วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2557

การตลาดแบบ ป็อปคอร์น ร้อนๆ คั่วสดจากเตาทุกวัน ลองชิมดูมั๊ยค่ะ/ครับ

ไม่น่าเชื่อว่า สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า “ป็อปคอร์น” จะกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ในสังคมไทยมากในช่วงปลายปีที่แล้วต่อต้นปีที่ผ่านมา เริ่มจากประเด็นลูกค้าใจร้อนขอเรียกร้องสิทธิความเป็นธรรมจากผจก.โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง(เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์) จนกลายเป็นการวิวาทะ ทะเลาะเบาะแว้ง จนเป็นที่มาของคลิปแฉพฤติกรรมของลูกค้ากับ ผจก.โรงหนังว่อนเน็ต,โซเชียลมีเดีย และต่อยอดไปสู่ผลการวิจัยธุรกิจโรงภาพยนตร์ที่พบว่ารายได้หลักของโรงหนังไม่ได้มาจากกำไรจากค่าตั๋วหนังซักเท่าไร แต่ผลกำไรหลักมาจากผลกำไรจากป็อปคอร์นและเครื่องดื่มที่ขายหน้าโรงหนัง พวกคอมโบ้เซ็ตนั้นราคาขายแพงพอๆ กับราคาตั๋วหนังหรือมากกว่า และผลกำไรนั้นปาเข้าไป 80-90%กันเลยทีเดียว โดยที่ลูกค้าเองก็ยินดีจะจ่าย และไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรมากนัก สำหรับลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงอยู่แล้ว ป็อปคอร์นกลายมาเป็นกระแสพูดถึงอีกครั้ง เมื่อกลายมาเป็นสัญลักษณ์หรือรูปแบบการต่อสู้กันทางการเมือง ครั้นเมื่อเหตุการณ์การปะทะกันของมวลชน กปปส.กับกลุ่มชายฉกรรจ์ที่เป็นมวลชนของนายโกตี๋ ที่เป็นฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลปู ยิ่งลักษณ์ และกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ถูกสังคมตั้งข้อสังเกตว่าเป็นกลุ่มที่เข้ามาช่วยเหลือมวลชนของ กปปส.นั้นใส่ชุดคลุมหน้าไอ้โม่ง ถือถุงป็อปคอร์น เพื่อปกปิดอาวุธปืน อันเป็นที่มาของคำว่า “นักรบป็อปคอร์น” ที่กลายมาเป็นกองกำลังพิทักษ์ กปปส.กลุ่มของหลวงปู่พุทธอิสระ หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตาม ฯลฯ แต่กระแสการตลาดที่กลับมาตอกย้ำสินค้าป็อปคัลเจอร์ชนิดนี้ให้โด่งดังขึ้นไปอีก คือ การเปิดตัวแฟรนส์ไชส์ต้นตำรับ “การ์เร็ต ป็อปคอร์น” จากอเมริกา ซึ่งมาเปิดตัวในไทยเป็นครั้งแรก และยิ่งตอกย้ำกระตุ้นดีมานด์ ความอยากบริโภคป็อปคอร์นขึ้นไปอีกกับป็อปคอร์นแบรนด์ไทยสัญชาติไทย ชื่อว่า “ต็อบคอร์น” ของเถ้าแก่น้อย ที่แตกไลน์ต่อยอดมาจากขนมสาหร่ายทอด อันโด่งดังและประสบความสำเร็จมาแล้ว วันนี้เราจึงอยากมาสำรวจสมรภูมิของร้านป็อปคอร์น ซึ่งเป็นตลาดพรีเมี่ยม และไฮพรีเมี่ยมของไทยว่ามีเจ้าใดกันบ้าง






มูลค่าการตลาดของผลิตภัณฑ์ป็อปคอร์นในตลาดพรีเมี่ยมนั้น ปัจจุบันตลาดป๊อปคอร์นในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ ตลาดป๊อปคอร์นสำเร็จรูปบรรจุซองมีมูลค่าประมาณ 300-400 ล้านบาท , ตลาดป๊อปคอร์นหน้าโรงภาพยนตร์มีมูลค่าตลาดกว่า 1,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 600-700 ล้านบาทเป็นตลาดป๊อปคอร์นคั่วสดพรีเมี่ยม

เริ่มจาก ป็อปคอร์น ของเจ้าตลาดเดิม ก็คือบรรดาร้านป็อปคอร์นตรงเคาน์เตอร์เอ้าท์เล็ตของโรงภาพยนตร์เครือใหญ่ๆ นั่นแหละ ได้แก่ เมเจอรซีเนเพล็กซ์ เอสเอฟ ฮอลลีวู้ด และอื่นๆ สนนราคาโดยประมาณของเครือเมเจอร์เป็นดังนี้

Popcorn M : 90 บาท    ,     Popcorn L :120 บาท       , น้ำอัดลม : 75 บาท



Garrett Popcorn สัญชาติอเมริกัน เปิดตัวใหญ่ครั้งแรกในไทย ที่สยามพาราก้อน เมื่อต้นปี จุดเด่นอยู่ที่ความโดดเด่นของการเป็นป็อปคอร์นระดับพรีเมียม ที่ตีคู่แข่งเสียกระเจิดกระเจิงด้วยรสชาติใหม่หลากหลาย และคุณภาพที่คัดสรรมาอย่างดีจนลงตัว โดยได้รับการการันตีว่า “ไม่ว่าคุณจะกินป็อปคอร์นจาก การ์เร็ตป็อปคอร์น จากที่สาขาไหนในโลก รสชาติจะเหมือนกันทุกที่ทั่วโลก” คั่วสดจากเครื่องคั่วที่ทันสมัยที่สุด การไปเปิดตลาดในแต่ละประเทศ การ์เร็ตจะมองถึงทำเลที่ตั้งเป็นสำคัญ โดยจะเลือกโลเคชั่นที่ดีที่สุดของเมืองนั้น เพื่อเป็นการการันตีว่าจะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากที่สุด ลูกค้าเดินทางมาได้สะดวกที่สุด เพื่อให้ทางร้านค้าสามารถให้บริการลูกค้าได้ตามเป้าหมาย โดยเป้าหมายไม่ใช่เรื่องตัวเลขยอดขาย แต่เป็นการบริการลูกค้าให้ได้กว่า 6,000 คนต่อสัปดาห์ ซึ่งปัจจุบันการ์เร็ต มีสาขาแล้วกว่า 40 สาขาใน 10 ประเทศทั่วโลก โดยสาขาที่ทำรายได้ดีที่สุด คือ ชิคาโก ประเทศอเมริกา เป็นต้น รองลงมาคือ ชิบูย่า ที่ประเทศญี่ปุ่น และมาลุ้นกันว่าประเทศไทยจะเป็นอันดับที่สามหรือไม่ ด้วยความที่เป็นแบรนด์เก่าแก่ และผู้บริโภคชาวไทยบางส่วนรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่ก่อนแล้ว ทำให้การทำตลาดในเมืองไทยไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก เพียงแค่แปะป้ายให้รู้ว่า การ์เร็ตจะ coming soon ก็มีสาวกที่ตั้งหน้าตั้งตารออยู่เป็นจำนวนมาก แม้ว่าสนนราคาจะแพงกว่าป็อปคอร์นโดยทั่วไป คือจะอยู่ราว 99-2,300 บาท แต่เมื่อดูแถวเข้าคิวของลูกค้า ก็เชื่อมั่นได้ว่า จะประสบความสำเร็จเดินตามรอยของโรตีบอยและคริสปี้ครีมได้ไม่ยาก แต่จะยืนระยะอยู่ได้อย่างยาวนาน ครองใจผู้บริโภคคนไทยได้นานแค่ไหน กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ เฉกเช่นแฟรนส์ไชส์ขนมชนิดอื่นๆ

Tob Corn : น้องใหม่มาแรง สายพันธุ์ไทย มีแบ็คดีคือเถ้าแก่น้อย ราคาสบายกระเป๋า เปิดตัวไปแล้วสาขาแรกที่ศูนย์การเทอร์มินัล 21 เปิดตัวบนพื้นที่กว่า 30 ตารางเมตรในอาณาเขตเถ้าแก่น้อยแลนด์ ถือเป็นการทดสอบตลาดใหม่ด้วยแนวคิด “Popcorn Beyond Imagination by Tob” รสชาดสร้างสรรค์แปลกใหม่เหนือจินตนาการ ด้วยการชูจุดเด่นเน้นการตกแต่งแบบครัวเปิด เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นกรรมวิธีการทำไปพร้อมๆ กับการได้สัมผัสกลิ่นหอมของป็อปคอร์นที่คั่วสดใหม่ด้วยเครื่องคั่วที่ได้มาตรฐาน ส่งตรงจากอเมริกา มาถึงการต่อสู้ด้านรสชาติ ที่ร้านต็อบคอร์น มีรสชาติให้ลูกค้าได้เลือกทั้งหมด 6 รส ทั้งรูปแบบตะวันออกและตะวันตก ได้แก่ รสโนริ เทริยากิ, สูตรออริจินัลในแบบจแปนนิสสไตล์ ,คริสปี้ โคโคนัทสูตร East meet West, ปารีส คาราเมล ,คาราเมล อัลมอนด์ ,คาราเมล แมคคาเดเมีย และสตรอเบอร์รี่ มีขนาดให้เลือก 3 ขนาด คือ เล็ก กลาง ใหญ่ ระดับราคาเบาๆ อยู่ที่ เริ่มต้น 59-299 บาทเท่านั้น และในอนาคตอาจมีการพัฒนารสชาติใหม่ๆ เพื่อสนองความต้องการคนไทยโดยเฉพาะ อาทิ รสข้าวเหนียวทุเรียน, รสต้มยำกุ้ง ,รสน้ำปลาหวาน ฯลฯ ในช่วงเปิดตลาด ผู้บริโภคคนไทยอาจจะยังไม่ค่อยมั่นใจในแบรนด์นัก จึงมีการทำตลาดแบบ มีการแจกให้ลูกค้าได้ทดลองชิมฟรี เพื่อให้ลูกค้าได้รู้จักและสัมผัสถึงรสชาติ ความแปลกใหม่ และคุณภาพที่ไม่เป็นสองรองใคร ในสนนราคาที่ตอบโจทย์คนไทยได้สบายกระเป๋ากว่า โดยมีการตั้งเป้าเปิดสาขาในเฟสแรก จำนวน 6 สาขา รวมยอดขายอยู่ที่ 50 ล้านบาทในปีแรก และตั้งเป้ายอดขายให้ถึง 1,000 ล้านบาท เมื่อเปิดสาขาจนครบ 100 สาขาในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งร้าน Tob Corn ชิงเปิดตัวก่อนร้านของ Garrett Popcorn เพียง 6 วัน เพื่อสร้างการรับรู้ในหมู่ผู้บริโภคคนไทย ก่อนที่กระแสของ Garrett Popcorn จะมาแรงกลบกระแสของ Top Corn เสียก่อน

นอกจากนี้การมาของป็อปคอร์น 2 เจ้าใหญ่ ทั้งเทศและไทย ยังผลให้เจ้าตลาดเดิมอย่าง TORO ต้องชิงปล่อยสปอตโฆษณา เพื่อย้ำเตือนให้ตลาดได้รับทราบว่า ตนเองยังอยู่ ไม่ได้ไปไหน หาซื้อง่าย ไม่ต้องต่อคิว ราคาห่อใหญ่เพียง 20 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ตลาดนิชมาร์เก็ตอย่าง ร้านชานมที่ชื่อว่า Tea Story ก็เกาะกระแสนี้ด้วยเช่นกัน ด้วยการออกป็อปคอร์นเป็นของตนเอง ในแพ็กเก็จน่ารักซึ่งมาพร้อมกัน 3 รส ได้แก่ มะม่วงหิมพานต์ (Milk Conflake) ,อัลมอนต์ (Milk & Honey Pop) และคาราเมล (Caramel) ในสนนราคาถุงละ 130-230 บาทเท่านั้น เรียกว่าการมาของ 2 เจ้าใหญ่พลอยกระตุ้นให้ตลาดคึกคักกันทั้งระบบ ไม่เว้นแม้แต่ ป็อปคอร์นแฮนด์เมดที่ขายกันตามท้องตลาดโดยทั่วไปก็พลอยขายดีกันไปตามๆ กัน อย่างเทน้ำเทท่าไปด้วยในตัว

การ์เร็ต ป๊อปคอร์น VS ต๊อบคอร์น   (บทความวิเคราะห์แผนการตลาด จากเว็บไซต์ของ Voice TV)

Voice Market พาชมบรรยากาศช็อปแห่งแรกของไทยของ Garrett Popcorn ที่ชั้น G สยามพารากอน

ในช่วงเช้าคนมาต่อแถวบางตา แต่มาคึกคักในช่วงเที่ยง โดยคนที่มาต่อแถวนั้น เพื่อ"ซื้อ" ไม่ใช่การต่อแถวเพื่อรับแคมเปญการตลาดเพื่อ "แจก" เหมือนอย่างที่ขนมจากต่างประเทศเคยใช้ โดยตัวแทนของการ์เร็ต ป๊อปคอร์น "สุชาติ เจียรานุสสติ" กรรมการผู้จัดการผู้มีอำนาจ บริษัท คาราเมล คริสป์ จำกัด มั่นใจว่า Garrett Popcorn จะเป็นป๊อปคอร์นที่ครองใจคนไทยเช่นเดียวกับทั่วโลกและจะไม่ใช่เพียงแค่กระแส "ฮิต" ชั่วคราวที่พุ่งสูงขึ้นและหายไปแน่นอน การ์เร็ต ป๊อปคอร์น เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1949 หรือ พ.ศ. 2492 ผ่านมาถึงวันนี้ มีอายุ 65 ปีแล้ว แต่เป็นกระแสดังจริงจัง เมื่อช่วง 1- 2 ปีที่ผ่านมา

การ์เร็ต ป๊อปคอร์น เปิด 40 แห่งทั่วโลก ได้แก่ เมืองชิคาโก้ และ ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ,ดูไบ ฮ่องกง ญี่ปุ่น คูเวต มาเลเซีย อังกฤษ สิงคโปร์ และในปี 2557 จะเปิดตัวเพิ่มเติมที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บราซิล และ เกาหลีใต้ โดยช็อป ที่พารากอนของไทย เป็นช็อปที่ 40 รสยอดนิยม คือ ชิคาโก้ มิกซ์ เพราะเป็นการรวมเอารสคาราเมล คริสป์ และ รถชีส เข้าด้วยกันในกล่องเดียว ป๊อปคอร์นแต่ละถุง คั่วใหม่ในหม้อทองแดงด้วยมือ ทุกวัน ใช้วัตถุดิบคุณภาพดี 7 อย่าง ไม่ใส่สารกันเสีย

"ต๊อบคอร์น" ป๊อปคอร์นแนวใหม่ คั่วสดวันต่อวันแบบพรีเมียม สาขาแรกตั้งอยู่ที่ศูนย์การค้าเทอร์มินัล 21 อโศก โดย "ต๊อบคอร์น" มีจุดเด่นที่รสชาติหลากหลาย มีให้เลือก 6 รสชาติ ทั้งในรูปแบบตะวันออกและตะวันตก ได้แก่ โนริ เทริยากิ ป๊อปคอร์นสูตรออริจินัล ในแบบแจแปนนิสสไตล์ , คริสปี้ โคโคนัท ป๊อปคอร์นสูตร East meet West , ปารีส คาราเมล , คาราเมล อัลมอนด์ , คาราเมล แมคคาเดเมีย และสตรอว์เบอร์รี่ โดยวางจำหน่ายในขนาด เล็ก (S) , กลาง (M) , ใหญ่ (L) ราคาเริ่มต้น 59 บาทขึ้นไป ตลาดรวมป๊อปคอร์นในไทย มีมูลค่า 300-400 ล้านบาทต่อปี ตลาดป๊อปคอร์น บริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ มีมูลค่าตลาดกว่า 1,000 ล้านบาท และตลาดป๊อปคอร์นคั่วสดพรีเมียม มีการสาธิตให้เห็นกรรมวิธีการทำ ใช้เครื่องคั่วป๊อปคอร์นที่นำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา สัมผัสกลิ่นหอมของป๊อปคอร์นที่คั่วสดๆ ทุกวัน ร้านต๊อบคอร์น ตั้งเป้าที่จะมีร้านต๊อบคอร์น รวมทั้งสิ้น 6 แห่ง และมีแผนขยายเพิ่มขึ้นเป็น 100 แห่งภายใน 5 ปี ขยายช่องทางการจำหน่ายไปแถบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี มีแผนขยายช่องทางจำหน่ายไปยังร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ภายในไตรมาส 3 รวมทั้งพัฒนารสชาติใหม่ๆ ในสไตล์ไทยๆ อาทิ ข้าวเหนียวทุเรียน , ต้มยำกุ้ง , น้ำปลาหวาน เป็นต้น

อ้างอิงที่มา :  (เว็บไซต์ Voice TV 29 มกราคม 2014)

หลายปัจจัยรุมเร้า “เถ้าแก่น้อย” เลื่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ พับแผนการทำตลาดนักท่องเที่ยวจีน เตรียมรุกธุรกิจใหม่“ต๊อบคอร์น” กางแผน 10 ปี ปั้น “เถ้าแก่น้อย” เป็นโกลบอลแบรนด์ทำตลาด 100 ประเทศ

นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์และปัจจัยหลายด้านในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ทางบริษัทต้องเลื่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ออกไปก่อน จากแผนเดิมที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนในปีที่แล้ว ขณะเดียวกันที่ผ่านมาสินค้าของทางบริษัทก็ได้รับความนิยมจากชาวจีนเป็นอย่างมาก แต่ด้วยสถานการณ์ในขณะนี้ทำให้ต้องพักแผนที่จะทำตลาดกับนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในประเทศไทยออกไปก่อนอีกด้วย

ล่าสุด ได้เปิดธุรกิจใหม่ข้าวโพดคั่วสดพรีเมียมภายใต้ชื่อ “ต๊อบคอร์น” ซึ่งจะประกอบไปด้วย 2 โมเดล คือ 1.เป็นแบบคั่วสดหน้าร้าน 2.จำหน่ายเป็นแพ็กสำเร็จรูปในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งที่ผ่านมาตลาดป๊อบคอร์นในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณปีละ 300 ล้านบาท (ไม่รวมป๊อบคอร์นโรงภาพยนตร์) มีอัตราการเติบโต 30-40% นับได้ว่าสูงกว่าสแน็กกลุ่มอื่น จากปัจจุบันตลาดขนมมีมูลค่าอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท โดยในปี 2556 มีอัตราการเติบโตอยู่เพียง 3-4% นับได้ว่าน้อยสุดในรอบ 10 ปี ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับรายได้ของบริษัท แต่ในปีนี้ยังคงมั่นใจว่าภาพรวมตลาดจะโตได้ถึง 2 หลัก

“สำหรับในปีแรกได้ตั้งเป้ารายได้ของ “ต๊อบคอร์น” อยู่ที่ 100 ล้านบาท และส่วนแบ่งทางการตลาดสิ้นปีจะอยู่ที่ 15% พร้อมกับการขยายสาขาให้ได้อย่างน้อย 6 สาขา และอีก 5 ปีจะเปิดให้ได้ 100 สาขา ทั้งในประเทศและในประเทศแถบกลุ่มอาเซียน โดยในขณะนั้นจะมีรายได้ที่มาจากการขยายธุรกิจ “ต๊อบคอร์น” อยู่ที่ 1,000 ล้านบาท” นายอิทธิพัทธ์ กล่าว

พร้อมกันนี้ยังได้วางแผน 10 ปีนับจากปี พ.ศ.2557 เป็นต้นไป ต้องการให้เถ้าแก่น้อยเป็นโกลบอลแบรนด์ ซึ่งในตอนนั้นจะมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท จากตอนนี้มีอยู่ 27 ประเทศ และในปีนี้รายได้รวมของบริษัทตั้งเป้าอยู่ที่ 3,250 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมีความสนใจที่จะไปเปิดโรงงานในอินโดนีเซีย จีน พม่า นับจากนี้ไม่เกิน 3 ปี.

วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557

โลก 360 องศา - (เรือเฟอร์รี่ล่มที่เกาหลีใต้,ไฟไหม้ป่าที่ชิลี,กลุ่มฝักใฝ่รัสเซียบุกยึดอาคาร,ผลสำรวจคนมาเลย์ไม่เชื่อรัฐบาล,ระเบิดสถานีรถบัสที่ไนจีเรีย)

นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ ประกาศลาออกจากตำแหน่งแล้ว เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการรับมือของรัฐบาล กรณีเรือเฟอร์รี่เซวอลล่ม นายกรัฐมนตรี ชอง ฮงวอน ประกาศลาออก เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ผ่านสถานีโทรทัศน์ทั่วประเทศ โดยระบุว่าในนามของรัฐบาลเกาหลีใต้ ขอแสดงความรับผิดชอบต่อการรับมือของรัฐบาลกรณีเรือเฟอร์รี่เซวอลล่ม เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา ที่ตอนนี้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 187 คน และอีก 115 คน ยังคงสูญหาย นายชอง กล่าวว่าในฐานะนายกรัฐมนตรี ขอรับผิดชอบทุกอย่าง และเชื่อว่าการตัดสินใจลาออกแสดงถึงการขอโทษต่อครอบครัวเหยื่อผู้เสียชีวิต ซึ่งนายกรัฐมนตรีชอง แถลงด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า ทั้งนี้นับตั้งแต่ที่เกิดเหตุเรือเฟอร์รี่ล่ม รัฐบาลเกาหลีใต้ ถูกวิพากาษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าไม่มีประสิทธิภาพการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การช่วยเหลือเป็นไปอย่างล่าช้า อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีปาร์ค กึนเฮ ตัดสินใจว่าจะรับการลาออกของนายกรัฐมนตรีหรือไม่ สำหรับปฏิบัติการกู้ภัยและค้นหาในวันนี้ ปัญหาสภาพอากาศยังคงเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่กู้ภัย ซึ่งในวันนี้ มีฝนตกหนักและลมแรง ขณะที่กระแสน้ำรุนแรงมากกว่าวันอื่นๆที่ผ่านมา ส่วนการค้นหาในวันนี้จะอยู่ที่ชั้น 4 นักประดาน้ำจะขยายการค้นหาไปยังด้านซ้ายของเรือ ซึ่งเป็นด้านที่จมอยู่ใต้ท้องทะเล สภาพอากาศที่เลวร้ายในวันนี้ ทำให้ไม่สามารถใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า "ไดเวอร์ เบลล์" หรือระฆังดำน้ำได้ โดยอุปกรณ์ดังกล่าวจะช่วยให้นักประดาน้ำหายใจได้นานขึ้น และจะทำงานได้รวดเร็วมากขึ้น รายงานระบุว่า การค้นหาอยู่ลึกลงไปกว่า 40 เมตร ซึ่งแรงดันน้ำจะมีมากขึ้น ทำให้การทำงานใต้นำของนักประดาน้ำสั้นลง เจ้าหน้าที่ยังเกรงว่ากระแสน้ำที่ไหลเร็วถึง 2 เมตรต่อวินาที ในวันนี้ จะทำให้ศพลอยออกไปจากจุดเกิดเหตุ ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องขยายพื้นที่การค้นหาออกไป 60 กิโลเมตร และ เพิ่มจำนวนเรือค้นหามากขึ้นด้วย ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมาที่นักประดาน้ำพบศพเด็กนักเรียนหญิง 48 คนในห้องโดยสารเพียงห้องเดียว ที่สามารถรองรับคนได้เพียง 30 คน และ สร้างความสะเทือนใจให้กับนักประดาน้ำ เนื่องจากสภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้โดยสารจำนวนมากพากันหนีตายเข้าไปอยู่ในห้องเดียวกัน เพื่อหนีไปจากพื้นที่ในเรือที่กำลังจมน้ำ และ นักประดาน้ำหลายคนเชื่อว่า จะต้องเผชิญกับสภาพที่น่าหดหู่เช่นนั้นอีกในจุดอื่นๆของเรือ ส่วนความคืบหน้าการสอบสวน ตอนนี้มีลูกเรือทั้งหมด 15 คน รวมกัปตันด้วย ถูกดำเนินคดีในข้อหาประมาท และ เมื่อวานนี้ อัยการได้เดินทางเข้าไปในศูนย์ควบคุมการจราจรทางทะเล บนเกาะจินโด และ ได้ควบคุมตัวเจ้าหน้าที่ต้องสงสัยที่เชื่อว่า ปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างที่เกิดเหตุ และถูกวิพากษ์วิจารณ์ก่อนหน้านี้ว่า ละเลย ไม่ได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คาดว่าจะถูกสอบสวนว่าทำไมเจ้าหน้าที่ดังกล่าวไม่ตรวจสอบพื้นที่ที่พวกเขารับผิดชอบ ทั้งนี้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมากระทรวงมหาสมุทรและการประมงของเกาหลีใต้ยังได้ประกาศด้วยว่า จะร้องขอให้สภาเกาหลีใต้พิจารณาผ่านร่างกฏหมายห้ามการดัดแปลงเรือเพื่อเพิ่มจำนวนผู้โดยสารและเมื่อวานนี้ยังได้ วางแผนที่จะกำหนดให้เรือโดยสารในประเทศติดตั้งกล่องดำเพื่อบันทึกข้อมูลการเดินเรือภายในสิ้นปีนี้  ก่อนหน้านี้มีการประกอบพิธีศพผู้เสียชีวิตหลายคนพร้อมๆกัน ท่ามกลางญาติผู้เสียชีวิตที่เศร้าโศก บ้างก็ยังคงต่อว่าและแสดงความไม่พอใจต่อเจ้าหน้าที่ รัฐบาลและหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบ รวมถึงมีการตะโกนโห่ ขับไล่รัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี ที่เดินทางมาดูเหตุการณ์ ญาติของเหยื่อผู้เสียชีวิตไม่พอใจทางการที่ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเรือเซวอลล่มอย่างล่าช้า ยอดผู้เสียชีวิตเรือเซวอลอับปางในเกาหลีใต้ พุ่งพรวด เป็น 150 รายแล้ว ทีมนักประดาน้ำเน้นค้นหาชั้น 3 และ 4 ของเรือ ขณะที่อัยการโสมขาวกำลังพิจารณาตั้งข้อหากัปตันเรือเฟอร์รี่มรณะหนักกว่าเดิม เป็นก่อฆาตกรรม...เมื่อ 23 เม.ย. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าการค้นหาผู้สูญหายเรือเฟอร์รี่ “เซวอล” อับปางกลางทะเล ขณะมุ่งหน้าไปยังเกาะเชจู ทางภาคใต้ว่า ปฏิบัติการค้นหายังคงดำเนินต่อไป โดยทีมนักประดาน้ำกำลังเน้นค้นหาผู้สูญหายในชั้น 3 และชั้น 4 ของเรือ ที่มีทั้งหมด 5 ชั้น ขณะที่ช่วงเช้าวันนี้ พบผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 11 ศพ ทำให้ยอดผู้เสียชีวิต พุ่งเป็น 150 รายแล้ว (ตัวเลขยังไม่นิ่ง) ยังสูญหายอีกประมาณ 150 ราย และตัวเลขผู้โดยสารที่ได้รับความช่วยเหลือยังคงเป็น 174 ราย สองสาวเกาหลีใต้ยืนดูรายชื่อผู้สูญหาย ด้านอัยการแดนโสมขาวเปิดเผยเกี่ยวกับการดำเนินคดีกัปตันและลูกเรือเซวอล รวม 7 คนที่ถูกควบคุมตัวแล้ว ว่า ทางอัยการกำลังพิจารณาที่จะตั้งข้อหานายลี จูน ซอก กัปตันเรือวัย 69 ปี ทำผิดในข้อหาก่อฆาตกรรม ซึ่งเป็นข้อหาหนักกว่าเดิม หลังนายลี และผู้ช่วยกัปตันอีก 2 คนถูกออกหมายจับและโดนตั้งข้อหาเมื่อสัปดาห์ก่อน เบื้องต้น นายลี กัปตันเรือเซวอล ถูกตั้งข้อหา 5 กระทง รวมถึง ละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่ และละเมิดกฎการเดินเรือ เนื่องจากพบว่าเขาไม่ได้เป็นผู้ขับเรือในขณะเรือประสบเหตุ อีกทัั้งตัดสินใจล่าช้าที่จะอพยพผู้โดยสารออกจากเรือที่กำลังอับปาง มิหนำซ้ำ เขาและลูกเรืออีกหลายคนยังเป็นผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือขึ้นจากเรือจนปลอดภัยเริ่มปฏิบัติการค้นหาผู้สูญหายตั้งแต่เช้า โดยเจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า ห้องอาหารบนชั้น 3 ของตัวเรือเป็นหนึ่งในหลายพื้นที่ที่มีผู้โดยสารจำนวนมากติดค้างอยู่ภายในนั้น และยังพบว่ามีร่างของผู้โดยสารติดอยู่ในเลานจ์ และบริเวณร้านค้าของบนตัวเรืออีกจำนวนหนึ่งด้วย ทั้งนี้ นักประดาน้ำผู้ค้นหาร่างผู้โดยสารในเรือลำดังกล่าว ระบุว่าหมดโอกาสที่จะพบผู้รอดชีวิตแล้ว เนื่องจากภายในเรือไม่มีอากาศ แต่ภารกิจการค้นหาก็ยังคงดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าได้พบร่างเด็กชาย 6 ขวบ ที่เสียสละเสื้อชูชีพของตนเองให้แก่น้องสาว ซึ่งทำให้น้องสาวของเขารอดชีวิตมาได้ แต่น้องสาวก็เสียชีวิตลงภายหลังโดยร่างเด็กชายอยู่ห่างจากจุดเรือจมประมาณ 120 เมตร


สถานการณ์ไฟไหม้ป่าครั้งใหญ่ในชิลียังวิกฤติ... คร่าชีวิตผู้เคราะห์ร้ายแล้วถึง 16 ศพ บ้านโดนเผาวอดกว่า 500 หลัง ทางการระดมเจ้าหน้าที่ดับเพลิงกว่า 1,200 นายเร่งควบคุมเพลิงไม่ให้ลุกลามไปมากกว่านี้...สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าเหตุการณ์ไฟไหม้ป่ารุนแรงครั้งใหญ่ ที่เมืองวัลปาไรโซ ของชิลี และประธานาธิบดีมิเชล บาเชเลต ผู้นำของประเทศได้ประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบหายนภัย ซึ่งเป็นการอนุญาตให้ทหารเข้ามาช่วยควบคุมสถานการณ์แล้วว่า เมื่อ 14 เม.ย. สถานการณ์ไฟไหม้ป่ายังคงรุนแรงและน่ากลัวมาก โดยทางการชิลีได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ดับเพลิงกว่า 1,200 นาย รวมทั้งได้ใช้เครื่องบินถึง 17 ลำ ช่วยกันเร่งฉีดน้ำเพื่อพยายามดับไฟและควบคุมเพลิงไม่ให้ลุกลามเข้าไปในเขตที่อยู่อาศัยของประชาชนมากกว่านี้ หลังเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 16 ศพ และเผาผลาญบ้านเรือนวอดวายไปแล้วกว่า 500 หลัง อีกทั้งยังต้องเร่งอพยพผู้คนมากขึ้น เนื่องจากมีบ้านเรือนหลายพันหลังกำลังเสี่ยงที่จะถูกไฟไหม้ ตามรายงานของสำนักงานป้องกันภัยพิบัติฉุกเฉินของชิลี แจ้งว่า อิทธิพลของกระแสลมแรงจากมหาสมุทรแปซิฟิกยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ให้ไฟลุกไหม้กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างเกือบ 5,000 ไร่แล้ว อีกทั้งไฟยังโหมลุกลามเข้าไปในเขตที่อยู่อาศัยมากขึ้น จนถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของชิลี จำต้องทิ้งบ้าน อพยพหนีไฟที่กำลังลุกลามมาถึง สำหรับผู้ประสบภัยที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าที่เมืองวัลปาไรโซ ซึ่งเป็นเมืองท่าริมมหาสมุทรแปซิฟิก ส่วนใหญ่เนื่องจากถูกไฟไหม้ตามร่างกาย ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในกรุงซานติเอโก เมืองหลวง ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 80 กิโลเมตร อีกทั้ง การเกิดไฟไหม้ป่าอย่างรุนแรง ทำให้ทางการต้องเร่งอพยพนักโทษที่เรือนจำในเมืองวัลปาไรโซด้วย ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันเบื้องต้นก่อนไฟจะลุกลามมาถึง

ซีเอ็นเอ็น - ผู้ประท้วงฝ่ายฝักใฝ่รัสเซียบุกยึดอาคารราชการเพิ่ม ในอีกเมืองทางภาคตะวันออกของยูเครนเมื่อวันจันทร์(14) เพิกเฉยต่อเส้นตายของรัฐบาลที่ให้ขีดเส้นให้ออกจากตึกของทางการในเมืองอื่นๆซึ่งผ่านพ้นไปแล้วและยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะที่รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศเคียฟเสียงอ่อย หวังแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจาและต้องการหลีกเลี่ยงเหตุนองเลือด แต่ก็ยืนยันพร้อมจะปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดน วิดีโอจากสถานที่ชุมนุมในเมืองฮอร์ลิฟคา ทางตะวันออกของยูเครน พบเห็นผู้ประท้วงกำลังเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่และเดินฝ่าเข้าไปยังตัวอาคารสถานีตำรวจ ซึ่งอยู่ในสภาพที่ถูกไฟเผาไหม้เล็กน้อยและกระจกแตกกระจัดกระจาย ขณะเดียวกันก็พบเห็นชายคนหนึ่งในชุดตำรวจโดนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บและถูกนำตัวขึ้นรถฉุกเฉิน ปฏิบัติการบุกยึดครั้งล่าสุดนี้ กลายเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนหนใหม่ของรัฐบาลในกรุงเคียฟ ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ผู้ชุมนุมตามเมืองอื่นๆทางภาคตะวันออก ได้เพิกเฉยต่อเส้นตายของประธานาธิบดีรักษาการ โอเล็กซานเดอร์ ตูร์ชีนอฟ ที่ยื่นคำขาดให้ออกจากตึกราชการที่บุกยึดในเวลา 14.00 น.ตามเวลาในเมืองไทย ไม่อย่างนั้นจะต้องเจอกับปฏิบัตการต่อต้านก่อการร้ายอย่างเต็มรูปแบบของกองกำลังติดอาวุธยูเครน อย่างไรก็ตามเส้นตายดังกล่าวผ่านพ้น โดยไม่พบเห็นสัญญาณว่ามันได้รับการใส่ใจจากเหล่าผู้ประท้วงทั้งในเมืองโดเนตสก์และสลาเวียนส์ก ทั้งนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆบริเวณอาคารรัฐบาลท้องถิ่นในเมืองโดเนตสก์ ซึ่งถูกบุกยึดมานานกว่า 1 สัปดาห์ ส่วนในสลาเวียนส์ก พบเห็นผู้ชุมนุมฝ่ายฝักใฝ่รัสเซีย ยังคงจัดตั้งแนวป้องกันรอบๆสถานีตำรวจที่บุกยึด เมื่อถูกถามว่าทำไมรัฐบาลยูเครนถึงยังไม่มีท่าทีจะเคลื่อนไหวขับไล่ผู้ประท้วงแม้เส้นตายผ่านพ้นไปแล้ว นายดานีโล ลุบคีฟสกี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศบอกกับผู้สื่อข่าวว่ารัฐบาลยังคงเชื่อมั่นในแนวทางการแก้ไขปัญหาทางการเมือง อย่างไรก็ตามแม้มีความประสงค์หลีกเลี่ยงเหตุนองเลือด แต่รัฐบาลก็ยังคงมีความตั้งใจปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศ ความไม่สงบระลอกล่าสุดนี้เป็นหนึ่งในหลายเหตุการณ์ซึ่งกระพือความตึงเครียดระหว่างยูเครนกับรัสเซีย โดยเคียฟกล่าวหามอสโกปลุกระดมปัญหาในพื้นที่ภาคตะวันออกของประเทศ ซึ่งประชากรส่วนใหญ่พูดภาษารัสเซีย หลังจากอดีตประธานาธิบดีวิกตอร์ ยานูโควิช ผู้ฝักใฝ่เครมลิน ถูกลุกฮือชุมนุมต่อต้านต่อกรณียกเลิกข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรปแล้วหันไปกระชับสัมพันธ์กับมอสโก ก่อนโดนโค่นอำนาจในเดือนกุมภาพันธ์ ไม่นานหลังจากรัฐบาลใหม่หันสู่ทิศทางเข้าฝักใฝ่ตะวันตก เหล่านักเคลื่อนไหวฝ่ายฝักใฝ่รัสเซียก็บุกยึกแหลมไครเมีย ในแถบทะเลดำ ก่อนดำเนินการทำประชามติผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมอสโกในเดือนมีนาคม และนับตั้งแต่นั้นเหล่าผู้ประท้วงฝักใฝ่เครมลินก็หลั่งไหลสู่ท้องถนนในหลายเมืองทางตะวันออก โดยบางแห่งก็บุกรุกและบุกยึดอาคารราชการ บางส่วนก็ถึงขั้นเรียกร้องเอกราชตามอย่างไครเมีย

เอเอฟพี – ผลสำรวจซึ่งเผยแพร่วันนี้(14) พบว่าชาวมาเลเซียเกินครึ่งเชื่อว่ารัฐบาลกำลัง “ปกปิดข้อมูลบางอย่าง” เกี่ยวกับการสูญหายของเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส เที่ยวบิน MH370 เว็บไซต์ข่าว มาเลเซียน อินไซเดอร์ อ้างผลสำรวจซึ่งพบว่า ร้อยละ 54 ของชาวมาเลเซียที่ตอบคำถามเชื่อว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ข้อมูลอย่างโปร่งใสเกี่ยวกับการหายไปของเที่ยวบิน MH370 และคนบนเครื่องอีก 239 ชีวิต โดยมีเพียงร้อยละ 26 เท่านั้นที่เชื่อว่ารัฐบาลมาเลเซียพูดความจริงทุกอย่าง ขณะที่อีกร้อยละ 20 ไม่แน่ใจ มาเลเซียน อินไซเดอร์ ได้มอบหมายโครงการสำรวจความคิดเห็นต่อสถาบันวิจัยเมอร์เดกา ซึ่งได้สอบถามความเห็นชาวมาเลเซียกว่า 1,000 คน ระหว่างวันที่ 24-30 มีนาคมที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เชื่อว่า เครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์สซึ่งนำผู้โดยสารและลูกเรือ 239 คนออกเดินทางจากัวลาลัมเปอร์ไปยังปักกิ่งเมื่อวันที่ 8 มีนาคม น่าจะพบจุดจบแล้วบริเวณมหาสมุทรอินเดียตอนใต้ และตลอด 1 เดือนเศษที่ผ่านมาทีมค้นหานานาชาติก็ยังคงติดตามหากล่องดำของโบอิ้ง 777-200 ลำนี้ ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยไขปริศนาชะตากรรมของ MH370 ได้

แนวร่วมรัฐบาล บาริซาน เนชันแนล (บีเอ็น) ซึ่งครองอำนาจปกครองมาเลเซียมาตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี 1957 กำลังเผชิญวิกฤตความเชื่อมั่นครั้งใหญ่ โดยนักวิเคราะห์ชี้ว่าตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา กลุ่มบีเอ็นได้ใช้อำนาจโดยมิชอบควบคุมการทำงานของตำรวจและศาลเพื่อปิดบังพฤติกรรมทุจริตของนักการเมือง และยังใช้เป็นเครื่องมือเอาผิดผู้ที่ต่อต้านด้วย ในวันนี้ รัฐบาลมาเลเซียยังถูกทั่วโลกโลกวิจารณ์ว่าไร้สมรรถภาพในการรับมือปัญหาเครื่องบินสูญหาย เริ่มตั้งแต่การแถลงข้อมูลที่สับสนและขัดแย้งกันเอง ตลอดจนความลังเลที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกระบวนการสืบสวน ซึ่งรัฐบาลมาเลเซียก็อ้างว่าจำเป็นต้อง “ระมัดระวังคำพูด” แต่ไม่ได้ปกปิดข้อมูลอย่างแน่นอน นอกจากชาวมาเลเซียเองแล้วครอบครัวชาวจีนที่เป็นญาติผู้โดยสาร 154 คนบนเครื่องบิน MH370 ก็เชื่อว่ามาเลเซียปิดบังความจริงอยู่เช่นกัน ผลสำรวจครั้งนี้ยังพบว่า ชาวแดนเสือเหลืองร้อยละ 51 ยัง “เชื่อมั่น” ในรัฐบาลชุดปัจจุบัน ในขณะที่ร้อยละ 45 ไม่เชื่อมั่นอีกต่อไป สถาบันวิจัยเมอร์เดกาได้เผยแพร่ผลสำรวจอีกชิ้นหนึ่งเมื่อราว 2 สัปดาห์ก่อน ซึ่งระบุว่า ชาวมาเลเซียร้อยละ 43 พอใจการรับมือปัญหาเครื่องบินสูญหายของรัฐบาล ขณะที่ร้อยละ 50 ไม่พอใจ

เอเอฟพี - พบผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็นอย่างน้อย 71 รายและบาดเจ็บ 124 คน จากเหตุคนร้ายวางระเบิดโจมตีสถานีรถบัสแห่งหนึ่งย่านชานเมืองหลวงของไนจีเรีย ในชั่วโมงเร่งด่วนตอนเช้าวันจันทร์(14) ขณะที่ประธานาธิบดีกล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของกลุ่มอิสลามิส์โบโก ฮารัม เหตุระเบิดที่สถานีรถบัสเอ็นยานยา ทางใต้ของเมืองอาบูจา ตอนประมาณ 6.45 น.ตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับเมืองไทย 12.45น.) ทำเศษชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์กระจัดกระจายทั่วอาคารผู้โดยสารและยานพาหนะได้รับความเสียหายหลายสิบคน ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลว่าสถานีแห่งนี้ถูกโจมตีด้วยระเบิด 2 ครั้ง แต่ต่อมายืนยันว่ามันได้รับความเสียหายจากอานุภาพของแรงระเบิดครั้งเดียว "ระเบิดถูกซุกซ่อนในยานพาหนะคันหนึ่งที่จอดอยู่ภายในสถานี" คาร์เลส โอเตกบาเด หัวหน้าทีมค้นหาและช่วยเหลือจากศูนย์จัดการสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติกล่าว ส่วนโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่ายอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 71 รายและบาดเจ็บ 124 คน โดยผู้ได้รับบาดเจ็บถูกส่งไปรักษาตัวตามโรงพยาบาลต่างๆในพื้นที่ประธานาธิบดีกูดลัค โจนาธาน รุดลงตรวจพื้นที่เกิดเหตุในทันที และประกาศว่าไนจีเรียจะได้รับชัยชนะเหนือเหตุความไม่สงบอันโหดร้ายทารุณจากฝีมือของกลุ่มโบโก ฮารัม อย่างแน่นอน ขณะที่พวกหัวรุนแรงเหล่านี้ถูกกล่าวโทษว่าลงมือสังหารผู้คนทางเหนือและตอนกลางของประเทศหลายพันศพนับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา "ประเด็นของโบโก ฮารัม คือประวัติศาสตร์ที่เลวร้ายในช่วงแห่งการพัฒนาของเรา" โจนาธานกล่าว "แต่เราจะผ่านพ้นมันไปได้ โบโก ฮารัม เป็นประเด็นเพียงชั่วคราว" เอ็นยานยา เป็นย่านที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น โดยเฉพาะพวกข้าราชการ ลูกจ้างรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ประชาสังคม ที่มีรายได้น้อยไม่สามาถจ่ายค่าที่พักราคาแพงในย่านกลางกรุงได้ ขณะที่โบโก ฮารัม สังหารผู้คนไปแล้วกว่า 1,500 ชีวิตในปีนี้ แต่ส่วนใหญ่เหตุการณ์ความไม่สงบ มักเกิดขึ้นตามหมู่บ้านห่างไกลในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2557

โปสการ์ดถ่ายทอดอารมณ์ คำคมของชีวิต 4


Live This Day as if It Were Your Last It Might Be!

ลองใช้ชีวิตในวันนี้ ราวกับว่ามันคือวันสุดท้าย ในชีวิตคุณ บางทีมันอาจเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ได้

Every Day , Tell at Least One Person Something You Like , Admire , or Appreciate about Them

ทุกๆ วันบอกใครอย่างน้อยหนึ่งคน เกี่ยวกับ สิ่งที่คุณชอบ ชื่นชม หรือขอบคุณเขา

The Next Time You Find Yourself in an Argument , Rather than Defend Your Position , See if You Can See the Other Point of View First

คราวหน้าถ้าจะโต้แย้งกับใครๆ แทนที่จะปกป้องความเห็นของตัวเอง ลองพยายามทำความเข้าใจ ความคิดของอีกฝ่ายหนึ่งก่อน

                                จาก 100 ข้อคิดคำคม เพื่อชีวิตสุขสงบ ของ Richard Carlson, PH.D. แปลโดย ผศ.ดร.ปริญญ์ ปราชญานุพร







"คำว่า “เป็นไปไม่ได้” มีอยู่ในพจนานุกรมของคนโง่เท่านั้น"               นโปเลียน โบนาปาร์ต

"ความขยัน เป็นมารดาของความโชคดี"                                           เบนจามิน แฟรงคลิน

"โชคจะเกิดขึ้นเมื่อ การเตรียมพร้อม มาพบกับโอกาส"                        (Anonymous)

“คำพูด การกระทำ เหตุการณ์ที่เราไม่ชอบใจ อาจจะจบลงไปตั้งนานแล้ว แต่ตัวเรานี่แหละที่หยิบคำพูด การกระทำ เหตุการณ์นั้นๆ มาเปิดดู เปิดฟังในหัวเราซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนกับคนอื่นเขาแทงเราได้แค่เพียงครั้งเดียว แต่ตัวเรานี่แหละ ที่หยิบมีดด้ามนั้นมาแทงตัวเองไม่ยอมจบ ไม่ยอมวาง ถ้าเราเฝ้าสังเกตจิตใจตัวเอง เราจะรู้ทัน ทันทีที่ใจหยิบมีด หยิบความคิดมาทิ่มแทงตัวเอง”

“ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เราจะรู้สึกว่า เรายังมีไม่พอ ต้องมีนั่น มีนี่เสียก่อน แล้วเราจะอิ่มจะเต็ม สิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยถูกสอนก็คือ ไม่ว่าเราจะพัฒนาความสามารถในการหาเงิน หาของ หาความรักให้ได้มากสักเท่าไหร่ก็ตาม น้ำในแก้วก็ไม่มีวันเต็ม เพราะความอยากในใจของเราไม่เคยหยุด แก้วของเราก็จะโตขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่เคยพอ”

                                                                             ฐิตินาถ ณ พัทลุง จากหนังสือ เข็มทิศชีวิต

“คนที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริงคือ ผู้ที่รู้ว่าจุดแข็งของตนเองคืออะไร แล้วหาวิธีสร้างโอกาสที่จะนำจุดแข็งนั้นออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์”

                                                                            เฮิร์บ กรีนเบิร์ก ผู้ปลุกพลังชีวิตสู่ชัยชนะ กับผลงานเขียนอันโด่งดัง  Succeed on Your Own Terms แปลโดย จิรายุทธ ประเจิดหล้า

“ต้องเริ่มจากตัวเรา ความมั่งคั่งร่ำรวย ต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อน คนที่มีความขยันอดทน ประหยัดมัธยัสถ์ ย่อมสามารถสรรสร้างชีวิตให้ก้าวหน้าได้ กำลังใจคือจุดเริ่มต้นสู่ความสำเร็จ จิตใจที่มีกำลัง ย่อมส่งผลให้สมองปลอดโปร่ง มีความคิดสร้างสรรค์ และย่อมผลักดันให้คนทำแต่สิ่งที่ดีๆ คนที่มีจิตใจกล้าหาญ ย่อมไม่หวาดหวั่นต่อความยากลำบาก คนที่มีจิตใจอ่อนแอ ย่อมมีแต่หนทางแพ้ และไม่สามารถแก้ไขชะตาชีวิตของตนได้”

                                                                             ข้อคิดคำคมจากคัมภีร์เจ้าสัวจีน อาก๋งสอนว่า....

“ความสำเร็จไม่ใช่ปาฏิหาริย์ ความสำเร็จจะเกิดขึ้นกับคนที่รู้ วิธีการบริหารความสำเร็จนั้นอย่างไร.....สำหรับคนที่จะประสบความสำเร็จ มักจะสู้ไม่ถอยเสมอ แต่สำหรับคนที่ล้มเหลว มักจะถอย ตั้งแต่ยังไม่ทันที่จะสู้เลย”

                                                                             ดำรงค์ วงษ์โชติปิ่นทอง


“อายุไม่ใช่อุปสรรคในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้น ข้ออ้างต่างหากที่เป็นอุปสรรค”

                                                                            ข้อคิดจากเรื่องชีวิตคือปาฏิหาริย์ วินทร์ เลียววาริณ

“จิตใจของเราก็เช่นเดียวกับถ้วยชา หากมันเต็มไปด้วยน้ำสกปรกของความวิตกกังวล เทความสุขเข้าไปเท่าใด มันก็ไม่รับกัน”

                                                                            ข้อคิดจากเรื่องเบื้องบนยังมีแสงดาว วินทร์ เลียววาริณ

“ทุกๆ นาทีมีตัวตนของมัน เพียงแวบเดียวและไม่หวนกลับมาอีก น่าเสียดายหากต้องเสียมันไปกับการบ่น การก่นด่าโชคชะตา การคร่ำครวญ การนินทา นั้นไม่ช่วยอะไร”

                                                                            ข้อคิดจากเรื่องรอยเท้าเล็กๆ ของเราเอง วินทร์ เลียววาริณ

“เคยเห็นผึ้งฆ่าตัวตายไหม เคยได้ยินมดบ่นไหม เคยได้ยินนกนินทาชาวบ้านไหม หรือว่าพวกมันรู้ว่ามีเวลาเหลือบนโลกนี้เพียงเล็กน้อย จึงไม่ยอมเสียเวลาทำเรื่องที่ไร้ความหมาย....”

                                                                            ข้อคิดจากเรื่องรอยเท้าเล็กๆ ของเราเอง วินทร์ เลียววาริณ

“อย่าอ้างว่าเวลาน้อยทำงานอะไรไม่ได้ เวลาหนึ่งนาทีของผึ้งสามารถดูดน้ำหวานจากดอกไม้กลับบ้าน หนึ่งนาทีของมดสามารถขนเมล็ดข้าวที่หนักกว่าตัวมันไปได้ไกลโข หนึ่งนาทีของปลวกสามารถสร้างรังของมันให้สูงขึ้นได้ หนึ่งนาทีของแมงมุมสามารถถักทอรังของมันจนเป็นรูปเป็นร่าง...........”

                                                                            ข้อคิดจากเรื่องรอยเท้าเล็กๆ ของเราเอง วินทร์ เลียววาริณ

“ลบความคิดที่ว่า เราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ หรือชีวิตจะไม่มีความหมาย หากเราไม่มีคนรัก”

                                                                            ข้อคิดจากเรื่องในหลุมรัก วินทร์ เลียววาริณ

“ความรักต่างจากความลุ่มหลงชั่วคราว ตรงที่ความรักต้องออกแรง ขณะที่ความลุ่มหลงชั่วคราวคือการปล่อยตัวตกลงไปตามแรงดึงดูดง่ายๆ ความรักคิดถึงตัวเขาก่อน ความลุ่มหลงคิดถึงแต่ตัวเรา...”

                                                                            ข้อคิดจากเรื่องในหลุมรัก วินทร์ เลียววาริณ

“การพยากรณ์อากาศแห่งชีวิตที่แม่นที่สุดคือการยอมรับว่า ชีวิตบางช่วงมีเมฆดำปกคลุม บางช่วงเป็นเวลาของฟ้าใส บางครั้งมีสายรุ้ง คนมีปัญญาสามารถยอมรับยามที่เมฆดำปกคลุม และผ่านมันไปด้วยสติ...”

                                                                            ข้อคิดจากเรื่องท้องฟ้าไม่ปิดทุกวัน วินทร์ เลียววาริณ