เวลานี้วาระของประเทศไทยกำลังจะก้าวพ้นจากการร่วมกันคัดค้าน ต่อต้าน พรบ.นิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่งสุดซอย ไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยกันเสียที ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยกับแนวคิดของสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย และแนวคิดของกลุ่มนักวิชาการสยามประชาภิวัฒน์ ที่มีแนวคิดว่าประเทศไทยมันถึงเวลาแล้วที่จะต้องปฏิรูปประเทศไทยกันเสียใหม่ซักที เพราะความเสื่อมถอย ทรุดโทรมในทุกองคาพยพของประเทศในทุกภาคส่วนนั้น ต้นตอปัญหามันเกิดจากโครงสร้างทั้งหลายแหล่ที่มันผุกร่อน ไม่เคยได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยเฉพาะโครงสร้างระบบการเมืองของไทย บวกกับคุณภาพของนักการเมืองไทยที่นาทีนี้ต้องถือว่าเป็นนักการเมืองที่มีมาตรฐานต่ำที่สุดในโลกก็ว่าได้แล้ว คือ เป็นกลุ่มคนที่เข้ามาผลาญและทำลายชาติ ไม่ได้เข้ามาเพื่อเสียสละทำเพื่อชาติ ไม่พัฒนาประเทศใดๆ ไม่ใช่ตัวแทนของปวงชนอย่างแท้จริง เป็นเพียงลูกจ้างของพรรคการเมือง ที่เป็นระบบธุรกิจเต็มรูปแบบ ภายใต้ระบบทุนนิยมผูกขาดสามานย์ของนายทุนระดับประเทศ จุดที่ทำให้คนไทยเหลืออดและทนกันต่อไปไม่ได้แล้วก็คือ อำนาจเบ็ดเสร็จแบบเผด็จการ เข้ามากินรวบประเทศแบบไม่ใยดีต่อประชาชนส่วนอื่นซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของประเทศ หาผลประโยชน์เข้าพวกพ้องตัวเอง ถึงขั้นยอมขายชาติ ขายประเทศก็ยังทำ กรณี การต่อต้านคัดค้าน พรบ.นิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่งสุดซอย ,กรณีศาลโลกจะตัดสินคดีข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา เรื่องเขตแดนเขาพระวิหาร ,กรณีการผ่านร่างงบประมาณที่รัฐต้องการจะกู้เงิน 2.2 ล้านๆ บาท, กรณีโครงรับจำนำข้าวทุกเมล็ด ,กรณีการตั้งเงินงบประมาณ 3.5 แสนล้าน เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ,กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงบางส่วน หรือในหลายมาตรา เพิ่มหรือตัดทอน เปลี่ยนแปลงถ้อยคำในมาตรา หมวดต่างๆ ของกฏหมายรัฐธรรมนูญ ฯลฯ ทั้งหลายเหล่านี้เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง หรือฟางเส้นสุดท้าย ที่ทำให้ประชาชนทั้งประเทศเหลืออดและลุกฮือขึ้นกลายเป็นการต่อต้าน คัดค้าน และไปจนถึงกระทั่งขับไล่รัฐบาลนั้น เป็นสิ่งที่ไม่เกินจากความคาดหมายของผู้เขียนเลย นับตั้งแต่รัฐบาลนี้(คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายก,พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ) เข้ามาบริหารประเทศ ก็ได้สร้างผลงานอันโด่งดังไปทั่วโลกมากมาย ตั้งแต่ เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 54 ซึ่งทำความเสียหายและกระทบต่อภาคประชาชนและภาคธุรกิจในวงกว้าง,การจะยกเลิกกองทุนน้ำมัน (สุดท้ายไม่ได้ยกเลิกแถมเก็บเพิ่มด้วยการขึ้นราคาน้ำมันเป็นระยะๆ),การขึ้นค่าแรง 300 บาท เงินเดือน 15,000 บาท,โครงการรับจำนำข้าว,โครงการยกเว้นภาษีรถยนต์คันแรก,บ้านหลังแรก,โครงการแจกแท็บเล็ตเด็กนักเรียน, โครงการสมาร์ทเลดี้,โครงการร้านถูกใจและร้านโชว์สวย ,การปล่อยลอยตัวค่าแก๊ซและเชื้อเพลิงพลังงาน รวมถึงค่าไฟ, การไม่สามารถควบคุมระดับราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นในทุกหมวดทุกประเภทแต่ในขณะที่ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำโดยเฉพาะพืชเกษตรตัวสำคัญๆ เช่น ข้าว,ยาง,ข้าวโพด ,โครงการจัดซื้อจัดจ้างสิ่งต่างๆที่ไม่จำเป็นและแพงเกินเหตุ เช่น ของใช้บางอย่างในรัฐสภา (ซึ่งแพงเกินจริง) ,การยกเลิกเงินชดเชยเหมาจ่ายของแพทย์และพยาบาล และเปลี่ยนเป็นจ่ายในระบบ P4P แทน หรือแม้กระทั่ง ตัวนายกรัฐมนตรีเองและคณะยังมีผลงานในการเป็นรัฐบาลเพียง 2 ปี แต่เดินทางไปรอบโลกแล้วเกือบ 50 ประเทศ ด้วยเครื่องบินแบบเหมาลำ ฯลฯ ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนตอกย้ำถึงศักยภาพของรัฐบาลในการผลาญเงินภาษีของประเทศไปอย่างมากมายและรวดเร็ว ในขณะที่ไปดูในด้านรายรับนั้นกลับไม่พบตัวเลขในส่วนของการหารายได้เข้าประเทศในระดับที่น่าพอใจเลย ทั้งตัวเลขการส่งออกที่ลดลง ตัวเลขจีดีพีลดลง ตัวเลขของผู้ประกอบกิจการเอสเอ็มอี โรงงานที่จดทะเบียนเลิกหรือปิดกิจการกันอย่างมากมาย ตัวเลขดุลการค้า ดุลการชำระเงินล้วนติดลบถ้วนทั่ว จึงเป็นที่มาของการขึ้นภาษีบาป (เหล้า,บุหรี่,ชา) มีแนวคิดจะคุมกำเนิดรถยนต์เก่าเกิน 7 ปี แนวคิดในการจะจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากเดิม 7% เป็น 10% ทั้งหลายเหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนของผลงานรัฐบาลที่ทำให้ประชาชนทั้งประเทศถึงกับ อึ้ง ทึ่ง เสียว มาตลอดระยะเวลาบริหารประเทศมา ยังไม่นับประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับเงินงบประมาณโดยตรงแต่ไปมีผลกระทบด้านความรู้สึก จิตวิญญาณ และโครงสร้างทางสังคม เช่น จะยุบโรงเรียนทั่วประเทศที่มีจำนวนครูหรือเด็กนักเรียนไม่ถึงตามเกณฑ์ ,จะยกเลิกบางวิชา เช่น นาฏศิลป์ ที่ใช้เรียนในหมวดวิชาเลือกหรือบังคับ ในหลักสูตรการเรียนการสอนของเด็กมัธยม, การยกเลิกหรือเปลี่ยนมาตรฐานสุขภัณฑ์ ให้เลิกส้วมหลุมสำหรับห้องน้ำของหน่วยงานราชการทั่วประเทศ เป็นต้น
การปฏิรูปประเทศที่อยากเห็น ในลำดับต้นๆ ก็คือ
1.การเปลี่ยนโครงสร้างของระบบรัฐสภาไทย ให้มีตัวแทนจากหลากหลายสาขาอาชีพ ทุกภาคส่วนของสังคม ไม่ใช่มีแต่นักการเมืองที่เป็นนักเลือกตั้งเข้ามาเต็มสภา แต่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นปากเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง
2.การกระจายอำนาจที่เป็นธรรมลงสู่องค์กรส่วนท้องถิ่น ภูมิภาค และกระจายงบประมาณลงสู่ท้องถิ่นบริหารกันเอง เช่น จังหวัด เทศบาล อบต. หมู่บ้าน ชุมชน เป็นต้น
3.การเพิ่มอำนาจให้กับองค์กรอิสระ ให้มีการตรวจสอบถ่วงดุล ตรวจทานซึ่งกันและกัน รวมถึงองค์กรที่เป็นภาคประชาชนร่วมด้วย อีกทั้งองค์กรอิสระเหล่านั้นจักต้องได้รับการตรวจประเมินผลงานจากสภาประชาชนด้วย เพื่อป้องกันการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจเกินขอบเขตกลั่นแกล้งด้วย
4.การเพิ่มบทบาทของภาคประชาชน ให้มีการจัดตั้งประชาคมที่มีความหลากหลาย และเป็นการทำงานของประชาชนอย่างแท้จริง ปราศจากนักการเมืองหนุนหลัง และต้องมีงบจากรัฐบาลให้ เพื่อจะมีเงินในการบริหารจัดการ หรือทำงาน และแสดงที่มาของแหล่งรายได้ต่อ ปปช.เสมือนหนึ่งนักการเมือง องค์กรอิสระด้วย โดยป้องกันไม่ให้องค์กรเอ็นจีโอเหล่านี้ ไปรับเงินจากองค์กรเอกชนจากต่างประเทศ ซึ่งบางครั้งมีวาระซ่อนเร้นที่ไม่เป็นผลดีต่อประเทศ
5.การปฏิรูปกระทรวงศึกษาธิการและโครงสร้าง วิสัยทัศน์ หลักสูตร ,ปฏิรูปการสาธารณสุข,ปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ,ปฏิรูปสำนักงานอัยการ,DSI. ,ปฏิรูปปตท.และกระทรวงพลังงาน,ปฏิรูปหรือยุบสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
6.ตรากฏหมายที่กำหนดให้ผู้ที่ถูกตรวจสอบและศาลตัดสินจนถึงที่สุดในคดีทุจริตคอร์รัปชั่น ให้กำหนดว่าคดีไม่มีอายุความ และสามารถตรวจสอบยึดทรัพย์ย้อนหลังได้ทั้งในและนอกราชอาณาจักร รวมถึงเครือญาติ คู่สมรส และบุคคลที่ 3 หากตรวจพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ได้รับผลประโยชน์จากคดีทุจริตคอร์รัปชั่น ให้กำหนดโทษสำหรับคดีทุจริตคอร์รัปชั่น มีโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต
แต่ก่อนที่จะทำการปฏิรูปโครงสร้างทั้งหลายเหล่านี้ได้ ต้องมีการตราบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญก่อนว่าให้นักการเมืองในยุคปัจจุบันหรือยุคก่อนการปฏิรูปชุดนี้ทั้งหมดควรเสียสละด้วยการเว้นวรรคทางการเมืองไปก่อน เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 5-10ปี เพื่อเปิดโอกาสให้นำนักบริหารที่เก่งๆ จากภาคเอกชนหรือองค์กรชั้นนำระดับประเทศเข้ามาบริหารประเทศแทนเป็นการชั่วคราว เพื่อให้มีการบูรณะซ่อมแซม และวางโครงสร้างของประเทศกันใหม่ ที่เรียกว่าว่า format หรือ restructure แล้ว run หรือ implement หรือ boot เครื่องที่ชื่อว่าประเทศไทยกันใหม่ แต่การจะทำเช่นนี้ได้ ให้ประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น สำคัญที่สุดก็คือ คนไทยทุกคนต้องยอมเสียสละ เลิกบ่นว่าประเทศชาติจะเสียหาย เดี๋ยวจะตามชาติอื่นไม่ทัน หรือทำอยางนี้จะทำให้ต่างชาติเลิกคบ หุ้นจะตก ต่างชาติจะถอนการลงทุน เพราะว่าการหยุดประเทศชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อรีเซ็ตประเทศกันใหม่เช่นนี้ ในระยะยาว ประเทศไทยจะกลับมาเป็นประเทศที่น่าลงทุนที่สุดและกลับมาผงาดได้ ถ้าทุกคนช่วยกัน เพราะถึงเวลานั้น โครงสร้างที่เคยเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ และฉุดรั้งขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศเราจะลดลงไปมากทีเดียว แม้จะไม่ทั้งหมด แต่ก็ช่วยให้ทุกองคาพยพกลับมาอยู่ในสภาพที่แข็งแรง แข็งขัน ไม่เป็นเป็ดง่อย มะเร็งร้าย หรือฝี ที่รอวันแตก อย่างที่ผ่านมา แล้วใครๆ ก็จะเข้ามารุมจีบ มะรุมมะตุ้มสาวงามที่ชื่อว่าประเทศไทย เองแหละ ไม่ต้องห่วง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น