วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2561

The Hateful 8 : 8 พิโรธ โกรธแล้วด่า โหมโรง เปิดม่านลิเกสาระขัณฑ์

มาอีกแล้ว แปลงนิยาย/แปลงภาพยนตร์ดัง มาจิกกัดการเมืองของประเทศสาระขัณฑ์ แปลงซับไตเติ้ล จากภาพยนตร์ดัง The Hateful 8 “8 พิโรธโกรธแล้วด่า”

เรื่องย่อ ลุงกำนันเทพเชือก อดีตแกนนำหัวหน้าม็อบ กปปส. กลายมาเป็นนักล่าค่าหัว ขออาศัยรถม้าของลุงตู่ นักล่าอำนาจ ฉายา “ลุงตู่ 8 ซิงเกิ้ลครบอัลบั้ม” ที่กำลังพาตัว อีจีจ้าพัง เน็ตไอด้อลขายครีมรุ่นป้า จอมดราม่าสร้างกระแสด่า เพือสร้างวิวหลักล้านใน 1 คืน เพื่อไปขึ้น โรงงิ้วหยำฉ่าแถวเยาวราช
ระหว่างทางทั้งคู่ให้ สมศักดิ์ (แกนนำกลุ่ม 3 มิตร) ผู้อ้างว่าจะไปรับตำแหน่งมือประสานสิบทิศคนใหม่ที่ รัฐสภา ร่วมเดินทางไปด้วย โดยจุดพัก (พิกัด) ถัดไปก่อนถึง รัฐสภา คือ “ร้านนมเย็น ของป้าอุ๊”

ขณะเดียวกัน แก๊งชายโฉดในคราบนักค้าน้ำลายของ นายใหญ่ อันประกอบด้วย เหลิง นกรู้ (รู้ทุกเรื่อง ยกเว้นพฤติกรรมของลูกตัวเอง) , วัจนา ปากพาจน ณ เมืองเอก, เต้น แก๊งอีกาแดง (ฉายาเราขาดนาย(เงิน)ไม่ได้) ,จ่านิว แก๊งค์ม็อบคนรุ่นใหม่วัยteen ได้ก่อเรื่อง รุมด่าคนที่ร้านนมเย็นของป้าอุ๊ จนกระอักเลือดตายทั้งหมด ยกเว้นก็แต่ จิ๋วหวานเจี๊ยบ อดีต ผบ.ทบ. นักแบกโซ่และตัวพ่ออัลไซเมอร์

 จากนั้นทั้งหมดจึงสวมรอยเป็นแขกและพนักงานที่ร้านนมเย็นของป้าอุ๊ เพื่อรอชิงตัว อีจีจ้าพัง ที่กำลังจะเดินทางมาถึง ซึ่งเป็นการซ้อนแผน เพื่อเล่นงานตลบหลังลุงตู่ นักล่าอำนาจ โดยมีใครที่แอบซ่อนตัวหรือจอมบงการอีกตัวที่หลบซ่อนอยู่ โดยขุดหลุมพรางนี้ไว้ เพื่อแก๊งค์ลุงตู่ให้มาติดกับ

 ด้วยฉากหลังและบทสนทนาในหนัง เราจะพบว่า นี่คือการวิพากษ์วิจารณ์ การเมืองสาระขัณฑ์ ในยุคหลังระบอบทักษิณมาสู่ระบอบท็อปบู๊ตเสียงดังเดี๋ยวเอาโพเดี้ยมฟาด ได้อย่างถึงแก่นและแสบสันต์













“อะไรทำให้เขากล้าท้ากระแสอำนาจท็อปบู๊ตและเงิน”

       “และสาดโคลนคนได้อย่างเลือดเย็น”

       “ฉันเองก็ไม่รู้หรอก”

       “แต่นายจะต้องแปลกใจ....”

       “กับอะไรต่างๆที่เขาทำแน่ๆ”

       “(เสียงหัวเราะ อ่ะ.....) พอเห็นภาพของฉันบ้างแล้วนะ”

การปฏิวัติ ครั้งที่ 8 ของพวกเผด็จการ ทหาร (ที่อยากเข้าสู่อำนาจรัฐสภา)

นักล่าค่าหัว (เทพเชือก) : “มีที่นั่งว่างอีกสักที่มั๊ย”

นักล่าอำนาจ (ลุงตู่) : “ฉันไม่ชอบพาใครที่ไม่รู้จัก ขึ้นรัฐนาวาไปกับฉันหรอกนะ”

       “ช่างน่าไว้ใจจริงๆ”

       “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”

       “ฉันไม่มีวันอยุ่ร่วมชายคากับใครที่แปกกหน้าเป็นคืนๆ”

       “กับพวกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าหรอกนะ”

       “ว่าแต่นายเป็นใคร?วะ”

 “นักล่าค่าหัว (เทพเชือก)”

“8 ซิงเกิ้ลจะครบอัลบั้ม”

 “จิ๋วหวานเจี๊ยบ โซ่ขึ้นสนิม บิดาแห่งอัลไซเมอร์ไทย”

 “นักเซ็งลี้พรรค จอมพเนจร เข้าแก๊งค์ไหน หน.พรรคตายหมด แมว 18 ชีวิต”

 “เหลิงนกรู้ รู้ทุกเรื่อง ยกเว้นพฤติกรรมของลูกกูเอง”

 “วัจนาปากพาจน ณ เมืองเอก”

 “เต้น แก๊งค์อีกาแดง นายครับ ผมขาด(เงิน)นายไม่ได้ครับ”

 “จีจ้าพัง คลิปดราม่า ปั่นวิว อัพไลค์ เพื่อยอดขายครีมหน้าวอกของกู”

 “เอาหล่ะ ทุกๆ คนฟังทางนี้”

 “กูจะเอา อีจีจ้าพัง ไปขึ้นโรงงิ้ว”

 “ค่าหัวมัน 10,000 บาท มันต้องเป็นของกู”

 “เอ่อ...กูไม่เอาได้มั๊ย”

 “เออจริงด้วย กูเห็นด้วยกับมึง”

มหกรรม ฝนตกขึ้หมูไหล

 นักล่าอำนาจ : “มึงคิดว่า กูจะร่วมมือกับมึง กับอีนางนี่เหรอวะ”

: “นั่นแหละปัญหา ที่กูก็ไม่รู้”

คนจังไร มารวมตัวกัน

“ใครสักคน จะฆ่าพวกเราทุกคน ในนี้”

 “กระดิ่งแห้ว แจ่มแมว เลยหว่ะ”

 “เบาๆ หน่อยพวกมึง เบา เยอะๆ หน่อยก็ได้”

ด่าลั่นร้าน ไม่ยั้ง ความเกลียดชังทวีคูณ

“ถ้าแกตายแล้ว ช่วยบอกนรกด้วย ว่ากู จีจ้าพัง ส่งมาเอง”

 “แกต้องไม่รอดแน่”

  “ พบ 8 คน หน้าเดิมๆ แม้จะไปทำศัลยกรรม (ฉีดฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ คอลลาเจน) กูก็จำได้”

  “ไม่มีใครบอกมึงเหรอว่า งานนี้มันจะง่ายนะ”

 “ก็ไม่มีใครบอกนี่หว่า ว่างานนี้มันจะยากเหมือนกันนั่นแหละ”

เตรียมตัวหัวเราะท้องแข็ง กับลิเกอุบาทว์ การเมืองสาระขัณฑ์

8 พิโรธ โกรธแล้วด่า

 รับชมได้ในระบบ 11 ม.ม. ทั่วทุกโรงลิเก ประเทศสาระขัณฑ์


รีวิวหนังโดย ทีมด่าพันธมิตร

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ท่องโลก(F....)ทางความคิดไปกับคีย์เวิร์ดที่ขึ้นต้นจาก A-Z อักษร F,G,H......


ท่องโลกด้วยอักษรตัว F,G,H 

Facebook 

Fast Track

Google

Gifted

Hub

Hint





Facebook เป็นบริการเครือข่ายสังคมสัญชาติอเมริกัน สำนักงานใหญ่อยู่ที่ เมนโลพาร์ก รัฐแคลิฟอร์เนีย เฟซบุ๊กก่อตั้งเมื่อวันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 โดยมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก และเพื่อนร่วมห้องภายในมหาวิทยาลัย และเหล่าเพื่อนในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พร้อมโดยสมาชิกเพื่อนผู้ก่อตั้ง Eduardo Saverin, Andrew McCollum, Dustin Moskovitz และ Chris Hughes ในท้ายที่สุดเว็บไซต์มีการเข้าชมอย่างจำกัด ทำให้เหล่านักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ภายหลังได้ขยายเพิ่มจำนวนในมหาวิทยาลัย ในพื้นที่บอสตัน ไอวีลีก และมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และค่อยๆรับรองมหาวิทยาลัยอื่นต่างๆ และต่อมาก็รับรองโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยเฟซบุ๊กให้การอนุญาตให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 13 ปีทั่วโลกสามารถสมัครสมาชิกได้ภายในเว็บไซต์ โดยไม่ต้องอ้างอิงหลักฐานใด ๆ จากการศึกษาของเว็บ คอมพีต.คอม ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 เฟซบุ๊กถือเป็นบริการเครือข่ายสังคมที่มีคนใช้มากที่สุด เมื่อดูจากผู้ใช้ประจำรายเดือน รองลงมาคือ มายสเปซ เอ็นเตอร์เทนเมนต์วีกลี ให้อยู่ในรายชื่อ สิ่งที่ดีที่สุดในสิ้นทศวรรษ และควอนต์แคสต์ ประเมินว่า เฟซบุ๊ก มีผู้ใช้ต่อเดือนราว 135.1 ล้านคน นับเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ข้อมูล ณ วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554 จากเฟซบุ๊กมีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 584,628,480 สมาชิกทั่วโลก โดยเป็นสมาชิกจากประเทศไทย รวม 6,914,800 สมาชิก  มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ได้เริ่มเขียนเว็บไซต์ เฟซแมช ขึ้นมาก่อนที่จะเป็นเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2003 ขณะที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด โดยเป็นเว็บไซต์ที่เปรียบเสมือนเว็บ ฮอตออร์น็อต ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และจากข้อมูลของหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยที่ชื่อ The Harvard Crimson เฟซแมชใช้ภาพที่ได้จาก เฟซบุ๊ก หนังสือแจกสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มีรูปนักศึกษา จากบ้าน 9 หลัง โดยจะมีรูป 2 รูปให้คนเลือกว่า ใครร้อนแรงกว่ากัน

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก

เพื่อทำให้ได้สำเร็จ ซักเคอร์เบิร์กได้แฮกเข้าไปในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของฮาวาร์ดในพื้นที่ป้องกัน และได้คัดลอกภาพส่วนตัวประจำหอพัก ซึ่งในขณะนั้นฮาวาร์ดยังไม่มีสารบัญรูปภาพและข้อมูลพื้นฐานของนักศึกษา และเฟซแมชได้ทำให้มีผู้เข้าเยี่ยมชม 450 คน และดูรูปภาพ 22,000 ครั้งใน 4 ชั่วโมงแรกที่ออนไลน์[6] และเว็บไซต์นี้ได้จำลองสังคมกายภาพของคน ด้วยอัตลักษณ์จริง เป็นตัวแทนของกุญแจสำคัญด้านมุมมอง ที่ต่อมาได้กลายมาเป็น เฟซบุ๊ก  เว็บไซต์ได้ก้าวไกลไปในหลายเซิร์ฟเวอร์ของกลุ่มในมหาวิทยาลัย แต่ก็ปิดตัวไปในอีกไม่กี่วันโดยคณะบริหารฮาวาร์ด ซักเคอร์เบิร์กถูกกล่าวโทษว่าทำผิดต่อระบบรักษาความปลอดภัย การละเมิดลิขสิทธิ์ และการละเมิดความเป็นส่วนตัว และยังถูกไล่ออก แต่ท้ายที่สุดแล้วข้อกล่าวหาก็ยกเลิกไป[8] ต่อมาซักเคอร์เบิร์กได้ขยับขยายโครงการในเทอมนั้นเอง โดยได้คิดค้นเครื่องมือการศึกษาทางสังคมที่ก้าวหน้า ของการสอบวิชาประวัติศาสตร์ โดยการอัปโหลดรูปเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โรม 500 รูป โดยมี 1 รูปกับอีก 1 ส่วนที่ให้แสดงความเห็น เขาเปิดกับเพื่อนร่วมชั้นของเขา และคนเริ่มที่จะแบ่งปันข้อความกัน  ในเทอมต่อมาซักเคอร์เบิร์กเริ่มเขียนโค้ดในเว็บไซต์ใหม่ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2004 เขาได้รับแรงกระตุ้นให้ทำ เขาพูดไว้ใน The Harvard Crimson เกี่ยวกับเรื่อง เฟซแมช และเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 ซักเกอร์เบิร์กได้เปิดตัวเว็บไซต์ "เดอะเฟซบุก" ในยูอาร์แอล thefacebook.com  6 วันหลังจากเปิดเว็บไซต์ รุ่นพี่ 3 คน คือ แคเมรอน วิงก์เลวอส, ไทเลอร์ วิงก์เลวอส และดิฟยา นาเรนดรา ได้ฟ้องร้องซักเกอร์เบิร์กที่หลอกลวงพวกเขาให้เชื่อว่า เขาได้ช่วยที่จะช่วยสร้างเครือข่ายสังคมที่ชื่อว่า HarvardConnection.com ขณะที่เขาใช้แนวคิดพวกเขาในการสร้างเว็บไซต์เพื่อแข่งขัน ทั้ง 3 คนได้บ่นในหนังสือพิมพ์ Harvard Crimson โดยทางหนังสือพิมพ์เริ่มทำการสอบสวน ต่อมาทั้ง 3 คนได้ยื่นฟ้องทางกฎหมายต่อซักเกอร์เบิร์กในภายหลัง  แต่เดิม สมาชิกจะจำกัดเฉพาะนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และภายในเดือนแรก มากกว่าครึ่งหนึ่งของนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ได้ลงทะเบียนใช้บริการ[ เอ็ดวาร์โด ซาเวริน (ดูแลเรื่องธุรกิจ), ดิสติน มอสโควิตซ์ (โปรแกรเมอร์), แอนดรูว์ แม็กคอลลัม (กราฟิก) และคริส ฮิวส์ ที่ต่อมาได้ร่วมกับซักเกอร์เบิร์กเพื่อประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ และในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2004 เฟซบุ๊กได้ขยับขยายสู่มหาวิทยาลัยอื่นอย่าง สแตนฟอร์ด, โคลัมเบีย, และเยล และยังคงขยับขยายต่อสู่กลุ่มไอวีลีกทั้งหมด และมหาวิทยาลัยบอสตัน, มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก, เอ็มไอที และสู่มหาวิทยาลัยอื่นในแคนาดาและสหรัฐอเมริกาไปทีละน้อย  เฟซบุ๊กได้เป็นบริษัทในฤดูร้อนปี ค.ศ. 2004 และได้นักธุรกิจ ฌอน พาร์กเกอร์ ที่ได้เคยแนะนำซักเกอร์เบิร์กอย่างเป็นกันเอง ก็ได้ก้าวมาเป็นประธานของบริษัท ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2004 เฟซบุ๊กได้ย้ายฐานปฏิบัติงานมาอยู่ที่ แพโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย และได้รับเงินทุนในเดือนนั้นจากผู้ร่วมก่อตั้ง เพย์พาล ที่ชื่อ ปีเตอร์ ธีล บริษัทได้เปลี่ยนชื่อ โดยลดคำว่า เดอะ ออกไป และซื้อโดเมนเนมใหม่ในชื่อ เฟซบุ๊ก.คอม ในปี ค.ศ. 2005 ด้วยเงิน 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ  เฟซบุ๊กได้เปิดตัวในรูปแบบของโรงเรียนไฮสคูล ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2005 ที่ซักเกอร์เบิร์กเรียกว่า ก้าวต่อไปที่มีเหตุผล   ณ เวลานั้นในเครือข่ายไฮสคูล ต้องการการรับเชิญเท่านั้นเพื่อร่วมเว็บไซต์ ต่อมาเฟซบุ๊กได้ขยับขยายให้กับลูกจ้างบริษัทที่คัดสรรอย่าง แอปเปิล และ ไมโครซอฟท์ เฟซบุ๊กได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2006 ให้ทุกคนได้ใช้กัน โดยต้องมีอายุมากกว่า 13 ปี และมีอีเมลที่แท้จริง   ในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2007 ไมโครซอฟท์ประกาศว่าได้ซื้อหุ้นของเฟซบุ๊กเป็นจำนวน 1.6% ด้วยเงิน 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เฟซบุกมีมูลค่าราว 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ  และทำให้ไมโครซอฟท์มีสิทธิ์ที่จะแขวนป้ายโฆษณาบนเฟซบุ๊กได้ ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2008 เฟซบุกประกาศว่าจะตั้งสำนักงานใหญ่ระดับนานาชาติในดับลิน ประเทศไอร์แลนด์  ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2009 เฟซบุ๊กได้กล่าวว่า สถานะการเงินเริ่มเป็นตัวเลขบวกเป็นครั้งแรก  ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2010 จากข้อมูลของ เซคันด์มาร์เก็ต ระบุว่าเฟซบุกมีมูลค่า 41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (แซงหน้าอีเบย์ไปเล็กน้อย) และถือเป็นบริษัทเว็บไซต์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 3 รองจากกูเกิลและแอมะซอน สถิติผู้เข้าชมในเฟซบุ๊กหลังปี ค.ศ. 2009 ผู้ชมเฟซบุ๊กมากกว่ากูเกิลในปลายสัปดาห์ของสัปดาห์ 13 มีนาคม ค.ศ. 2010

Fast Track คือการเร่งไทม์ไลน์ของภารกิจอะไรซักอย่างให้เร็วขึ้น หรือลดขั้นตอน เพื่อย่นย่อเวลาในการทำภารกิจให้สำเร็จเร็วขึ้น อาทิ กลุ่มสินค้าที่จะต้องเร่งลดภาษี (ในกรอบเขตการค้าเสรีอาเซียน) " ซึ่งมีอยู่ 15 รายการ ได้แก่ ปูนซีเมนต์ ปุ๋ย เยื่อกระดาษ เฟอร์นิเจอร์ไม้และหวาย ผลิตภัณฑ์หนัง สิ่งทอ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ น้ำมันพืช เคมีภัณฑ์ เภสัชภัณฑ์ พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์เซรามิกและแก้ว และแคโทดที่ทำจากทองแดง เป็นต้น





Google

กูเกิล (Google Inc.)  เป็นบริษัทมหาชนอเมริกัน มีรายได้หลักจากการโฆษณาออนไลน์ที่ปรากฏในเสิร์ชเอนจินของกูเกิล อีเมล แผนที่ออนไลน์ ซอฟต์แวร์จัดการด้านสำนักงาน เครือข่ายออนไลน์ และวิดีโอออนไลน์ รวมถึงการขายอุปกรณ์ช่วยในการค้นหา กูเกิลสำนักงานใหญ่ที่รู้จักในชื่อกูเกิลเพล็กซ์ตั้งอยู่ที่เมืองเมาน์เทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมีพนักงาน 16,805 คน (ข้อมูล ณ 31 ธันวาคม 2550)โดยกูเกิลเป็นบริษัทอเมริกันที่ใหญ่ที่สุดที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของดัชนีดาวโจนส์ (ข้อมูล 31 ตุลาคม พ.ศ. 2550) กูเกิลก่อตั้งโดย แลร์รี เพจ และ เซอร์เกย์ บริน ขณะที่ทั้งคู่กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งภายหลังทั้งคู่ได้ก่อตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2541 ในโรงจอดรถของเพื่อนที่ เมืองเมนโลพาร์ก ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และมีการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก เมื่อ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2547 เพิ่มมูลค่าของบริษัท 1.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และหลังจากนั้นทางกูเกิลได้มีการขยายตัวตลอดเวลาจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่และการซื้อกิจการอื่นรวมเข้ามา เช่น กูเกิล ดีปไมด์ รวมถึงก่อตั้งบริษัทลูกอย่างกูเกิล เอกซ์กูเกิลได้ถูกจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่น่าทำงานมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาโดยนิตยสารฟอร์จูน ซึ่งมีคติพจน์ประจำบริษัทคือ Don't be evil อย่างไรก็ตามทางบริษัทได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในด้านการละเมิดข้อมูลส่วนตัว การละเมิดลิขสิทธิ์ และการเซ็นเซอร์ในหลายส่วน  วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558 แลร์รี เพจ และเซอร์เกย์ บริน สองผู้ก่อตั้งกูเกิล ได้ตั้งบริษัทใหม่ชื่อ "แอลฟาเบต" (Alphabet) โดยมีแผนจะใช้บริษัทนี้เป็นบริษัทแม่แทน และลดขนาดองค์กรกูเกิลลงเพื่อความคล่องตัวทางธุรกิจ ต่อมาวันที่ 1 กันยายน ปีเดียวกัน กูเกิลได้เปลี่ยนโลโก้บริษัทใหม่

Gifted  อีกความหมายนึงก็คือ Genius หรือ อัจฉริยะ มักนำมาใช้กับ ในเชิงการศึกษาหรือวิชาการ  เช่น เด็กนักเรียนห้องนี้คือห้อง เด็ก Gifted หรือ ห้อง King ก็คือ เป็นพวกหัวกะทิ และมีพรสวรรค์พิเศษ อาทิ เก่งคณิตศาสตร์มากๆ ,เก่งฟิสิกส์ ,เก่งเคมี ,เก่งภาษา เป็นต้น เรื่อง Gifted มีอยู่ในทุกชนชาติทั่วโลก โดยเฉพาะพวกคนยิว,คนญี่ปุ่น หรือคนอินเดีย คนจีน ดังจะได้เห็นตามข่าวหรือบทความจากทั่วโลกว่า ประเทศเหล่านี้ มีเด็กพิเศษที่เกิดมาไม่กี่ขวบ ก็สามารถเป็นอัจฉริยะ เช่น เรียนรู้เรื่องดนตรีได้เร็ว พูดภาษาได้ 4-5 ภาษา ,คิดเลขได้เร็ว , สามารถพูดอ่านเขียนได้เร็วกว่าเด็กทั่วไป มีพัฒนาการการเรียนรู้ได้รวดเร็ว บางคนไปถึงขนาดว่าระลึกชาติ หรือพูดเรื่องที่ผู้ใหญ่เองยังไม่สามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง เช่น ปรัชญา คำสอนทางศาสนา หรือบทสวดที่ยาก ได้ สำเร็จเปรียญธรรมได้เร็วกว่าผู้ใหญ่เสียอีก เป็นต้น

ดูตัวอย่าง ภาพยนตร์ซีรีส์ชื่อดัง ที่หยิบเอาประเด็นเด็ก Gifted มาสร้างเป็นภาพยนตร์





Hub  มี 2 ความหมาย คือความหมายทางเทคนิค กับความหมายเชิงนัยยะทางรัฐศาสตร์

1,ความหมายทางเทคนิค มันคืออุปกรณ์ network อย่างหนึ่งที่ทำหน้าที่ เชื่อมต่ออุปกรณ์อื่นใน network เข้าด้วยกันและสร้างมันจนเป็นระบบ network ลักษณะ hub คือมีช่อง input/output (I/O) port หลายช่อง ไว้สำหรับรับส่งสัญญาณ1 พ.ค. 2560

2.ความหมายเชิงนัยยะทางรัฐศาสตร์ คือ ศูนย์กลาง หรือความเจริญที่เป็นจุดเชื่อมโยงในด้านต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เช่น การคมนาคมขนส่ง การพาณิชย์ การค้า อุตสาหกรรม การบริการ การเงิน การตลาด ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ หรือการติดต่อสื่อสาร รวมถึงเป็นที่ตั้งหรือจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เช่น เมืองท่า เมืองหลวง หรือดิสทริกแอเรีย ที่เป็นย่านธุรกิจ ย่านศูนย์การค้าที่สำคัญ  เช่น ฮ่องกง เคยได้ชื่อว่าเป็น Hub ทางการเงินและท่องเที่ยวของภูมิภาคเอเชีย ต่อมาก็เป็นสิงคโปร์ และในปัจจุบัน ไทยกำลังเป็น Hub ทั้งด้านการคมนาคมขนส่ง และการท่องเที่ยวของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และอาเซี่ยน เป็นต้น

Hint  ความหมายเดียวกับ Clue หรือการพูดเป็นนัย หรือมีนัยยะในคำพูด

 

(หมายเหตุ : .ผู้เขียนขอจบบทความที่เกี่ยวกับการท่องโลกทางความคิด ไปกับคีย์เวิร์ดที่ขึ้นต้นด้วยตัวอัก A-Z ไว้แต่เพียงเท่านี้ เนื่องจากมีภารกิจที่ต้องไปทำอย่างอื่นในระยะยาว จึงขออภัยและขอขอบคุณ ท่านผู้อ่านมา ณ ทีนี้่) 

 

 

 

 

วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2561

12 สิงหา พระราชินีของแผ่นดิน





อภิลักขิตสมัย 12 สิงหา มาบรรจบ

ประน้อมนบ บาทบงสุ์ พระทรงศรี


พระเกียรติคุณ กรุณาธิคุณ พระบารมี


กล่าวสดุดี ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ



เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (ในรัชกาลที่ 9) ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน ปวงพสกนิกร ขอน้อมนำพระราชดำริ ไปยึดถือปฏิบัติและสืบสาน ตามรอยพระราชดำริ ตลอดไป




ด้วยเกล้า ด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า เพจหยิกแกมหยอก



วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ท่องโลก (E) ทางความคิดไปกับคีย์เวิร์ดที่ขึ้นต้นจาก A-Z อักษร E


ท่องโลกทางความคิดไปกับคีย์เวิร์ดที่ขึ้นต้นจาก A-Z อักษร E

 

ท่องโลกด้วยอักษรตัว E

Engagement

Encouragement

Endorsement

Embrace

Empowerment

 


Engagement แปลว่า การสู้รบ 

การมีส่วนร่วมทางสังคม (Civic Engagement) โดย วลัยพรรณ เกษทอง

สวัสดีท่านผู้อ่าน เปิดศักราชแห่งปี 2018 หรือ 2561 กันแล้ว บทความแรกของปีนี้ที่อยากจะเขียนให้ท่านผู้อ่านก็คือเรื่องของ การมีส่วนร่วมทางสังคม เพราะไหน ๆ เราก็มาอยู่เมืองลุงแซมซึ่งเป็นประเทศที่ถือเป็นเจ้าพ่อแห่งประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก จะเห็นว่าไม่ว่าทำอะไร ไม่ว่าจะผ่านกฏหมาย สร้างถนน เพิ่มภาษีท้องถิ่น เวนคืนที่ดิน รัฐบาลก็จะต้องมีการเปิดทำประชาพิจารณ์ลงคะแนนเสียงก่อนที่จะทำการตัดสินใจในกิจกรรมนั้น ๆ  เพราะฉะนั้นเมื่อเราอยู่เมืองลุงแซมแล้ว เราก็ควรจะเรียนรู้ถึงกระบวนการมีส่วนร่วมทางสังคมเหล่านี้ให้มาก เพื่อที่เราจะได้ใช้ในการพิทักษ์ผลประโยชน์ของเรานะคะ

การมีส่วนร่วมทางสังคม (Civic engagement หรือ civic participation) หมายถึงการกระทำของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลซึ่งเกิดขึ้นเพื่อมีวัตถุประสงค์ในการจัดการปัญหาหรือสิ่งที่เป็นเรื่องที่สังคมมีความห่วงใย หรืออาจจะหมายถึงการที่ประชาชนในชุมชนทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในชุมชน การมีส่วนร่วมทางสังคมยังรวมถึงการที่ชุมชนมาทำงานร่วมกันทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เป้าหมายโดยรวมคือเพื่อจัดการปัญหาสาธารณะหรือเสริมสร้างคุณภาพของชุมชนก็ได้

การมีส่วนร่วมทางสังคมมีได้หลายรูปแบบ เริ่มตั้งแต่การเป็นอาสาสมัคร การทำงานร่วมกับกับชุมชน การเข้าไปมีส่วนร่วมในองค์กรและการทำงานกับภาครัฐ เช่น การมีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง การมีส่วนร่วมเหล่านี้อาจจะเป็นการเข้าไปจัดการปัญหาผ่านการทำงานของบุคคลใดคนหนึ่งโดยตรง  การทำงานกับชุมชน หรือการทำงานผ่านองค์กรซึ่งมีตัวแทนที่ได้รับเลือกตั้งไป บุคคลจำนวนมากจะรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่จะต้องเข้าร่วมกิจกรรมอย่างแข็งขันเพราะรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่มีต่อชุมชน การเข้าร่วมของเยาวชน" จะมีเป้าหมายที่คล้ายคลึงกันที่จะพัฒนาสิ่งแวดล้อมของชุมชนและสร้างความสัมพันธ์ แม้ว่าการเข้าร่วมของผู้เยาว์นี้จะเน้นไปในส่วนของการสร้างและพัฒนาศักยภาพของผู้เยาว์ก็ตาม

 

ในการศึกษาวิจัยโดย Tuff University ได้แบ่งการมีส่วนร่วมทางสังคมออกเป็น 3 ประเภทคือ การออกเสียงทางสังคม การออกเสียงเลือกตั้งและการออกความคิดเห็นทางการเมือง

1.การเกี่ยวข้องทางสังคม ได้แก่ การเข้าร่วมแก้ไขปัญหากับชุมชน การเป็นอาสาสมัครให้กับองค์กรที่ไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้งอย่างสม่ำเสมอ การเป็นสมาชิกกลุ่มหรือองค์กร การเข้าร่วมกิจกรรมหาทุนไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่งหรือขี่จักรยานหรือการหาทุนให้กับองค์กรการกุศลด้วยกิจกรรมอื่น การลงสมัครเป็นตัวแทนเพื่อเข้าไปรับเลือกในตำแหน่งทางการเมือง เป็นต้น

2.การเลือกตั้ง ได้แก่ การไปออกเสียงเลือกตั้งอย่างสม่ำเสมอ การชักชวนคนมาลงคะแนนเสียง การติดสัญลักษณ์เพื่อชักจูงคนให้มาเลือกตั้ง การบริจาคเงินให้กับแคมเปญเลือกตั้ง การอาสาสมัครทำงานให้กับผู้สมัครหรืองอค์กรเกี่ยวกับการเมือง การช่วยลงทะเบียนผู้มีสิทธิ์ออกเสียง เป็นต้น

3.การออกความคิดเห็นทางการเมือง ได้แก่ การติดต่อผู้แทน การติดต่อสื่อไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพหรือสื่อวิทยุ โทรทัศน์ การประท้วง การส่งอีเมล์ไปเพื่อร้องเรียน การเขียนคำร้องเรียนและไปแจกใบปลิว การบอยคอท (ดื้อแพ่ง) เป็นต้น

พอจะรู้คร่าว ๆ ถึงว่าการมีส่วนร่วมทางสังคมคืออะไร มีประเภทไหนบ้างแล้ว ฉบับหน้าเราจะไปพูดถึงตัวอย่างของการมีส่วนร่วมทางสังคมที่เขาทำกันในประเทศกันค่ะ

บทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปไม่ใช่เป็นการให้คำแนะนำ หากท่านมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับเนื้อหาในบทความ อยากจะถามคำถามในกรณีส่วนตัวท่านสามารถโทร.มาสอบถามกับผู้เขียนได้ที่เบอร์ (850)598-1709 หรือ (626)999-4751 หรือจะอีเมลมาหาผู้เขียนที่ walaipank@gmail.com ก็ได้ค่ะ หากผู้เขียนไม่ได้รับสายก็ฝากข้อความไว้ได้ จะติดต่อท่านกลับไปภายหลัง รวมทั้งถ้าอยากจะติดตามบทความย้อนหลังก็สามารถติดตามได้ที่เวบไซด์ของหนังสือพิมพ์เสรีชัย http://www.sereechai.com/ คอลัมน์ เรียนรู้เมื่ออยู่เมืองลุงแซม   อ้างอิง:   https://en.wikipedia.org/wiki/Civic_engagement

เครดิตข้อมูลบทความจากเพจ sereechai.com

 





Encouragement แปลว่า การให้กำลังใจ

กำลังใจ

คำว่า กำลังใจ ภาษาอังกฤษ ก็มีหลายคำครับ แต่ความหมายและวิธีใช้ไม่ค่อยตรงกับภาษาไทยเป๊ะ ต้องหัดให้เข้าใจความหมาย และก็ใช้ให้ถูดที่ เวลาจะบอกว่าให้กำลังใจใครในการทำอะไร ก็ใช้ได้ว่า encourage  someone to do something ออกเสียง-เอน-[เค้อ]-ริจ- เน้นที่พยางค์ที่สองนะครับ รากศัพท์ก็มาจากคำว่า courage ความกล้า encourage ก็คือ ทำให้เกิดความกล้า ซึ่งจะแปลว่า ให้กำลังใจแบบไทยก็ได้ ก็หมายถึง พูดสนับสนุน หรือ พูดเชียร์ หรือ อะไรก็ได้ที่เป็นการให้กำลังใจ ดูตัวอย่างเช่น

•He is encouraging his friend to enter the competition.  เขาพูดให้กำลังใจเพื่อนเขาให้เข้าการแข่งขัน

•I am feeling encouraged (to do something).  ฉันรู้สึกมีกำลังใจ (ในการทำอะไรสักอย่าง)

encouragement  ก็เป็นคำนาม แปลว่า การให้กำลังใจ หรือ สิ่งที่ให้กำลังใจ เช่น

•All he needs now is some encouragement.  สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้คือกำลังใจจากคนอื่น

 

ครับ encouragement เป็นกำลังใจที่มาจากคนอื่น หรือปัจจัยภายนอก แต่ในภาษาไทย กำลังใจก็เป็นคำกลาง ๆ อาจจะมีในตัวเองก็ได้ ในทำนองเดียวกัน discourage  ก็แปลว่า ทำให้เสียกำลังใจ ถ้าใคร feel discouraged ก็แปลว่า รู้สึกเสียกำลังใจ หรือ หมดกำลังใจ เช่น

•Just let him do it.  There is no need to discourage him.   ให้เขาทำไปเถอะ ไม่ต้องไปพูดให้เขาเสียกำลังใจ

อีกคำหนึ่งที่มีความหมายว่า กำลังใจได้ ก็คือ will  เป็นกำลังใจแบบความมุ่งมั่น คล้ายกับอีกคำคือ determination  คำว่า will คำเดียวกับที่ใช้เป็นกริยาเสริมที่แปลว่า จะนี่แหละครับ ใช้เป็นกริยาแท้ตามด้วยกรรมก็ได้ แปลว่ามุ่งมั่นในสิ่งนั้น ใช้เป็นนามก็ได้ แปลว่า พินัยกรรมก็ได้ หรือ ความมุ่งมั่นก็ได้

•He has a lot of will power.   เขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นสูงมาก

•His leg was hurt during the race but he willed himself to the finish line.

•He has lost his will to go on.   เขาหมดกำลังใจที่จะไปต่อ

ในหนังสตาร์วอร์สตอนที่สาม ถ้าใครเคยดู ตอนเจ้าหญิงแพดมีจะตาย หมอที่ตรวจรักษาก็ตรวจไม่พบว่าเป็นอะไร ทุกอย่างปกติ แล้วก็พูดว่า  She has lost the will to live.  ก็แปลว่า เธอหมดกำลังใจที่จะอยู่ต่อ  ก็เป็นอาการที่มีอยู่จริงครับ คนที่หมดกำลังใจในการทำอะไร ก็ทำให้กำลังกายหายไปด้วย  ก็ขอให้ผู้อ่านทุกท่าน มีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตต่อไปนะครับ ให้ประสบความสำเร็จที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไปในปีใหม่นี้

•May you all be full of the will to live and realize your dream.   ขอให้ทุกท่านเต็มไปด้วยกำลังใจในการดำรงชีวิต และสร้างความฝันให้เป็นจริง

เครดิตข้อมูลบทความจากเพจ BetterEnglishforThai.net

 



Endorsement แปลว่า การรับรอง

เรื่องเล่าจากผู้โดยสาร เมื่อต้องเปลี่ยนพาสปอร์เล่มใหม่ และวีซ่ายังติดในเล่มเก่า

วันนี้มีเรื่องเล่าที่ค่อนข้างเป็นประโยชน์กับผู้เดินทางได้ไม่มากก็น้อย จากคุณ "เมย์" ผู้โดยสารของบริษัทฯ ที่อนุญาติให้เรามาถ่ายทอดเพื่อเป็นองค์ความรู้ให้กับผู้โดยสารทุกท่าน ว่าด้วยเรื่อง "เปลี่ยนพาสปอร์ตเล่มใหม่ และวีซ่าเก่า"  เนื่องจากคุณเมย์ จำเป็นต้องบินไปเยอรมันด่วน และมีวีซ่าที่เป็นประเภทเดินทางหลายครั้งอยู่แล้ว แต่เมื่อมาตรวจหนังสือเดินทางดูปรากฎว่า กำลังจะหมดอายุ ซึ่งไม่สามารถใช้เดินทางได้ เลยต้องไปทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่ ทางที่กรมการกงศุล แนะนำให้ ทำ Endorsement  คือ การรับรองสถานะวีซ่าทั้งหมด ในเล่มเก่า เพื่ออิงกับเล่มใหม่

หน้าตาแบบนี้ครับ 

เนื่องจากการเดินทางค่อนข้างเร่งรีบ ในอีกวันสองวันที่จะถึง แต่ทางผู้โดยสารได้ทำการ ตรวจสอบไปยังสถานทูตเยอรมันที่ได้วีซ่า ปรากฎว่า สถานฑูติ บอกว่าต้องทำ Endorsement วีซ่า ด้วยเช่นกัน  การทำแก้ไขมาเล่าใหม่นี้ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง และ จำเป็นต้องใช้เอกสารบางตัว เหมือนกับการขอวีซ่าใหม่

ผู้โดยสารไม่มีเวลาขนาดที่จะทำเอกสารตามขั้นตอนดังกล่าว  และได้ทำการเข้าไปยังสถานทูตโดยตรงเพื่อสอบถามถึงกรณีนี้ "สถานทูต ได้แจ้งว่า ความจริงแล้วไม่จำเป็น ต้อง endorse visa ให้ทำเฉพาะแค่หนังสือเดินทางก็ได้แล้ว

แต่ที่ถูกต้องคือต้องยื่น endorse ให้มันถูกต้องด้วย กรณีของคุณเมย์ไม่ทัน ทำตามขั้นตอนเลยตัดสินใจไปเช็คอิน โดยใช้หลักการแค่ endorse แค่หนังสือเดินทางอย่างเดียว

ในขั้นตอนการเช็คอินไม่มีปัญหาแต่อย่างใด และไม่มีปัญหาในการเข้าเมืองด้วย  อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้โดยสารที่หนังสือเดินทางหมดอายุ ขอให้ท่านตรวจสอบกับสถานทูต เรื่องวีซ่าทุกครั้งว่า endorse หนังสือเดินทางเพียงพอหรือไม่ที่จะเดินทาง หรือต้องทำ endorse วีซ่าด้วย เพื่อป้องกันความล่าช้าในการเดินทางต่อไป

ขอขอบคุณคุณเมย์อีกครั้งที่เล่าเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ให้ทางเราครับ

แผนกบัตรโดยสารและราคา

เครดิตข้อมูลบทความจากเพจ www.kmt.co.th

 


Embrace แปลว่า โอบกอด

Embrace (เอ็มเบรส) แปลไทยว่า โอบกอด” / "อ้าแขนรับ"

คำว่า Embrace ในความหมายทางกายภาพหมายถึง การโอบกอด หรือการสวมกอดด้วยความรัก อย่างเช่น

Everyone embraced each other with excitement when the Olympian won gold medal. ทุกคนสวมกอดกันด้วยความดีใจเมื่อนักกีฬาโอลิมปิคชนะเลิศได้เหรียญทอง

แต่นอกจากความหมายทางกายภาพแล้ว Embrace ยังใช้กับความหมายนามธรรมได้ด้วย ซึ่งในที่นี้จะแปลว่า อ้าแขนรับหรือ การยอมรับอย่างเช่น

Thailand embraced democracy in 1932. ประเทศไทยยอมรับระบอบประชาธิปไตยในปี 1932 (2475)

ซึ่งในความหมายนามธรรมแบบนี้ เราจะเห็นการใช้คำว่า Embrace กับทั้งเรื่องการปรับเปลี่ยนการปกครอง ไปจนถึงจากเปลี่ยนไปศาสนา หรือในภาพยนตร์และนิยาย มักจะมีสำนวน

Embrace the darkness/dark side ประมาณว่า มาจอยฝั่งชั่วกันเถอะ

เครดิตข้อมูลบทความจากเพจเฟซบุ๊ Onelaword


 



Empower แปลว่า ให้อำนาจ



Empowerment ภารกิจ "ผู้นำ"

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดิฉันได้รับเกียรติจากสถาบันการศึกษาที่เก่าแก่ อายุกว่าร้อยปี ให้ไปแบ่งปันความรู้เรื่อง Communication through Empowerment หรือการสื่อสารเพื่อสร้างพลังอำนาจในองค์กร ในงานแสดงมุทิตาจิตให้กับอาจารย์ ผู้บริหารที่กำลังจะเกษียณอายุราชการ และผู้บริหารรุ่นใหม่ที่จะดูแลองค์กรต่อไป  

งานนี้ จึงมีพลังอำนาจมากมายทั้งเก่าและใหม่ ซึ่งได้ผสมผสานความต่างกันเอาไว้ ดิฉันบอกกับตัวเองว่า การที่ดิฉันได้มีโอกาสได้ไปแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ในวันนั้น ดิฉันถือว่าโชคดีมากๆ ค่ะ

เราเริ่มต้นด้วยการเช็คความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่าวันเวลาที่ผ่านมา แต่ละท่านใช้เวลาหมดไปในเรื่องใดบ้าง ระหว่างการใช้เวลาบริหารจัดการหรือ Management และภาวะผู้นำ หรือ Leadership

หากแต่ละท่านใช้เวลาที่ผ่านมาในการทำงานส่วนใหญ่ในการบริหารจัดการ (Management) ท่านมักจะ

๐ กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของผลการปฏิบัติงาน

๐ กำหนดแบ่งงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชา/พนักงาน

๐ แจกแจงและจ่ายงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชา/พนักงาน

๐ กำหนดและขีดเส้นตายของงานและติดตามงาน

๐ ทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย ทำงานตามหน้าที่ แต่หากท่านใช้เวลาที่ผ่านมาในการทำงานมุ่งเน้นเรื่องภาวะผู้นำ (Leadership) ท่านมักจะ มีการพูดคุย สื่อสารเรื่องวิสัยทัศน์กับพนักงาน ให้มองเห็นและเกิดความเข้าใจภาพอนาคตร่วมกัน

๐ ให้ข้อแนะนำ เสนอแนะ วิธีการในการทำงาน

๐ ทำงานกับพนักงานด้วยสัมพันธภาพที่ดี มีความเข้าใจพนักงาน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน พนักงานมีส่วนร่วมในการทำงาน

๐ มีเวลาในการให้คำปรึกษาพนักงานทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ อย่างแท้จริง

๐ มีความตระหนักอยู่เสมอว่า มีอนาคตใครบ้างที่ขึ้นอยู่กับฉัน

ท่านผู้อ่านลองไปในตัวนะว่า หากท่านเป็นผู้บริหารก็ให้ประเมินตนเอง แต่หากท่านเป็นลูกน้องก็ลองประเมินนายตนเองดู ส่วนใหญ่ดิฉันมักจะได้คำตอบว่า ถ้าผู้บริหารประเมินตนเอง ก็จะบอกว่าส่วนใหญ่ใช้เวลาในการเป็นภาวะผู้นำมากกว่าการบริหารจัดการ แต่ในทางกลับกัน ลูกน้องก็จะบอกว่านายใช้เวลาในการบริหารจัดการมากกว่าการใช้ภาวะผู้นำ ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูกค่ะ เพราะต่างฝ่ายต่างมุมมอง

ทีนี้เรามาดูความหมายของ Empowerment กันก่อน

ถ้าเราถามผู้บริหารว่า Empowerment หมายถึงอะไร ในมุมมองของเขา เราอาจจะได้ยินคำตอบว่า เขาต้องการให้ลูกน้องของเขา



๐ เป็นคนโปรแอคทีฟ กระตือรือร้น มีการคิดการวางแผนงานล่วงหน้า

๐ เป็นผู้ที่สามารถรับผิดชอบในงานได้มากขึ้นและสูงขึ้น

๐ เป็นผู้ที่ทุ่มเทในการทำงานเพื่อให้ได้ผลงานที่เป็นเลิศ

๐ เป็นผู้ที่สามารถมองเห็นปัญหาและคิดวิธีการแก้ไขปัญหาได้ ไม่ใช่เป็นผู้สร้างปัญหา หากเราถามลูกน้องว่า Empowerment หมายถึงอะไร ในมุมมองของเขา เราอาจจะได้ยินคำตอบว่า เขาต้องการ

๐ ได้รับการมอบหมายอำนาจ หน้าที่ให้มากขึ้นและสูงขึ้น

๐ เปิดโอกาสให้ได้ลองทำงานด้วยตนเอง ไม่ถูกนายไล่บี้ ไล่จิก

๐ เปิดโอกาสให้เขาได้ตัดสินใจเอง

หากเรามองผิวเผิน จะเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายให้ความหมายของ Empowerment ได้คล้ายคลึงกัน แต่ลึกๆ แล้วทั้งสองฝ่ายมองไม่ตรงกันหรอกค่ะ ดังนั้นหากมองไม่ตรงกันจะอันตรายมากค่ะ

มาตกลงกันค่ะว่าทั้งผู้บริหารและลูกน้องจะมองได้ตรงกันและได้ประโยชน์ร่วมกัน ต้องมองร่วมกันง่ายๆ ว่า Empowerment หมายถึงการที่ผู้บริหารได้ดึงเอาศักยภาพความรู้ ความสามารถพรสวรรค์ของลูกน้อง ดึงเอาพลังในตัวลูกน้องออกมา โดยให้เขารู้สึกที่จะมุ่งมั่นทุ่มเทให้กับงานที่ทำหรือที่ได้รับมอบหมาย

วันนั้นที่ดิฉันไปแบ่งปันความรู้ในงานข้างต้น เราก็ได้คุยกันว่า หากต่อไปนี้เวลาที่ผู้บริหารจะ “EMPOWER” ก็ให้นึกถึงสิ่งต่อไปนี้ค่ะ

Establish Desired Results: ทั้งผู้บริหารและลูกน้องต้องตกลงร่วมกันว่าอยากได้ผลลัพธ์อะไรร่วมกัน เพราะบ่อยครั้งสิ่งที่ผู้บริหารต้องการอาจไม่ใช่สิ่งที่ลูกน้องต้องการค่ะ ดังนั้นจึงควรตกลงผลที่ต้องการจะได้ร่วมกันก่อน

Motivation: การสร้างแรงจูงใจ ผู้บริหารต้องสร้างแรงจูงใจ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะลูกน้องต้องการแรงจูงใจแตกต่างกัน บางเรื่องเป็นสิ่งที่กระตุ้นจูงใจผู้บริหารซึ่งอาจไม่กระตุ้นจูงใจลูกน้องค่ะ ดังนั้นผู้บริหารต้องรู้จักลูกน้องตนเองดีด้วย

Power: อำนาจที่จะมอบหมายให้ ต้องระบุขอบเขตให้ชัดเจน จะได้ไม่ล้ำเส้นในบางเรื่อง

Open Environment: ผู้บริหารต้องสร้างบรรยากาศให้เปิดกว้าง และต้องสร้างบรรยากาศของการไว้วางใจในซึ่งกันและกัน

Willingness to Contribute and Commit: การตกลงร่วมกันแบบชนะ+ชนะ จะทำให้ลูกน้องมีความเต็มอกเต็มใจที่จะมุ่งมั่น ทุ่มเท เพื่อให้งานที่ได้รับมอบหมายสัมฤทธิผลค่ะ

Expectations on Accountability: ความคาดหวังที่ชัดเจนต่อกัน จะต้องตกลงเรื่องความรับผิดชอบที่ชัดเจนและมีการวัดผลที่ชัดเจน

Resources: ทรัพยากรต้องจัดให้ผู้ที่ได้รับมอบอำนาจ เช่น เวลา งบประมาณ จำนวนคน เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ เป็นต้น

ท่านผู้อ่านเห็นแล้วนะคะ ว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนพอควรค่ะในการ Empowerment ดังนั้นผู้บริหารต้องทำตัวเหมือนคนปลูกต้นไม้ ที่จะคอยบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์พืชให้เติบโต งอกงาม ให้ชีวิตที่อยู่ข้างในได้ออกมาได้อย่างสวยงามค่ะ งานนี้ต้องเป็นงานของผู้นำค่ะ

โดย ดร.เกศรา รักชาติ: Ph.D. Leadership and Human Behavior ผู้มีประสบการณ์ตรงจากการสร้าง Learning Organization วิทยากรและที่ปรึกษาทางด้าน Learning Organization, Leadership, Coaching, Communication & Interpersonal Skills, ทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาองค์กร

เครดิตข้อมูลจากเพจ nationejobs.com

วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2561

นาฏเละ ชำแหละผลรางวัลที่ค้านสายตาคนดูทีวีมาหลายปีแล้ว

นาฏเละ เวทีอันทรงเกียรติ ซึ่งเป็นปณิธานตั้งแต่เริ่มสถาปนาขึ้นมา ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ ลงท้ายเป็นบ้องกัญชา ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น สุดท้ายไม่ต่างจากเวที เมขโหล,โทรทัศน์มาลีนนท์ เป็นรางวัลที่ไว้อวยกันเองของบางวิก (พระราม 4 กับอโศก)  

ก็ไม่แปลกใจหรอก ที่ผลรางวัลของทุกปี จะออกมาแบบนี้ คือแบ่งๆ กันไประหว่างวิก 3 พระราม 4 กับแกรมมี่ ณ อโศก เพราะเป็นสถาบันแจกรางวัลที่ก่อตั้งโดย 3 เสาหลักคือ ช่อง 3 เอ็กแซ็กท์(ณ ตอนนั้นยังเป็นช่อง 5 ยังไม่มีช่อง One กับ Gmm25) และเจเอสแอล ของคุณจำนรรค์ ศิริตัน หนุนภักดี ซึ่งมีตำแหน่งนายกสมาพันธ์สมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์พ่วงด้วย ซึ่งคุณจำนรรค์ มิใช่ตัวแทนของ ช่อง 7 ด้วย เพราะเจเอสแอล เป็นเพียงผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ ที่ผลิตป้อนให้กับทุกช่อง ดังนั้น การก่อตั้งรางวัลนี้ จึงเรียกไม่ได้ว่า เป็นรางวัลของบุคลากรทั้งวงการ เพราะขาดช่อง 7 สีไป ซึ่งจะว่าไป ช่อง 7 สี ต้องถือว่าเป็นผู้อาวุโสสุดของวงการ เพราะก่อตั้งมาก่อน เก่าแก่สุด แต่ไม่ได้มีส่วนในการเป็นผู้ก่อตั้งหรือสถาปนารางวัลนี้ คำถามคือ แล้วเขาจะมีเอี่ยวในผลประโยชน์ หรือมีสิทธิ์มีเสียงในการกำหนดกติกามาตั้งแต่เริ่มต้นมั๊ย คำตอบคือไม่มี นี่ก็เป็นความทะแม่งอย่างแรกๆ แล้วของการถือกำเนิดของสถาบันแจกรางวัลแห่งนี้

5 ปีแรกๆ เจ้าภาพจัดงานเป็นเอ๊กซ์แซ็กท์ ของคุณบอย ถกลเกียรติ รับหน้าเสื่อจัดงานกันไป รางวัลหลักใน 2 ปีแรกจึงค่อนข้างเทให้ไปทางเอ็กซ์แซ็กท์ได้รางวัลใหญ่ไป เพราะค่อนข้างเกรงใจและเป็นตั้วโผจัดงาน ลงเงิน และปีต่อมาก็เป็นทางเจเอสแอล รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพจัดงาน มาจนถึงปัจจุบัน ช่วง 5 ปีแรก ภาพลักษณ์ของการจัดงานและการให้รางวัลดูดีมีมาตรฐาน ผู้ที่ได้รับรางวัลถูกกลั่นกรองออกมาได้น่าเชื่อถือ ทำให้เวทีแห่งนี้ การเป็นความหวังของบุคลากรในแวดวงการบันเทิงโทรทัศน์ และของคนดูโทรทัศน์โดยทั่วไป พอเริ่มเข้าสู่ช่วงปีที่ 6-9 ก็คือปีล่าสุด เริ่มมีกลิ่นตุๆ ของรางวี้ รางวัล ที่ค้านสายตาคนดู หรือผิดฝาผิดตัว และบางสาขา ผู้เข้าชิงบางท่านไม่เหมาะสม บางท่านเหมาะสม แต่ไม่ถูกเสนอชื่อเข้าชิง และนับตั้งแต่ครั้งที่ 3/2554 เป็นต้นมา รางวัลหลักๆ ส่วนใหญ่ถูกเทมาให้วิก 3 พระราม 4 เพียงช่องเดียวแบบค้านสายตาคนดูมากๆ ในหลายสาขารางวัล ทั้งรางวัลหลักและไม่หลัก แบบ winner take all ซึ่งรายละเอียดจะได้กล่าวต่อไป

รางวัล “นาฏราช” จะไม่เป็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมทั้งในแวดวงบันเทิง หรือคนวงนอก อย่างคนดูทั่วไป ขนาดนี้ ถ้าไม่เคลมตนเองมาก่อนว่า “เป็นสถาบันแจกรางวัลทางด้านโทรทัศน์ที่ได้มาตรฐานที่สุดในประเทศไทย” ใช้ระบบเดียวกับ ออสการ์ เพราะใช้บริการการเก็บข้อมูล ผลรางวัลโดยจ้างบริษัทเดียวกับที่ทำให้ออสการ์ ก็คือบริษัท ไพรซ์วอเทอร์เฮ้าส์ คูเปอร์ (PWC) แต่บริษัทนี้เคยมีแผลจากการยื่นซองผิดให้ผู้ประกาศผลรางวัล ทำให้ประกาศรางวัลผิด ปีที่ Moonlight ได้รางวัล ภ.ยอดเยี่ยม แต่ จนท.ของไพรซ์วอเตอร์เฮ้าส์คูเปอร์ ดันยื่นซองรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยม ซึ่งได้แก่ เอ็มมา สโตน จาก La La Land ให้ผู้ประกาศผลรางวัล (คือวอร์เรน เบ็ตตี้) ซึ่งทำให้เข้าใจผิด คิดว่าเป็นผลรางวัลของ ภ.ยอดเยี่ยม จึงประกาศผิดเป็น ภ. La La Land โชคดีที่กรรมการที่ดูแลภาพรวมของผลรางวัลเห็นความผิดพลาดและไหวตัวทัน ขึ้นไปทักท้วงทันที และมอบซองผลรางวัลที่ถูกต้องแล้วประกาศรางวัลที่ถูกต้องแทน อันนั้น ถือเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล้ว และถือเป็นแผลฉกรรจ์ เป็นตราบาปที่คนทั้งโลกไม่มีทางลืม เพราะคนที่ถูกประกาศชื่อผิด ดีใจเก้อไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่ภายหลังขอประกาศใหม่ เป็นอีกเรื่อง ไม่ต่างกับการประกาศผลนางงามจักรวาล ปีที่มีปัญหาที่สุด ที่มิสฟิลิปปินส์ได้เป็นนั่นแหละ

กติกาดูโดยผิวเผิน ต้องถือว่าให้ความเคารพกับคนในแวดวงการโทรทัศน์ พิจารณาคัดเลือกและให้รางวัลกันเอง ต้องถือว่าเป็นวิธีคิดที่ก็น่าจะถูกต้องหรือน่าจะทำให้เป็นที่ยอมรับได้ในวงกว้าง เพราะอย่างไรเสียคนในวงการย่อมรู้ดีกว่าคนนอกวงการ ใครมีผลงานดีหรือไม่ดียังไง คนในแวดวงน่าจะตัดสินกันได้ออกมาเป็นที่ยอมรับได้ แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า วิธีคิดถูกต้องแล้ว แต่วิธีการกลับมีช่องโหว่ และคิดมาไม่รอบคอบพอ กลายเป็นจุดช่องโหว่ ที่ทำให้ผลรางวัลออกมา แย่กว่าสมัยที่ใช้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากแวดวงอื่นหรือนักวิชาการมาตัดสินเสียอีก เพราะเกณฑ์ที่กำหนดว่า คนที่ได้รางวัลจากปีล่าสุดหรือปีก่อนๆ  มีสิทธิ์มาตัดสินผลงานของคนปีถัดไป ทั้งๆ ที่คุณรู้ได้ไงว่า คนเหล่านั้นที่ได้รางวัลจากปีล่าสุดหรือปีก่อนๆ จะไม่ติดหนี้บุญคุณต้องตอบแทนเจ้าของช่อง หรือเจ้าของค่ายหรือไม่ ที่ทำให้ตนเองได้รับรางวัล เข้าใจประเด็นนี้มั๊ย คือไอ้คนที่ได้รางวัลในปีก่อนๆ อาจได้รับการผลักดันหรือเสนอชื่อโดยแวดวงของเจ้าของสื่อหรือเจ้าของสถานี ที่ต้องการผลักดันเด็กคนนี้หรือนักแสดง,ผู้กำกับในสังกัดของตน ได้รางวัลเพื่อให้มีชื่อเสียง ยกระดับเป็นนักแสดงเกรดเอ แต่พอแกได้ของปีนี้แล้ว ปีหน้าแกต้องไปโหวตให้อีกคนที่ฉันล็อกสเป็คเอาไว้แล้วนะ ว่าปีหน้าต้องได้ เป็นบุญคุณต้องทดแทน ก็จะมีคำถามว่า เอ้า ก็นี่มันเป็นการโหวตลับมิใช่เหรอ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราโหวตรางวัลนี้ให้ใคร โถๆๆ อย่าโง่สิ ในบรรดารายชื่อผุ้ถูกเสนอชื่อเข้าชิง 5 รายชื่อ (ส่วนใหญ่จะเป็น 5 รายชื่อ) มาจาก 3-4 ช่องเอง ก็คือไอ้ช่องที่เป็นผู้จัดตั้งรางวัล 2 ใน 5 ชื่อ ต้องล็อกไว้สำหรับโควตาช่องใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลอยู่แล้ว แล้วไอ้ 2 รายชื่อที่มาจากช่องใหญ่นั้น (ทำเสียงเหมือนพุดเดิ้ล ) จะมีตัวจริงกับตัวหลอกเสมอ หมายความว่า รายชื่อที่เป็นตัวจริง คือวางไว้ว่าจะให้รางวัล ส่วนตัวหลอก เป็นไปเพียงเพื่อให้ครบ 5 รายชื่อ และเขาเอาเข้ามาเพื่อให้ดูเหมือนมีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้นนะ แต่ตัวหลอก คือตัวที่ช่องไม่ได้กะจะให้รางวัลหรอก เอาไว้ให้พวกติ่งของดาราหรือแฟนคลับลุ้นแห้งๆ ไปตามระเบียบ

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วตกใจ แสดงว่าไอ้ผลรางวัลพวกนี้ มันสามารถล็อคสเป็ค ชี้เป้าได้เลยเหรอว่ารางวัลนี้จะให้ใคร ไม่ให้ใคร ผู้เขียนคิดว่า มันก็ไม่ถึงขนาดนั้น ที่ใครจะสามารถชี้นิ้ว ว่ารางวัลนี้ จะให้ใครไม่ให้ใคร แต่มันมีระบบล็อบบี้ และการที่ช่องที่ได้รางวัลเทยกครัว สมมติว่าปีล่าสุด ช่องใหญ่ช่องนี้ ได้รางวัลแบบเทยกครัว เหมาเกือบหมดแทบทุกรางวัล ถ้ารางวัลไหน ไม่ถึงขนาดว่าช่องเขาไม่มีบุคลากรเก่งเลย เขาอาจแบ่งๆ ให้ช่องอื่นไปบ้าง แต่ถ้าเขามีบุคลากรแบบเก่งๆ ดีๆ เขาไม่ปล่อยให้ใครหรอก เขาก็จะล็อบบี้ บรรดานักแสดง หรือบุคลากรในสังกัดของเขานั่นแหละ ที่ได้รางวัลปีล่าสุด ช่วยโหวตให้ผลงานของช่องนะ อย่าไปโหวตให้ช่องอื่นหรือผลงานของคู่แข่ง เป็นการขอความร่วมมือ ซึ่งจะทำหรือไม่ทำก็ได้ไง แต่บรรดาทาสนักแสดงหรือบุคลากรเหล่านั้น อยากเอาใจนายมั๊ย หรือยังอยากให้ตัวเองเป็นที่รักของผู้ใหญ่ในช่องมั๊ย ก็จะโหวตอวยกันไป โดยที่ไม่ดูเนื้องานของช่องตนเองเทียบกับของช่องชาวบ้านเลย ว่าไอ้รางวัลนี้ ของปีนี้ เราสู้เขาไม่ได้จริงๆ อย่างไรเสีย มันควรเป็นของคนอื่น หรือแม้แต่ช่องคู่แข่งทำได้ดีกว่า ก็ควรจะต้องโหวตให้ช่องคู่แข่งด้วยซ้ำ ตามมโนสำนึกหรือบรรทัดฐานแบบเดียวกับสากลหรือของฮอลลีวู้ด (ออสการ์) ที่ตัวเองกล้าไปยึดเป็นต้นแบบหรือเอามา แต่พอมาปฏิบัติจริงกลับยังคงใช้อคติหรือวิธีคิดแบบระบบอุปถัมภ์แบบไทยๆ ทำให้ผลรางวัลที่ออกมา มันสะท้อนวิธีคิดของบรรดากรรมการหรือที่คุณเรียกว่า เป็นบุคลากร หรือเชียวชาญในแวดวงการโทรทัศน์ ถุย!!!!!! น้ำเน่าไม่ใช่แต่ในละครนะ ยังน้ำเน่าทั้งวิธีคิด และระบบของวงการละครโทรทัศน์ไทยเลยทีเดียว ต่อไปนี้อย่ามาเคลมให้ข้าพเจ้าได้ยินเลยว่า เป็นเวทีอันทรงเกียรติ ขอใช้ เวทีอันทรงเกลียดมากกว่า

เอาหล่ะ ไม่ขอย้ำแผลที่เคยผิดพลาด ของพรรณ์นี้ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวหรือครั้ง 2 ครั้ง ยังพอให้อภัย แต่ถ้าเป็นการผิดพลาดเกือบทุกครั้งเสมอมา อย่างรางวัลนาฏราช แสดงว่ามันต้องมีปัญหาหรือเป็นระบบหรือวิธีคิดที่ผิดพลาดแล้วหล่ะ สำหรับการตั้งเกณฑ์ที่ว่า ให้ผู้ที่เคยได้รางวัลของปีล่าสุดแล้วมาโหวตให้กับคนที่ได้เข้าชิงในปีถัดไป ถ้าบังเอิญว่าคนที่ได้รางวัลปีล่าสุดเป็นศิลปินที่ไม่ได้สังกัดช่อง หรือสังกัดค่าย เหมือนสังคมฮอลลีวู้ด แบบออสการ หรือบังเอิญว่าคนที่ได้รางวัลของปีล่าสุดไม่ใช่กลุ่มคนชุดเดียวกัน มาจากสังกัดเดียวกัน แบบเทยกครัว แบบที่ช่อง 3 ผูกขาดการได้รางวัลนี้มานับตั้งแต่ครั้งที่ 3 เป็นต้นมา และถ้าบุคลากรเหล่านั้นที่ได้รางวัลปีล่าสุด จะมีวิจารณญาณที่จะคิดได้ว่า ควรใช้วิจารณญาณอย่างเป็นธรรมในการดูผลงานของช่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่ช่องที่ตนเองสังกัด และไม่มีอคติที่จะต้องเข้าข้างหรือเอนเอียงโหวตตามใจเจ้านายหรือเจ้าของช่อง แล้วหล่ะก็ ผลรางวัลมันไม่ควรออกมาอย่างที่เป็นอยู่
เดิมทีผู้เขียน (แอดมิน) ไม่ได้อคติอะไรกับบรรดาพวกเวทีแจกรางวัล ไม่ว่าวงการอะไรเลยนะ และไม่ค่อยได้ใส่ใจกับผลรางวัลอะไรพวกนี้มากเท่าไหร่ด้วย เพราะมันเยอะ และเกร่อ อีกทั้งเราเป็นคนที่เสพผลงานจากต่างประเทศเป็นหลักด้วย แต่มีความรู้สึกว่า ไหนๆก็อยากยกระดับวงการบันเทิง หรือผลงานในวงการบันเทิงบ้านเราให้มีมาตรฐานหรือเทียบเท่าบ้านเมืองอื่นที่เขาเจริญกว่าแล้ว ทำไมเราถึงปล่อยให้เกิดหลุมดำขนาดใหญ่ในเวทีแจกรางวัลที่พวกคุณยกยอกันเองว่า ทรงเกียรติ แบบนี้หล่ะ แล้วจะให้คนดูอย่างเรายอมรับในมาตรฐานหรือเวทีอวยกันเอง แจกกันเองได้อย่างไร อีกหน่อยควรถ่ายทอดสดให้ผู้บริหารช่อง ผู้บริหารค่าย หรือนักแสดง บุคลากรในแวดวงดูกันเองมั๊ย ประชาชนไม่ขอยุ่งเกี่ยวอะไรด้วย อีกหน่อย ผู้เขียนอาจพิจารณาที่จะไม่ขอนำเสนอข่าวผลการแจกรางวัลอะไรพวกนี้ อีกแล้ว ไม่ว่าเวทีอะไร เพราะมันช่างไร้ความโปร่งใส เต็มไปด้วยการเลือกข้าง และพวกมากลากไป แบบนี้ทุกปี และค้านสายตาคนดูทุกปี ให้ตายเถอะ












เขียนมาขนาดนี้ ยังไม่ได้ยกตัวอย่าง ประกอบการวิพากษ์วิจารณ์ จริงๆ มีตัวอย่างหลายๆ ปี แต่เอาเฉพาะผลการแจกรางวัลของปีนี้พอ เพราะเป็นแผลสด เพิ่งประกาศกันออกมา

เน้นโฟกัสไปที่ผลรางวัลประเภทละครโทรทัศน์ก็พอ ไม่เอารายการประเภทอื่น หรือข่าว เพราะรางวัลประเภทละครโทรทัศน์ประเภทเดียวก็สะท้อน ตรรกะ วิธีคิด ความไม่ชอบมาพากล หรือระบบโควตาของช่องได้ดี ไม่นับว่าต้องไปวิเคราะห์ผลของรางวัลประเภทอื่นอีก ก็อีหร็อบเดียวกัน วิธีคิดเดียวกัน
ขอเริ่มที่รางวัลใหญ่เลย คือ


1.ละครยอดเยี่ยม รางวัลนี้ถือเป็นรางวัลใหญ่ มีกลิ่นตุๆ มาตั้งแต่ปี 2559 แล้ว ที่ผลรางวัลให้แบบผิดฝา ผิดตัว ดังนี้ 5 เรื่องที่เข้าชิงปีนั้นคือ นาคี, ขมิ้นกับปูน, กำไลมาศ ,พิษสวาทและ O-Negative รักออกแบบไม่ได้ เอาจริงๆ มันเอียงกระเท่เร่มาก ช่อง 3 ได้เข้าชิงถึง 2 เรือง แต่ไม่เป็นไร อันนี้ยังไม่น่าค้านความรู้สึกได้เท่ากับว่า ผลการประกาศรางวัล ปรากฏว่า เรื่องนาคี ได้รับรางวัลละครยอดเยี่ยมไป อันนี้แหละที่ผู้เขียนคิดว่า มันเอามาตรฐานอะไรมาตัดสินวะ ทั้งๆ ที่ ปีนั้น พิศวาสโดดเด่นที่สุด จะเรียกได้ว่า เป็นละครแห่งชาติเลยก็ว่าได้ แบบเดียวกับที่ บุพเพสันนิวาส ถูกเรียกว่าละครแห่งชาติ เพราะไม่ว่าจะมองในมิติไหน พิษสวาทกินขาดเหนือ นาคีแทบทุกด้าน ยกเว้นสเปเชียลเอ็ฟเฟ็คท์ คือถ้ารางวัลนี้ เป็นรางวัล ซีจียอดเยี่ยม แล้วนาคีได้ ผู้เขียนจะไม่เถียงเลย แต่นี่คือรางวัลละครยอดเยี่ยม แต่ให้นาคี ผู้เขียนดูหนังมาก็เยอะ และเป็นนักอ่าน เรียกว่าช่ำชองการดูหนังก็แล้วกัน ปี 2559 ถ้าจะให้ตามเหมาะสม และด้วยใจที่เป็นธรรม บอกเลย พิศวาสต้องได้ แบบ landslide คือถล่มทลาย กวาดรางวัลหลักเกือบหมดในปีนั้นนั่นแหละ ทั้ง บท,ผู้กำกับ, นักแสดงนำชาย,หญิง ละครยอดเยี่ยม แต่พอไปดูผลรางวัลในปีนั้น สะเปะสะปะมากเลย บทคุณให้วัยแสบสาแหรกขาด แต่ไม่ให้ละครยอดเยี่ยมเขา มาให้นาคี พอเป็นนำชายคุณให้ป้อง ที่เล่นบทพระอรรค จากพิศวาส แต่บทเด่นคือนุ่น ในบทคุณอุบล จากนาคี คุณไม่ให้ ไปให้แต้ว จากนาคี แล้วผู้กำกับที่คุมภาพรวม คุณให้พี่อ๊อฟ จากนาคี ทั้งๆที่ นาคีได้แต่รางวัลด้านเทคนิค ถามว่าถ้าการทำหน้าที่ของผู้กำกับ คือ คุมการแสดง และภาพรวมคือบท ในส่วนซีจีจ้างบริษัทนอกทำ บทคุณก็ไม่ได้ การแสดง ก็มีเด่นแค่แต้ว แต่ของพิศวาส เขาได้ ทั้งป้อง นุ่น และบทของนุ่น คือหัวใจของเรื่อง ยังไม่นับว่าประเด็นของเรื่อง มันทัชคนดู และเป็นประเด็นที่ใหญ่กว่า คือการเสียสละ ความรักเพื่อเฝ้าสมบัติชาติ และเป็นเรื่องของการชี้ให้เห็นว่า คนคิดคดทรยศต่อชาติจะได้รับผลกรรมอย่างไร การตามหาข้ามภพข้ามชาติ เพื่อให้ฝ่ายชายสำนึกผิด คือพล็อตและประเด็นเหล่านี้ใหญ่และลึกในแง่ของบท มากกว่านาคีมาก นาคีเป็นเรื่องของรักล้วนๆ แล้วการพยาบาทอาฆาต มีอิงไปถึงนักโบราณคดีทะเลาะกับชาวบ้านที่มีเรื่องของความเชื่อ ไสยศาสตร์ห่อหุ้มอยู่มากทั้งเรื่อง แต่ของพิศวาส พระเอกก็เป็นนักโบราณคดีเช่นกัน เทียบทุกมิติแล้ว พิศวาสครับ  ดูละครหรือหนังกันเป็นหรือเปล่า จับพล็อต จับประเด็น วิเคราะห์อะไรไม่ออกเลย สำคัญและลึกกว่า ทั้งมิติการแสดง นุ่นก็แสดงได้ชนิด คนละเบอร์กับแต้วมาก ต้องขอโทษแต้วด้วย แต่เทียบกันตามเนื้อผ้าจริงๆ และเทียบจากบท หรือคาแร็กเตอร์ตัวละคร และที่มาที่ไป ชั่วโมงบิน ฯลฯ

พอมาปีนี้ ผลรางวัลที่ออกมามันยิ่งตอกย้ำวิธีคิด รางวัลนี้ ปีนี้ฉันจอง เป็นโควตาของฉัน ถ้าอันนี้ฉันอ่อน เธอแข็งกว่า เธอเอารางวัลนี้ไป ส่วนอันนี้ฉันสายแข็งเป็นรางวัลของฉันนะ คือห่วย และอัปยศมาก มาดูกัน ละครยอดเยี่ยมของปีนี้ มีผู้เข้าชิงคือ โปรเจ็คท์เอส ตอน พี่น้องลูกขนไก่, เพลิงพระนาง, เพลิงบุญ ,รากนครา และ ล่า (ช่อง 3 จะได้โควต้าเข้าชิง 2 เรื่องเสมอ)  ผู้ได้รางวัลคือ โปรเจ็คท์เอส ตอนพี่น้องลูกขนไก่ ผู้เขียนก็ชอบนะ แต่ถ้าคุณจะให้เรื่องนี้ได้รางวัล คุณต้องให้บทละครโทรทัศน์กับเขาด้วย แต่บทคุณไปให้รากนครา แล้วละครยอดเยี่ยมทำไม ไม่เป็นรากนคราหล่ะ กลัวคนด่าใช่มั๊ย เพราะแม้แต่รางวัลบทโทรทัศน์ รากนคราก็ไม่สมควรจะได้ เพราะบทพังมาก ถ้าไม่รู้ไปหาเอาในเว็บบอร์ดพันทิปหรือทวิตเตอร์ ที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่สมประกอบของละครเรื่องนี้ตอนช่วงที่ออนแอร์แล้ว แต่พอละครที่คุณวางหรือล็อคสเป็คไว้ มันไม่ดีจริงหรือเพอร์เฟ็กท์ที่สุดในทุกด้าน รางวัลก็เลยต้องเกลี่ยให้คนอื่นไป แต่แทนที่รางวัลที่คุณเกลี่ยมาให้ มันจะมาลงกับละครที่มันคู่ควร กลับไปลงกับละครที่ผิดฝาผิดตัวอีกแล้ว คือระหว่าง ล่า กับ พี่น้องลูกขนไก่ ผู้เขียนขอถามหน่อยเถอะ เรื่องไหนมันทัชใจคนดูกว่ากัน ระหว่าง ล่า กับ พี่น้องลูกขนไก่ และเรื่องไหนองค์ประกอบโดยรวม มันดีกว่า หรือมีประเด็น,พล็อตที่มันเข้าถึงคนมากกว่ากัน ก็ต้องบอกว่า ควรจะเป็นเรื่องล่า มั๊ย เพราะว่า เรื่องล่า ทุกองค์ประกอบกินขาดทุกเรื่องในปีนี้ เอาจริง ๆ ทั้ง บท,นักแสดงนำชาย,นักแสดงนำหญิง,ผู้กำกับ รวมถึงละครยอดเยี่ยม แต่คุณกลัวว่า ถ้าให้ล่า จะกลบบารมีของ รากนครา ที่เป็นละครที่คุณล็อคสเป็คไว้แล้วตั้งแต่ปีมะโว้ ว่าจะต้องกวาดรางวัลในปีนี้ แต่ผลการตอบรับมันไม่เป็นไปตามคาด จริงๆ ปีนี้ ต้องเป็นอีกปีที่ละครจากช่อง one ต้อง landslide เหมือนปี พิศวาส คือกวาดหมดทุกรางวัลหลัก แต่ที่ไม่ได้เพราะ ช่องทรงอิทธิพลกลัวเสียหน้า ทั้งๆ ที่ละครของเขาทั้ง 2 ปีสู้ไม่ได้ จึงเกลี่ยรางวัลมาให้ช่องคู่แข่งพันธมิตรอย่างวิกอโศกบ้าง แต่ดันให้ในแบบผิดฝาผิดตัว เพื่อทอนทั้งกระแสและเครดิตชื่อเสียง ไม่ให้มาทาบรัศมีเขาได้ หวยเลยมาลงที่ พี่น้องลูกขนไก่ ซึ่งมีดีตรงแค่ นักแสดงนำฝ่ายชายเท่านั้นเอง และควรได้แค่รางวัลนั้นแหละ รางวัลเดียว เพราะถ้าดีจริง ต้องได้รางวัลบทโทรทัศน์ด้วย แต่ไม่ให้ ไปให้ละครเจ้าปัญหาอย่าง รากนครา อุบาทว์จริงๆ

2.รางวัลผุ้กำกับละครยอดเยี่ยม ปรากฏว่า พี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ได้ไป 4 จาก 9 ครั้ง เฉพาะเวทีนี้ คือ ได้จาก รอยไหม (2554) , ทองเนื้อเก้า (2556) , นาคี (2559) ,รากนครา (2560) ถามว่าพี่อ๊อฟ ได้เหมาะสมหรือไม่ ขอตอบว่า เหมาะสมและรับได้ แต่กับบางปี และบางผลงานเท่านั้น เพราะว่า บางปี มีผลงานของผู้กำกับคนอื่นที่ทำดีกว่า เช่นปี 2559 พิศวาส ของผู้กำกับ สันต์ ศรีแก้วหล่อ เหมาะสมกว่า และของปีล่าสด ปี 2560 คิดว่า มีอย่างน้อย 3 คน เหมาะสมกว่าคือ คุณชนินทร จากเพลิงบุญ, ธงชัย ประสงค์สันติ จากนายฮ้อยทมิฬ และคุณสันต์ ศรีแก้วหล่อ จากล่า แต่พี่อ๊อฟ กำกับภาพได้สวย ถ้าได้รางวัลผู้กำกับภาพยอดเยี่ยม อันนี้ไม่เถียง กลายเป็นว่ารางวัลผู้กำกับละครยอดเยี่ยม โดนผูกขาดโดยผุ้กำกับจากช่อง 3 หรือพี่อ๊อฟ ไปแล้วในช่วงปีหลังๆ

3.รางวัลนักแสดงนำชาย,หญิง,สมทบชาย,สมทบหญิง ไม่ขอวิจารณ์ มันแล้วแต่มุมมอง ใครได้ ไม่ได้ ไม่ถือว่า เป็นสารัตถะอะไรมาก

4.รางวัลบทละครโทรทัศน์ยอดเยี่ยม

รางวัลนี้เป็นหัวใจของการทำละคร เป็นอีกรางวัลนึงที่ให้แบบผิดฝาผิดตัว และไม่เหมาะสมในบางปี แบบแบ่งโควตากัน อย่างที่วิเคราะห์ให้ฟังกันข้างต้น ดังนี้ ปีแรก ปี 2552 บทละครยอดเยี่ยมเป็นของ ผู้ใหญ่ลีกับนางมา ช่อง 3 แต่ที่คู่ควร ควรจะเป็นชิงชัง จากช่อง 5 มากกว่า ปี 2553 บทละครยอดเยี่ยมเป็นของ มาลัยสามชาย จากช่อง 5 แต่ที่คู่ควร ควรเป็น ระบำดวงดาว จากช่อง 3 คือเป็น 2 ปี ที่ช่อง 3,5 เล่นเก้าอีดนตรีกันเหรอ ปี 2556 บทละครยอดเยี่ยมเป็นของทองเนื้อเก้า ช่อง 3 แต่ที่คู่ควร ควรจะเป็น คือสุภาพบุรุษลูกผู้ชายของ ช่อง 7 หรือ เรือนเสน่หา จากช่อง 5 มากกว่า ปี 2558 บทละครยอดเยี่ยมเป็นของ ข้าบดินทร์ จากช่อง 3 แต่ที่คู่ควร ควรจะเป็นคือ สุดแค้นแสนรัก จากช่องเดียวกัน หรือบัลลังก์เมฆ,Hormone 3 the final season จาก ชอง ONE มากกว่า (ต้องเข้าใจนะว่า ละครบางเรื่องมันสร้างจากบทประพันธ์ที่ดีอยู่แล้ว แต่พอมาทำเป็นบทโทรทัศน์ มันไม่ได้ดีเท่าก็มี และไอ้ที่บางเรื่องมันดังเป็นกระแสได้ เป็นเพราะบทละครโทรทัศน์มีส่วนสำคัญอย่างมาก แต่บางเรื่องบทละครทำได้ไม่ดีเท่าบทประพันธ์ แต่กรรมการวิเคราะห์แยกแยะไม่ออก แต่ให้รางวัลว่าเป็นบทละครยอดเยี่ยมก็เยอะ) ปี 2559 บทละครยอดเยี่ยมเป็นของวัยแสบสาแหรกขาด แต่ที่คู่ควร และควรจะเป็น คือ พิศวาส มากกว่า คือถ้าคุณจะให้บทละคร ของวัยแสบสาแหรกขาด แล้วทำไมปีของ Hormones คุณไม่ให้เขาครับ บท และประเด็นในเรื่อง Hormones ถือว่าทัชคนดูทั้งวงการครูและนักเรียน เป็นที่พูดถึงเป็นกระแสวงกว้างกว่า วัยแสบสาแหรกขาดเสียอีก แต่มาให้วัยแสบสาแหรกขาด ก็ไม่ว่าอะไร ถือว่าโอเค แต่มาให้ในปีที่มันมีละครที่แข็งกว่าอย่าง พิศวาส ซึ่งสมควรจะได้มากกว่า ลองไปศึกษา ไดอะล็อกซ์ของเรื่องนี้ เปรียบเทียบกับ วัยแสบฯ ได้ ถ้าคนเรียนมาทางด้านการเขียนบท จะรู้ว่า อันไหนยากกว่า และลึกกว่า ฯลฯ ของปีล่าสุดนี้ อัปยศสุดแล้ว คือบทละครยอดเยี่ยมให้กับละครที่มีปัญหาเรื่องบทมากที่สุด ในบรรดา 5 รายชื่อที่เข้าชิง เรื่องที่เหลืออีก 4 เรื่อง เหมาะสมกว่ามาก ไม่ว่าเรื่องใดได้ไป เหมาะสมกว่าจริงๆ ได้แก่ เพลิงบุญ,น้ำเซาะทราย,ล่า,พี่น้องลูกขนไก่

5.รางวัลดาวรุ่งชาย,หญิงยอดเยี่ยม ถามจริงคนที่โหวตเลือกนี่ เข้าใจคำว่า ดาวรุ่ง,ยอดเยี่ยม,ยอดนิยม แบบเดียวกันหรือไม่ ทำไมรางวัลหรือผู้เข้าชิงมันถึงได้ผิดฝาผิดตัวได้ถึงเพียงนี้ เอาของปีล่าสุดก็พอ

รายชื่อผู้เข้าชิงนักแสดงดาวรุ่งหญิง ของช่อง gmm25 ส่งใบเฟิร์น พิมพ์ชนก จากเรื่อง หลงไฟ มา อันนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันหนักมากว่า เอาอะไรคิด น้องอยู่วงการมาได้เกิน 10 ปีแล้วนะ ยังจะมาชิงดาวรุ่งอะไรกันอีก แค่มีชื่อโผล่มานี่ก็ ฮาขำกลิ้งแล้ว พลอยทำให้ไม่อยากจะรับรู้ผลรางวัลอีกต่อไปเลย ผู้เขียนดูช่อง gmm25 เป็นประจำอยู่แล้ว จึงรู้ว่า ช่องนี้ มีนักแสดงวัยรุ่นทั้งหน้าเก่า หน้าใหม่ล้นจอ จะหาที่เป็นดาวรุ่งจริงๆ ไม่ยากหรอก แต่ที่ส่งชื่อนี้มา เพราะต้องการหวังดัน และหวังรางวัลจริงๆ ขนาดมีชื่อเข้าชิงในสาขานักแสดงนำหญิงแล้ว เหตุใดมาชิงในสาขานักแสดงดาวรุ่งอีก นี่กะว่าถ้าพลาดจากนำหญิงคงกะมาลุ้นจากดาวรุ่งหญิงอีก มันช่างน่ารังเกียจ ทุเรศจริงๆทั้งคนพิจารณาคัดเลือก และคนที่ผลักดันเข้ามา ปรากฏว่าน้องใบเฟิร์น พิมพ์ชนกได้ไปจริงๆ จากสาขาดาวรุ่งหญิง ซึ่งถือว่ากล้าส่งชื่อมา ก็กล้าโหวตให้ ซึ่งที่คู่ควรแล้วควรเป็นใบเฟิร์นอีกคน ทีชื่อน้องใบเฟิร์นอัญชสา จากกับดักเสน่หา ทางช่อง one มากกว่าที่เพิ่งเข้าวงการมาไม่นานและตัวบทบาทการแสดง (บทคารามายด์) ก็คู่ควรในรางวัลนี้มากกว่า

ส่วนนักแสดงดาวรุ่งชายนี่ก็ผิดฝาผิดตัวอีกเช่นกัน น้องไนน์ นภัทร นี่ก็เข้าวงการมาได้หลายปีแล้วนะ ไม่ถือว่าเป็นดาวรุ่ง คือมีทั้งผลงานโฆษณา และเล่นภาพยนตร์กับจีดีเอช (พรจากฟ้า) แต่ผลงานละครอาจจะเพิ่งมาออนปีนี้ก็เลยนับว่าเป็นหน้าใหม่ดาวรุ่ง คือแต่มันใช่มั๊ย ถ้าเล่นดีจะไม่ว่าเลย แต่ถ้าเทียบกับคู่แข่งผุ้เข้าชิงคนอื่น ผู้เขียนยังคิดว่า เจมส์ ธีรดนย์ จากบทคนเป็นโรคซึมเศ้า ใน โปรเจ็กท์เอส ตอน s.o.s skate ซึม ซ่าส์ เล่นได้ดีกว่า น้องไนน์ นภัทรมาก

ช่อง 7 สีและช่องอื่นๆ ที่ผลิตละครอยู่เหมือนกันในประเทศนี้อย่าง Mono29,workpoint,ช่อง 8,pptv,True4U น่าจะประท้วงนะ ว่ามีใครดูละครของพวกเขาบ้างหรือไม่ ทำไมแทบไม่ได้รางวัลอะไรเลย ช่อง 7 มีชื่อเข้าชิงเป็นไม้ประดับมาตลอด แต่แทบไม่เคยได้รางวัลเป็นชิ้นเป็นอันกลับบ้านเลย ได้แต่รางวัลประเภทรายการโทรทัศน์ หรือข่าวเท่านั้น
เอาแค่นี้พอ แค่นี้ก็กลายเป็น นาฏเละ ไม่รู้ว่า ปีหน้าจะเละกว่านี้อีกมั๊ย ขอไว้อาลัยให้กับรางวัลผุ้ทรงเกลียดในปีนี้

บทความโดย เพจหยิกแกมหยอก







วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ท่องโลก (D) ทางความคิดไปกับคีย์เวิร์ดที่ขึ้นต้นจาก A-Z อักษร D


ท่องโลกด้วยอักษรตัว D

Driveless Car

Disruption

Diversify

Divorce


ก่อนอื่น Cave Driver ไม่ได้แปลว่า คนขับในถ้ำ แต่แปลว่า นักดำน้ำในถ้ำ  ก็แสดงว่า คำว่า Driver ไม่ได้แปลว่า คนขับเสมอไป ต้องดูบริบทด้วย คือคำแวดล้อม ในกรณีที่เราพบคำนี้ เมื่อเหตุการณ์ 13 หมูป่าติดถ้ำ ซึ่งพบคำนี้ (Cave Driver) บ่อย ถ้าแปลตรงๆ ตัว มันจะออกแนวขวางโลกทันที คุณพี่ทั้งหลายจะเข้าไปขับถ้ำกันยังไง ไม่เข้าใจ หรือขับเจ็ตสกีเข้าไป อันนี้ล้อเล่นนะครับท่านผู้อ่าน แต่จริงๆ นักภาษาศาสตร์ เขาเข้าใจกันดี แต่ลองเอาความซื่อของคนที่ไม่รู้ภาษามาจับ มันจะกลายเป็นมุกตลกขึ้นมาทันที  เป็นต้น


 






Driveless Car หรือ  Self-Driving Car

Self-Driving Car รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ (หรือในอีกชื่อหนึ่ง: รถยนต์ไร้คนขับ) นับเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มาแรงที่สุดในขณะนี้ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่างๆเช่น Google, Apple, Uber, Baidu เลยไปจนถึง Intel และอื่นๆ ต่างก็กระโดดเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดนี้กันอย่างแน่นขนัด ไม่นับรวมไปถึงบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆอีกมากมาย แต่ตัวตนแท้จริงของรถยนต์ไร้คนขับนั้นเป็นอย่างไรกันแน่? บทความนี้จะแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกันแบบชัดเจนยิ่งขึ้น (ส่วนหนึ่งของบทความอ้างอิงและเรียบเรียงมากจาก Everything about Self Driving Cars Explained for Non-Engineers)

เทคโนโลยีหลักในการสร้างรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ

รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัตินั้นเป็นนวัตกรรมที่บูรณการเทคโนโลยี 4 อย่างเข้าด้วยกัน ได้แก่ Computer Vision, Deep Learning, Robotic, และ Navigation

Computer Vision นั้นเปรียบเสมือนตาของรถที่ทำให้รถยนต์นั้นรับรู้สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวได้ เทคโนโลยีที่ใช้ก็มีตั้งแต่การติดตั้งกล้องถ่ายภาพ การใช้คลื่นเสียงเบื่อตรวจจับวัตถุรอบๆในลักษณะเดียวกับเรดาร์ และการใช้เลเซอร์

ตัวอย่างการใช้เซนเซอร์ คลื่นเสียง และกล้อง ใน Tesla (Credit: Tesla)

Deep Learning ถือเป็นสมองของรถยนต์ไร้คนขับเลยทีเดียว โมเดล Deep Learning ที่ถูกเทรนด์มาอย่างดีจะทำหน้าที่วิเคราะห์สภาพในท้องถนน เช่น การตรวจจับว่ารถขับตรงเลนหรือไม่ การตรวจจับผู้ใช้ทางเท้า การระบุป้ายจราจรและสัญญาณไฟจราจร ความเหมาะสมในการเร่งเครื่องหรือเบรก และอื่นๆอีกมากมาย เรียกได้ว่าเป็นส่วนที่เป็นพื้นฐานของการตัดสินใจกระทำใดๆของรถ

Robotic นั้นค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญยิ่ง นั่นคือการแปลงจากคำสั่งที่ประมวลผลมาแล้ว (สัญญาณไฟฟ้า) ให้กลายเป็นคำสั่งที่ใช้กับเครื่องยนต์และส่วนต่างๆของรถได้จริง

Navigation เทคโนโลยีการนำทางเป็นทั้งส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมจากข้อมูลแผนที่ การประมวลผล และการตัดสินใจเส้นทางการขับเคลื่อนของรถยนต์

การทำงานโดยทั่วไปของรถยนต์ไร้คนขับนั้นจะอาศัยการรับข้อมูลผ่านทางกล้องหรือคลื่นเสียงแล้วนำมาประมวลผลด้วย Deep Learning แล้วจึงนำคำตอบจาก Deep Learning นี้ (เช่น: มีป้ายจราจรให้ลดความเร็ว) ไปเปลี่ยนเป็นคำสั่งในการขับเคลื่อนรถยนต์ต่อไป





ระดับของรถยนต์ไร้คนขับ

เมื่อไม่นานมานี้ BMW ประกาศตั้งเป้าผลิตรถยนต์ไร้คนขับเลเวล 5 ภายในปี 2021เลเวล 5นี้หมายความถึงระดับของความอัตโนมัติของรถยนต์ ซึ่งมีการแบ่งออกเป็นหลายระดับ ดังนี้

•Level 0 คือรถยนต์ที่มนุษย์ต้องควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเอง ไล่ไปตั้งแต่การบังคับทิศทาง เบรก สตาร์ทเครื่อง ฯลฯ

•Level 1 รถยนต์โดยมากยังถูกควบคุมโดยมนุษย์ แต่มีบางฟังก์ชั่นที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ เช่นการยังคับทิศทาง หรือการเร่งเครื่อง

•Level 2 การบังคับทิศทางหรือการเร่งเครื่องอย่างใดอย่างหนึ่งถูกทำโดยระบบอัตโนมัติซึ่งจะทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องใช้ทั้งแขนและขาพร้อมกัน เช่น ระบบ cruise control

•Level 3 รถยนต์ขับเคลื่อนโดยอัตโนมัติแต่ต้องมีผู้ขับขี่คอยเฝ้าระวังและแทรกแซงในกรณีที่ฉุกเฉินหรือต้องการความปลอดภัยสูง

•Level 4 รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบเต็มตัว แต่สามารถขับเคลื่อนในสภาวะที่มันถูกออกแบบมาเท่านั้น

•Level 5 รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติซึ่งมีความสามารถในการขับขี่เทียบเท่ามนุษย์

มาตรฐานที่ถูกกำหนดขึ้นโดยหน่วยงาน National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) ของสหรัฐฯดังกล่าวจะทำให้ผู้ใช้มีจุดอ้างอิงที่ชัดเจน อีกทั้งยังสำคัญอย่างยิ่งต่อการประเมิณอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทอย่างมาในบริษัทผู้ให้บริการประกันรถยนต์

ประโยชน์ของรถยนต์ไร้คนขับ

แน่นอนว่ารถยนต์ไร้คนขับนั้นไม่ใช่เพียงนวัตกรรมเท่ๆเท่านั้น สำนักข่าว Business Insider สรุปประโยชน์ของรถยนต์ไร้คนขับไว้อย่างตรงประเด็น 3 ข้อใหญ่

1.ท้องถนนจะมีความปลอดภัยมากขึ้น รถยนต์ที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติที่รับรู้และตอบสนองต่อสภาพภายนอกได้อย่างรวดเร็วนั้นย่อมจะช่วยให้การขับขี่มีความปลอดภัยมากขึ้น งานวิจัยจาก Eno Centre for Transportation กล่าวว่าหาก 90% ของรถยนต์ในสหรัฐฯเป็นรถอัตโนมัติ จะช่วยลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุลงได้เกือบ 80% เลยทีเดียว  Credit: Waymo

2.การจราจรและการใช้เชื้อเพลิงจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การลดอุบัตเหตุนั้นนอกจากจะลดความสูญเสียแล้วยังเป็นการกำจัดสาเหตุที่รถติดบนท้องถนน การมีแท็กซี่ขับเคลื่อนอัตโนมัติจะจูงใจให้ผู้คนใช้รถยนต์ส่วนตัวน้อยลง และการตัดสินใจของระบบอัตโนมัติจะทำให้รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยการเบรกและเร่งอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น และมีการคาดการณ์ว่าจะสามารถลดอัตราการเกิดคาร์บอนได้สูงถึง 300 ล้านตันต่อปี

3.มีเวลามากขึ้น เมื่อรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ผู้ใช้งานสามารถนำเวลาในการเดินทางไปทำอย่างอื่นได้อย่างเต็มที่ และการที่รถอัตโนมัติช่วยลดการเกิดรถติด จะทำให้เวลาในการเดินทางสั้นลง McKinsey มีการประเมิณว่าเมื่อรถยนต์อัตโนมัติเข้าสู่กระแสหลัก จะช่วยประหยัดเวลาในท้องถนนรวมๆแล้วกว่า 1 พันล้านชั่วโมงต่อวัน

ใครอยู่ตรงไหนของเกมนี้

การพัฒนา ลงทุน และทดสอบรถยนต์ไร้คนขับนั้นปรากฎให้เห็นในหน้าข่าวไม่เว้นแต่ละวัน บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งทางด้านเทคโนโลยี และผู้ผลิตรถยนต์ต่างก็มีแผนที่จะผลิตรถยนต์ดังกล่าวขึ้น Navigant Research ทีมวิจัยและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีสีเขียวทั่วโลกได้ทำการศึกษาและประเมิณกลยุทธและการดำเนินงานของบริษัทต่างๆในการสร้างรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติและได้เผยการศึกษาออกมาในช่วง Q2 ของปี 2017 ที่ผ่านมา มีผลลัพธ์ดังนี้

Leaderboard ผู้นำด้านรถยนต์ไร้คนขับ (Credit: Navigant)

การศึกษาครั้งนี้มีเกณฑ์อยู่ 10 ข้อ ได้แก่วิสัยทัศน์, แผนการตลาด, พาร์ทเนอร์, แผนการผลิต, เทคโนโลยี, ยอดขาย, การตลาดและการกระจายสินค้า, กำลังการผลิต, คุณภาพของสินค้า, สินค้าที่ผ่านๆมา, และความมั่นคงของบริษัท แม้จะยังไม่มีการแข่งขันในตัวสินค้าออกมาเป็นรูปธรรมแต่ก็เป็นตัวชี้วัดที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

หากต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีในรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติเพิ่มเติม

คอร์ส Self-Driving Car Engineer Nanodegree ของ Udacity ที่มีเป้าหมายในการผลิตวิศวกรรถยนต์ไร้คนขับเข้าสู่ตลาด และบล็อคเกี่ยวกับเทคนิค Computer Vision ในคอร์สเรียนนี้

•MIT มีหน้าเว็บสำหรับคลาสเรียน Deep Learning for Self-Driving Cars ให้ผู้ที่สนใจเข้าไปศึกษาได้

บล็อคของ Nvidia เกี่ยวกับการใช้ Deep Learning ในการสร้างรถยนต์ไร้คนขับโดยละเอียด

วิดีโอ Self-Driving Car ในแบบฉบับของ Google (Waymo)

(เครดิตข้อมูลบทความจากเพจ Techtalkthai.com)



Disruption แปลว่า การหยุดชะงัก ชะงักงัน

Digital Disruption คืออะไร เกี่ยวข้องอย่างไรกับการทำธุรกิจ

Digital Disruption คือ สภาวะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้เกิดรูปแบบธุรกิจขึ้นมาใหม่ นวัตกรรมและรูปแบบใหม่เหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อมูลค่าของผลิตภัณฑ์และบริการที่มีอยู่ในอุตสาหกรรมเดิม ตัวอย่างที่มีประสิทธิภาพคือ Amazon, Netflix, Hulu Plus ทำให้วงการสื่อและวงการบันเทิงหรือการค้าต้อง หยุดชะงักโดยการเปลี่ยนวิธีการเข้าถึงของผู้บริโภค และสร้างรายได้จากการลงโฆษณาของผู้ที่จะโฆษณา

แล้ว Digital Disruption คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร

Digital Disruption เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรม โดยจะช่วยนำทางให้ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เทคโนโลยีแบบ Real-time รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการสื่อสาร และเทคโนโลยี Cloud, Big Data, Robotics, Machine Learning(Ai) และอื่นๆ Disruption สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน Disruption จึงเป็นทางเลือกในการสร้างสิ่งที่แตกต่างจากผู้นำตลาด หรือบรรดาคู่แข่งในตลาดที่เป็นอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าคุณทำสำเร็จจะทำให้ผู้นำตลาดในทุกอุตสาหกรรมจะพบกับความท้าทายในการตัดสินใจครั้งใหญ่ เกี่ยวกับอนาคตขององค์กร ที่ต้องแข่งขันกับองค์กรขนาดเล็กแต่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆที่ทันสมัย ที่กำลังเข้ายึดพื้นที่ marketplace และจะทำให้องค์กรเดิมที่มีอยู่เกิดปัญหาและอุปสรรค ถ้าหากยังดำรงอยู่ในตลาดในรูปแบบเก่า

ถ้าสู้กันด้วยรูปแบบวิธีการดำเนินการแบบเก่า สิ่งที่จะต้องคำนึงคือเมื่อคุณต้องการจะนำสินค้าเข้าสู่ตลาด ต้องเป็นสินค้าที่ไม่อยู่ในตลาดที่ผู้นำตลาดกำลังทำอยู่ เพราะไม่ว่าจะเป็น ราคา ช่องทางการจำหน่าย และอื่นๆ ผู้นำตลาดจะมีกำลังอำนาจทางการตลาด และงบประมาณที่มากกว่า ซึ่งยากที่จะเป็นคู่แข่ง




Digital Disruption คืออะไร

ดังนั้นธุรกิจที่มีอยู่เหล่านี้จะต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นถ้าธุรกิจไม่แข็งแรงจริง ก็เสี่ยงที่จะต้องถูกเขี่ยออกจากธุรกิจไปทั้งๆที่เคยเป็นผู้นำตลาด ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก Digital Disruption ทำให้เกิดธุรกิจบริการแท็กซี่ Uber และ Grab ในไทยที่ผู้ให้บริการ ทำให้ผู้ใช้บริการเข้าร่วมการใช้บริการได้โดยใช้แอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทำให้ลูกค้าสามารถเรียกใช้บริการได้อย่างง่ายและสะดวก และยังมีอีกหลากหลายธุรกิจ

เกี่ยวข้องอย่างไรกับการทำธุรกิจ

ปัจจุบันมีการใช้โทรศัพท์มือถืออย่างมาก ทำให้เพิ่มโอกาสในการหยุดชะงักทางดิจิทัลในหลายอุตสาหกรรม Digital Disruption ที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันมีอะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น ซีบีเอสเอ็นบีซีและเอบีซีในสหรัฐอเมริกายังคงได้รับรายได้จากรายการโทรทัศน์กระจายเสียง แต่พวกเขาไม่สามารถคิดค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นได้ ปัจจุบันเครือข่ายโทรทัศน์ต้องใช้วิธีการหลายช่องเพื่อสร้างรายได้ให้กับตน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ Live และ Stream เพื่อทำรายได้จากการทำโฆษณา

(เครดิตข้อมูลบทความจากเพจ Ourgreenfish.com)

 


Diversify แปลว่า การเปลี่ยนแปลง , Risk  แปลว่า ความเสี่ยง

Risk Diversification  คือ การกระจายความเสี่ยง

Portfolio Diversification เบสิก คืออะไร ทำไปทำไม

What is “Portfolio Diversification”?

Portfolio Diversification คือการกระจายการลงทุนในพอร์ตการลงทุนของเราเพื่อเป้าหมายทางการลงทุน ในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงครับ ดังคำยอดฮิตของนักลงทุนเรื่องนี้ ได้กล่าวไว้ว่า อย่าใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน – Don’t put all your eggs in one basket”  มาดูกันต่อเลยครับว่าแล้วคำกล่าวนี้มันเป็นยังไง

Why it matters?

เจ้าคำกล่าวนั้นหมายความว่าถ้าเราลงทุนด้วยเงินทั้งหมดของเราไปในหุ้นตัวใดตัวหนึงก็เหมือนใส่ไข่ทั้งหมด (เงินลงทุน) ไว้ในตระกร้าใบเดียว ถ้าเผลอทำตระกร้าตกขึ้นมาไข่ในตระกร้าก็พลอยตกแตกไปด้วย เหตุทุกวันนี้ตลาดหลักทรัพย์การลงทุนของเรา อาจจะเพิ่มขึ้น ลดลง ได้วันละหลายเปอร์เซ็น ถ้าหุ้นเล็กๆหน่อยก็มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น/ลดลง ได้วันละเป็นสิบเปอร์เซ็นต่อวันเลยทีเดียว มันจึงเป็นการไม่ฉลาดนักถ้านักลงทุนเชิง Quants จะลงทุนในหลักทรพย์ตัวใดตัวหนึงเท่านั้น เพราะมันจะทำให้มีความเสี่ยง (เช่น Standard Deviation ในโพสก่อน) ของพอร์ตฟอลิโอของเราก็เพิ่มขึ้น

อย่างเช่นในช่วงเวลาเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ถ้าเราลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ธนาคาร หรือ กลุ่มอาหารจะอยู่รอดมากกว่ากันครับ ถ้าว่ากันด้วยคอมม้อนเซ้นคนเราอาจจะไม่ซื้อคอมพ์ ไม่ซื้อของเทคโนโลยีได้ แต่ไม่อาจจะเลิกกินอาหารได้ใช่ไหมครับ ตามหลักการหุ้นกลุ่มขายอาหารน่าจะอยู่รอดได้มากกว่า ถึงจะไม่เสมอไปเพราะความเป็นจริงแล้ววิกฤตเศรษฐกิจจะละเอียดกว่านี้มากแต่ขอยกตัวอย่างแบบง่ายๆให้ดูพอเป็นไอเดียของการ Diversification ครับ (หลังจากนี้เราจะมีวิธีการเลือกมันโดยใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์)

ตัวอย่างหุ้นถ้าเราถือหุ้น TMB ในช่วงเวลา 2007 ถึง 2010 ซึ่งช่วงเวลานั้นได้เกิดวิกฤตซับไพรม์พอดี ผลที่ได้ในช่วงเวลานั้น จะมีกำไรเฉลี่ยต่อปีที่ -1.17% และ Standard Deviation ต่อปีที่  0.48 หรือเหวี่ยงขึ้นลงที่ 48% ในช่วงเวลานั้นเลยทีเดียว


มาลอง Diversify กันดูครับ

โดยเราจะลองสุ่มถือหุ้น เพิ่มดูซัก 5 ตัวผ่านช่วงเวลาวิกฤตเศรษฐกิจและช่วงฟื้นตัวดูครับ โดยจะถือแบบ equal weight หรือ ถือเท่ากันทุกตัวในพอร์ต และ เป็นเพียงแค่การสุ่มหุ้นมาถือเท่านั้นว่าจะช่วงแบ่งเบาความเสี่ยงได้หรือเปล่า โดยหุ้นที่เลือกมาเป็น

บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด(HMPRO)

บริษัท ปตท. จำกัด(PTT)

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(CPF)

ธนาคารทหารไทย จำกัด (TMB)

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (SCB)

เป็น ธนาคารซะ 2 พลังงาน อาหาร และ เครื่องเรือน อย่างละ 1 ลองพล๊อตดูครับ ช่วงเวลาเดียวกันนี้ถ้าเราถือทั้งหมดนี้ เท่ากับอย่างละ 20% ของพอร์ตจะเป็นอย่างไร

ผลที่ได้ตามนั้นครับ สีฟ้าอ่อน คือผลจากพอร์ตที่เราถือหุ้นตัวอื่นอย่างละเท่าๆกัน ผลจากที่ตาเห็นเราก็พอจะบอกได้ว่ามันดีกว่าถือหุ้นแค่ TMB ตัวเดียวแน่ๆ แต่มันก็ไม่อาจจะดีไปกว่าตัวที่ทำผลงานได้ดีที่สุด และ ไม่ได้แย่ไปกว่าตัวที่แย่ที่สุด อย่างว่าครับ เราไม่รู้อนาคต ถ้าเรารู้เราคงสามารถใส่ไข่ทั้งหมดไปในตระกร้าใบเดียวได้ แต่ในเมื่อเราไม่รู้ ก็ต้องให้มันเฉลี่ยกันครับ พูดมามากแล้วมาดูตัวเลขจากการ Diversify แบบ Simple นี้กันดีกว่า ว่ามัจะทำให้ Standard deviation ของเราลดลงไหม หรือส่งผลอย่างไรกับกำไรเมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นๆในพอร์ต

รูปด้านบน แสดงค่า  stdev และ return ของหุ้นแต่ละตัว  และ แสดงค่าเดียวกันนี้ของทั้ง Portfolio ในบรรทัดสุดท้าย ที่เขียนไว้ว่า  Diversify จากผลลัพธ์จะเห็นว่า การ Diversify พอร์ตฟอลิโอ้ทำให้ความเสี่ยง (stdev) ลดลงอย่างมาก เช่น ถ้าเราถือ TMB ตัวเดียว ค่า stdev จะอยู่ที่ 48% ต่อปี หรือ ถ้าถือตัวอื่น จะอยู่ที่ 30-39% ต่อปี แต่ถ้าเราถือทั้งหมดนี้ ค่าความเสี่ยงโดยรวมของ portfolio  ของเราก็จะมีค่าประมาณ 26% เท่านั้น ลองนึกดูครับ จากความเสี่ยงสูงสุดถึง  48% ซึ่งนับว่าแทบจะรับไม่ได้เลย เราทำให้ portfolio ของเราลดความเสี่ยงลงมาได้จะเหลือ  26% เท่านั้น ค่อยหายใจได้ทั่วท้องหน่อยใช่มั้ยครับ

ในด้านของการทำกำไร Diversified portfolio ของเราก็ยังสามารถทำได้เฉลี่ย 18% ต่อปี ถึงจะไม่ทำได้เยอะเท่าการถือ HMPRO หรือ CPF แต่ก็สามารถป้องกันการขาดทุนจากการถือ TMB และยังสามารถทำกำไรได้มากกว่า PTT และ SCB อีกด้วย ขณะที่ความเสี่ยงยังคงต่ำสุด

Diversify แบบนี้จะลดความเสี่ยงได้เสมอหรือไม่? คำตอบคือ ไม่ครับ ถ้าเราโชคร้ายไปจัดพอร์ตเป็นหุ้นที่เหมือนๆกันหมดหรือเจอหุ้นที่แย่ๆเหมือนกันหมดมันก็อาจจะไม่ช่วยอะไรมากนักก็ได้ ฉะนั้นเราต้องจัดมันให้ดีกว่าเลือกมั่วๆครับ  เช่น

เลือกด้วยเหตุผล เช่น กระจายตามกลุ่มธุรกิจแตกต่างกัน

เลือกด้วยคณิตศาสตร์ หาตัววัดที่วัดความเหมือนความต่างมาวัดและจัดพอร์ตตามหลักการ Uncorrelated (โพสหน้าจะมาอธิบายกันนะครับว่าอะไรคือ Covariance, Correlation)

ใช้ทั้งสองอย่าง


สรุปแล้ว บทความนี้ก็ถือเป็นตัวอย่างแบบง่ายๆ ที่เรายังไม่ได้ใช้เทคนิคอะไรเลยนะ มันยังก่อให้เกิดผลแตกต่างได้ ถือเป็นการยืนยันประโยค “Don’t put all your eggs in one basket” ได้ในระดับหนึ่งแล้วนะครับ ถ้าต่อไปเรานำเทคนิคเหล่านี้มาเป็นพื้นฐานในการสร้างพอร์ตฟอลิโออย่างเป็นระบบล่ะ นี่เป็นแค่การ Buy and Hold เท่านั้น ถ้าเราใช้ระบบซื้อขายที่เป็น Trend Following, Mean Reversal, Pair Trading หรือ Machine Learning ล่ะ แล้วใช้วิธีการจัดการพอร์ตที่ Advance กว่านี้มันจะทำได้ขนาดไหน ก็จะค่อยๆนำเสนอไป เพราะรายละเอียดค่อนข้างมากทีเดียว ขอบคุณครับ

เกร็ดเล็กๆน้อยๆ คำกล่าว “Don’t put all your eggs in one basket” อันโด่งดังไม่ได้โดนพูดครั้งแรกโดยนักลงทุนในตำนานท่านไหน แต่มาจากหนังสือนิยายคบาสสิคอย่าง “Don Quixote” ต่างหาก รูปประโยคคือ “It is the part of a wise man to keep him­self to­day for to­mor­row, and not ven­ture all his eggs in one bas­ket”   (Cr. http://www.investopedia.com/university/risk/, https://herbison.com/herbison/broken_eggs_quixote.html)

เครดิตข้อมูลบทความจากเพจ algoaddict.com)

 


Divorce  แปลว่า การหย่าร้าง

สถิติการหย่าร้างของคู่รักคนไทย พบว่าปี 2559 มีกว่า 118,539 คู่ สะท้อนแนวโน้มอัตราการหย่าร้างในชีวิตคู่รักของคนไทย ที่นับวันจะเพิ่มขึ้น ขีวิตจริงยิ่งกว่าละคร #เมีย 2018 ละครดังสะท้อนสังคม

เตียงหัก !!สถิติปี 59 คนไทยหย่าร้างสูงถึง 1 แสนคู่

กรมสุขภาพจิตเผยสถิติในปี 2559 คู่สามีภรรยาหย่าร้างกันมากถึง 118,539 คู่ เพิ่มจากร้อยละ 27 ใน 2549 เป็นร้อยละ39 ในปี 2559 เร่งป้องกันความเสื่อมสัมพันธ์ เน้นให้คู่สามีภรรยายึดหลักร่วมกันสร้างกฎเหล็กในครอบครัว 5 ข้อต้องทำ 8คำห้ามใช้

นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า มีความเป็นห่วงสถาบันครอบครัว ซึ่งเป็นสถาบันพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาคุณภาพประชากรเพื่อสร้างอนาคตประเทศ จากสถิติประชากรไทยของกระทรวงมหาดไทย

ล่าสุดในปี 2559 พบว่าประเทศไทยมีจำนวนครอบครัวทั้งหมด 25 ล้านกว่าครัวเรือน แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้ขนาดครอบครัวต่างจากอดีตที่เป็นครอบครัวขยายมีพ่อแม่ลูก ปูย่า พี่น้องอยู่รวมกันลดลง จำนวนครอบครัวเดี่ยวที่อยู่กันเฉพาะพ่อแม่ลูกมีมากขึ้น ทำให้ครอบครัวคนไทยยุคใหม่มีความเปราะบางขึ้นและน่าเป็นห่วงต่อปัญหาการหย่าร้างและแยกทางกัน ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพจิตของลูกตามมาด้วย ข้อมูลกระทรวงมหาดไทยระบุว่าในปี 2559 มีคนไทยจดทะเบียนสมรสรวม 307,746 คู่ และมีผู้จดทะเบียนหย่าจำนวน 118,539 คู่  โดยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา อัตราการหย่าร้างมีแนวโน้มสูงขึ้นจากร้อยละ 27 ในปี 2549 เพิ่มเป็นร้อยละ 39 ในปี 2559

ปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุของการหย่าร้างประการหนึ่งคือ การได้รับแรงกดดันจากภายนอกเช่น ความเครียดจากการทำงาน สภาวะทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งส่งผลกระทบต่อสัมพันธภาพภายในครอบครัว  โดยเฉพาะในคู่สามีภรรยาการสื่อสารเชิงบวกถือว่าเป็นกุญแจสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา  เพราะการใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมหรือที่เรียกว่าฟังแล้วปรี๊ดหู มีผลบั่นทอนจิตใจและความรู้สึก อาจทำให้เรื่องเล็กๆกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้ความสัมพันธ์เปราะบางและแตกหักลงในที่สุดอธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว

อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวต่อไปว่า กรมสุขภาพจิตมีคำแนะนำสำหรับการใช้ชีวิตคู่ เพื่อสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและมีความสุขให้ยึดหลักการร่วมกันสร้างกฎเหล็กในครอบครัวคือ 5 ข้อที่ต้องทำ 8 คำห้ามใช้ โดย



5 ข้อที่ต้องทำได้แก่

1. ร่วมกันสร้างกฎของครอบครัวที่ทุกคนยอมรับและปฏิบัติได้ 

2. เมื่อมีปัญหาต้องร่วมมือร่วมใจกันแก้ไข อย่าคิดว่าเป็นปัญหาของคนใดคนหนึ่ง 

3. โต้เถียงกันได้ เป็นเรื่องธรรมดาของครอบครัว แต่ต้องไม่ตะคอกข่มขู่หรือยั่วโมโหอีกฝ่าย  

4. เมื่อต่างฝ่ายต่างรู้ตัวว่าเริ่มมีความโกรธเพิ่มขึ้น ให้เตือนสติตนเอง หยุดพูด เมื่อมีความพร้อมจึงกลับมาพูดกันใหม่และ 

5.เมื่อพร้อมที่จะแก้ปัญหา ควรหันหน้ามาร่วมกันปรึกษาหาทางแก้ไข และประการสำคัญต้องไม่ดูถูกความคิดของอีกฝ่าย

 สำหรับ 8 คำพูดที่ห้ามใช้ในครอบครัว มีดังนี้

1. คำสั่งเผด็จการ เช่น เงียบไปเลย”“ทำอย่างนี้สิ

2.คำพูดที่ประชดประชัน เปรียบเทียบ หรือพูดถึงปมด้อย เช่น ก็เป็นซะแบบนี้ ถึงได้ดักดานอยู่แค่นี้”“ถ้าฉันแต่งงานกับแฟนเก่า ป่านนี้คงสบายไปแล้ว

3. คำพูดท้าทาย เช่น ถ้าแน่จริงก็เก็บของออกไปเลยหรือ พูดแบบนี้ก็เลิกกันไปเลยดีกว่า  

4. คำพูดเอาชนะกัน เช่น ที่มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะแกนั่นแหละหรือ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของฉัน

5. คำพูดที่ขุดคุ้ยเรื่องเก่ามาพูดซ้ำ เช่น บอกกี่ทีๆก็ไม่เชื่อ ครั้งที่แล้วก็แบบนี้” “อยู่กินกันมา 10 ปีไม่เห็นเธอทำอะไรสำเร็จสักอย่าง 

6. คำพูดเชิงกล่าวหา กล่าวโทษ เช่น อย่ามาอ้างว่าติดประชุม ติดเด็กน่ะสิ 

7. คำพูดหยาบคาย 

8. คำพูดล่วงเกิน เช่นพูดดูถูกเหยียดหยามบุพการีญาติพี่น้องของอีกฝ่าย   ซึ่งคำพูดที่กล่าวมานี้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดและการกระทำ ก่อให้ความรู้สึกด้านลบ เช่น โกรธ ขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจทั้ง 2 ฝ่าย

สมการของการใช้ชีวิตคู่ที่สำคัญคือ การรับฟังกันมากขึ้น บวกกับการพูดคุยกันมากขึ้น จะได้ผลเท่ากับความเข้าใจ และรักกันมากขึ้น อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว

ในระดับโลกก็มีอัตราการหย่าร้างสูง ในประเทศที่ยิ่งเจริญเท่าไหร่ อัตราการหย่าร้างก็จะสูงตาม

The 20 places where divorce is most common

1Maldives - 10.97 per year per 1,000 inhabitants

2Russia - 4.5

3Aruba - 4.4

4Belarus - 4.1

5United States - 3.6

6Lithuania - 3.2

7Gibraltar - 3

8Moldova - 3

9Denmark - 2.9

10Cuba - 2.9

11Ukraine - 2.8

12Hong Kong - 2.76

13Latvia - 2.6

14Jordan - 2.6

15Estonia - 2.6

16Finland - 2.5

17San Marino - 2.5

18Czech Republic - 2.5

19Costa Rica - 2.5

20Sweden - 2.5

Credit : Telegraph.co.UK