช่องเคเบิ้ลทุกวันเช่นกัน

เหตุการณ์ผ่านไป 1 สัปดาห์ คุณอาได้นั่งทนดูเล่ห์ละครดีตั้งแต่ ep.1-10 ใน youtube ปรากฏว่า

-คุณอาครับ คุณอาได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับผมแล้ว ผมจะยอมนั่งทนดูรายการคืนความสุขเป็นเพื่อนคุณอาครับ

-อืมม์...ไอ้หลานเอ๊ย เล่ห์ละครดี นี่มันดีจริงๆ เข้าใจแล้วว่า ฟินจิกหมอนมันเป็นยังไง

-คุณอาครับ อย่าบอกนะครับว่า ติดใจเล่ห์ละครดีเข้าให้แล้ว ถ้าอย่างนั้น....รายการคืนความสุขหล่ะครับ

-ขอพักดูรายการคืนความสุขซักพัก แล้วหันมาดูรีรันเล่ห์ละครดีดีกว่า เพราะว่ามันคืนความสุขให้กับอาอย่างแท้จริง  ต่างหาก

 -คุณอาครับ ถ้าอย่างนั้น ผมก็ซวยหล่ะสิ แล้วใครจะมานั่งดูการ์ตูนเป็นเพื่อนผมหล่ะครับ คืนความสุขหล่ะครับคุณอา

-เปลืองไฟ ไม่ดูแล้ว   














วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2558

ย้อนตำนานยุครุ่งเรือง ภาพยนตร์ไทย ตอนที่ 3

ภาพยนตร์ไทยในยุค แนวทางตลาดภาพยนตร์วัยรุ่น และยุคตกต่ำ 1 (ระหว่าง พ.ศ. 2530-2539)

(ความเดิมจากตอนที่แล้ว) หนังวัยรุ่นยุคแรกๆ ของประเทศไทยนั้น ผู้เขียนนึกไปถึงผู้กำกับเพียง 2 ท่านนี้ก่อนเลย คือคุณศุภักษร และอาเปี๊ยก โปสเตอร์  หนังวัยรุ่นเรื่องแรกๆ ในความทรงจำของผู้เขียนคือ

หนังในฝั่งของอาศุภักษร ได้แก่ รักทะเล้น (2521) ,ปริญญาครึ่งใบ (2522), หมอซ้ง (2522)  ,รักน่ารัก (2525) ,วันนี้ยังมีเธอ , วันวานยังหวานอยู่ (2526) ,สยามสแควร์ , หยุดหัวใจไว้ที่รัก (2527) ,18 กะรัต , ฝันที่เป็นจริง (2528)

 

หนังในฝั่งของอาเปี๊ยก โปสเตอร์ ได้แก่ วัยอลวน (2519) ,รักอุตลุต (2520) , ชื่นชุลมุน (2521) , แก้ว (2523) , ไข่ลูกเขย,คุณปู่ซู่ซ่าส์ (2524) ,คุณย่าเซ็กซี่ (2525) , วัยระเริง (2527) ,ดวงใจกระซิบรัก (2529) , กลิ่นสีและกาวแป้ง (2531) , กลิ่นสีและกาวแป้ง ภาค 2 (2532) , ดีดสีและตีเป่า (2533) ,ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม (2534)
จากนั้นในช่วงปลายยุคทศวรรษ 80’s หรือประมาณต้น พ.ศ. 2530 ได้ถือกำเนิดสตูดิโอผลิตภาพยนตร์ไทยรายใหม่ ซึ่งกลายมาเป็นผู้เล่นหลักของยุคนี้ นั่นก็คือสตูดิโอที่ชื่อว่า ไท เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ กับปรากฏการณ์ของภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องที่เปิดตัวและทำรายได้ถล่มทลาย จนกลายเป็นกระแสหนังวัยรุ่นที่นำแฟชั่น และเป็นผู้นำแห่งยุคเลยก็ว่าได้ ปรากฏการณ์ของภายพนตร์เหล่านั้นได้แก่ ซึมน้อยหน่อยกะล่อนมากหน่อย, ปลื้ม ,ฉลุย  จนไปปลุกกระแสของตลาดภาพยนตร์ไทยที่ทำให้เกิดตลาดผู้ชมกลุ่มใหญ่ขึ้นมา ทำให้สตูดิโอยักษ์ใหญ่ในยุคนั้นอย่าง ไฟว์สตาร์ที่สร้างแต่หนังชีวิตดราม่า หรือหนังรักเมโลดราม่าเป็นส่วนใหญ่ต้องกระโดดลงมาเล่นกับกระแสนี้ด้วย



หนังในหมวดวัยรุ่นนี้ ผู้เล่นหลักในยุคนี้ประกอบด้วย 2 ค่ายหลักก็คือไฟว์สตาร์กับ ไทเอ็นเตอร์เทน มาดูรายชื่อหนังของ 2 ค่ายคู่แข่ง ว่าฝั่งไหนมีเรื่องอะไรกันบ้าง

ไฟว์สตาร์  ได้แก่ วัยระเริง , น้ำพุ (2527) , ผีเสื้อและดอกไม้ (2528) , คู่วุ่นวัยหวาน , พ่อจอมยวนแม่จอมยุ่ง (2529) , หัวใจเดียวกัน,ดวงใจกระซิบรัก,ปัญญาชนก้นครัว (2529) , กว่าจะรู้เดียงสา,หวานมันส์ฉันคือเธอ,เหยื่อ (2530) , คู่กรรม,กลิ่นสีและกาวแป้ง,หวานมันส์2,บุญชูผู้น่ารัก (2531) , ครูไหวใจร้าย,เทวดาตกสวรรค์,ขอชื่อสุธีสามสี่ชาติ,ดีดสีและตีเป่า (2532) ,สอว.ห้อง 2 รุ่น 44,ต้องปล้น (2533) , โฮ่ง,โก๊ะจ๋าป่านะโก๊ะ,ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม,ครั้งนี้โลกฉุดไม่อยู่ (2534) , อนึ่งคิดถึงพอสังเขป,สมศรี 422 อาร์,สะแด่วแห้ว,โจ๋ไม่โจ๋หัวใจให้โจ๋ (2535) , ลูกบ้าเที่ยวล่าสุด,กระโปรงบานขาสั้น,สมศรี 422 อาร์ โปรแกรม B ปีนี้ 2 ขวบ (2536) , หอบรักมาห่มป่า,ม.6/2 ห้องครูวารี,บันทึกจากลูก(ผู้)ชาย,ตุ๊ต๊ะต๋อมแต๋ม สุภาพบุรุษตัว ต. (2537) , กาลครั้งหนึ่งเมื่อเช้านี้,ประถมมัธยมเปรี้ยวอมหวาน,ขอเก็บหัวใจเธอไว้คนเดียว,ตัวเก็งเต็งหนึ่ง,สติแตกสุดขั้วโลก (2538) , กู๊ดบายซัมเมอร์เอ้อเหอเทอมเดียว,ดอกไม้ไนน์มากับขาหมู,ชื่ออุ้มมีบุญนำหน้า,เพื่อนกันเฉพาะวันหยุด,เด็กเสเพล,วอนทั้งโลกโขกหัวเธอ (2539) ,อุแว้สวรรค์มหัศจรรย์ข้ามโลก,แก๊งกระแทกก๊วนส์เก๋ากวนเมือง,ยุกยิกหัวใจหยิกกัน,ฝันบ้าคาราโอเกะ,18ฝนคนอันตราย,คนป่วยสายฟ้า (2540) cc-j แสบสายฟ้า,เสือโจรพันธุ์เสือ (2541) , ล่าระเบิดเมือง,เรื่องตลก 69 (2542) , อั้งยี่ลูกผู้ชายพันธุ์มังกร,ฟ้าทะลายโจร,โกซิกซ์ : โกหก,กะล่อน,ปลิ้นปล้อน,ตอแหล (2543) , 14 ตุลาสงครามประชาชน,เชอรี่แอน,มนต์รักทรานซิสเตอร (2544) , โรงแรมผี,ขุนแผน,ชุมเสือแดนสิงห์ ตอนกระตุกติ่งเจ้าพ่อ (2545) , แมนเกินร้อยแอ้มเกินพิกัด,ว๊ายบึ้ม!เชียร์กระหึ่มโลก,เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล (2546) , 2508 ปิดกรมจับตาย,คนเล่นของ,หมานคร (2547) ,วัยอลวน4ตั้มโอ๋รีเทิร์น,ลองของ (2548) , ลาง-หลอก-หลอน,เปนชู้กับผี (2549) ,หอแต๋วแตก,ไชยา,ผีจ้างหนัง (2550)



ไทเอ็นเตอร์เทนเม้นต์  ได้แก่ ซึมน้อยหน่อย กะล่อนมากหน่อย (2528) ,ปลื้ม,โปรดทราบ...คิดถึงมาก (2529) , ดีแตก (2530) , ฉลุย,รักแรกอุ้ม (2531) ,พริกขี้หนูกับหมูแฮม (2532) , ฉลุยโครงการ 2,ปุกปุย (2533) , สยึ๋มกึ๋ย,กลิ้งไว้ก่อน พ่อสอนไว้ (2534) ,บุญตั้งไข่,โตแล้วต้องโต๋ (2535) , ปีหนึ่งเพื่อนกันและวันอัศจรรย์ของผม (2536) , คู่แท้สองโลก,ฉลุยหิน คนไข่สุดขอบโลก (2537) , กึ๋ยส์ 2,รักแท้บทที่ 1 (2538) , แรงเป็นไฟละลายแค่เธอ (2539) , นางแบบ,2499 อันธพาลครองเมือง (2540) , 303 กลัว/กล้า/อาฆาต (2541) , นางนาก (2542) ,สตรีเหล็ก (2543) ,แม่เบี้ย,จันดารา (2544) , น.ช.นักโทษชาย,แอบคนข้างบ้าน (2545) , สตรีเหล็ก2,คู่แท้ปาฏิหาริย์,*แฟนฉัน (2546) ,หมอเจ็บ (2547) *หมายเหตุ ในกรณีของ ภ.แฟนฉัน เป็นการร่วมทุนสร้างของ 3 ค่ายใหญ่ คือ ไทเอ็นเตอร์เทน,หับโห้หิ้น และแกรมมี่ฟิล์ม ซึ่งประสบความสำเร็จด้านรายได้เป็นอย่างสูง จึงกลายเป็นที่มาที่ทำให้ภายหลังมาควบรวมกิจการกันกลายเป็นบริษัท GTH ค่ายหนังอันดับ 1 จนถึงทุกวันนี้

นอกเหนือจาก 2 ค่ายหลักที่เป็นผู้บุกเบิกแนวทางของหนังวัยรุ่น และฟาดฟันกันด้วยแนวหนังวัยรุ่นมานับตั้งแต่ช่วงปี 2527 เป็นต้นมา กว่า 10 ปี ช่วงปลายของยุคปี 2530 ก็มีผู้เล่นรายใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก 3 ค่าย ได้แก่ สหมงคลฟิล์ม,อาร์เอส และแกรมมี่ มาช่วยสร้างสีสันและกระตุ้นให้วงการหนังไทยคึกคักตามมาอีกด้วย

สหมงคลฟิล์ม  ได้แก่ แบบว่าโลกนี้มีน้ำเต้าหู้กับครูระเบียบ,เสียดาย (2537) , คนมหากาฬ (2538) , กลิ่นสีและทีแปรง,แบบว่าโลกนี้ภาค 2,เสียดาย 2 (2539) , ถนนนี้หัวใจข้าจอง,กล่อง (2540-2541) , ปอบหวีดสยอง (2544) , โก๋หลังวัง,7ประจัญบาน,อารมณ์อาถรรพ์อาฆาต,คนเห็นผี,999-9999 ต่อติดตาย (2545) ,องก์บาก,ความรักครั้งสุดท้าย,สยิว,ช้างเพื่อนแก้ว,Fake โกหกทั้งเพ,เฮี้ยน,ชื่อชอบชวนหาเรื่อง,มหาอุตม์,นายอโศกกับนางสาวเพลินจิต,ตะเคียน,โอเคเบตง (2546) ,บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม,โหมโรง,คนผีปีศาจ,คนเห็นผี2,102 ปิดกรุงเทพปล้น,เดอะเล็ตเตอร์จดหมายรัก,เอ็กซ์แมนแฟนพันธุ์เอ็กซ์,ตุ๊กแกผี,กั๊กกะกาวน์,ขุนกระบี่ผีระบาด (2547) , เอ๋อเหรอ,ซุ้มมือปืน,บุบผาราตรีเฟส2,คนเห็นผี10,นรก,ต้มยำกุ้ง,แหยมยโสธร,คนระลึกชาติ,7ประจัญบาน2,รับน้องสยองขวัญ,เฉิ่ม,วาไรตี้ผีฉลุย (2548) , ข้าวเหนียวหมูปิ้ง,ไฉไล,กระสือวาเลนไทน์,โหน่งเท่งนักเลงภูเขาทอง,โบอางูยักษ์,มอ.8,ก้านกล้วย,หนูหิ่นเดอะมูฟวี่,โคตรรักเอ็งเลย,มนุษย์เหล็กไหล,ศพ,13เกมสยอง,เขาชนไก่,คนไฟบิน (2549) , ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค1กับภาค2,อสุจ๊าก,บอดีการ์ดหน้าเหลี่ยม2,โกยเถอะเกย์,เท่งโหน่งคนมาหาเฮีย,สวยลากไส้,วีดีโอคลิป,คนหิ้วหัว,เพื่อน...กูรักมึงหว่ะ,โอปปาติก เกิดอมตะ,วิญญาณโลกคนตาย,รักแห่งสยาม (2550)



อาร์เอสฟิล์ม ได้แก่  รองต๊ะแล่บแปล๊บ (2535)  ,โลกทั้งใบให้นายคนเดียว (2538)  ,เกิดอีกทีต้องมีเธอ ,เด็กระเบิด ยืดแล้วยึด ,เจนนี่ กลางวันครับกลางคืนค่ะ ,ล่องจุ๊น ขอหมอนใบนั้นที่เธอฝันยามหนุน ,18-80 เพื่อนซี้ไม่มีซั้ว ,ฝันติดไฟ หัวใจติดดิน ,แตก 4 รักโลภโกรธเลว ,ปาฏิหาริย์ โอมสมหวัง  ,โคลนนิ่ง คนก๊อปปี้คน ,มือปืน/โลก/พระ/จัน ,เก้า พระคุ้มครอง ,ผีสามบาท ,ตะลุมพุก มหาวาตภัยล้างแผ่นดิน ,พันธุ์ร็อกหน้าย่น,สังหรณ์ ,sex phone คลื่นเหงาสาวข้างบ้าน ,จ.เจี๊ยวจ๊าว ,คลับซ่า ปิดตำราแสบ ,สวนสนุกผี ,ปล้นนะยะ ,ปักษาวายุ ,ชู้ ,ทวารยังหวานอยู่ ,ซาไกยูไนเต็ด ,จอมขมังเวทย์ ,เดอะเมีย ,พยัคฆ์ร้ายส่ายหน้า ,อหิงสา จิ๊กโก๋มีกรรม ,เพราะรักครับผม ,ผีเสื้อสมุทร ,ไทยถีบ ,รักจัง ,ผีคนเป็น ,แสบสนิทศิษย์ส่ายหน้า ,ผีไม้จิ้มฟัน ,เมล์นรกหมวยยกล้อ ,รักนะ 24 ชั่วโมง ,บ้านผีสิง ,โปงลางสะดิ้งลำซิ่งส่ายหน้า (2550)

แกรมมี่ฟิล์ม ได้แก่  คู่กรรม (2538) , จักรยานสีแดง,อันดากับฟ้าใส (2540) , รักออกแบบไม่ได้ (2541) , กำแพง (2542) , ยุวชนทหารเปิดเทอมไปรบ (2543) , เปลี่ยนโครงสร้างมาเป็นแกรมมี่พิคเจอร์ ร่วมทำภาพยนตร์กับสตูดิโอหับโห้หิ้น  ได้แก่ 15 ค่ำเดือน 11 (2545), กุมภาพันธ์,คืนไร้เงา,ผีเสื้อร้อนรัก,บิวตี้ฟูลบ็อกเซอร์,*แฟนฉัน (2546) , ไอ้ฟัก,พันธุ์ x เด็กสุดขั้ว,ธิดาช้าง,หัวใจทระนง,ชัตเตอร์กดติดวิญญาณ (2547)  เปลี่ยนโครงสร้างบริษัทอีกครั้งด้วยการรวมกับไทเอ็นเตอร์เทนและหับโห้หิ้น กลายเป็นบริษัทจีทีเอช มีผลงานได้แก่  สายล่อฟ้า,แจ๋ว (2547) , มหาลัยเหมืองแร่ (2548) ,วัยอลวน4ตั้มโอ๋รีเทิร์น,เพื่อนสนิท (2548) , เด็กหอ,แก๊งชะนีกับอีแอบ,โกยเถอะโยม,season change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย,หมากเตะรีเทิร์น,เก๋าเก๋า (2549) , Final Score 365วันตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์,แฝด,ตั๊ดสู้ฟุด,สายลับจับบ้านเล็ก,บอดี้ศพ#19 (2550)      

 
ภ.ชุดบุญชูผู้น่ารัก (พ.ศ. 2531) เป็นงานในช่วงหลังที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของบัณฑิต ฤทธิ์ถกล ผู้กำกับรุ่นเดียวกับยุทธนา มุกดาสนิท ซึ่งหลังจากหนังเรื่องนี้ บัณฑิตก็กลายเป็นคนทำหนังร่วมสมัยที่มีหนังทำเงินและหนังคุณภาพมากที่สุด ระหว่างปี 2531-2538 บัณฑิตทำหนังชุดบุญชูถึง 6 เรื่อง พอมาในปี พ.ศ. 2534 ไท เอนเตอร์เทนเมนท์ ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายกับภาพยนตร์เรื่อง กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ ตามมาด้วย ปีหนึ่งเพื่อนกันและวันอัศจรรย์ของผม สร้างปรากฏการณ์เต๋าแท่งมอส หลังจากนั้น ก็เกิดปรากฏการณ์ค่ายเพลงรุกเข้าสู่การทำธุรกิจภาพยนตร์ โดย อาร์เอสเปิดตัว ค่ายหนังที่ชื่อว่า อาร์เอสฟิล์ม เรื่องแรกของค่ายนี้คือ รองต๊ะแล่บแป๊บ,เกิดอีกทีต้องมีเธอ แล้วมาดังเปรี้ยงปร้างจากเรื่อง โลกทั้งใบให้นายคนเดียว ส่วนแกรมมี่ ก็เอาบ้าง เปิดตัวแกรมมี่ฟิล์มด้วยเรื่องคู่กรรม ตามมาด้วย จักรยานสีแดง อันดากับฟ้าใส แล้วมาดังเปรี้ยงจากรักออกแบบไม่ได้  

นอกจากหนังประเภทวัยรุ่นแล้ว หนังผี และหนังบู๊ รวมทั้งหนังโป๊ (เป็นแนวพิเศษที่แยกออกมาจากหนังชีวิต นิยมสร้างกันในช่วงปี พ.ศ. 2532-2535 โดยมีตลาดวิดีโอเป็นเป้าหมายหลัก) ส่วนใหญ่เป็นหนังเกรดบี หรือ หนังลงทุนต่ำของผู้สร้างรายเล็ก ๆ หนังที่โดดเด่นในบรรดาหนังเกรดบี คือ หนังผีในชุดบ้านผีปอบ ซึ่งสร้างติดต่อกันมากว่า 10 ภาคในระหว่างปี พ.ศ. 2532-2537 เหตุเพราะเป็นหนังลงทุนต่ำที่ทำกำไรดี โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัด

ในช่วงปลายทศวรรษ คนทำหนังไทยได้ปรับปรุงคุณภาพของงานสร้าง จนกระทั่งหนังไทยชั้นดีมีรูปลักษณ์ไม่ห่างจากหนังระดับมาตรฐานของฮ่องกง หรือ ฮอลลีวูดแต่จำนวนการสร้างหนังก็ลดลง จากที่เคยออกฉายมากกว่า 100 เรื่อง ในปี พ.ศ. 2533 ลดลงเหลือเพียงราว 30 เรื่องในปี พ.ศ. 2539 ทางด้านรายได้ จากเพดานรายได้ จากระดับ 20-30 ล้านบาท (ต่อเรื่อง) ในระหว่างปี 2531-2534 สู่ระดับ 50- 70 ล้านบาท ในระหว่างปี 2537-2540 แต่ยังห่างจากความสำเร็จของหนังฮอลลีวูดที่พุ่งผ่าน 100 ล้านบาทเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2539

ยุคซบเซาหรือตกต่ำ 1 นั้นเกิดขึ้นเป็น 2 ช่วง คือช่วงปี พ.ศ.2528-2530 และในช่วงปี พ.ศ.2539-2540 นั่นแหละ ที่ประเทศไทยเกิดภาวะวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่หรือที่เรียกว่าวิกฤติพลังงานปี27-29 กับวิกฤติต้มยำกุ้งปี39-40 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจดาวน์ลง กำลังซื้อหดหาย เกิดการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจขนาดใหญ่ล้มลงเป็นลูกโซ่ ลามไปถึงธุรกิจภาพยนตร์ด้วย การปิดตัวของโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่หลายแห่งตามมาหรือโรงสแตนด์อโลน แต่ก็เกิดรูปแบบของโรงหนังมัลติเพล็กซ์ขึ้นมาแทน แต่ก็ตามมาด้วยการขึ้นค่าตั๋วชมภาพยนตร์แบบก้าวกระโดดขึ้นมา เกิดการเปลี่ยนแปลงรสนิยมในการดูภาพยนตร์ ผู้สร้างหันไปเน้นผลิตภาพยนตร์แนววัยรุ่นตลาดๆ ออกมากันอย่างมากมายจนกลายเป็นเฝือ อีกสาเหตุนึงก็น่าจะมาจากการการเติบโตของตลาดวิดีโอ วีซีดีและดีวีดีตามมา และการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของหนังฮอลลีวูด ที่พัฒนาเอ็ฟเฟ็คท์ซีจีไปไกลโข และการมาของโรงหนังสมัยใหม่ในเครือเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ โดยจุดเริ่มมาจากโรงหนังอีจีวี สาขาแรกคือบางแค ซึ่งเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2537 โรงหนังขนาดย่อยในห้างที่มีระบบเสียงและระบบการฉายทันสมัยเหล่านี้ นอกจากจะถูกสร้างให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตแบบใหม่ของคนเมืองแล้ว ยังมุ่งรองรับหนังฮอลลีวูดเป็นหลัก ทำให้หนังไทยถูกลดจำนวนเรื่องฉายลงไปเรื่อย ๆ

ยุคก้าวข้ามสหัสวรรษใหม่ก็คือยุคปัจจุบัน (ระหว่างปี พ.ศ.2540-ปัจจุบัน) เมื่อเริ่มต้นทศวรรษใหม่ในปีพ.ศ. 2540 ก็มีปรากฏการณ์ที่สร้างความตื่นตัวให้แก่วงการหนังไทยอีกครั้ง นั่นคือความสำเร็จชนิดทำลายสถิติหนังไทยทุกเรื่อง ด้วยรายได้มากกว่า 70 ล้านบาทจากหนังของไทเอ็นเตอร์เทนเมนท์ เรื่อง 2499 อันธพาลครองเมือง ที่ทำให้กระแสหนังไทยกลับมาฮิตอีกครั้ง และปลุกกระแสให้คนดูเริ่มกลับมานิยมดูหนังไทยมากขึ้น และปีต่อมาไทเอ็นเตอร์เทนตอกย้ำความสำเร็จอีกครั้งกับการนำตำนานรักเรื่องนางนาก มาตีความใหม่ นำเสนอในบริบทใหม่ให้น้ำหนักกับความสมจริง หนังสร้างรายได้ถล่มทลายและสร้างกระแสวิจารณ์ในแง่บวก ช่วยฉุดให้คนไทยกลับมาศรัทธาต่อหนังไทยอีกครั้งนึง


ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540-2548 ทางด้านการทำรายได้มีการสร้างสถิติอย่างต่อเนื่อง ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล 20 อันดับแรกล้วนอยู่ในช่วง ปี 2540 2548 มีภาพยนตร์ไทย 9 เรื่องสามารถทำรายได้มากกว่า 100 ล้านบาท โดยภาพยนตร์เรื่อง สุริโยไท (2544) รายได้ภายในประเทศกว่า 700 ล้านบาท เป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุด นางนาก ที่ออกฉายต้นปี 2542 กวาดรายได้ไปถึง 150 ล้านบาท บางระจัน ของ ธนิตย์ จิตต์นุกูล กวาดรายได้ 150.4 ล้าน มือปืน/โลก/พระ/จัน ของผู้กำกับฯ ยุทธเลิศ สิปปภาค 120 ล้าน และ สตรีเหล็ก ของ ยงยุทธ ทองกองทุน 99 ล้าน ในปี 2544 ถือเป็นปีทองที่น่าจดจำของวงการภาพยนตร์ไทย

อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยกำลังเข้าไปสู่ยุคการแข่งขันที่รุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นเป็นเพราะกระแสโลกที่เป็นตัวกำหนดรสนิยมของการดูภาพยนตร์ของคนไทยเริ่มเปลี่ยนไป พร้อม ๆ กับการเข้ามาของกลุ่มผู้กำกับฯ คลื่นลูกใหม่ ที่มีศิลปะในการจัดการทางด้านธุรกิจ การใช้สื่อโฆษณาทุกรูปแบบกระตุ้นผู้บริโภค

แนวภาพยนตร์ มีทั้งแนวอิงประวัติศาสตร์ ภาพยนตร์ตลก ภาพยนตร์สยองขวัญ ภาพยนตร์ที่สร้างให้เกิดกระแสสังคม ภาพยนตร์ที่สะท้อนอุดมคติของความเป็นไทย ภายหลังการล่มสลายทางเศรษฐกิจ ผู้คนเริ่มหันกลับมาค้นหาคุณค่าของความเป็นไทยด้วยความรู้สึกชาตินิยมจึงถูกปลุกขึ้นมาในช่วงนี้

นอกจากนี้ ภาพยนตร์ไทยยังได้การยอมรับในต่างประเทศ ภาพยนตร์เรื่องต้มยำกุ้ง หรือ The Protector ถือเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถขึ้นไปอยู่บนตารางบ็อกซ์ออฟฟิส ภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องได้ตีตลาดต่างประเทศ อย่างภาพยนตร์เรื่อง Goal Club เกมล้มโต๊ะ, สุริโยไท, จัน ดารา, บางระจัน, ขวัญเรียม, นางนาก, สตรีเหล็ก, ฟ้าทะลายโจร, บางกอกแดนเจอรัส และ 14 ตุลา สงครามประชาชน และมีภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องที่เป็นที่ยอมรับในเทศกาลภาพยนตร์อย่าง บางกอกแดนเจอรัส (2543) ไปเปิดตัวที่งานเทศกาลหนังที่โทรอนโต หรือ เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล ของเป็นเอก รัตนเรือง และในปี 2550 ภาพยนตร์ในรูปแบบชายรักชายเรื่อง เพื่อน...กูรักมึงว่ะ โดยผู้กำกับ พจน์ อานนท์ คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากการประกวดในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่ประเทศเบลเยียมมาได้


ภาพยนตร์เรื่อง พี่มาก..พระโขนง ที่ออกฉายใน พ.ศ. 2556 ปัจจุบันเป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำเงินสูงสุดในประเทศ โดยทางจีทีเอช ผู้ผลิต ประมาณว่าภาพยนตร์ทำรายได้ทั่วประเทศ 1,000 ล้านบาท