วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2557

ฟรีทีวีดิจิตอล ช่วงทดลองออกอากาศในปีแรก(เฟสแรก) เขางัดกลยุทธ์อะไรมาสู้กัน


สงครามการประมูลทีวีดิจิตอลครั้งประวัติศาสตร์ของไทยก็ได้ปิดฉากลงไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา พร้อมๆกับรายชื่อของผู้ที่ชนะการประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิตอลและหมายเลขของช่องต่างๆ ดังนี้

ช่องในกลุ่มหมวดหมู่เด็ก เยาวชน และครอบครัว หมายเลขช่อง 13-15 ซึ่ง บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย จำกัด (ช่อง3) ได้หมายเลขช่อง 13, บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หมายเลขช่อง 14, บริษัท ไทยทีวี จำกัด (เครือทีวีพูล) ได้หมายเลขช่อง 15

ช่องในกลุ่มหมวดหมู่ข่าวสารและสาระ เริ่มจากหมายเลขช่อง 16-22 บริษัท ไทย นิวส์ เน็ตเวิร์ค (ทีเอ็นเอ็น) จำกัด ได้หมายเลขช่อง 16, บริษัท ไทยทีวี จำกัด (ทีวีพูล) หมายเลขช่อง 17, บริษัท ดีเอ็น บรอดคาสท์ จำกัด (เครือบริษัท เดลินิวส์ทีวี) หมายเลขช่อง 18, บริษัท สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น จำกัด หมายเลขช่อง 19, บริษัท 3เอ. มาร์เก็ตติ้ง จำกัด หมายเลขช่อง 20, บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด หมายเลขช่อง 21, บริษัท เอ็นบีซี เน็กซ์ วิชั่น จำกัด (เครือเนชั่น) หมายเลขช่อง 22

ช่องในกลุ่มหมวดหมู่วาไรตี้ทั่วไปแบบความคมชัดปกติ SD หมายเลขช่อง 23-29 ผลการเลือกลำดับคือ บริษัท ไทย บรอดคาสติ้ง จำกัด (ในเครือเวิร์คพอยท์) ได้หมายเลขช่อง 23, บริษัท ทรู ดีทีที จำกัด หมายเลขช่อง 24, บริษัท จีเอ็มเอ็ม เอสดี ดิจิทัล ทีวี จำกัด หมายเลขช่อง 25, บริษัท แบงคอก บิสสิเนส บรอดแคสติ้ง จำกัด (เครือเนชั่น) หมายเลขช่อง 26, บริษัท อาร์.เอส.เทเลวิชั่น จำกัด หมายเลขช่อง 27, บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย จำกัด (เครือช่อง 3) หมายเลขช่อง 28 และบริษัท โมโน บรอดคาซท์ จำกัด หมายเลขช่อง 29

และช่องในกลุ่มหมวดหมู่วาไรตี้ทั่วไปแบบความคมชัดสูง HD หมายเลขช่อง 30-36 บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้หมายเลขช่อง 30, บริษัท จีเอ็มเอ็ม เอชดี ดิจิทัล ทีวี จำกัด หมายเลขช่อง 31, บริษัท ทริปเปิล วี บรอดคาสท์ จำกัด (เครือไทยรัฐ) หมายเลขช่อง 32, บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย จำกัด(เครือช่อง 3) หมายเลขช่อง 33, บริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัด หมายเลขช่อง 34, บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด (เครือช่อง7)หมายเลขช่อง 35 และบริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด ของ นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ได้หมายเลขช่อง 36

ดูเหมือนว่าสงครามครั้งนี้จะไม่มีคราบความเสียใจของผู้ผิดหวัง ตรงกันข้าม ผ่านปี 2557 เพียงไม่ถึงเดือน กลับกลายเป็นว่ามีหลายความเห็นมองว่าผู้ชนะการประมูลบางรายอาจต้องเหนื่อยหนักเพียงเพื่อให้เป็น “ผู้อยู่รอด” ในสมรภูมิดิจิตอลทีวีเฟสแรก เพราะไหนจะต้องแบกต้นทุนค่าใบอนุญาตแสนแพง (ช่องในกลุ่มเด็กประมูลกันหลัก 600 ล้าน,ช่องกลุ่มข่าว ประมูลกันหลัก 1,000 ล้าน,ช่องในกลุ่มวาไรตี้ SD ประมูลกันหลัก 2,000 ล้าน และช่องในกลุ่มวาไรตี้ HD ประมูลกันหลัก 3,000 ล้าน) ไหนยังต้องมีค่าบริการโครงขาย (MUX) เพื่อส่งสัญญาณไปต่างจังหวัด และค่าเช่าสัญญาณดาวเทียมไทยคมเพื่อให้เป็นไปตามกฎ Must Carry ของ กสทช. ไหนจะต้องเจอคู่แข่งฟรีทีวีในระบบดิจิตอล 24 ช่อง บวกกับฟรีทีวีระบบอะนาล็อก 6 ช่อง และยังมีช่องดาวเทียมอีกนับไม่ถ้วน ขณะที่คาดการณ์กันว่าเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อทีวีอาจไม่โตขึ้น ภายหลังจัดเรียงแนวรบทีวีดิจิตอลครบทั้ง 24 ช่อง สิ่งที่ “เจ้าของช่อง” ต้องรีบดำเนินการต่อไปคือ การเตรียม “คอนเทนต์” เพื่อสามารถออกอากาศให้ได้ภายในเมษายนที่จะถึงนี้ ซึ่งไม่ใช่ว่าจะหยิบรายการอะไรมายำใส่ในผังรายการได้เหมือนก่อน เพราะในสงครามดิจิตอลทีวี ผู้ชมมีทางเลือกเพิ่มขึ้นมากมาย นี่เป็นชนวนให้เกิด “ศึก” แย่งชิงตัวผู้ผลิตคอนเทนต์/รายการแถวหน้าขึ้นเล็กๆ


“การเปิดช่องทีวีดิจิตอลประเภทธุรกิจ 24 ช่อง หมายถึงต้องผลิตรายการ 2 แสนรายการต่อปี ฉะนั้นการแข่งขันมันจะรุนแรง แต่ไม่ใช่แบบฟรีทีวียุคก่อนที่ผู้ผลิตคอนเทนต์ต้องวิ่งเข้าหาสถานีเพื่อขาย “ของ” แต่ยุคทีวีดิจิตอล เจ้าของช่องต้องมาตามตัวผู้ผลิตคอนเทนต์ให้ไปทำ เพราะรายการน้อยกว่าช่อง” จาฤก กัลย์จาฤก ประธานกรรมการบริหาร บมจ. กันตนา กรุ๊ป กล่าว ด้วยประสบการณ์ไม่ต่ำกว่า 30 ปีในการผลิตรายการโทรทัศน์หลากหลายรูปแบบป้อนฟรีทีวีไทยมาแล้วแทบทุกช่อง รวมถึงการมีส่วนร่วมประมูลสถานีไอทีวีเมื่อ 15 ปีก่อน บวกกับการเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ในเวียดนามและกัมพูชามากว่า 20 ปี อีกทั้งมีความพร้อมทั้งด้านขุมพลังคอนเทนต์ เทคโนโลยีและบุคลากร รวมถึงเม็ดเงินลงทุน ตลอดจนศักดิ์ศรีของหนึ่งในโปรดักชั่นส์เฮ้าส์ใหญ่ของเมืองไทย ทำให้หลายคนคาดว่า กันตนาจะเข้าร่วมชิงชัยในสงครามทีวีดิจิตอลครั้งนี้ “ขณะที่ทุกคนประกาศตัวว่าจะประมูล กันตนาประกาศว่าเราจะไม่ประมูล เพราะเหตุว่าการลงทุนสูงมาก บวกกับกฎระเบียบของ กสทช. ที่ระบุว่า ทุกช่องต้องมีคนนอกเข้ามาผลิตรายการร่วม 50% จึงไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องเข้าไปแข่งประมูล เราใช้โอกาสนี้เป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ป้อนให้กับทุกช่องที่ต้องการดีกว่า ซึ่งเราก็เป็นมาตั้งแต่อดีต เรารู้ตัวว่าเราทำหน้าที่นี้ดีกว่า เหมาะสมกับเรามากกว่า” อย่างไรก็ดี เพื่อปรับตัวไปสู่การเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ หรือ Content Provider ที่จะรองรับยุคของดิจิตอลทีวีอย่างเต็มรูปแบบ กันตนาได้ปรับรูปแบบธุรกิจครั้งใหญ่ โดยเฉพาะใน “สายงานโทรทัศน์” ซึ่งปัจจุบันมีคอนเทนต์อยู่ 3 กลุ่ม ได้แก่ คอนเทนต์ในช่องทีวีดาวเทียม ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 ช่อง คอนเทนต์ที่กันตนาผลิตเองเพื่อป้อนช่องฟรีทีวี (Local Content) ซึ่งนอกจากจะมีกลุ่มละครซึ่งออกอากาศทางช่อง 7 ยังมีรายการหลากหลายประเภทซึ่งออกทั้งทางช่อง 5, 7 และโมเดิร์นไนน์ แต่ที่พิเศษสุดสำหรับปีนี้คือ คอนเทนต์จากต่างประเทศ (International Content) ซึ่งจาฤกยอมรับว่าปีนี้ถือเป็นยุคใหม่ของกันตนา เพราะบริษัทได้ทุ่มงบไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท ในการซื้อฟอร์แมตคอนเทนต์จากต่างประเทศเข้ามาเพื่อจุดพลุให้กับ “กันตนา” ในฐานะ Content Provider บนสมรภูมิดิจิตอลทีวีที่ดุเดือด

“การเกิดของดิจิตอลทีวี 24 ช่อง นอกจากเผชิญการแข่งขันกันเอง ยังต้องสู้กับฟรีทีวีช่องเดิมที่มีฐานผู้ชมเหนียวแน่น ดังนั้นการแข่งขันเพื่อแจ้งเกิดช่องใหม่ จึงจำเป็นต้องมีคอนเทนต์แตกต่าง ปีที่ผ่านมา เราจึงบินไปซื้อรายการลิขสิทธิ์ต่างประเทศทั้งซีรีส์และฟอร์แมทเรียลลิตี้ไว้กว่า 40 รายการ เพื่อเตรียมพร้อมด้านการผลิตคอนเทนต์ป้อนช่องทีวีดิจิตอลในเมืองไทย” ศศิกร ฉันท์เศรษฐ์ ประธานบริหารสายธุรกิจรายการโทรทัศน์ บมจ. กันตนา กรุ๊ป เล่า ล่าสุด กันตนาได้ซื้อลิขสิทธิ์รูปแบบรายการและซีรีส์ชื่อดังระดับโลกมาหลากหลายรายการ อย่างที่คนไทยรู้จักดีก็เช่น Gossip Girl, Ugly Betty, The Face และ American Idol โดยกันตนามีแผนจะนำคอนเทนต์ฟอร์แมตเหล่านี้มาผลิตในเวอร์ชั่นไทย โดยศศิกรเผยว่า ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการเฟ้นหาตัวนักแสดง ทั้งนี้ การลงทุนสร้างฉากสำหรับคอนเทนต์ฟอร์แมตต่างประเทศเพื่อการผลิตในเวอร์ชั่นไทย กันตนาทุ่มเม็ดเงินอีกกว่า 200 ล้านบาทเพื่อสร้างสตูดิโอขึ้นมาใหม่ โดยจาฤกหวังผลว่าสตูดิโอแห่งนี้จะสามารถให้บริการประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียนที่จะเข้ามาใช้บริการถ่ายทำรายการที่เป็นลิขสิทธิ์ฟอร์แมทเดียวกันได้ด้วย ซึ่งถือเป็นอีกบริการที่นอกจากจะทำให้ได้รายได้ ยังทำให้เป้าหมายของกันตนาในการเป็น “ฮับผลิตรายการ” ของภูมิภาคนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น

การนำคอนเทนต์ฟอร์แมตที่เป็นที่นิยมจากต่างประเทศเข้ามา ไม่เพียงเพื่อจุดพลุชื่อเสียงให้กับกันตนา สิ่งที่กันตนาต้องการจริงๆ ก็คือ เม็ดเงินการโฆษณา ซึ่งนอกจากรายได้โฆษณาจะเป็นไปตามเรตติ้งที่เกิดขึ้นจริง จาฤกยังเชื่อว่า คอนเทนต์จากต่างประเทศยังสร้างโอกาสที่จะได้ “โกลบอลสปอนเซอร์” หรือการที่ผู้สนับสนุนรายการในต่างประเทศที่พร้อมจะสนับสนุนรายการเดียวกันที่ผลิตในเวอร์ชั่นไทยมาด้วย นอกจากนี้ ด้วยชื่อเสียงความดังในระดับสากลยังช่วยให้สปอนเซอร์ในไทยเกิดความมั่นใจได้ว่า รายการน่าจะเป็นที่นิยมเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในต่างประเทศ อย่างไรก็ดี ในช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ระหว่างที่ยังไม่ทราบผลการประมูล และท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมือง กันตนาเดินหน้านำเสนอคอนเทนต์จากต่างประเทศให้กับบริษัทผู้เข้าร่วมประมูลไว้ล่วงหน้า โดยหลายสถานีที่ประมูลได้ซึ่งกันตนาได้เข้าไปนำเสนอคอนเทนต์ล้วนให้การตอบรับอย่างดี อาทิ ช่อง 3 5 7 โมเดิร์นไนน์ และช่องใหม่อย่าง “ไทยรัฐทีวี” ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ “ผมว่าคอนเทนต์รายการต่างประเทศช่วงนี้จะเข้ามาเยอะ เพราะผู้ผลิตคอนเทนต์เดิมคิดไม่ทัน ผลิตไม่ทัน อย่างเรา แค่ละครยังไม่ต้องนับการผลิตรายการรูปแบบต่างๆ เราต้องผลิตกันประมาณ 20 เรื่องต่อปี ถ้าเราจะผลิตเพิ่มขึ้นให้ได้ 40 เรื่องต่อปี เพื่อรองรับทีวีดิจิตอลที่เพิ่มขึ้น ถามว่าใครจะมาเขียนบทให้ทัน มีวิธีเดียวคือซื้อบทประพันธ์หรือซื้อฟอร์แมตที่พิสูจน์แล้วว่าฮิตแน่นอนในระดับโลก อันนี้จะทำให้เราผลิตคอนเทนต์ได้เยอะขึ้น” จาฤกกล่าว ศศิกรยอมรับว่า แม้จะเตรียมเรื่องบุคลากรมาสักระยะ และมีสร้างบุคลากรผ่าน “สถาบันกันตนา” แต่ยังมีปัญหาในด้านความคิดสร้างสรรค์ที่ผลิตไม่ทันความต้องการใช้ ด้วยเหตุนี้ กันตนาจึงหาทางออกด้วยการร่วมทุนกับบริษัทผู้ผลิตคอนเทนต์ขนาดกลางและรายย่อย เพื่อเป็นการระดมความชำนาญและความคิดสร้างสรรค์เข้ามา (Idea Pool) ล่าสุด กันตนาร่วมกับบริษัท “ลักษ์ 666” ของวิลลี่ แมคอินทอช และเสนาหอย จัดตั้งบริษัท “กันตลักษ์” เพื่อผลิตทำรายการโทเร่ ซึ่งเป็นฟอร์แมตรายการนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เริ่มออกอากาศเมื่อวันที่ 3 มกราคม ที่ผ่านมา ทางช่องโมเดิร์นไนน์ โดยศศิกรมองว่าจะใช้กันตลักษณ์ เป็นหัวหอกในการผลิตรายการวาไรตี้แนวสนุกสนาน ซึ่งกันตนาไม่ถนัด ด้าน “ลักษณ์ 666” เอง ก็มีเจ้าของช่องทีวีดิจิตอลรายใหม่เข้ามาติดต่อหลายราย เช่น ไทยรัฐทีวี และเวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ ซึ่งจ้างผลิตรายการช่องละ 3 รายการ อีกทั้งยังต้องผลิตรายการป้อนให้ช่อง 3 โดยที่ยังมีอีกหลายช่องที่เข้ามาเจรจาแต่ยังไม่ได้ข้อตกลง นอกจากการเป็น Content Provider สำหรับช่องทีวีในประเทศไทย กันตนายังมีแผนที่จะเป็น Content Provider สำหรับภูมิภาคอาเซียนและเอเชียแปซิฟิก ซึ่งนอกจากจะเข้าไปดำเนินช่องสถานีโทรทัศน์ในเวียดนามและกัมพูชาแล้ว โดยปีนี้ยังมีแผนที่จะขยายตลาดเพิ่มไปยังอินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า และสิงคโปร์ “ขณะที่เม็ดเงินโฆษณา 7 หมื่นล้านบาท ไม่ได้เพิ่มขึ้น หรืออาจจะเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่รายการเพิ่มขึ้น ผมว่าสักร้อยเท่า ฉะนั้นต้องจินตนาการว่าช่องรายการจะอยู่ยังไง เพราะอย่างช่อง 3 และช่อง 7 เขาก็ยังแข็งแรงอยู่เหมือนเดิม ช่องใหม่ก็ต้องคิดให้ดีว่าเงินจะถ่ายเทมายังไง ในสมรภูมิรบ เป็นธรรมดาต้องมีผู้ชนะ-ผู้แพ้ รายการโทรทัศน์ก็ต้องมีรายการเรตติ้งอันดับหนึ่งและอันดับบ๊วย ถ้าเป็นตัวจริงเสียงจริงไม่ต้องกลัว เพราะถ้ารายการอันดับบ๊วยเขาก็ต้องหาคนใหม่มาทำแทน ฉะนั้นไม่ต้องกลัวมีงานให้ทำเยอะแยะไปหมด” จาฤกทิ้งท้ายว่า ในช่วง 5 ปีนับจากนี้ หากยังอยู่ภายใต้ยุคบริหารของเขา เขาคงไม่รู้สึกอยากเป็นเจ้าของช่องอีกแล้ว เพราะไม่อยากเหนื่อย และทิ้งภาระให้ลูกหลาน ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้เห็น กันตนาในโหมด “Play safe” อันหมายถึง “ปลอดภัย” และ “ประหยัด” แต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสให้ไขว่คว้า บนความพร้อมและความชำนาญที่สั่งสมมากว่า 60 ปีจนกว่าที่เฟสสองของสมรภูมิรบจะเปิดฉากใหม่ และ/หรือ ผู้นำทัพชิงชัยทีวีดิจตอลคนใหม่ของกันตนาจะไม่ใช่ผู้อาวุโสวัย 61 ปีคนนี้ เวลานั้นอาจได้เห็นกันตนาในโหมดอื่น


ทีวีพูล เปิดฉากประกาศสู้ศึกทีวีดิจิตอล จับมือโพสต์พับบลิชชิ่ง ผลิตข่าวให้ช่อง THV วันละ 6 ชม. ทำสัญญาแบบเอ็กคลูซีพ ติ๋มทีวีพูลมั่นใจขึ้นแท่นเป็นเบอร์ 1 ในอีก 5 ปี…

แกรมมี่จับมือซีทีเอชจับตลาดพรีเมียมแมส คาดปีนี้ปิดรายได้ 1.5-2 พันล้าน “อาร์เอส” ดันช่อง 8 ลงสมรภูมิทีวีดิจิตอล ลั่นปีแรกกำไรแน่นอน มั่นใจปีนี้ปิดรายได้รวม 5,000 ล้านบาท เติบโต 43%

นายเดียว วรตั้งตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มงานแพลตฟอร์ม แอนด์ สปอนเซอร์ชิพ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แซท เทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ทางบริษัทและพันธมิตรทางธุรกิจได้ทำการเปิดแพ็กเกจ CTHZ Premier League+HD (แพ็กเกจซีทีเอชแซท พรีเมียร์ลีก พลัส เอชดี) ซึ่งจะเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภคได้ชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอล ‘บาร์เคลย์ส พรีเมียร์ลีก’ พร้อมด้วยการแข่งขันฟุตบอลระดับโลกไม่ต่ำกว่า 1,000 แมตช์ตลอดปี อาทิ บุนเดสลีกาเยอรมัน, ลีกเอิงฝรั่งเศส ด้านนายฟ้าใหม่ ดำรงชัยธรรม ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มงานแพลตฟอร์ม บริษัท จีเอ็มเอ็ม แซท เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับซีทีเอชแซท พรีเมียร์ลีก พลัส เอชดี แพ็กเกจจะมีให้บริการในกล่องจีเอ็มเอ็ม แซท เอชดีทุกรุ่น และในตอนนี้จีเอ็มเอ็ม แซท ได้มีการเปิดตัวกล่องเอชดีรุ่นใหม่คือ รุ่นจีเอ็มเอ็ม แซท เอชดี ไลต์ (HD LITE) มูลค่า 1,590 บาท ซึ่งจะสามารถรองรับดิจิตอลได้ครบทั้ง 48 ช่อง รวมทั้งคอนเทนต์ต่างๆ ที่เป็นเอชดีอีกด้วย สำหรับเป้าหมายรายได้ในปีนี้จะอยู่ที่ 1,500-2,000 ล้านบาท เติบโตเท่าตัวหากเทียบกับปีที่แล้ว โดยคาดการณ์ว่าหากมีคูปองจาก กสทช.เข้ามาจะช่วยผลักดันตลาดให้เติบโตได้อีก ซึ่งขณะเดียวกันก็จะส่งผลให้ทางบริษัทอาจมียอดขายกล่องอยู่ที่ 1-5 ล้านกล่องในปีนี้ นายกฤษณัน งามผาติพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีทีเอช เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้ทำการร่วมมือกับทางจีเอ็มเอ็ม แซท และมั่นใจว่าจะสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ชมได้มากยิ่งขึ้น

นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อาร์เอส เปิดเผยว่า ในปีนี้นับได้ว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของวงการโทรทัศน์ของประเทศไทย เนื่องจากมีการส่งสัญญาณให้มีการรับชมฟรีทีวีในระบบดิจิตอล ซึ่งทางอาร์เอสก็ได้นำช่อง 8 ก้าวสู่ไลเซนของระบบทีวีดิจิตอลด้วยเช่นกัน ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้ในปีนี้อยู่ที่ 850 ล้านบาท เติบโต 70% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยมั่นใจว่าในปีแรกจะสามารถทำกำไรได้ทันที ซึ่งจะมีคอนเทนต์ใหม่ทางช่อง 8 ประมาณ 16 ชั่วโมง จาก 24 ชั่วโมง

“รายได้ปีนี้ตั้งเป้าอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 12% ขณะที่รายได้เติบโตประมาณ 43% โดยรายได้กว่า 73% เป็นของธุรกิจมีเดีย และแนวโน้มคาดว่าอีก 2-3 ปี จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 90% ขณะที่ธุรกิจเพลง 13% คิดเป็น 650 ล้านบาท โดยธุรกิจเพลงจะมีแนวโน้มของรายได้ที่ลดลงตามตลาด” นายสุรชัยกล่าว

กลยุทธ์ที่จะถูกนำมาใช้ในสงครามการต่อสู้ของทีวีดิจิตอลในยุคฝุ่นตลบนี้ก็คือ

1.ดึงเอา content ที่ขายได้ดีอยู่เดิม,เรตติ้งสูง,มีแฟนคลับประจำ,ใช้บุคลากรที่เป็นที่รู้จัก-ยอมรับ หรือว่านิยมชมชอบ มานำเสนอเหมือนเดิม กลยุทธ์นี้ ผู้เขียนขอใช้คำเรียกว่า ขายของเก่า เล่าเรื่องเดิม เติมความเน่า เข้าไปอีก ถ้าเป็นช่องข่าว คุณก็จะได้เห็นนักเล่าข่าวคนเดิม นักจ้อข่าวคนดังๆ คนเดิมๆ ที่คุ้นหน้าคุ้นตา เล่าข่าวในสไตล์เดิมๆ ดราม่าข่าวแบบเดิมๆ ที่ขายได้อยู่แล้ว ถ้าเป็นละครก็จะได้ชมละครประเภทรีเมคแล้ว รีเมคอีก ดาราเจ้าบทบาทคนเดิมๆ พล็อตเรื่องแซ่บๆ เดิมๆ ที่พอเดินผ่านหน้าทีวีไปเมื่อไหร่ก็จะพบว่ายุงชุมมาก แม่ผัว ลูกสะใภ้ ตบตีแย่งสามีชาวบ้าน ไดอะล็อกจิกด่าแรงๆ มีผี กระเทย ตลกเป็นเครื่องชูโรงไม่ให้เฝือ ถ้าเรตติ้งดี เนื้องเรื่องจะยืดเป็นชาติเลยกว่าจะจบ ถ้าเป็นเกมส์โชว์อันนี้พอมีความหวังอยู่บ้าง เพราะคงต้องแข่งกันเรื่องไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์ ความสนุก ความฮาครบรส และที่ลืมไม่ได้บรรดารายการเรียลลิตี้โชว์ต่างๆทั้งหลาย ทีนี้จะงัดมาสู้กันหลากหลายแนวมากขึ้น สร้างประเด็น ดราม่าแข่งกัน เพื่อแลกกับกระแส และผลโหวต

2.ซื้อดะ ขอให้เป็น content ที่ดี มีรางวัลการันตี หรือมีเรตติ้งสูงในต่างประเทศ อาจซื้อมาฉายเป็นแบบออริจินัลเลยก็ได้ แล้วแปลซับหรือพากย์ให้คนไทยได้ดู เช่น ซีรี่ย์ดังๆ จากต่างประเทศ,รายการสารคดีดีๆ,รายการเกมส์โชว์,เรียลลิตี้โชว์,ทอลค์โชว์,คอนเสิร์ต,กีฬา หรือซื้อแฟรนส์ไชส์ของ content นั้นแล้วมาดัดแปลงผลิตเป็นแบบโปรดักชั่นไทย เช่น เกมส์โชว์,เรียลลิตี้โชว์,รายการสอนทำอาหาร,รายการควิซโชว์ ตอบคำถาม,รายการประกวดต่างๆ ฯลฯ

3.นำ content เก่าๆ ที่เคยได้รับความนิยมมาแล้วกลับมาฉายใหม่หรือฉายรีรัน เพื่อฆ่าเวลาบางส่วนที่ไม่สามารถหารายการที่ผลิตใหม่มาลงฉายได้ครบทุกช่วงเวลา เช่น ละคร ซีรี่ย์ คอนเสิร์ต ภาพยนตร์ กีฬา เรียลลิตี้โชว์ เกมส์โชว์ สารคดี ฯลฯ

ยังจำได้ในยุคก่อตั้งทีวีสี ที่เปลี่ยนมาจากยุคทีวีขาวดำ ช่อง 3 กับช่อง 7 ก็เคยซื้อซีรี่ย์หนังจีนแข่งกันมาฉายในช่วงเวลากลางวัน เย็น จวบจนกระทั่งกลางคืนให้คนไทยดู ในยุคนั้นยังผลิตละครไม่ค่อยเยอะ จะมีละครใหม่ก็เพียงช่วงหัวค่ำหรือกลางคืนตอนไพร์มไทม์เท่านั้น นอกนั้นเป็นซีรี่ย์จีนกับซีรี่ย์ฝรั่งล้วน

เราคงยังไม่คาดหวังกับ content ใหม่ ๆ ดี ๆ สด ๆ ในช่วงแรกมากนัก แต่อาจมีบ้าง คงไม่ถึงกับไม่มีเสียเลย แต่เป็นรายการที่ต้องลงทุนสูง และใช้บุคลากรที่มีความรู้ ความเชียวชาญ กึ๋นเป็นอย่างสูง อย่างเช่นที่ แกรมมี่กับจีทีเอช ร่วมกันทำ ซีรี่ย์ฮอร์โมนส์ เมื่อปีที่แล้วจนโด่งดังไปทั่วเอเชีย แบบนั้น เรายังหวังจะมีสิ่งใหม่ๆ แบบนี้มาให้คนไทยได้ชมเยอะๆ ในช่วงเปลียนผ่านเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลอย่างแท้จริง เหมือนที่ในประเทศที่เจริญแล้วเขาทำกัน

วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557

โลก 360 องศา - (เครื่องบินสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สูญหายลึกลับ,ก่อการร้ายในคุนหมิง,สถานการณ์ที่ไครเมียส่อเค้าบานปลาย)

เอเจนซีส์ –หน่วยงานข่าวกรองของหลายประเทศ ร่วมมือกันในวันอาทิตย์ (9 มี.ค.) เพื่อสืบสวนสอบสวนความเป็นมาของผู้โดยสาร 2 คนซึ่งขึ้นเครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 777 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ (เอ็มเอเอส)ที่สูญหายตั้งแต่วันเสาร์ (8) โดยใช้หนังสือเดินทางที่ขโมยมา ขณะที่พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของแดนเสือเหลืองแถลงว่า ภาพจากจอเรดาร์แสดงให้เห็นว่าเครื่องบินลำนี้อาจจะหันหัวเลี้ยวกลับก่อนจะหายลับไป สำหรับความคืบหน้าของการค้นหา ล่าสุดเจ้าหน้าที่เวียดนามระบุว่าเครื่องบินที่บินระยะต่ำพบเห็นวัตถุต้องสงสัย แม้ยังไม่สามารถยืนยันชัดเจนได้ว่าเป็นชิ้นส่วนของโบอิ้งลำนี้


เวลาผ่านไป 1 วันครึ่งแล้วหลังจากเที่ยวบิน MH370 ของมาเลเซียแอร์ไลน์สูญหายไป แต่จนกระทั่งถึงคืนวันอาทิตย์ ก็ยังไม่มีการยืนยันแน่นอนว่าได้มีการค้นพบซากใดๆ ของเครื่องบินลำนี้ รวมทั้งช่วงนาทีท้ายๆ ก่อนที่มันจะหายลับ ก็ยังคงเป็นปริศนาที่ไม่มีคำตอบ ทั้งนี้เครื่องบินลำนี้ซึ่งกำลังบรรทุกผู้โดยสารและลูกเรือรวม 239 คน ได้ขาดการติดต่อกับทางหอบังคับการบินภาคพื้นดินไปเฉยๆ ขณะบินอยู่กลางทะเลระหว่างมาเลเซียกับเวียดนาม หลังจากที่บินขึ้นจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ในตอนเช้ามืดวันเสาร์ สู่จุดหมายปลายทางที่กรุงปักกิ่ง ปฏิบัติการการค้นหาขนาดใหญ่ ซึ่งมีรายงานว่ามีประเทศต่างๆ ส่งเครื่องบินมาช่วยเหลือ 22 ลำ และเรือชนิดต่างๆ อีก 40 ลำ ครอบคลุมน่านน้ำระหว่างมาเลเซียไปจนจรดฟิลิปปินส์ ยังคงไม่พบร่องรอยชัดเจนของเครื่องบินไอพ่นลำนี้ ถึงแม้พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของเวียดนามกล่าวกับสำนักข่าวเอพีในคืนวันอาทิตย์ว่า เครื่องบินที่บินในระยะต่ำลำหนึ่งได้พบเห็นวัตถุรูปสี่เหลี่ยมในน้ำ บริเวณห่างจากเกาะโถจู ไปทางใต้ราว 90 กิโลเมตร ซึ่งก็เป็นพื้นที่เดียวกับที่พบเห็นรอยคราบน้ำมันเป็นแนวกว้างในวันเสาร์นั่นเอง พวกสื่อของทางการเวียดนามพากันคาดเดาว่าวัตถุดังกล่าวนี้อาจจะมาจากเครื่องบินที่กำลังค้นหากันอยู่ก็ได้ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารการบินพลเรือน ฝ่าม เวียต ดุง แถลงว่า เวียดนามได้แจ้งให้ทีมค้นหาต่างๆ ทั้งของเวียดนามและประเทศอื่นๆ ให้ส่งเรือไปยังบริเวณดังกล่าวเพื่อตรวจสอบแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของเวียดนามได้เคยระบุว่า พบเห็นวัตถุสีส้มในพื้นที่ตรงนั้น แต่เมื่อมีการตรวจสอบก็ปรากฏว่าไม่ใช่สิ่งที่มาจากเครื่องบินที่หาย ส่วนทางด้านสำนักข่าวเอเอฟพีก็อ้างเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่เปิดเผยนามผู้หนึ่งจากคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อการค้นหาและกู้ภัยของเวียดนาม ให้ข้อมูลคล้ายๆ กันว่า เครื่องบินของเวียดนามลำหนึ่งพบวัตถุที่อยู่ในสภาพแตกหัก 2 ชิ้นที่ดูเหมือนจะมาจากเครื่องบิน ในบริเวณห่างจากเกาะโถจูไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 80 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่ผู้นี้กล่าวว่า เนื่องจากเป็นเวลากลางคืน ผู้อยู่บนเครื่องบินจึงไม่สามารถนำเอาวัตถุต้องสงสัยขึ้นมาจากน้ำเพื่อตรวจสอบให้ชัดเจน โดยทำได้เพียงระบุตำแหน่งของบริเวณดังกล่าวจากนั้นก็บินกลับมาที่สนามบิน ทั้งนี้จะมีการส่งเครื่องบินและเรือไปตรวจสอบใหม่ในวันจันทร์ (10) สำหรับโบอิ้ง 777 ที่กำลังค้นหากันอยู่นี้ ดูเหมือนจะตกลงมาจากท้องฟ้าในระดับความสูงที่ใช้ในการบินตามปกติ ท่ามกลางอากาศที่แจ่มใส และนักบินดูเหมือนไม่สามารถหรือไม่มีเวลาเลยที่จะส่งสัญญาณให้ทราบว่าเกิดปัญหาขึ้น อันนับเป็นสภาวการณ์ที่ผิดปกติสำหรับเครื่องบินโดยสารไอพ่นสมัยใหม่ที่บริหารโดยสายการบินมืออาชีพเช่นนี้ พล.อ.อ.ร็อดซาลี ดาวุด ผู้บัญชาการกองทัพอากาศมาเลเซีย แถลงข่าวในวันอาทิตย์ว่า ข้อมูลจากเรดาร์ของฝ่ายทหารบ่งชี้ให้เห็นว่า เครื่องบินลำนี้อาจจะได้หันหัวเลี้ยวกลับ แต่เขาก็ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าเครื่องบินเลี้ยวไปทางไหน หรือบินออกนอกเส้นทางมากน้อยเพียงใด

ขณะที่ อาหมัด เยาหะรี ยาหยา ซีอีโอของมาเลเซียแอร์ไลน์ กล่าวว่า ถ้าหากเครื่องบินหันหัวเลี้ยวกลับแล้ว นักบินควรต้องแจ้งให้สายการบินและเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศรับทราบ “แต่จากที่เรารู้มา ไม่มีสัญญาณแสดงความยากลำบาก หรือการติดต่อเพื่อบอกให้ทราบถึงความยากลำบากอะไรเลย ดังนั้น เราจึงรู้สึกงุนงงพอๆ กับคนอื่นๆ” ในคืนวันเดียวกัน ทางด้าน ฮิชามมุดดิน ฮุสเซน รัฐมนตรีคมนาคมขนส่งมาเลเซียระบุว่า หน่วยข่าวกรองและหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายของประเทศ กำลังตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับผู้โดยสารต้องสงสัย 2 คน หลังจากพบว่า ผู้โดยสาร 2 คนบนเที่ยวบินที่หายไปใช้หนังสือเดินทางที่ขโมยมา “ผมสามารถยืนยันได้ว่า เรามีภาพของบุคคลทั้ง 2 นี้ที่ได้จากระบบโทรทัศน์วงจรปิดแล้ว” เขากล่าวและบอกว่ากำลังตรวจสอบภาพเหล่านี้อยู่ “เรามีพวกหน่วยข่าวกรอง ทั้งของมาเลเซียเองและของนานาชาติ เข้ามาร่วมมือด้วย” รัฐมนตรีผู้นี้เผย แต่ไม่ยอมให้รายละเอียดมากกว่านี้ โดยบอกว่าอาจเป็นผลเสียต่อการสืบสวน ทางด้านตำรวจสากล (อินเตอร์โพล) ยืนยันว่า มีผู้โดยสารบนเครื่องบินที่หายไปลำนี้อย่างน้อย 2 คน ใช้หนังสือเดินทางที่ถูกขโมย พร้อมระบุว่าก่อนเกิดเหตุไม่ได้มีใครตรวจสอบฐานข้อมูลของตำรวจสากลในเรื่องนี้ แต่อันที่จริงแล้ว สายการบินส่วนใหญ่และประเทศส่วนใหญ่ปกติก็มักไม่ได้ทำการตรวจสอบเรื่องหนังสือเดินทางที่ถูกขโมยสำหรับหนังสือเดินทางที่ถูกขโมยมาดังกล่าว ทางการผู้รับผิดชอบทางยุโรปยืนยันว่า เป็นของคริสเตียน โคเซล ชาวออสเตรีย และลุยจิ มารัลดี ชาวอิตาลี ซึ่งถูกขโมยในประเทศไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โอเปอเรเตอร์บริการสายด่วนของสายการบินเคแอลเอ็มในจีนยืนยันเมื่อวันอาทิตย์ว่า มีผู้จองตั๋วจากปักกิ่งไปอัมสเตอร์ดัมในวันที่ 8 โดยใช้ชื่อ “มารัลดี” และ “โคเซล” ทั้งนี้ผู้ที่ใช้ชื่อมารัลดี ยังจองตั๋วบินต่อจากอัมสเตอร์ดัมไปยังโคเปนเฮเกนโดยเครื่องของเคแอลเอ็มในวันเดียวกัน ส่วนโคเซลก็ต่อไปที่แฟรงเฟิร์ต ทั้งคู่สำรองตั๋วผ่านสายการบินไชน่า เซาเทิร์น ทั้งนี้ จากการจองตั๋วเดินทางจากปักกิ่งต่อไปยังยุโรปเช่นนั้น ทำให้คนทั้งคู่ซึ่งถือหนังสือเดินทางยุโรป ไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าเข้าจีน ด้านไชน่า เซาเทิร์น ซึ่งมีข้อตกลงรหัสการบินร่วมกับเอ็มเอเอส ระบุว่า ในเที่ยวบินที่สูญหายมีผู้โดยสารอิตาลี 1 คนและออสเตรีย 1 คน ขณะที่ในรายชื่อผู้โดยสารของเอ็มเอเอส ไม่ปรากฏผู้โดยสาร 2 สัญชาตินี้คนอื่นอีก ขณะเดียวกัน สื่อของทางการจีนเผยว่า ชาวจีนคนหนึ่งที่หมายเลขหนังสือเดินทางไปปรากฏบนรายชื่อผู้โดยสารเที่ยวบินดังกล่าวยังคงอยู่ในจีน และไม่เคยแจ้งว่า หนังสือเดินทางถูกขโมยไปแต่อย่างใด ที่วอชิงตัน เจ้าหน้าที่คนหนึ่งในคณะรัฐบาลสหรัฐฯเผยว่า อเมริการับรู้เรื่องหนังสือเดินทางที่ถูกขโมยแล้ว แต่ไม่ได้นำประเด็นนี้ไปเชื่อมโยงกับการก่อการร้ายในทันที ขณะที่เจ้าหน้าที่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ลอสแองเจลีส ไทมส์ว่า ผู้ถือหนังสือเดินทางที่ถูกขโมยอาจขโมยหรือซื้อหนังสือเดินทางดังกล่าวมาจากตลาดมืด หนังสือเดินทางที่ถูกขโมยและการหายไปอย่างปัจจุบันทันด่วนของเครื่องบิน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า มีความเกี่ยวโยงกับความเป็นไปได้ที่จะมีระเบิดซุกซ่อนอยู่บนเครื่อง ตอกย้ำความกังวลว่าการก่อการร้ายอาจเป็นสาเหตุของเหตุการณ์นี้ และกลุ่มอัลกออิดะห์เคยใช้วิธีนี้เพื่อปกปิดตัวตนของนักปฏิบัติการของตน ทางด้าน พอล เฮเยส ผู้อำนวยการบริษัทที่ปรึกษาด้านการบิน ไฟลต์โกลบัล แอสเซนด์ ชี้ว่า การที่เครื่องบินหายไปกะทันหันบ่งชี้ว่า มีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกระทั่งนักบินไม่มีโอกาสแจ้งเตือน หรือลูกเรือกำลังวุ่นวายกับการรับมือสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีสาเหตุที่เป็นไปได้อื่นๆ เช่น เครื่องยนต์บกพร่องรุนแรง ความผิดพลาดหรือกระทั่งการฆ่าตัวตายของนักบิน ทั้งนี้ทั้งนั้น การระบุสาเหตุที่แท้จริงต้องใช้ข้อมูลจากอุปกรณ์บันทึกการบินและการตรวจสอบซากเครื่องบินอย่างละเอียด ซึ่งต้องใช้เวลานานเป็นเดือนหรือเป็นปี เที่ยวบินที่สูญหายนี้มีผู้โดยสาร 227 คน และลูกเรือ 12 คน ผู้โดยสารที่เป็นคนจีนมี 153 คน เครื่องโบอิ้ง 777 นั้นมีประวัติความปลอดภัยที่ดี โดยเหตุการณ์นี้ถือเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงครั้งที่ 2 ในรอบระยะเวลาเกือบ 20 ปีของเครื่องบินรุ่นนี้ ครั้งก่อนหน้านี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วที่เครื่องของสายการบินเอเชียนา แอร์ไลน์ของเกาหลีใต้ ไถลออกนอกรันเวย์หลังจากกระแทกกับแนวรั้วริมทะเลในซานฟรานซิสโก ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 คน


เอเจนซีส์ – จีนประกาศใช้ทรัพยากรทั้งหมดและทุกวิถีทางเพื่อไล่ล่าและลงโทษ “ผู้ก่อการร้าย” ในคุนหมิง ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 29 คน ไม่รวม “คนชุดดำ” ที่ก่อเหตุใช้มีดไล่ฟันคนในสถานีรถไฟที่โดนวิสามัญอีก 4 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 143 คน ผู้เชี่ยวชาญชี้เป็นการโจมตีรูปแบบใหม่ของมุสลิมอุยกูร์ที่ขยายขอบเขตเป้าหมายออกนอกฐานที่ตั้งในเมืองซินเจียง สำนักข่าวซินหัวรายงานเมื่อวันอาทิตย์ (2) ว่า ตำรวจจีนได้ยิงผู้โจมตี 4 คนเสียชีวิต จับได้ 1 คนและกำลังตามล่าอีก 5 คนที่ร่วมกันโจมตีผู้โดยสารในสถานีรถไฟคุนหมิง มณฑลยูนนาน เมื่อคืนวันเสาร์ (1) ขณะที่สถานีซีซีทีวีของทางการจีนรายงานว่า ผู้โจมตี 2 คนเป็นผู้หญิง คนหนึ่งถูกตำรวจยิงตาย อีกคนถูกจับได้และนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ผู้ก่อเหตุแต่งชุดดำจู่โจมเข้าสู่สถานีรถไฟ และใช้มีดขนาดใหญ่และมีดสปาร์ตาไล่ฟันแทงผู้คนไม่เลือก สำนักข่าวซินหัวรายงานโดยอ้างแถลงการณ์ของรัฐบาลท้องถิ่นว่า ไม่สามารถระบุตัวตนของผู้โจมตีได้ แต่จากหลักฐานบ่งชี้ว่า นี่เป็นการก่อการร้ายที่ดำเนินการโดยกองกำลังแบ่งแยกดินแดนในซินเจียง ซินหัวยังเผยว่า นอกจากผู้โจมตี 4 คนแล้ว ยังมีประชาชนเสียชีวิตอีก 29 คน และบาดเจ็บ 143 คน ทั้งนี้ ซินเจียงที่อยู่ทางตะวันตกของจีนเป็นที่ตั้งของกลุ่มมุสลิมอุยกูร์ที่ต่อต้านการปกครองของจีน และปักกิ่งตอบโต้ด้วยการบังคับกดขี่ การโจมตีที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนอุยกูร์ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อเหตุนั้นส่วนใหญ่เกิดขึ้นในซินเจียง ที่มีการปะทะบ่อยครั้งระหว่างชนกลุ่มน้อยอุยกูร์กับชาวจีนเชื้อสายฮั่นซึ่งเป็นคนหมู่มาก ทว่า เหตุการณ์เมื่อวันเสาร์เกิดขึ้นห่างจากซินเจียงถึงกว่า 1,000 กิโลเมตร นอกจากนั้นยังไม่เคยมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นในยูนนานมาก่อน กระนั้น การโจมตีโดยใช้รถบรรทุกระเบิดพลีชีพที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในกรุงปักกิ่งเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 คนรวมถึงผู้ก่อเหตุคือชาวอุยกูร์ 3 คนนั้น ถือเป็นสัญญาณเตือนภัยว่า กลุ่มนักรบอาจเปลี่ยนยุทธวิธีและมุ่งโจมตีเป้าหมายที่ไม่มีการป้องกันในพื้นที่อื่นๆ ในจีน ฌอน โรเบิร์ตส์ นักมานุษยวิทยามหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตันในสหรัฐฯ ที่ศึกษาชนเผ่าอุยกูร์และจีนมาถึง 2 ทศวรรษ ชี้ว่า ความรุนแรงในคุนหมิงอาจบ่งชี้การโจมตีรูปแบบใหม่ของมุสลิมอุยกูร์ นั่นคือการโจมตีที่มีการวางแผนล่วงหน้าที่เกิดขึ้นนอกซินเจียง นอกจากนี้ การที่ผู้ก่อเหตุยังคงใช้อาวุธธรรมดาทั่วไป ไม่มีระเบิดหรือเทคนิคซับซ้อน จึงบ่งชี้ว่า ไม่มีเครือข่ายก่อการร้ายระดับโลกมาเกี่ยวข้องด้วยแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลปักกิ่งถือว่า นี่เป็นเหตุการณ์รุนแรงอย่างมาก เห็นได้จากการส่งเมิ่ง เจี้ยนจู้ รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสมาชิกคณะกรมการเมือง ไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลและไปดูสถานที่เกิดเหตุเมื่อวันอาทิตย์ ความรุนแรงในคุนหมิงยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาอ่อนไหว เนื่องจากบรรดาผู้นำการเมืองเตรียมเปิดประชุมสภาประจำปีที่ปักกิ่งในวันพุธ (4) ซึ่งรัฐบาลของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีกำหนดแถลงผลงานการบริหารประเทศขวบปีแรก สีเรียกร้องให้ใช้ทรัพยากรและวิธีการทั้งหมดที่มีเพื่อนำคนผิดมาลงโทษ และในแถลงการณ์ สำนักงานบริหารจัดการความมั่นคงภายใต้กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ ยังระบุว่า ตำรวจจะปราบปรามผู้ก่ออาชญากรรมตามกฎหมายโดยไม่มีการละเว้นใดๆ อย่างไรก็ดี ปักกิ่งปฏิเสธเสียงวิจารณ์จากผู้ถูกเนรเทศและกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่ว่า ความไม่สงบที่เกิดขึ้นเป็นผลจากความไม่พอใจต่อนโยบายของรัฐบาลมากกว่าการคุกคามจากกลุ่มหัวรุนแรงที่ต้องการตั้งรัฐเอกราชเตอร์กิสถานตะวันออก พลเรือตรีหยิน จิว แห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ถึงขั้นฟันธงว่า การโจมตีที่มีการวางแผนมาอย่างดีครั้งนี้เป็นปัญหาการก่อการร้ายที่เชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้ายภายนอกประเทศเหตุการณ์นี้ถือเป็นการโจมตีครั้งรุนแรงที่สุดที่เชื่อว่าเกิดจากความขัดแย้งระหว่างมุสลิมอุยกูร์กับชาวฮั่น นับจากเหตุจลาจลในเมืองอูรุมชี เมืองหลวงของซินเจียง ในปี 2009 ที่ชาวอุยกูร์โจมตีชาวฮั่นไม่เลือกหน้าบนท้องถนน และทำให้ผู้หญิงและเด็กเสียชีวิต และไม่กี่วันต่อมา ชาวฮั่นกลุ่มหนึ่งรวมตัวแก้แค้นโจมตีชาวอุยกูร์ในเมืองเดียวกัน รวมแล้วมีผู้เสียชีวิตเกือบ 200 คน

'บิทคอยน์' สกุลเงินแห่งอนาคต อวสานแล้วจริงหรือ เมื่อโลกออนไลน์เริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ การซื้อขายของบนอินเทอร์เน็ตก็มีความคึกคักมากขึ้น สกุลเงินดิจิตอล หรือ "บิทคอยน์" จึงถูกมองว่า จะเป็นเงินที่นำมาใช้แทนเงินจริงได้ในอนาคต แต่หลังจากเว็บไซต์แลกเปลี่ยนเงินดิจิตอลอย่าง "เมานท์กอกซ์" ปิดตัวลงไปล่าสุด อนาคตของ "บิทคอยน์" จึงเริ่มไม่น่าไว้ใจ "บิทคอยน์" เป็นสกุลเงินดิจิตอลที่มีการคิดค้นขึ้นในปี 2552 โดยชายนิรนามผู้หนึ่ง และได้รับความนิยมมากขึ้นในระยะหลังมานี้ ถึงขนาดมีตู้เอทีเอ็มสำหรับ "บิทคอยน์" ให้บริการในหลายประเทศแล้ว หลายคนมองว่า ในอนาคตอันใกล้ เราอาจหันมาใช้สกุลเงินนี้เป็นสกุลเงินหลักแทนเงินจริง และไม่ต้องดำเนินการผ่านธนาคารแต่อย่างใด ทำให้สะดวกกว่าการเดินทางไปทำธุรกรรมการเงินที่ธนาคาร และมีการรับรองความปลอดภัย ปัจจุบัน ถ้าใครต้องการครอบครอง "บิทคอยน์" สามารถแลกเงินจริงเป็นเงินดิจิตอล ไว้ใช้จ่ายออนไลน์ได้ หรือถ้าไม่ต้องการเสียเงินจริง ก็สามารถติดตั้งโปรแกรมขุดเหมือง "บิทคอยน์" ให้โปรแกรมดังกล่าวเป็นตัวค้นหาเงินที่ซ่อนอยู่ในเหมืองออนไลน์ ซึ่งมีจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้าน "บิทคอยน์" เท่านั้น ทั้งยังไม่มีใครสามารถเพิ่มจำนวนให้มากไปกว่านี้อีกแล้ว "บิทคอยน์" จึงแตกต่างจากสกุลเงินจริงที่จะมีธนาคารกลางของแต่ละประเทศคอยให้การสนับสนุนอยู่ ความแตกต่างนี้ทำให้บางคนมองว่าเป็นเรื่องดีที่รัฐไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงกลไกตลาดซื้อขาย "บิทคอยน์" ได้ แต่ในทางกลับกัน การไม่มีธนาคารกลางสนับสนุน ทำให้ไม่มีใครสามารถการันตีได้ว่า สกุลเงินนี้จะมีความมั่นคงมากแค่ไหน ทั้งนี้ ยังไม่รวมความเสี่ยงจากเหล่าแฮกเกอร์ที่อาจป่วนเว็บไซต์บัญชีออนไลน์ และสร้างสถานการณ์ให้คนเทขาย "บิทคอยน์" เพื่อที่ตัวเองจะได้ช้อนซื้อได้ในราคาถูกอีกด้วย ล่าสุด เว็บไซต์ "เมานท์กอกซ์" เพิ่งปิดตัวลงกะทันหัน โดยให้เหตุผลว่าเว็บไซต์ถูกแฮ็กเกอร์ขโมยข้อมูลของผู้ใช้ทั้งหมด ทำให้ไม่สามารถให้บริการ และอาจไม่สามารถคืนเงินในบัญชีได้ เว็บไซต์ดังกล่าวนับเป็นเว็บสำหรับแลกเปลี่ยน "บิทคอยน์" เป็นเงินจริงที่ใหญ่ที่สุดในโลก คนจำนวนมากที่มีบัญชีอยู่ในเว็บไซต์นี้จึงตื่นตระหนก และอาจนำไปสู่การฟ้องล้มละลายเว็บไซต์ดังกล่าวอีกด้วย ส่วนวุฒิสภาสหรัฐฯ จึงเสนอให้มีการพิจารณาว่าควรแบน "บิทคอยน์" ตามอย่างประเทศไทย และจีนหรือไม่ สำหรับประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ประกาศให้สกุลเงินดิจิตอลเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ทั้งการแลกเปลี่ยนและการใช้ "บิทคอยน์" ซื้อขายออนไลน์ โดยให้เหตุผลว่าเงินนี้อาจส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท ขณะที่จีนยังอนุญาตให้ใช้ซื้อขายออนไลน์ แต่ห้ามแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราของจริง

รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTV เกิดเหตุกลุ่มติดอาวุธที่มีจุดยืนสนับสนุนรัสเซีย บุกเข้ายึดสนามบินทหารอีกแห่งหนึ่งในสาธารณรัฐปกครองตนเองไครเมียของยูเครนในวันอาทิตย์ (9) ขณะที่นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิลแห่งเยอรมนีเตือนรัสเซียจะโดนคว่ำบาตรหนัก หากคิดแบ่งแยกไครเมียออกจากยูเครน  รายงานข่าวซึ่งอ้าง วลาดิสลาฟ เซเลซน์ยอฟ โฆษกกระทรวงกลาโหมของไครเมีย ระบุว่า กลุ่มติดอาวุธที่แต่งกายในชุดเครื่องแบบทหารจำนวนประมาณ 80 คน พร้อมด้วยพลเรือนจำนวนหนึ่งได้ปิดกั้นทางเข้าสนามบินทหารแห่งหนึ่ง ที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านซากิ ก่อนที่จะบุกเข้าไปภายในและมีการจัดตั้งแท่นยิงปืนกลตลอดความยาวของทางวิ่งภายในสนามบินดังกล่าว ก่อนหน้านี้ กำลังทหารของรัสเซียได้เข้าควบคุมจุดยุทธศาสตร์หลายแห่งทั่วสาธารณรัฐไครเมีย รวมถึง สนามบินทหาร “เบลเบ็ค” และสนามบินพลเรือนหลักในเมืองซิมเฟโรโพล โดยปราศจากการต่อต้านจากประชาชนในไครเมีย ที่ส่วนใหญ่ต้องการแยกตัวออกจากยูเครนและไปรวมเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย หลังเกิดการปฏิวัติทางรัฐสภาในกรุงเคียฟของยูเครนซึ่งมีผลทำให้ประธานาธิบดีวิคตอร์ ยานูโควิช ผู้นำที่มีจุดยืนโปรรัสเซียต้องถูกถอดออกจากอำนาจ และมีการสถาปนารัฐบาลใหม่ของยูเครนที่โปรตะวันตกเข้ามาบริหารประเทศเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันมีรายงานในวันอาทิตย์ (9)ว่า ทหารรัสเซียจำนวนหนึ่งได้เข้าควบคุมพื้นที่จุดตรวจแห่งหนึ่ง บริเวณชายแดนด้านตะวันตกของไครเมียที่ติดต่อกับยูเครนแล้ว โดยจุดตรวจดังกล่าวถือเป็นจุดตรวจแห่งที่ 11 แล้ว บริเวณชายแดนไครเมีย-ยูเครน ที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารรัสเซีย ทั้งนี้ มีรายงานว่า ก่อนการบุกยึดจุดตรวจดังกล่าวซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเยฟปาโทริยา กองกำลังของรัสเซียได้ยื่นคำขาดให้ทหารของยูเครนยอมจำนน หรือต้องเผชิญกับการบุกเข้ายึดของทหารรัสเซีย แต่ไม่มีรายงานการปะทะกันระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายในเวลาต่อมา ในอีกด้านหนึ่ง นายกรัฐมนตรีหญิงอังเกลา แมร์เคิลแห่งเยอรมนี ออกโรงเตือนประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียโดยระบุว่า การจัดลงประชามติเพื่อแยกตัวจากยูเครนของไครเมีย ที่มีรัฐบาลมอสโกหนุนหลังนั้น ถือเป็นเรื่องที่มิชอบด้วยกฏหมาย และเข้าข่ายละเมิดรัฐธรรมนูญของยูเครนอย่างชัดเจน นายกรัฐมนตรีหญิงของเยอรมนียังเตือนว่า รัสเซียอาจต้องเผชิญมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากโลกตะวันตก หากยังดึงดันเดินหน้าแผนผนวกไครเมียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแดนหมีขาว แม้ประชาชนส่วนใหญ่ในไครเมียจะมีเชื้อสายรัสเซีย และผูกพันกับรัสเซียก็ตาม เอเจนซีส์ - ในคืนวันศุกร์ (7) พบกลุ่มทหารรับจ้างอเมริกัน “แบล็กวอเตอร์” ลาดตระเวนในเมืองโดเนตสค์ (Donetsk) หลังมีคลิปโชว์กลุ่มติดอาวุธอยู่ในเมืองทางภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งตรงกับคำอ้างของรัสเซียที่เปิดเผยว่า มีทหารรับจ้างราว 300 นายได้เดินทางเข้ามายังกรุงเคียฟในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะเดียวกัน เรือพิฆาต USS Truxtun ของสหรัฐฯได้แล่นผ่านตุรกีเข้ามายังทะเลดำ ที่ไครเมียกำลังจะจัดให้มีการลงประชามติเพื่อตัดสินอนาคต และล่าสุดเอพีพบกองรถบรรทุกรัสเซียกว่า 60 คันเมื่อวานนี้ (8) เพื่อเร่งเสริมกำลังในไครเมีย มีวิดีโอคลิปอย่างน้อย 2 ชิ้นที่ถูกเปิดเผยผ่านยูทิวบ์ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ และมีคำบรรยายเป็นภาษารัสเซียแสดงถึง กลุ่มทหารที่ติดอาวุธหนักที่ไม่ติดสัญลักษณ์ใดๆในเมืองทางภาคตะวันออกของยูเครนที่ให้การสนับสนุนรัสเซีย และหนึ่งในคลิป จะได้ยินเสียงตะโกน “แบล็กวอเตอร์! แบล็กวอเตอร์!” ในขณะที่กลุ่มทหารรับจ้างกำลังวิ่งจ็อกกิงอยู่ในเมือง ซึ่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา เมืองโดเนตสค์ (Donetsk) มีภาพความไม่สงบที่ชาวเมืองที่หนุนรัสเซียได้เข้ายึดตึกที่ทำการของเมือง และตึกหน่วยงานรัฐต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในเมืองโดเนตสค์ และในวันศุกร์ (7) มีภาพชาวเมืองหลายพันคนโบกธงชาติรัสเซีย เรียกร้องการลงประชามติตัดสินอนาคตของภูมิภาคตะวันออกยูเครนนี้ ด้านนักการทูตรัสเซียได้เปิดเผยต่อสำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์ในวันพุธ (5) ว่า มีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทเอกชนสหรัฐฯ 300 นาย ได้เดินทางเข้ามายังยูเครน “มีกลุ่มทหารรับจ้างเข้ามา ซึ่งเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ทำงานสังกัดบริษัทเอกชนที่ออกปฏิบัติการในอิรัก อัฟกานิสถาน และประเทศอื่นๆ” แหล่งข่าวกล่าว และอินเตอร์แฟกซ์ได้รายงานต่อว่า นักการทูตรัสเซียผู้นี้ไม่ได้เปิดเผยสัญชาติของเหล่านักรบทหารรับจ้างแต่กล่าวเพียงว่า “ทหารรับจ้างพวกนี้เดินทางมาจากสหรัฐฯ” และถามว่าเหล่าทหารที่พบเห็นในคลิปนี้มาจาก “อคาเดมี” ซึ่งชื่อปัจจุบันของกลุ่มแบล็กวอเตอร์ ดอกเตอร์ นาฟีซ อาห์เหม็ด ผู้เชี่ยวชาญทางความมั่นคงแห่งสถาบันสำหรับวิจัยนโยบายและการพัฒนา หรือ IPRD ของอังกฤษ กล่าวยอมรับว่า ยากที่จะคาดแต่ยังคงมีความเป็นไปได้ที่ว่ากลุ่มทหารรับจ้างจากสหรัฐฯจะถูกส่งมาปฏิบัติการในยูเครน เพราะกลุ่มแบล็กวอเตอร์ถูกใช้ในทุกสนามรบ และเสริมว่าชุดเครื่องแบบที่สวมใส่ตรงกับชุดของทหารรับแบล็กวอเตอร์มากกว่าชุดเครื่องแบบของทหารรับจ้างจากรัสเซีย แต่ยังตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมจึงให้วิ่งอยู่ในจุดที่สนใจ และอาจเป็นไปได้ว่านี่เป็นหนึ่งในการจัดฉากของรัสเซีย “แบล็กวอเตอร์” ถูกก่อตั้งในปี 1997 โดยอีริค พรินซ์ อดีตทหารหน่วยซีลสหรัฐฯ และเป็นหนึ่งบริษัทความปลอดภัยไม่กี่บริษัทที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯเลือกใช้ในปฏิบัติการปกป้องประชาธิปไตยในต่างแดน และในปี 2003 ที่อิรัก แบล็กวอเตอร์ได้เข้าร่วมในปฎิบัติการทางทหารและกิจการของบริษัทมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก แต่เป็นเพราะเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่กระทำโดยเจ้าหน้าที่ของบริษัท เป็นผลให้แบล็กวอเตอร์ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น “XI” และภายหลังเป็น “อคาเดมี” ในปัจจุบันนี้ นอกจากทำงานให้สหรัฐฯในฐานะบริษัทคอนแทร็กแล้ว “แบล็กวอเตอร์” ยังถูกมองว่าเป็นกองทัพของเอกชนที่ปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯโดยไม่ต้องใช้กองทัพสหรัฐฯยุ่งเกี่ยว และจริงอยู่ที่ใครก็ได้สามารถจ้างแบล็กวอเตอร์ให้ทำงานให้ได้ แต่คนนั่งในบอร์ดบริหารของบริษัทนั้นรวมไปถึง จอห์น แอชครอฟท์ อดีตอัยการสหรัฐฯ และบ็อบบี้ เรย์ อินแมน อดีตผู้อำนวยการหน่วยงาน NSA  นอกจากนี้ยังพบว่า เรือพิฆาต USS Truxtun ของสหรัฐฯได้แล่นผ่านตุรกีเข้ามายังทะเลดำในขณะที่ไครเมียกำลังจะจัดให้มีการลงประชามติเพื่อตัดสินอนาคตของไครเมียในเร็วๆนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้เพนตากอนได้เปิดเผยกับเอเอฟพีว่า เรือพิฆาต USS Truxtun ได้มุ่งหน้าไปตามกำหนดแผนเดิมเพื่อทำการฝึกกับกองทัพเรือบัลแกเรีย และโรมาเนีย ในขณะเดียวกัน ฟ็อกซ์นิวสได้รายงานว่า กองกำลังนาโตได้ปรากฏตัวขึ้นแถบทะเลดำเป็นมาตรการป้องกันความก้าวร้าวทางทหารของรัสเซียในไครเมีย และล่าสุดในวันเสาร์ (8) เอพีรายงานว่า รัสเซียได้เสริมทหารเข้าไครเมีย พบว่ามีรถคอนวอยของกองทัพรัสเซียที่ไม่ติดแผ่นป้ายจำนวนมากกว่า 60 คันได้มุ่งหน้าอยู่บนถนนเส้นจากฟีโอโดเซีย ที่อยู่ทางตะวันออกของของยูเครนไปยังซิมเฟโรโปลในไครเมีย ในขณะที่กระทรวงต่างประเทศรัสเซียปฎิเสธที่จะเจรจากับรัฐบาลยูเครนรักษาการ โดยอ้างว่าเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดของชาติตะวันตก ซึ่งเอพีสามารถพบขบวนรถทหารของรัสเซียแล่นอยู่บนถนนในบ่ายวันเสาร์ (8) ทางใต้ 40 กม.จากฟีโอโดเซีย เพื่อไปยังสนามบินทางทหารในGvardeiskoe ซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของซิมเฟโรโปล นั้นประดับธงชาติรัสเซียเต็มไปหมด โดยนักข่าวเอพีรายงานต่อว่า รถลำเลียงทหารสีเขียวบางคันติดแผ่นป้ายรัสเซียที่ชี้ว่ามาจากแถบมอสโก และบางคันพ่วงครัวเคลื่อนที่ และอุปกรณ์การแพทย์


วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557

พิภพราชา ภาค2 (ตอน25-26)


                                                      

พิภพราชา ภาค2 (ตอน23-24)











 
 

 
 

พิภพราชา ภาค2 (ตอน21-22)





พิภพราชา ภาค2 (ตอน19-20)


พิภพราชา ภาค2 (ตอน17-18)