สุกรี ได้พบกับพิกัปป์มนูผ่านการช่วยเหลือของเจ้าหญิงวิษธ์ราณี
โดยสุกรีได้บอกเล่าเรื่องราวที่ทำให้พระเจ้าอธิกบุศย์ (พระเทพวาชะบุตร)
ถูกศรธนูของพิกัปมนูยิง เสียบเข้าตรงราวอก
ด้านพิกัปป์มนูได้อธิบายว่าตนเองไม่ได้มีเจตนาทำร้ายพระเจ้าอธิกบุศย์
เนื่องจากในตอนนั้น ต้องการเพียงยิงศรธนูเพื่อยับยั้งการโจมตีของปลามังกรยักษ์
ที่บุกเข้าโจมตีและทำร้ายชาวประมงชายฝั่ง ซึ่งปลาชนิดนี้ใหญ่มาก
ต้องอาศัยศรธนูที่ลงคาถาอาคมเพื่อหยุดยั้งมัน
แต่บังเอิญว่าในขณะที่ยิงศรธนูออกไปนั้น
บังเกิดมรสุมลมพายุพัดพาเอาศรธนูนั้นเปลี่ยนทิศทาง และเคลื่อนย้ายหายไปอย่างรวดเร็ว
โดยไม่รู้ว่าไปทิศทางใด
พอรับรู้ว่าศรธนูของตนไปทำร้ายถูกพระเจ้าอธิกบุศย์จนเกิดอาการบาดเจ็บสาหัส
ก็รู้สึกเสียใจ และยินดีจะเดินทางไปช่วยเหลือนำศรธนูออกให้
จากนั้นพิกัปมนูก็เดินทางมาพร้อมกับสุกรี กลับสู่อมรเมฆวิมาน
เพื่อช่วยเหลือบริกรรมคาถา คลายศรธนูออกให้ จนพระเจ้าอธิกบุศย์หายจากอาการบาดเจ็บ
เมื่อพบเห็นว่าพิกัปมนูเป็นพราหมณ์ และนักรบที่มีฝีมือ
จึงเชื้อชวนให้รับตำแหน่งใหญ่เป็นราชครูประจำราชสำนัก แต่พิกัปมนูปฏิเสธ
เนื่องจากตนเองเป็นข้าราชบริพารอยู่ที่ศรีวิชัยอยู่ก่อนแล้ว
และไม่ประสงค์จะเป็นข้ารับใช้ แต่กล่าวขอบคุณที่พระเจ้าอธิกบุศย์ทรงมีน้ำพระทัยใหญ่หลวง
และเงินรางวัลที่ทรงถวายให้ ก็จะนำไปช่วยเหลือคนยากจนที่อินเดียและฑิเบต
เพราะเป้าประสงค์ของพิกัปมนูคือต้องการออกธุดงค์กลับไปยังอินเดียเพื่อช่วยเหลือคนจนต่อไป
เหตุการณ์ในภาค 3 พาร์ทแรกก็จบลงตรงนี้
พาร์ทหลังของภาค 3
จะเป็นเหตุการณ์ที่เริ่มพัฒนาการ
หรือนำไปสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญของแต่ละนครรัฐ โดยขอแยกเป็นแต่ละนครรัฐดังนี้
มหิทธินาศรังสรรค์นคร เมื่อจับกุมอำมาตย์ราชสิงห์กลับมาได้
ก็ถูกประหารชีวิต เนื่องจากความผิดคือเป็นกบฏ ด้านมเหสีเพ็ญพิมาศ
พอหมดสิ้นอำนาจก็ก่อเรื่อง ด้วยการลักพาตัวพระธิดาตัวน้อยของมเหสีเอกสรวงสุดาเทวี
หลบหนีออกจากวัง เพือเอาไปเป็นตัวประกัน โดยต้องการหนีไปพึ่งเจ้านฤทธิ์นรเดช
เจ้าเมืองเว้ องค์พระอัยกาเจ้า แต่ไปได้ไม่ถึงกลางทาง ปรากฏว่า เจ้าชายปรเมศฤทธี
พระโอรสของตน ซี่งรับอาสาจากพ่ออยู่หัวโรจนาถราชา ให้มาเกลี้ยกล่อมพระมารดาของตนให้ยอมคืนพระธิดาน้อย
และยอมกลับไปรับโทษทัณฑ์ ซึ่งการที่เจ้าชายปรเมศฤทธีต้องยอมทำเช่นนี้ ทั้งๆ
ที่ฝืนความรุ้สึกตนเอง ต้องเป็นผู้อาสามาจับตัวมารดาตนเอง
แล้วยังต้องแบกหน้ามาเห็นความพ่ายแพ้ของฝ่ายตน เป็นใครก็ย่อมต้องรู้สึกทำใจได้ยาก แต่เจ้าชายปรเมศฤทธีก็ทรงเด็ดเดี่ยว
คิดมาดีแล้วว่า การทำเช่นนี้ แม้จะต้องยอมกลืนเลือด หักดิบกับมารดาตนเองแล้ว
แต่หากทำสำเร็จก็จะได้รับความดีความชอบ พระราชบิดาจะได้ทรงเห็นผลงาน
และยอมพระราชทานอภัยโทษให้แก่ตนเอง ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น
งานนี้เจ้าชายปรเมศฤทธีได้รับปูนบำเหน็จให้กลับมาทรงสถานภาพ ฐานันดรในตำแหน่งเดิม
คือเป็นเจ้าชาย จากตอนแรกที่ถูกปลดจากตำแหน่งไปแล้ว พอเจ้าชายปรเมศฤทธีได้รับความไว้วางใจกลับมาเช่นเดิมแล้วก็ทรงเดินแผนต่อ
ด้วยการสมัครเข้าโครงการ ทดสอบเป็นองครักษ์พิทักษ์กษัตริย์ หรือชื่อโครงการ
“อภิบาลกระฏุมพี”
ซึ่งเปรียบก็คล้ายหลักสูตร ซีล ของโลกปัจจุบัน
ซึ่งถ้าใครผ่านหลักสูตรนี้ไปได้ก็จะกลายเป็นนักรบชั้นหัวกระทิ
มีฝีมือเก่งฉกาจ เชียวชาญการรบทุกรูปแบบ และทำงานเชิงลับหรือใต้ดิน คล้ายๆ C.I.A
ของอเมริกา แต่ในโลกยุคโบราณ ต้องถือว่าหลักสูตรนี้คือสุดยอดที่สุดแล้ว
เจ้าชายปรเมศฤทธีทรงคิดการณ์ใหญ่เพื่อทำให้ตนเองกอบกู้ศักดิ์ศรี
และดึงอำนาจกลับมาสู่ตนเองใหม่ในอนาคตนั่นเอง
จามปา กับ กลิงคะ พระเจ้าโฆษัณชัย กับเจ้าชายนัชปาล
เดินทางไปรัฐจาม เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าวูเฟบันดงแห่งรัฐจาม
แต่แท้ที่จริงแล้ว ต้องการเชื่อมสัมพันธ์เป็นทองแผ่นดินเดียวกัน
ด้วยการเสนอข้อแลกเปลี่ยนด้านการทหาร และการค้า ตอบแทน
หากพระเจ้าวูเฟบันดงยอมยกองค์หญิงเฟยาเลีย ให้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายนัชปาล
ซึ่งเป็นข้อตกลงอภิเษกสมรสทางการเมือง ซึ่งพระเจ้าวูเฟบันดงก็ทรงเห็นด้วย
จึงทรงเกลี้ยกล่อมแกมบังคับให้พระธิดาของตนยินยอมแต่งงานไปกับเจ้าชายนัชปาล
ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าหญิงเฟยาเลีย เศร้าโศกพระทัยมาก คิดสั้นจะฆ่าตัวตาย
ดีที่พระเชษฐา คือเจ้าชายวูเฟด๊อกเกีย มาเห็นเสียก่อน จึงช่วยไว้ทัน
จากนั้นจึงออกอุบาย เขียนจดหมายไปถึงพระเจ้าเอกอนุเชษฐ์ธิราช แห่งนพธารานคร
ชายคนรักของตน ให้ทราบว่า ต้องการพบเจอครั้งสุดท้าย
เหตุเพราะว่าถูกบังคับให้แต่งงานไปกับชายที่ตนเองไม่ได้รักก็คือเจ้าชายนัชปาล
เรื่องนี้เป็นอุบายซ้อนของเจ้าชายวูเฟอั๊กเทีย (อัทธิ์ถิรวาร)
ด้วยที่ต้องการล่อให้เอกอนุเชษฐ์มาติดกับ แล้ววูเฟอั๊กเทีย (อัทธิ์ถิรวาร)
ต้องการจับกุมตัวเอกอนุเชษฐ์ไว้เป็นตัวประกัน
เผ่าปายะ เมื่อสุกรีเดินทางกลับจากอมรเมฆาธานี
มาพร้อมบริวารของตน เดินทางกลับไปยังหมู่บ้านเกษตรเพื่อเยี่ยมเยียนมารดาของตน
แล้วเดินทางต่อไปยังเผ่าปายะ ระหว่างทางขุนทหารจันทคามก็ขอสุกรีเดินทางมาด้วย พอมาถึงหมู่บ้านเกษตรพบเห็นพระสนมมธุรสเทวี
ก็อาศัยจังหวะสุกรีเดินทางไปยังเผ่าปายะ แล้วย้อนกลับมาพูดคุยเพื่อสอบถามมธุรสเทวี
ถึงเรื่องราวของเจ้าชายน้อยที่หายตัวไปจากกรุงโลกาบรรณพิภพ ที่ชื่อเจ้าชายเศกปนัท
ซึ่งมธุรสเทวีพอรู้ว่าขุนทหารจันทคามเป็นสายลับทำงานให้อำมาตย์พิชิตสังขลาทร
ก็ไม่ยินยอมบอกความจริง แต่พอทราบว่า
พระเจ้าอติภพภูวนารถทำพระราชพินัยกรรมยกตำแหน่งพระราชาให้แก่เจ้าชายเศกปนัท
หากตามหาเจ้าชายเศกปนัทไม่เจอ แผ่นดินก็จะขาดผู้สืบราชบัลลังก์
จึงยินยอมบอกความจริงให้ แต่ท้ายที่สุดมธุรสเทวีก็แนะให้ขุนทหารจันทคามไปถามความจริงเอาจากพระฤษีอิสรดาบถจะดีกว่า
เนื่องจาก น่าจะรู้ข้อมูลมากกว่าตน
เพราะว่ามธุรสเทวีหนีออกจากกรุงโลกามาพร้อมกับท้าวพิศาลสมุทร
แอบมีบุตรด้วยกันคือสุกรี ไม่ใช่เจ้าชายเศกปนัท
จึงไม่ทราบว่าแท้ที่จริงแล้วเจ้าชายเศกปนัทเป็นใคร และยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พอขุนทหารจันทคามไปพบฤษีอิสรดาบถ
จึงทราบความจริงว่า ที่แท้ เจ้าชายเศกปนัทก็คือ นาคามิน ทีถูกทิ้งให้นอนอยู่บนเรือแจวให้ลอยตามน้ำไปติดเกาะไปรยาทฉิมพลี
แล้วถูกปู่ฤษีเขื่อนขันธ์ นำมาชุบเลี้ยงเป็นศิษย์ของสำนักเนราญนารายณ์ ด้านสุกรีย้อนกลับมาหามารดาอีกครั้ง
เพื่อมอบของฝากที่เตรียมมา แต่ลืมให้ จึงวกกลับมาอีกครั้ง โดยควบม้ามาคนเดียว
โดยให้บริวารรั้งรออยู่ที่กลางป่า สุกรีวกกลับมามอบของฝากให้มารดาเสร็จ
กะว่าจะไปล้างหน้าล้างตาแป๊บนึง เผลอไปได้ยินเสียงคนพลอดรักกันในบ้านปลายไร่
ที่เคยเป็นที่อยู่ของตน ได้ยินเสียงคนทำรักกันเสียงดัง จึงถือวิสาสะแอบลอบมองดู
จึงพบความลับที่ไม่คาดคิดขึ้นก็คือ ปานัฆเรกับอุรามณี แอบเล่นชู้กันในบ้านปลายไร่
จึงทำให้สุกรีล่วงรู้ว่าทั้ง 2 คนมีสัมพันธ์ชู้สาวกัน
แต่สุกรียังไม่ทันที่จะมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้อย่างไร จำต้องรีบเดินทาง
เพราะบริวารรออยู่ จึงปลีกตนเองจากมา โดยมีคำถามอยู่ในใจ ด้านนาคามิน ไปเยี่ยมเยียนเจ้าหญิงอรอนิน
โดยที่ไปแอบหลบอยู่ใต้บึงบัว กะว่าจะโผล่มาทำเซอร์ไพร้ซ์
แต่ว่าระหว่างที่กำลังจะโผล่มาทำเซอร์ไพร้ซ์
บังเอิญว่าพระเจ้าอธิกบุศย์เสด็จมาหาเจ้าหญิงอรอนิน พอดี จึงทำให้นาคามินต้องลากลับ
แต่ยังคงหลบซ่อนอยู่เพื่อแอบฟัง ระหว่างนั้น
พระเจ้าอธิกบุศย์ทรงขอองค์หญิงอรอนินแต่งงาน
โดยพระเจ้าอธิกบุศย์ได้ทำการพูดคุยกับพระราชินีอุทัยวรรณเรียบร้อยแล้ว
ทรงไม่ขัดข้อง จึงมาแจ้งข่าวดีนี้แก่เจ้าหญิงอรอนินด้วยพระองค์เอง
เจ้าหญิงอรอนินก็ทรงตอบตกลง เนื่องจากความรักของคนทั้ง 2 ก่อตัวขึ้น
ตั้งแต่ช่วงที่ไปศึกษาเล่าเรียนกันที่เนราญนารายณ์แล้ว
นาคามินพอได้ยินเช่นนี้ก็หัวใจแตกสลาย เหตุเพราะว่า
ก็หลงรักในตัวองค์หญิงอรอนินเช่นกัน
แต่แท้ที่จริงแล้ว นาคามินก็คือเจ้าชายเศกปนัท มีศักดิ์เป็นพี่ชายแท้ๆ ขององค์หญิงอรอนิน
เนื่องจากเป็นโอรสธิดา จากพระมารดาพระองค์เดียวกัน นั่นก็คือ
พระราชินีอุทัยวรรณ แต่ในตอนนั้นนาคามินยังไม่รู้ว่าตนเองคือเจ้าชายเศกปนัท
และลุ่มหลงในตัวองค์หญิงอรอนินไปแล้ว อารมณ์พระรองอกหัก
เศร้าเสียใจ เพราะไปแอบหลงรักคนที่เขามีเจ้าของแล้ว แต่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ
ภายหลังมารู้อีกทีว่า คนที่ตนหลงรัก แท้ที่จริงเป็นน้องสาวแท้ๆ ของตน
(ใครที่เป็นคอหนังจีนกำลังภายใน คงจะจำได้ เรื่องกระบี่ไร้เทียมทาน ฮุ้นปวยเอี๊ยงหลงรักในตัวต๊กโกวหงส์
ซึ่งเป็นบุตรีของต๊กโกวบ้อเต๊ก แต่ท้ายที่สุดแล้ว กลายเป็นเรื่องโอละพ่อ เพราะภายหลัง
ซิมเม่งกุน ที่เป็นมารดาของต๊กโกวหงส์ ออกมาเผยความจริงว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เธอแอบมีสัมพันธ์รักชู้สาวกับ แชซ้ง ประมุขสำนักบู๊ตึ๊ง
แอบได้เสียกันก่อน ที่จะมาแต่งงานอยู่กับต๊กโกวบ้อเต๊ก ทำให้ทุกคนเข้าใจผิด
คิดว่าต๊กโกวหงส์ คือลูกสาวของประมุขพรรคมาร แต่แท้ที่จริงแล้วต๊กโกวหงส์คือลูกติด
ของซิมเม่งกุนกับแชซ้ง ซึ่งแชซ้งเป็นบิดาของฮู้นปวยเอี๊ยง
แต่แอบเลี้ยงส่งเสียให้อยู่ในพรรคในฐานะเด็กก้นครัว ไม่สอนวิทยายุทธ์ให้
และปิดเป็นความลับ เพราะเกรงว่าศิษย์คนอื่นจะล่วงรู้ เพราะตามกฎสำนัก ประมุขบู๊ตึ๊งมีบุตรไม่ได้
เพราะเป็นนักบวช และเจ้าสำนัก ยังมีอีกหลายเรื่องในละครไทยก็มี
ที่พี่น้องพลัดพรากกันตอนเด็ก พอโตมาไม่รู้ เกิดรักกัน พอตอนหลังมาเฉลยว่าเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน) ความเสียใจเรื่องความรักของนาคามินคงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
เพราะในชีวิตของนาคามิน ได้เคยปวารณาตัวต่อพระอาจารย์ปู่ กับพระอาจารย์ใหญ่แล้วว่า
จะทำงานถวายตัวรับใช้สำนักเนราญนารายณ์ และราชสำนักนพธารานคร แม้พลีชีพก็ยอม
ขุนทหารจันทคามพอได้รับคำแนะนำจากพระอาจารย์ฤษีอิสรดาบถว่าให้ไปหาพระอาจารย์ปู่ฤษีเชื่อนขันธ์ที่นพธารานคร
เพื่อสอบถามเรื่องนาคามิน เพราะเป็นคนชุบเลี้ยงชีวิตให้แก่นาคามินจากเด็กทารกที่ลอยตามน้ำมา
เมื่อไปถึงบอกเล่าจุดประสงค์การมา และขอสอบถามความจริง
จึงทราบจากอาจารย์ปู่ว่าจริงหรือไม่ อาจารย์ปู่จึงยอมรับว่า
เก็บเด็กทารกคนนั้นมาเลี้ยงจริง ซึ่งก็เติบโตขึ้นมาเป็นนาคามิน
ทำให้ขุนทหารจันทคามบอกความจริงแก่ทุกคนในราชสำนักว่า นาคามินก็คือเจ้าชายเศกปนัท
ผู้สูญหายไปจากกรุงโลกา และบัดนี้ตามพระราชพินัยกรรมของพระเจ้าอติภพภูวนารถ
ระบุว่าทรงเป็นผู้สืบราชบัลลังก์องค์ต่อไป แต่ ณ ขณะนั้น ทั้งนาคามิน
และพระเจ้าเอกอนุเชษฐธิราช หายตัวไปจากราชสำนักพร้อมกัน โดยทุกคนสันนิษฐานว่า
อาจเดินทางออกจากวังไปพร้อมกัน จึงให้ทหารออกตามค้นหา สาเหตุที่เอกอนุเชษฐ์หายตัวไปพร้อมกับนาคามิน
ก็เพราะทรงให้นาคามินไปเป็นเพื่อน ทรงลักลอบเข้าไปยังราชสำนักจามปา
เพื่อไปหาเจ้าหญิงเฟยาเลีย ที่เขียนจดหมายตัดพ้อ ต้องการเจอพระองค์
เพราะถูกพระบิดาบังคับให้อภิเษกสมรสไปกับเจ้าชายนัชปาล แห่งกลิงคะ
ซึ่งพระองค์ไม่ได้ทรงรัก อีกทั้งเอกอนุเชษฐ์ในตอนนั้นก็ยังมีใจให้เฟยาเลียอยู่
และสงสารที่ต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับชายอื่น
อีกทั้งอาจเป็นการพบกันเป็นครั้งสุดท้าย
จึงตัดสินพระทัยที่จะเดินไปทางไปหาตามคำขอร้องของเฟยาเลีย แต่เมื่อไปเจอกันแล้ว
เอกอนุเชษฐ์ก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้เฟยาเลียตัดใจจากพระองค์ ในเมื่อเป็นกุศโลบายประสานผลประโยชน์ของ
2 นครรัฐ แต่เฟยาเลียไม่ยินยอม
ต้องการจะหนีออกจาวัง ติดตามเอกอนุเชษฐ์กลับไป แต่เจ้าชายวูเฟอั๊กเทีย
(อัทธิ์ถิรวาร) พอทราบว่ามีคนบุกรุกเข้าวังมา จึงให้ทหารล้อมจับ
พอรู้ว่าเป็นเอกอนุเชษฐ์กับนาคามิน ก็ยิ่งคลั่งแค้น เพราะเป็นโจทก์เดิมกันอยู่แล้ว
นาคามินวิ่งหลอกเพื่อดึงทหารให้ติดตามตนเองไป เพื่อเปิดทางให้เอกอนุเชษฐ์หลบหนี
สุดท้ายนาคามินถูกจับกุมตัวไปได้ ส่วนเอกอนุเชษฐ์ได้รับการช่วยเหลือจากเซเดบาลา
บุตรีของ หน.เผ่าโชนัน รอดเงื้อมมือของพวกจามไปได้ จากนั้นเอกอนุเชษฐ์ได้รับการรักษาพยาบาลจากเซเดบาลา
จนหายเจ็บ แล้วต้องการจะหลบหนีออกไป แต่ก็ไปเผชิญทหารของจามที่ดักซุ่มอยู่
ซึ่งรอว่าเอกอนุเชษฐ์อาจจะหลบหนีอยู่ในเผ่าโชนัน จึงวางกับดักรั้งรออยู่
เซเดบาลามีโอกาสช่วยเหลือเอกอนุเชษฐ์อีกครั้ง เซเดบาลาโกรธที่เอกอนุเชษฐ์หนีออกจากเผ่าโดยไม่แจ้งหรือร่ำลา
ทั้งๆ ที่เป็นคนช่วยเหลือเอาไว้ เอกอนุเชษฐ์สำนึกผิด จึงยอมเชื่อฟังเซเดบาลา
เซเดบาลามีใจชมชอบเอกอนุเชษฐ์ตั้งแต่แรกเห็น เพราะเป็นหนุ่มรูปงาม
สุดท้ายมีโอกาสสอนการต่อสู้เชิงยุทธ์ให้เอกอนุเชษฐ์ไว้ป้องกันตัว ระหว่างสอนเชิงยุทธ์กันในวันหนึ่ง
เซเดบาลาเผลอไปเหยียบกับดักธนูที่วางเอาไว้ป้องกันศัตรูจากนอกเผ่า
ทำให้ได้รับบาดเจ็บ และพลัดตกลงไปในหลุมพราง ใต้พื้นดิน พร้อมๆ กับเอกอนุเชษฐ์
ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันในหลุม ทำให้ทั้งคู่ก่อเกิดความสัมพันธ์ลึกซึ้ง เสน่หา
กามารมณ์ อารมณ์พาไป เผลอใผลเลยเถิดจนมีสัมพันธ์ทางเพศแก่กัน พอวันรุ่งขึ้น
เอกอนุเชษฐ์ปีนขึ้นจากหลุมได้ และพบว่าไม่มีศัตรู มั่นใจว่าปลอดภัยแล้ว
จึงใช้เชือกเหนี่ยวรั้งร่างของเซเดบาลาขึ้นมา และพากลับเข้ากระโจมที่พัก
และไปตามหมอมารักษา เรื่องรู้ถึงหู หน.เผ่า และหมอตรวจพบว่า
มีคราบอสุจิติดอยู่ภายในอวัยวะเพศของเซเดบาลา
ทำให้รู้วาคุณหนูเสียความบริสุทธิ์แล้ว จึงเอาเรื่องนี้ไปแอบบอกต่อ หน.เผ่า พอโชนันบาเลียว (หน.เผ่า)
รู้จึงลากคอเอกอนุเชษฐ์มาซ้อมปางตาย และให้ยอมรับว่าเป็นคนทำ
แต่พอเซเดบาลาฟื้นขึ้นมา จึงขอร้องบิดาของตนว่า ตนเองกับเอกอนุเชษฐ์ชอบพอกัน ขอให้ไว้ชีวิตของเอกอนุเชษฐ์
โชนันบาเลียวยินยอมจะไว้ชีวิตเอกอนุเชษฐ์แต่บังคับให้ต้องแต่งงานกับบุตรีของตน
หากว่ายินยอม จึงจะไว้ชีวิต ซึ่งในตอนนั้นทุกคนในเผ่าโชนัน ล่วงรู้แล้วว่า
เอกอนุเชษฐ์เป็นถึงพระราชาของนพธารานคร ซึ่งมีศักดิ์และเกียรติยศสูงกว่าพวกของตน
จึงรวบรัดให้เอกอนุเชษฐ์ยินยอมรับเซเดบาลาเป็นพระมเหสี
และบังคับให้ทำพิธีแต่งงานกันทันทีภายในชนเผ่า
แม้จะไม่มีญาติสนิทมิตรสหายของเอกอนุเชษฐ์เลยแม้แต่คนเดียว แต่เป็นการจัดงานอภิเษกสมรสตามประเพณีของชนเผ่า
ซึ่งเอกอนุเชษฐ์จำต้องยอมปฏิบัติตาม เพราะในตอนนั้น
ไม่อาจเดินทางกลับไปบอกข่าวแก่ใครที่นพธารานครได้ เพราะถูกปิดล้อมโดยพวกจามปาอยู่
ด้านนาคามิน พอถูกจับกุมตัวไปยังจามปา
ก็ถูกพระครูกฤษดาอารยันทรมานทุกวัน อย่างแสนสาหัส ทรมานร่างกายอยางเหี้ยมโหด
ทุกข์ทรมานปางตาย แต่วูเฟอั๊กเทีย (อัทธิ์ถิรวาร) ปรามเอาไว้
ว่าอย่าให้ถึงขนาดเสียชีวิต เพราะต้องการใช้นาคามินเป็นตัวประกัน
เพื่อต่อรองล่อหลอกให้ตามจับกุมตัวเอกอนุเชษฐ์ให้ได้อีกคน
พระวิเศษศาสตราจำแลงร่างแปลงกายเป็นทหารยามบุกเข้าไปคุกใต้ดิน
สถานราชทัณฑ์ของราชสำนักปราสาทขาว เพื่อช่วยเหลืออดีตพระราชามนัสกษัตร ให้ออกมาได้
จากการช่วยเหลือทางทหารจากกองกำลังของกลุ่มกบฏฟ้าทมิฬของเจ้าชายศิระติกาล
พันธมิตรเพื่อนซี้ จากนั้นก็บุกยึดพระราชวังปราสาทขาวคืนจากพระเจ้าปัณณฑัต
จับกุมพาลี และควบคุมตัวพระเจ้าปัณณฑัต กับองค์พระมเหสีสุวีญาเทวีเอาไว้
เจ้าชายอัศวเทพ
ภายหลังเดินทางไปเที่ยวเตร่ยังเนราญนารายณ์กับพัดเศวก
พอกลับมาก็ถูกพระเจ้าโรจนาถราชาเรียกไปอบรม เนื่องจากทรงทำให้ผิดหวัง
บ้านเมืองกำลังเกิดปัญหา แต่เหตุใดไม่รีบเดินทางกลับ
ทำให้เจ้าชายอัศวเทพล่วงรู้ว่า ตอนนี้ 5 เมืองบริวารเกิดแข็งข้อกบฏขึ้น
จึงขออาสาไปเป็นตัวแทนเพื่อขอเจรจากับ 5 เมืองบริวาร เจรจาเกลี้ยกล่อม
แต่เมื่อไปถึงกลับถูกอุบายของเจ้าเมืองสวัลญาวางยาสลบในน้ำจัณฑ์แล้วจับกุมตัวไว้
เจ้าชายฤทธีรา
(ชื่อใหม่ของเจ้าชายปรเมศฤทธี) เปลี่ยนชื่อหลังจากจบหลักสูตรเป็นนักรบอภิบาลกระฏมพีแล้ว
ที่ทรงไม่ไว้วางพระทัย จึงแอบลักลอบติดตามไปห่างๆ
บุกเข้าช่วยเหลือพระเชษฐาของตนออกมาได้ และสังหารเจ้าเมืองสวัลญา ด้วยการตัดศีรษะทิ้ง
จากนั้นจึงขู่เจ้าเมืองบริวารที่เหลือทั้ง 4 ว่าให้ยินยอมสวามิภักดิ์ต่อราชสำนักมหิทธินาศรังสรรค์ต่อไป
ไม่เช่นนั้น จะเป็นอย่างเจ้าเมืองสวัลญา
ทำให้สามารถสงบศึกเมืองบริวารในหนแรกนี้ไปได้ด้วยดี
เป็นฝีมือของเจ้าชายฤทธีราล้วนๆ ทำให้ทรงได้รับปูนบำเหน็จ จากโรจนาถราชา เป็น มงกุฎเพชร
โล่เหรียญตรา และดาบเทวราช
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องอิสริยาภรณ์ขั้นสูงสุดของราชอาณาจักร
จากเหตุการณ์นี้ทำให้บารมีของเจ้าชายฤทธีราแผ่ไพศาลบดบังรัศมีของเจ้าชายอัศวเทพอย่างหมดสิ้น
และทรงพร้อมทุกย่างที่จะได้ก้าวเป็นองค์รัชทายาทอันดับ 1 เพียงแต่ในเวลานี้โรจนารถราชาได้รับการแนะนำจาก
พระปุราณะภิธาน (โหรพราหมณ์จากศรีวิชัย) อดีตพระสหายของโรจนาถราชา
ที่เดินทางมาเพื่อแนะนำให้โรจนารถราชาออกผนวช
หรือบวชพราหมณ์เพื่อสร้างบุญบารมีให้เกิดกับราชอาณาจักรมหิทธินาศรังสรรค์
เพราะเห็นนิมิตคำทำนายว่ามหิทธินาศรังสรรค์อาจถึงกาลอวสานหากไม่ตัดสินพระทัยแก้ปัญหาที่ซ่อนหมกเม็ดอยู่
โรจนาถราชาจึงออกผนวชไปตามคำแนะนำของพระมหาปุราณะภิธาน โดยยังไม่ได้แต่งตั้งให้ใครเป็นองค์รัชทายาทกันแน่
ระหว่างเจ้าชายอัศวเทพ กับเจ้าชายฤทธีรา ซึ่งก็กลายเป็นชนวนปัญหาต่อมาในภาคที่ 4
ในศึกเมืองบริวารหนที่ 2
เหตุการณ์ในภาค 3
ขอจบลงตรงนี้ ส่วนเหตุการณ์ในภาค 4 นั้นเข้มข้นที่สุด
สนุกทุกตอน เพราะเป็นภาคจบแล้ว ยิ่งกว่า Game of Thrones ซีซั่นสุดท้ายเสียอีก ไว้ว่างจะมาเล่าต่อในเหตุการณ์ภาคจบต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น