วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

เอาไอ้ปลวกของแกคืนไป เอาป่าของเราคืนมา


ในเวลานี้ ถ้าใครในประเทศนี้ยังไม่มีใครรู้ว่า เขา (รัฐบาลของไอ้ปลวก) จะเอาป่าผืนงามเหล่านี้ที่เหลืออยู่น้อยนิดในประเทศไทยของเราไปสร้างเป็นเขื่อนที่เรียกว่า "เขื่อนแม่วงก์" ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกได้มั๊ยว่าเป็นคนไทยที่ไม่ได้สนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยเราเลย ท่านเหล่านั้นไปอยู่ไหนมา จะอ้างว่าเป็นเพราะสื่อสารมวลชน ทั้งฟรีทีวี หนังสือพิมพ์ วิทยุต่างๆ ไม่ได้เสนอข่าวเลย จริงๆ ก็เป็นเช่นนั้น แต่เรามีสื่ออื่นๆ อีกมากที่นำเสนออย่างเจาะลึก และมากพออยู่ เช่น ช่องเคเบิ้ลทีวีที่เป็นช่องข่าวที่ไม่ใช่เครือข่ายของรัฐบาล โซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ รวมถึงเว็บไซต์ที่มีเว็บบอร์ดกระทู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แต่ถึงมันจะน้อยนิดเพียงใด แต่หากเป็นคนที่สนใจในปัญหาหรือเป็นผู้ที่มีความสนใจอยากจะทราบข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ คงไม่ยากเกินกำลังของผู้ที่สนใจหรอก ข่าวสารที่มีแพร่หลายทั่วไป ผู้เขียนคิดว่ามีมากพอให้หาได้ ดังนั้นประเด็นเรื่องที่ฟรีทีวีทุกช่องจะไม่เล่นประเด็นข่าวเรื่องนี้ ผู้เขียนคิดว่าพอจะเข้าใจได้อยู่ เพราะพวกเขาเหล่านั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ เรื่องอะไรจะให้มีการทำสกู๊ปข่าวเพื่อวิเคราะห์เจาะลึก หรืออีกนัยนึงก็คือมาแฉโครงการของรัฐที่จ้องจะงาบกันอยู่  ไอ้บรรดาคนไทยที่ไม่ได้สนใจปัญหาของประเทศอะไรทั้งสิ้น ต่อให้ฟรีทีวีหรือสื่อต่างๆ จะประโคมข่าวอย่างไรให้เอิกเกริก มันก็ไม่สนใจอยู่ดี ดูอย่าง ประเด็นข่าวเรื่องโครงการรับจำนำข้าวที่รัฐบาลทำเสียหาย,โครงการรถคันแรก บ้านหลังแรกที่มีการคืนสิทธิ์ใบจองหรือยอมให้ยึดรถยึดบ้าน,ข่าวเรื่องน้ำท่วมเสียหายต่างๆ ที่รัฐบาลไม่ได้เตรียมการอะไรไว้เลยผ่านมาเกือบ 2 ปี ,ปัญหาเศรษฐกิจข้าวของแพงที่เกิดจากการขึ้นราคาพลังงานต่างๆ และเกิดจากผลักขึ้นของค่าแรง,ค่าครองชีพ ,ปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ จนเกษตรกรต้องออกมาประท้วง ,ปัญหาความไม่สงบใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย ก็ไม่เห็นคนไทยโดยส่วนใหญ่จะออกมาตีโพยตีพายอะไรเลย ยังคงเป็นพวก "ไทยเฉย"

ประเด็นคือประเทศนี้มันมีปัญหาอยู่เพียงแค่เรื่องการจะสร้างเขื่อนอย่างเดียวหรือไม่ ตอบได้เลยว่า มันมีปัญหาเยอะแยะเต็มไปหมด เปรียบเสมือน สุนัขที่เป็นโรคสุนัขขี้เรื้อนนั่นแหละ แตะไปตรงจุดใดก็มีแต่แผล เชื้อโรค อันน่ารังเกียจแทบทั้งสิ้น เราจึงต้องมามองกันที่ปัญหาภาพรวมมากกว่า ว่าต้นตอมันอยู่ที่ไหน แล้วแก้ที่ต้นตอหรือสาเหตุนั้น อย่าได้หลงไปตามวาระที่นักการเมืองเหล่านี้คอยเบี่ยงประเด็นให้สังคมต้องคอยเต้นตาม จำได้ว่าตอนที่มีการแฉเรื่องคลิปลับถั่งเช่า ก็ถูกประเด็นเรื่องเจนนี่ชนม์สวัสดิ์มากลบเสียสนิท สื่อทั้งหลายถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเบี่ยงประเด็นให้สังคมพากันสนใจไปอีกทาง พอมางวดนี้รัฐบาลมันกำลังจะผ่านวาระ 3 เรื่องแก้รัฐธรรมนุญประเด็นที่มาของ ส.ว.ก็มาถูกกลบด้วยประเด็นข่าวการจะสร้างเขื่อนแม่วงก์ที่งวดนี้บรรดาโซเชียลมีเดียกำลังตกเป็นเหยื่อของการโยนประเด็นนี้มาเพื่อกลบข่าวการแก้ไขรัฐธรรมนูญจนมันผ่านไปเรียบร้อยแล้ว รอชงให้นายกฯทูลเกล้าถวาย ไปถึงขั้นตอนนั้นแล้ว ดังนั้น ปัญหาเกือบทุกปัญหาในประเทศนี้มันจึงอยู่ที่นักการเมือง ที่ไม่มีคุณภาพ ไม่มีสำนึกรับผิดชอบต่อบ้านเมือง เข้ามาเพื่อคอรัปชั่น แย่งชิงผลประโยชน์ ขาดจิตสำนึกที่เห็นประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ จะไม่บอกว่าปัญหาเกิดจากระบอบทักษิณแต่เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากระบบการเมืองไทยทั้งระบบ ระบบข้าราชการ ระบบพ่อค้านายทุนเอกชนของประเทศนี้ ถ้าทุกคนไม่เห็นแก่ตัว ประเทศนี้ก็จะมีรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทุจริตเชิงนโยบายต่างๆ  การที่ภาคเอกชนที่นำโดยนักธุรกิจชั้นนำจัดตั้งองค์กรขึ้นมาแล้วทำท่าขึงขังว่าจะต้านการคอรัปชั่นนั้น ผู้เขียนคิดว่าพวกนั้นทำเหมือนแค่มาพีอาร์ตนเอง สร้างภาพ ทำกิจกรรมเพียงแค่ผิวๆ ไม่กล้าที่จะสร้างเครือข่ายและมีปฏิกิริยาที่จะต่อต้านอย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ จังๆ ถามว่าพวกเขาไม่รู้หรือว่าใครคือตัวพ่อตัวแม่ของปัญหาการคอรัปชั่นในประเทศนี้ หรือในรัฐบาล เหตุใดเขาถึงไม่กล้าออกมาเดินหน้าชนอย่างเป็นทางการ และต้องทำจริงๆ จังๆ อย่างต่อเนื่องจึงจะได้ผล วาระแห่งชาติจริงๆ ของประเทศนี้ก็คือกำจัดนักการเมืองออกไปจากสารบบของการเมืองไทยไปเลย เราต้องการนักบริหารที่เป็นผู้บริหารมืออาชีพ คัดเลือกมาจากทุกสาขาอาชีพ ผู้เขียนเห็นด้วยกับแนวคิดของสภาประชาชนที่ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะปฏิรูประบบการเมืองไทย โดยที่ผู้บริหารประเทศที่เข้ามาทำงานการเมืองมีวาระเบื้องต้นแค่ 1 ปี ต้องมีการทำ KPI's ประเมินผลงานทุกๆ ปี ถ้าปีแรกผ่านเกณฑ์ ทำงานดี มีผลงาน ก็จ้างต่อเป็นปีๆ ไป พวกมือสมัครเล่นหมดสิทธิ์เข้ามาทำงานการเมือง ส่วนการศึกษาไม่สำคัญ คุณอาจจบแค่ ป.4,ม.6 หรือปริญญาตรี โท อะไรไม่สำคัญถ้าทำงานแล้วเข้าตาประชาชน มีผลงานก็ได้ไปต่อ ถ้าไม่ดีไม่ผ่านก็เปลี่ยนตัว สมาคมหรือสถาบันองค์กรของสาขาอาชีพนั้นจะเป็นผู้คัดเลือกหาคนที่ดีที่สุด เจ๋งที่สุดเข้ามาเป็นผู้แทนของเขา ส่วนพวกนักการเมืองอาชีพยังให้มีอยู่ในระบบแต่เหลือเพียงสัดส่วนแค่ 10% ของทั้งสภา เช่นถ้าสภามี 500 คน พวกนักการเมืองอาชีพที่มาจากการคัดสรรจากพรรคการเมือง (เลือกตั้งทางอ้อม) ขอมีได้แค่ 50 คน เลิกระบบการเลือกตั้งทางตรงโดยให้ประชาชนไปกากบาทที่คูหาไปเสีย (เพื่อขจัดการซื้อเสียง) อีกทั้งคนที่มาจากสาขาอาชีพนักการเมือง ต้องวางหลักทรัพย์หรือเงินสดค้ำประกันการเล่นการเมือง เสมือนคนที่จะเข้าทำงานในบริษัทเอกชนทั่วไปเขาทำกัน ถ้าไม่มีการโกงหรือทุจริต เมื่อพ้นจากตำแหน่งไปแล้วเงินค้ำประกันนี้ก็จะได้คืน เงินค้ำประกันนี้จะต้องวางเป็นอัตราส่วน 20% ของบัญชีฐานะการเงินของนักการเมืองคนนั้น เช่น ถ้าแจ้งฐานะการเงินบัญชีทรัพย์สินส่วนตัว ต่อ ป.ป.ช. ว่ามีทรัพย์สินเท่าไหร่ ก็ต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันหรือเงินสดเป็นจำนวน 20%ของบัญชีทรัพย์สินนั้น เช่น ถ้า นาย ก.แจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.ว่าตนเองมีเงินรวมกับทรัพย์สินเป็นเงิน 600 ล้านบาท ก็ต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันการเข้าสู่อาชีพนักการเมือง 120 ล้านบาท (ทั้งนี้รวมถึงบัญชีของภรรยา/สามีและบุตรของนักการเมืองคนนั้นด้วย เพื่อป้องกันการผ่องถ่ายทรัพย์สิน) ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วบรรดาพวกนักการเมืองอาชีพอาจจะโอดครวญว่าแล้วใครมันจะอยากมาเล่นการเมืองหล่ะนี่ ก็ขอบอกว่าถ้าไม่เล่นก็ดี ให้มันสูญพันธุ์ไปเลยได้ก็ดี เพราะนักการเมืองที่ไหนในโลกนี้ ถ้าจะเข้ามาก็ต้องรู้จักคำว่าเสียสละกันบ้าง เป็นบริบทเดียวกับนักการเมืองทั่วโลกทั้งนั้น ถ้าจะเข้ามาเพื่อหาประโยชน์ให้พวกพ้องตนเองหล่ะอย่ามาเลย การเสียสละเพียงแค่นี้ผู้เขียนคิดว่ามันยังน้อยไปด้วยซ้ำ เพราะประเทศนี้ไม่เหลืออะไรให้พวกแกมารุมทึ้งกันอีกแล้ว อีกทั้งควรมีการแก้กฏหมายให้มีศาลคอรัปชั่น (ไม่ใช่ไปแก้รัฐธรรมนูญในข้อที่พวกแกได้ประโยชน์กัน พอสำเร็จความใคร่และสมประโยชน์กันแล้วก็เตรียมจะเผ่นแนบไปอยู่ต่างประเทศกัน) ที่จะสามารถเล่นงานย้อนหลังนักการเมืองที่เข้ามาทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งจะเป็นคดีที่ไม่มีอายุความ และสามารถตามไปยึดทรัพย์ย้อนหลังได้ หากภายหลังพ้นอำนาจไป และตามสืบจนมีหลักฐานเอาผิด และสามารถยึดทรัพย์ได้ทั้งหมดแม้ว่ามีการผ่องถ่ายไปอยู่กับผู้ใดก็ตาม รวมถึงขอความร่วมมือไปถึงต่างประเทศเพือขออายัดทรัพย์ในต่างแดนด้วย หากมีหลักฐานส่งไปขอความร่วมมือกับรัฐบาลประเทศนั้นๆ จะแก้ปัญหาพวกนักเลือกตั้งหรืออาชญากรทางการเมืองทั้งหลายที่เข้ามาเล่นการเมืองเพื่อหวังโกงกินสร้างฐานะตนเองให้ร่ำรวยได้ อย่างน้อยก็ระดับนึง ไม่ทำให้ประเทศล่มสลายเหลือแต่ซากเหมือนอย่างในปัจจุบัน ลูกหลานไทยในยุคต่อไปจะได้เหลือสมบัติ หรือความมั่งคั่งที่คนรุ่นบรรพบุรุษของเขาสร้างเก็บเอาไว้เป็นมรดกตกทอดไว้บ้าง ไม่ใช่มีแต่กองมรดกที่อยู่ในรูปของหนี้สาธารณะ ที่บรรดาลูกหลานจะต้องมีภาระผ่อนใช้หนี้กันหัวโตไปถึงชาติหน้า หรืออีกหลายชาติก็ยังใช้ไม่หมด โดยที่ตนเองไม่ได้ก่อไว้

ข้อมูลของอุทยาทแห่งชาติแม่วงก์ โดยสังเขป

อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอปางศิลาทอง จังหวัดกำแพงเพชร และอำเภอแม่วงก์ และกิ่งอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธาร ตามเทือกเขาสูงชันก่อกำเนิดเป็นน้ำตกที่สวยงาม 4-5 แห่ง ทั้งเป็นต้นกำเนิดของลำน้ำแม่วงก์ที่สำคัญของจังหวัดนครสวรรค์ นอกจากนี้ยังมีแก่งหินทำให้เกิดน้ำตกเล็กๆ ตามแก่งหินนี้ ตลอดจนมีหน้าผาที่สวยงามตามธรรมชาติ มีเนื้อที่ประมาณ 558.750 ไร่ หรือ 894 ตารางกิโลเมตร ด้วย นายสวัสดิ์ คำประกอบ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือจากสำนักนายกรัฐมนตรีที่ นร 0104/9871 ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2526 ถึงปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.เถลิง ธำรงนาวาสวัสดิ์) ขอให้จัดพื้นที่ป่าแม่วงก์-แม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ซึ่งมีสภาพธรรมชาติและน้ำตกที่สวยงามหลายแห่ง สภาพป่าอุดมสมบูรณ์และเป็นป่าต้นน้ำลำธาร กำหนดเป็นอุทยานแห่งชาติ กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ จึงได้มีคำสั่งกรมป่าไม้ที่ 1290/2526 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2526 ให้นายชัยณรงค์ จันทรศาลทูล นักวิชาการป่าไม้ 4 ไปดำเนินการสำรวจหาข้อมูล ปรากฏว่า พื้นที่ดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสูงเป็นต้นกำเนิดของลำน้ำแม่วงก์ มีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่สวยงาม เช่น น้ำตกแม่กระสาหรือแม่กี ซึ่งสูงประมาณ 200 เมตร และหน้าผาต่างๆ สภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิด เหมาะสมที่จะจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ ตามหนังสือรายงานผลการสำรวจ ที่ กษ 0713/พิเศษ ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2526  กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ได้นำเสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ซึ่งมีมติในการประชุมครั้งที่ 1/2528 เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2528 เห็นชอบให้กำหนดพื้นที่ดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ โดยได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าคลองขลุงและป่าคลองแม่วงก์ในท้องที่ตำบลปางตาไว อำเภอคลองขลุง (ปัจจุบันเป็นอำเภอปางศิลาทอง) จังหวัดกำแพงเพชร และป่าแม่วงก์–แม่เปิน ในท้องที่ตำบลแม่เลย์ และตำบลห้วยน้ำหอม อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ (ปัจจุบันเป็นตำบลแม่เลย์ อำเภอแม่วงก์ และตำบลแม่เปิน กิ่งอำเภอแม่เปิน) เป็นอุทยานแห่งชาติ ซึ่งประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 104 ตอนที่ 183 ลงวันที่ 14 กันยายน 2530 เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 55 ของประเทศ

ลักษณะภูมิประเทศ
สภาพภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนเรียงรายกันอยู่ตามเทือกเขาถนนธงชัยลดหลั่นลงมาจนถึงพื้นราบ ประมาณ 40-50 ลูก ยอดที่สูงที่สุดคือ “ยอดเขาโมโกจู” สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,964 เมตร เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารต้นกำเนิดของลำน้ำแม่วงก์ ส่วนพื้นที่ราบมีไม่มาก ส่วนใหญ่อยู่บริเวณริมแม่น้ำ และเป็นแหล่งแร่ธาตุสำคัญ เช่น แร่ไมก้า

ลักษณะภูมิอากาศ
สภาพภูมิอากาศของอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ในช่วงฤดูหนาวเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน - เดือนกุมภาพันธ์ เป็นช่วงที่เหมาะแก่การไปท่องเที่ยวมากที่สุด เพราะอากาศค่อนข้างหนาวเย็น อันเนื่องมาจากลิ่มความกดอากาศสูงมาจากประเทศจีนแผ่ลงมาทางตอนใต้เข้าสู่ประเทศไทยตอนบนและปกคลุมทั่วประเทศ ลมที่พัดสู่ประเทศไทยในฤดูนี้คือ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนช่วงฤดูร้อนเริ่มต้นจากเดือนมีนาคม - เดือนพฤษภาคม อากาศค่อนข้างร้อนจัดและมีฝนตกน้อย ทำให้สังคมพืชป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณผลัดใบ สำหรับฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน - เดือนตุลาคม มีปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ย 1,100 มิลลิเมตรต่อปี

พืชพรรณและสัตว์ป่า
สภาพป่าทั่วไปของอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ประกอบด้วย

ป่าเบญจพรรณ จะอยู่บริเวณที่ราบริมฝั่งห้วยและภูเขาที่ไม่สูงนัก พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ สัก เสลา ชิงชัน กระบก กระพี้เขาควาย มะค่าโมง งิ้วป่า ประดู่ป่า กาสามปีก ติ้ว ฯลฯ มีไผ่ชนิดต่างๆขึ้นอยู่หลายชนิด เช่น ไผ่ป่า ไผ่ไร่ ไผ่ซางนวล ไผ่รวก พืชพื้นล่าง เช่น หนามเค็ด ส้มเสี้ยว หนามคนฑา เป็นต้น

ป่าเต็งรัง ขึ้นอยู่สลับกับป่าเบญจพรรณ พบในช่วงระดับความสูงตั้งแต่ 100-1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ เต็ง รัง เหียง พลวง กราด มะเกิ้ม ประดู่ มะม่วงป่า มะค่าแต้ พะยอม มะขามป้อม สมอไทย ฯลฯ พืชพื้นล่างที่พบ เช่น ไผ่เพ็ก และปรง เป็นต้น

ป่าดิบเขา พบขึ้นอยู่ในบริเวณที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,300-1,500 เมตร พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ ก่อใบเลื่อม ก่อเดือย ก่อลิ้น ก่อแอบ ทะโล้ จำปาป่า กะเพราต้น หนอนขี้ควาย กำลังเสือโคร่ง ดำดง กล้วยฤาษี และมะนาวควาย เป็นต้น

ป่าดิบแล้ง ประกอบด้วย ยางแดง ยางนา กระบาก ตะเคียนหิน ปออีเก้ง สมพง กัดลิ้น มะหาด พลอง ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีไม้พุ่มและพืชพื้นล่างต่างๆ ที่ทนร่มอีกมากมายหลายชนิด เช่น เข็มขาว หนามคนฑา ว่าน พืชหัวต่างๆ อีกทั้งกล้วยไม้ต่างๆ อีกมากมาย

ทุ่งหญ้า พบกระจัดกระจายไปตามป่าประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ เกิดจากการทำลายป่าของชาวเขาเผ่าต่างๆ ที่เคยอยู่อาศัยในพื้นที่ สังคมพืชที่ขึ้นทดแทนในพื้นที่ได้แก่ หญ้าคา หญ้านิ้วหนู เลา สาบเสือ พง แขมหลวง มะเดื่อ ไมยราบเครือ ไมยราบต้น ลำพูป่า หว้า ติ้วแดง งิ้วป่า มะเดื่อหอม เป็นต้น

เนื่องจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์มีอาณาเขตติดต่อกับป่าของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ซึ่งสัตว์สามารถใช้เส้นทางเดินติดต่อกันได้ ได้แก่ สมเสร็จ เลียงผา กระทิง ช้างป่า เสือโคร่ง เสือดาว หมีควาย หมีหมา ชะนีธรรมดา ค่างหงอก ลิงกัง อ้นเล็ก กระรอกบินเล็กแกมขาว ค้างคาวปากย่น ไก่ป่า เหยี่ยวรุ้ง นกแว่นสีเทา นกกก นกเงือกกรามช้าง นกปรอดเหลืองหัวจุก นกเขาใหญ่ นกกะเต็นอกขาว นกจาบคาเคราน้ำเงิน นกแซงแซวสีเทา เต่าหก เต่าเหลือง เหี้ย ตะกวด งูเห่า งูแมวเซา ฯลฯ



กรณีรายการคนค้นตน เทปการเดินต้านเขื่อนแม่วงก์ของ นายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ที่ต้องออกอากาศ เมื่อวันเสาร์ที่ 28 ก.ย. เวลา 14.00 น. ที่ผ่านมา ถูกกองเซ็นเซอร์ช่อง 9 สั่งงดออกอากาศกะทันหัน โดยให้เหตุผลว่า เรื่องนี้ไม่มีความสมดุลของทั้งสองฝ่ายที่สนับสนุนและคัดค้าน นั้น
(อ่านประกอบ:"ทีวีบูรพา" ปล่อยเทปคนค้นตน "อ.ศศิน" ผ่านยูทูปหลังถูกช่อง 9 "เซนเซอร์")

เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา นายสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ หรือ “เช็ค” ผู้บริหารบริษัททีวีบูรพา จำกัด ผู้ผลิตรายการคนค้นตน ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยนายสุทธิพงษ์ได้เปิดใจกับสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org โดยละเอียดหลายประเด็น อาทิ เนื้อหาส่วนที่กองเซ็นเซอร์ต้องการให้ปรับ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่อยู่นอกเหนือจากข่าวที่เผยแพร่ออกมาว่าต้องการให้นำเสนอข้อมูล 2 ด้าน รวมถึงประเด็นเรื่องมาตรฐานของการเซ็นเซอร์ว่าอยู่ตรงไหนแน่ และการคุกคามสื่อที่นายสุทธิพงษ์ย้ำว่าสื่อต้องกล้าที่จะยืนหยัด ไม่ตกอยู่ภายใต้อคติความหวาดกลัว อุปาทาน และคิดเองเออเอง   “ผมไม่ได้เป็นคนที่คุยกับเจ้าหน้าที่ของช่องด้วยตัวเอง คนที่คุยคือคุณประสาน ( อิงคนันท์ ) ซึ่งในตอนนั้น คุณประสานยังยุ่งอยู่กับการประกวดคนค้นฅนอวอร์ดที่นครศรีรรมราช คุณประสานก็โทรมาเล่าให้ผมฟังทางโทรศัพท์ว่ามีเจ้าหน้าที่จากทางช่องขอให้มีการปรับ โดยมีรายละเอียดอยู่ใน 2 ช่วง คือ ขอให้ถ่ายเปิดรายการใหม่ ซึ่งผมก็ไม่ได้คุยกับคุณประสานมากกว่านี้ในตอนนั้น แล้วตอนที่เจ้าหน้าที่โทรหาคุณประสานก็เป็นเวลาบ่าย 3 โมงของวันศุกร์ ซึ่งรายการจะออกอากาศในวันเสาร์แล้ว ก็ไม่ทันแน่นอน"
"ส่วนจุดที่ถูกแก้ มีอยู่ 2 จุด คือ 1. ในเนื้อหาจะมีเหตุการณ์ที่คุณศศินเดินผ่าน อ. ลาดยาว เป็นเวลาค่ำ ไม่สามารถที่จะนอนพักที่นี่ได้ คุณศศินก็ไปนอนพักที่อื่นแล้วตอนเช้าจึงกลับมาเริ่มเดินต่อจากจุดเดิม เพราะมีความกังวลเรื่องความไม่ปลอดภัย คุณศศินบอกในทำนองว่า“มีแรงกดดัน เขาไม่อนุญาตให้เดิน”
“อีกจุดหนึ่ง เป็นตอนที่คุณศศิพูดถึงบรรยากาศของบ้านเมือง ว่าตอนนี้มันเหมือนกับช่วง 14 ตุลาคม 2516 กับ 6 ตุลาคม 2519 มันเป็นบรรยากาศที่ใครจะออกมาแสดงความคิดที่เห็นต่างแล้วจะมีความกังวล หวาดกลัว นี่เป็นจุดที่เขาอยากให้ปรับ แล้วนอกจากนี้ผมก็ไปถ่ายผู้เปิดรายการใหม่ แต่ก็โดนเซ็นเซอร์”  เมื่อถูกช่อง 9 เซ็นเซอร์ นายสุทธิพงษ์ อธิบายความรู้สึกว่าการที่เทปไม่ได้ออกอากาศ ตนในฐานะคนที่เซ็นสัญญากับช่องแล้ว และทำงานมา 10 กว่าปี ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ทุกครั้งที่ผ่านมาถ้าพูดถึงแก่นแท้เรื่องความรู้สึกที่แท้จริงตนก็ไม่ได้เห็นด้วยกับที่ฝ่ายเซ็นเซอร์เขาให้เหตุผลมาในครั้งนี้ แต่ที่ผ่านมาบางอันตนก็เห็นด้วย หรือแม้บางครั้งตนไม่เห็นด้วยแต่ก็เคารพในกติกา

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีความเห็นอย่างไรต่อกรณีที่นายเอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ กรรมการและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท.จำกัด มหาชน ชี้แจงว่าเป็นเพราะฝ่ายเซ็นเซอร์ต้องการให้มีข้อมูลที่เห็นต่างนำเสนอด้วยนั้น นายสุทธิพงษ์ตอบว่า
“โดยรูปแบบรายการคนค้นฅน ตอนที่เราทำ TOR เซ็นสัญญากันกับทางช่องมีการระบุไว้อย่างละเอียด เราบอกไว้ชัดว่ามันไม่ใช่รายการที่จะมีการนำเสนอความเห็นต่าง หากจะมีก็สามารถทำได้ในครั้งต่อมา ถ้าจะให้เราทำความเห็นต่างอีกครั้งก็ได้ แต่การจะให้นำเสนอในครั้งเดียวกัน ก็ แหม เขาไม่เข้าใจรายการและรูปแบบรายการ”  เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะร้องเรียนต่อผู้บริหารช่อง 9 หรือไม่ นายสุทธิพงษ์กล่าวว่าตนไม่ติดใจประเด็นนี้   “สำหรับผม ผมอยากให้แยกรายการคนค้นฅน นายสุทธิพงษ์ และนายประสานออกจากกันก่อนนะครับ คือเมื่อมีการระงับ ในเจตนาที่แท้จริงของผม ผมเอนเอียงมาทางคุณศศิน แต่ผมก็ยังเชื่อว่าในความเป็นจริง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมือง กับรัฐบาล หรือรัฐมนตรีคนใดและผมจะไม่พยายามทำให้การตั้งป้อม ทำให้เราละเลยความเป็นจริง ผมเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นมาจากความกังวล หรือความกลัวของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้นั้นจะเป็นใครผมก็ไม่รู้ แต่จากการประมวลตามที่ท่าน ผอ. ใหญ่พูด ผู้ใหญ่ในช่องไม่รู้เรื่องนี้ ผมก็เข้าใจเจ้าหน้าที่กองเซ็นเซอร์เขานะ หากเปรียบกับคุณศศิน คุณศศินเองก็ยอมรับกับผมว่าเขากลัว แต่เขาก็ต้องทำ เพราะมันเป็นหน้าที่ของเขา ส่วนคนเซ็นเซอร์เขาก็ทำไปตามหน้าที่ของเขา แต่การทำหน้าที่ของคุณศศินมีแต่คนแซ่ร้องสรรเสริญ”  นอกจากนี้ นายสุทธิพงษ์เปิดใจด้วยว่า ทีมงานคนค้นฅนและฅ คน แม็กกาซีน ติดตามไปทำข่าวนายศศิน ตั้งแต่วันที่ สองที่เริ่มเดิน วันแรกเราเตรียมตัวกันอยู่ เลยไปไม่ทันแต่การที่เราไปยังไม่มีสื่อไหน ไม่ว่ากระแสหลัก หรือว่ากระแสรอง ติดตามทำข่าวนี้ เราเป็นสื่อแรกที่ไป แต่พอใกล้จะออกอากาศคุณศศินก็ออกอากาศสื่อต่างๆ แทบทุกที่ แม้กระทั่งวอยซ์ทีวี แล้วส่วนใหญ่ คุณศศินก็ไปฝ่ายเดียว แต่ก็มีการเซ็นเซอร์คนค้นฅนในเรื่องนี้   เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าท้อไหม ที่หลังจากเกิดเรื่องข้าว ก็มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีก นายสุทธิพงษ์ตอบว่า “ผมไม่ท้อ ตรงกันข้าม ยิ่งยืนหยัด ผมไม่ได้ห่วงรายการ ไม่ได้ห่วงนายสุทธิพงษ์ แต่ห่วงการตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว อุปาทาน ความวิตกกังวล สิ่งนี้ต่างหากมันทำให้สื่อฯจำนวนมาก ไปสะกดจิตตัวเองว่ารัฐบาลจะปิดบังอะไรเราแน่ ทั้งๆ ที่บางทีเขาอาจจะไม่ได้ทำอะไร เพราะฉะนั้น ความไม่กล้าหาญของสื่อฯ เอง จะไปโทษผู้อื่นก็ไม่ถูกนัก”
ส่วนการถูกเซ็นเซอร์ นายสุทธิพงษ์กล่าวว่าพยายามไม่ไปค้นหาความจริง ผู้ที่ทำอาจจะปรารถนาดีต่อทุกฝ่ายและตนหวังว่าเหตุการณ์นี้ไม่ควรนำไปสู่การมีอคติ ไม่ควรมีการด่าทอกันอย่างหยาบคาย แต่ควรจะทำให้ทุกคนสามารถพูดและแสดงออกอย่างมีวุฒิภาวะ   เมื่อผู้สื่อข่าวถามอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นการปิดกั้นข่าวสารหรือคุกคามสื่อหรือไม่ นายสุทธิพงษ์ตอบว่า “นักข่าว Thai PBS ถามผมแบบนี้ ผมตอบเขาด้วยการเอาเทปมาปิดปาก ปิดตา ปิดหู แต่คำตอบนั้น มันเป็นคำตอบที่เป็นแค่ความรู้สึกต่อ “ภาวะการณ์” ไม่ใช่ตัวบุคคล มันไม่ใช่การกล่าวหาใคร แต่เรากำลังตกอยู่ในภาวะการณ์เช่นนั้น ไม่ใช่ผลผลิตจากใครคนใดคนหนึ่ง และผมหวังอย่างยิ่งว่าจากเหตุการณ์นี้ เราจะใช้อคติไม่ได้ เราจะหวาดกลัวไม่ได้ เราจะคิดเองเออเองไม่ได้ ในความเป็นจริงมันอาจเป็นสิ่งที่ผู้น้อยคิดแทนผู้ใหญ่”   นอกจากนี้นายสุทธิพงษ์กล่าวถึงการเซ็นเซอร์ด้วยว่าตนตั้งข้อสังเกตุถึงการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่และเห็นว่า เรื่องนี้ควรทบทวนกันอย่างจริงจังว่ามาตรฐานอยู่ตรงไหน
“มันเป็นวิจารณญาณและเป็นวิจารณญาณของแต่ละบุคคล แต่ละเสียง แต่ละช่อง มันไม่มีมาตรฐานในการเซ็นเซอร์ทั้งที่มันควรจะมีมาตรฐาน เมื่อมันเป็นเรื่องของความเห็น มีบริบทต่างกัน ทัศนะคติต่างกัน ความกังวลต่างกัน ดังนั้น อะไรคือมาตรฐาน นี่เป็นเรื่องที่ต้องถามไปถึง กสทช.”  สำหรับเหตุการณืที่เกิดขึ้น นายสุทธิพงษ์กล่าวอีกว่าตนไม่แน่ใจว่ากองเซ็นเซอร์มีอำนาจสั่งระงับหรือไม่  “แต่ผมเชื่อว่ามันต้องมีเจตนา แม้เขาบอกไม่ได้ห้าม แต่เงื่อนไขที่เขามีตามมานั้นมันเป็นยังไง แต่ที่เราเห็นได้ชัดจากเรื่องนี้ก็คือการปิดกั้นข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันนี้ยิ่งทำได้ยาก หากทำอะไรที่ขัดสามัญสำนึก ขัดกับความถูกต้องชอบธรรม ผมว่ามันยิ่งเป็นการเชิญแขก เรื่องนี้ถ้าคิดให้ดีแล้ว คนที่เขาคิดเป็น เข้าใจและรอบคอบ เขาก็คงไม่เห็นว่าเนื้อหาที่นำเสนอมันมีจุดใดที่ต้องกังวล เพราะสิ่งที่รายการเราถ่ายทอดออกไปคือความมุ่งมั่นของเจ้าหน้าที่ในมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ในแง่ของคนต้นเรื่องที่เรานำเสนอในเรื่องของความกล้าหาญ”  นอกจากนี้นายสุทธิพงษ์กล่าวว่า การนำเสนอผ่านยูทูปไม่ได้ทำไปเพื่อเป็นการประชดประชันใคร แต่คือสิ่งที่ยืนยันว่า “ในเนื้อหา 2 ส่วนที่เขากังวล เมื่อเผยแพร่ออกไปก็ไม่มีใครที่ดูแล้วจะหยิบมาเป็นประเด็นอะไร เมื่อเผยแพร่สู่สาธารณะแล้ว คนที่ได้ดูก็เข้าใจในสาระสำคัญที่เราต้องการนำเสนอ” นายสุทธิพงษ์ระบุ

ล่าสุดในช่วงเวลา 19.00 น. วันที่ 30 กันยายน สำนักข่าวไทย รายงานว่า เทปรายการ "คนค้นฅน" เรื่องเขื่อนแม่วงก์ ไม่ได้ออกอากาศเสาร์ที่แล้ว จะนำมาออกอากาศวันที่ 12 ตุลาคมนี้ หลังบริษัทแก้ไขเนื้อหาบางส่วนให้มีข้อมูลทั้ง 2 ด้านแล้ว

 
 

 




วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

โลก 360 องศา - (พบเกาะใหม่ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ปากีสถาน,กลุ่มติดอาวุธยึดห้างและสังหารตัวประกันที่เคนย่า,ป๋อซีไหลถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต)


หน่วยกู้ภัยของปากีสถานเมื่อวันพุธ (25ก.ย.) ระดมกำลังช่วยเหลือเหยื่อแผ่นดินไหวใหญ่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ซึ่งยอดผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นเป็นอย่างน้อย 327 คนแล้ว และบ้านที่สร้างจากดินหลายพันหลังพังพินาศ ฤทธิ์เดชของแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.7 ซึ่งเกิดขึ้นในตอนบ่ายวันอังคาร (24) ครั้งนี้ ยังทำให้เกิดเกาะขนาดย่อมๆ แห่งหนึ่งผุดขึ้นกลางทะเล บริเวณใกล้ชายฝั่งทางใต้ของปากีสถาน ธรณีพิโรธอันรุนแรงคราวนี้ เกิดขึ้นในเขตวารันของแคว้นบาลูจิสถาน ซึ่งเป็นพื้นที่ทุรกันดารและมีขนาดกว้างใหญ่ทว่าประชากรเบาบาง อับดุล ราชีด โกกาไซ รองข้าหลวงปกครองของเขตวารัน แจ้งกับสำนักข่าวรอยเตอร์ตอนเย็นวันพุธว่า ได้พบผู้เสียชีวิตในวารันแล้ว 285 ศพ นอกจากนั้นยังพบอีก 42 ศพในเขตเคช ซึ่งอยู่ติดๆ กัน ขณะที่องค์การบริหารจัดการภัยพิบัติแคว้นบาลูจิสถาน และห้องควบคุมการรับมือแผ่นดินไหวของรัฐบาลแคว้นบาลูจิสถาน แถลงว่า มีผู้เสียชีวิตที่ยืนยันแน่นอนแล้วจำนวนอย่างน้อยที่สุด 271 ราย และผู้บาดเจ็บมีจำนวนมากกว่า 440 คน

ข้อมูลตัวเลขที่แตกต่างกันเช่นนี้น่าจะเกิดจากปัญหาในการติดต่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่ห่างไกล กระนั้นก็ตาม ทุกๆ ฝ่ายต่างคาดการณ์ตรงกันว่า ยอดผู้เสียชีวิตน่าจะพุ่งสูงขึ้นไปอีกเมื่อหน่วยกู้ภัยสามารถเข้าถึงหมู่บ้านต่างๆ ในพื้นที่ห่างไกล จัน มูฮัมหมัด บูเลดี โฆษกรัฐบาลบาลูจิสถานระบุว่า เขตทั้ง 6 ในแคว้น ได้แก่ อวารัน เคช กวาดาร์ ปันจกูร์ ชากี และคุซดาร์ ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่นี้ และประชากรซึ่งเดือดร้อนรวมกันแล้วมีกว่า 300,000 คน

(25 ก.ย.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเกตต้า ประเทศปากีสถาน ว่าเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในทางตะวันตกเฉียงใต้ของปากีสถานเมื่อวันอังคาร กว่า 7.7 ริกเตอร์ ที่เมืองกุซดาร์ (Khuzdar) ทางตะวันตกเฉียงใต้ ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็นอย่างน้อย 46 คนแล้ว และบาดเจ็บอีกกว่า 100 คน ทางการได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในพื้นที่และส่งเจ้าหน้าที่กู้ภัยกว่า 200 นาย เข้าค้นหาและช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนแล้ว ซึ่งมีการประเมินว่าอาจมีความเสียหายเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากบ้านเรือนส่วนใหญ่สร้างด้วยดิน จึงเสี่ยงพังถล่มได้ง่าย ซึ่งศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งนี้ อยู่ในเขตอวารานของจังหวัดบาลูชิสถานแต่จากเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ การสั่นสะเทือนทำให้เกิดเกาะแห่งใหม่ในทะเล นายตูฟาอิล บาลุช เจ้าหน้าที่ปากีสถานบอกว่า เกาะใหม่นี้ผุดขึ้นมา หลังเกิดแผ่นดินไหวใกล้ชายฝั่งเขตกวาดาร์ มีความสูง 100 ฟุตและกว้าง 200 ฟุต อย่างไรก็ตาม นายบาลุช กล่าวว่า เคยมีเกาะที่คล้ายกันผุดขึ้นมากลางทะเลในบริเวณเดียวกันนี้เมื่อ 60 ปีก่อน แต่แล้ววันหนึ่งเกาะดังกล่าวก็ได้หายไป อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญได้ตรียมเข้าตรวจสอบพื้นที่แล้ว



23 ก.ย. 56 ทางการเคนยา ใกล้จะยุติการบุกยึดศูนย์การค้าหรูในกรุงไนโรบีที่ล่วงเข้าสู่วันที่ 3 ได้แล้ว หลังจากคนร้ายซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธชื่อ โซมาลี อัล ชาบั๊บ สังหารผู้บริสุทธิ์ไป 68 คน บาดเจ็บ 175 คน และเชื่อว่า ยังมีตัวประกันหลงเหลืออยู่ประมาณ 10 คน กองทัพเคนยา ได้ประกาศผ่านทางทวิตเตอร์ว่า ยังอยู่ระหว่างใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อให้สถานการณ์สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว ตัวประกันส่วนใหญ่ได้รับการช่วยเหลือ และกองกำลังรักษาความมั่นคงได้เข้ายึดพื้นที่ส่วนใหญ่ของตัวอาคารไว้แล้ว // ก่อนหน้านี้ ตำรวจได้ทวีตข้อความว่าปฏิบัติการโจมตีครั้งใหญ่ของกองกำลังรักษาความมั่นคงกำลังดำเนินอยู่ หลังจากกลุ่มติดอาวุธ อัล ชาบั๊บ ที่เชื่อว่า มีจำนวนระหว่าง 10-15 คน บุกเข้าไปในศูนย์การค้า สาดกระสุนใส่ผู้คนจนเกิดความโกลาหล สำนักข่าว CNN รายงานอ้างแหล่งข่าวว่า รายชื่อที่ปรากฏในทวิตเตอร์ ที่ตอนนี้ถูกระงับไปแล้ว เป็นชื่อของผู้ที่ถูกระบุว่าเป็นคนร้าย ซึ่งมาจากสหรัฐ 3 คน , โซมาเลีย 2 คน และอีก 3 คน มาจากแคนาดา ฟินแลนด์ และสหราชอาณาจักร ทางสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางของสหรัฐ หรือ FBI กำลังตรวจสอบข้ออ้างที่ว่า มีพลเมืองอเมริกันรวมอยู่ในกลุ่มคนร้ายด้วย แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน และในขณะที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ระบุว่า ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่ามีชาวอเมริกันอยู่ในกลุ่มคนร้ายหรือไม่นั้น ก็มีเจ้าหน้าที่สหรัฐหลายคน ออกมาบอกว่า มั่นใจว่ามีชาวอเมริกันรวมอยู่ด้วย ประธานาธิบดีอูฮูรู เคนยัตตา ของเคนยา ประกาศว่า จะเอาตัวผู้รับผิดชอบมาให้ได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กระทบต่อตัวเขาเองอย่างจัง เมื่อญาติของคู่หมั้นของเขา ก็เป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิตด้วยเสียงปืนที่ดังอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงกลางวันของวันอาทิตย์ และเสียงระเบิดอย่างน้อย 1 ครั้งได้สงบลงแล้ว โดยที่ทหารวางกำลังอย่างระมัดระวังที่ด้านนอกศูนย์การค้า ประทับปืนไว้บนบ่าและมีเฮลิคอปเตอร์เข้าไปในพื้นที่ ประธานาธิบดีเคนยัตตา และเจ้าหน้าที่ทางการคนอื่นๆ ได้ไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้าวันอาทิตย์ เขากล่าวด้วยว่า ไม่ควรมีคนเสียชีวิตโดยไม่จำเป็น หรือโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ควรมีครอบครัวใดได้รับข่าวร้ายว่า คนที่เป็นที่รักของพวกเขาถูกฆ่าโดยพวกอาชญากรที่ขี้ขลาด // การบุกยึดศูนย์การค้า นับเป็นเหตุวินาศกรรมที่นองเลือดที่สุดของเคนยา นับตั้งแต่กลุ่มก่อการร้ายอัล ไกดา ระเบิดสถานทูตสหรัฐ เมื่อปี 2541 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 213 คน

กลุ่มอัล ชาบั๊บ เป็นตัวแทนอัล ไกดา ในโซมาเลีย และได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยโพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ว่า " มุสลิมทุกคน ได้รับการพาออกจากศูนย์การค้า ก่อนการโจมตีจะเริ่มขึ้น " นับตั้งแต่เคนยา ใช้ปฏิบัติการโจมตีกลุ่มอัล ชาบั๊บ ในโซมาเลีย เมื่อปี 2554 กลุ่มนี้่ก็ได้ตอบโต้ด้วยเหตุรุนแรง ทั้งขว้างระเบิดใส่โบสถ์ ป้ายรถเมล์และสถานที่สาธารณะอื่นๆ ในเคนยา เมื่อปีที่แล้วกองทัพเคนยา มีบทบาทในการกวาดล้างกลุ่มอัล ชาบั๊บ ด้วยการเข้าร่วมกองกำลังรักษาสันติภาพ เพื่อปลดปล่อยท่าเรือคริสมาโย่ของโซมาเลีย เหตการณ์โจมตีศูนย์การค้าเมื่อวันเสาร์ คนร้ายพุ่งเป้าไปที่จุดนับพบยอดนิยมในช่วงสุดสัปดาห์ ที่มีทั้งชาวเคนยาและชาวต่างชาติ ไปรวมตัวกันเพื่อดื่มสังสรรค์ ชมภาพยนตร์ หรือรับประทานอาหารตามร้านค้าที่มีมากกว่า 80 แห่ง การส่งข้อความผ่านโซเชียล มีเดีย ทำให้ตำรวจเคนยาถูกตำหนิ โดยมีบางคนบอกว่า ถ้าชอบเล่นเฟซบุ๊ก หรือทวิตเตอร์ ก็ควรเอาไว้พูดคุยเรื่องฟุตบอลหรือดนตรีที่ชอบ แต่ไม่ควรใช้แจ้งข่าวสารต่อสาธารณชนเกี่ยวกับปฏิบัติการด้านความมั่นคง

CNN รายงานว่า หลังเกิดเหตุ มีประชาชนอย่างน้อย 1 พันคน หนีออกจากศูนย์การค้า แต่มีคนถูกจับเป็นตัวประกันราว 30 คน แต่หลังจากนั้น ถูกระบุว่า ไม่น่าจะเกิน 10 คน ตัวประกันคนหนึ่งที่ได้รับการปล่อยตัว บอกว่า พวกเขาถูกควบคุมตัวอยู่ที่ชั้นใต้ดิน // ประธานาธิบดีเคนยัตตา บอกว่ามีหลายชาติเสนอให้ความช่วยเหลือ แต่ตอนนี้ ยังคงเป็นปฏิบัติการของหน่วยงานด้านความมั่นคงของเคนยา ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า มีซามันธ่า ลิวธ์เว้ท เจ้าของฉายา " แม่ม่ายขาว " อยู่ในกลุ่มคนร้ายด้วย แต่เจ้าหน้าที่ข่าวกรอง ระบุว่า ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบและไม่อาจปฏิเสธได้ แต่นักวิเคราะห์ด้านการก่อการร้ายของ CNN บอกว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ และไม่ใช้เรื่องปกติที่ผู้หญิงจะเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ธรรมชาติของกลุ่มก่อการร้ายมักจะให้ผู้หญิงอยู่แต่ในบ้านและปกปิดร่างกายให้มิดชิด ลิวธ์เว้ท เป็นชาวอังกฤษ สามีของเธอคือ เจอร์เมน ลินด์ซีย์ เป็นหนึ่งในมือระเบิดพลีชีพที่ก่อเหตุใช้ระเบิดโจมตีระบบขนส่งมวลชนของอังกฤษ เมื่อปี 2548 และเธอถูกระบุว่า เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินให้กลุ่มอัล ชาบั๊บ และอัล ไกดา

'ผู้รอดชีวิต' เผยคนร้ายยิงทุกคนที่ไม่ใช่มุสลิม ไม่เว้นแม้แต่เด็กกับคนแก่

ผู้รอดชีวิตจากวิกฤติตัวประกันที่ศูนย์การค้าเวสต์เกท ในเคนยา เปิดเผยว่า ถ้าถูกกลุ่มมือปืนอัล ชาบั๊บ ซึ่งเป็นผู้ก่อการร้ายจากโซมาเลีย พบตัว ก็คงถูกฆ่าทิ้งอย่างแน่นอน เพราะเป็นคนผิวขาว เพราะพวกเขาจ้องสังหารแต่คนที่ไม่ใช่มุสลิม ด้วยการถามพระนามของพระมารดาของพระศาสดามูฮัมหมัด ผู้รอดชีวิตหลายคน บอกว่า พวกเขาเห็นนักช็อปหลายคนถูกฆ่าอย่างเลือดเย็น หลังจากถูกแยกไปยืนเรียงแถวรวมกับคนที่ไม่ใช่มุสลิม ก่อนจะถูกยิงทิ้งเพราะท่องพระคัมภีร์อัล กุรอ่าน ไม่ได้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 68 คน รวมทั้งชาวอังกฤษ 3 คน ซึ่งต่อมา กลุ่ม อัล ชาบั๊บ ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้รอดชีวิตบางคน ขังตัวเองอยู่ในห้องเก็บของ อีกหลายคนเข้าไปแอบในกล่องหรือไม่ก็แกล้งตาย ซึ่งทั้งหมดสามารถเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่อยู่รอบตัวพวกเขา ที่มีทั้งเสียงระเบิดมือ และเสียงปืน แต่ก็ต้องทนเห็นนักช็อปคนอื่น ถูกฆ่าอย่างไร้ความปรานี ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก ล้วนถูกยิงด้วยปืนเอเค-47 นักจัดรายการวิทยุคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งใน 1,000 คน ที่หนีออกมาจากศูนย์การค้าได้ บอกว่า เธอเห็นคนที่พูดภาษาอารบิคได้รับการปล่อยตัว ขณะที่คนแก่และเด็กจำนวนมากถูกยิงทิ้งเพราะผิวของพวกเขา นอกจากนี้ มือปืนยังกราดยิงไม่เลือกหน้าเข้าใส่คนที่พยายามหลบหนีเจ้าหน้าที่ทางการเคนยา ระบุว่า สงสัยว่า ซาแมนธ่า ลิวธ์เว้ท เจ้าของฉายา " แม่ม่ายขาว " ที่เกี่ยวข้องกับเหตุวินาศกรรมโจมตีระบบขนส่งมวลชนในกรุงลอนดอน หรือ เซเว่น/เซเซ่น จะเกี่ยวข้องกับวิกฤติที่เกิดขึ้่น ซึ่งทำให้นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ต้องรีบเดินทางกลับจากบัลมอรัล เพื่อเป็นประธานการประชุมวาระพิเศษ " COBRA " กลุ่ม อัล ชาบั๊บ ได้โพสต์ชื่อผู้ที่ร่วมปฏิบัติการ 15 คน ทางออนไลน์ และระบุว่า มีอยู่ 2 คน เป็นชาวอังกฤษที่มาจากลอนดอนด้วย คือ ลิบัน อดัม กับ อาห์เหม็ด นาซีร์ ชีร์ดูน โฆษกของกลุ่มได้เปิดเผยต่อสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 ของอังกฤษว่า ชาวตะวันตกจะไม่ปลอดภัยในเคนยา จนกว่าจะถอนทหารออกจากโซมาเลีย

สำนักข่าวต่างประเทศ เผยภาพเหตุการณ์ขณะที่กลุ่มติดอาวุธอัล ชาบับ จากโซมาเลีย กำลังบุกโจมตีและจับตัวประกันประชาชนในห้างสรรพสินค้าเวสต์เกต ห้างหรูในกรุงไนโรบี เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 68 คน บาดเจ็บ 175 คน ในจำนวนเหยื่อที่บาดเจ็บและเสียชีวิตมีตั้งแต่อายุ 2 ขวบไปจนถึง 78 ปี ส่วนชาวต่างชาติที่เสียชีวิต มีทั้งชาวอังกฤษ กานา ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ แอฟริกาใต้ อินเดีย และแคนาดา รายงานระบุว่า ประธานาธิบดี Uhuru Kenyatta ของเคนยา ต้องสูญเสียหลานชายและคู่หมั้นไปกับเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย กองทัพเคนยา ให้คำมั่นว่าจะเร่งยุติวิกฤตตัวประกันให้ได้โดยเร็วที่สุด คาดว่าตอนนี้เหลือตัวประกันอีกประมาณ 30 คน ขณะที่กลุ่มติดอาวุธมีประมาณ 10-15 คน อยู่ในส่วนพื้นที่ของซูเปอร์มาร์เก็ต หนึ่งในนี้เป็นผู้หญิงและคาดว่าเป็นผู้นำในปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย และว่าตอนนี้กองกำลังความมั่นคงเคนยา สามารถควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในห้างสรรพสินค้าได้เกือบทั้งหมดแล้ว กองทัพเคนยาปฏิเสธที่จะระบุว่ากลุ่มติดอาวุธนำวัตถุระเบิดมาผูกติดกับตัวประกันหรือไม่

รัฐบาลเคนยาปฏิเสธที่จะเจรจากับกลุ่มก่อการร้าย ขณะที่รูปแบบการก่อเหตุของกลุ่มติดอาวุธอัล ชาบับ ที่เริ่มจากการปาระเบิด ก่อนที่จะกราดยิงผู้คนอย่างไม่เลือกหน้า ซึ่งมีเจตนาที่จะเข่นฆ่าผู้คน เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า กลุ่มก่อเหตุพร้อมที่จะพลีชีพพร้อมกับตัวประกัน ด้านประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้โทรศัพท์ถึงผู้นำเคนยา แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งประกาศให้การสนับสนุนเคนยาให้นำตัวกลุ่มก่อเหตุมาดำเนินคดี เหตุโจมตีครั้งนี้เป็นครั้งที่เลวร้ายที่สุดในเคนยา นับตั้งแต่ที่เกิดเหตุโจมตีสถานทูตสหรัฐฯ เมื่อเดือนสิงหาคมปี 1998 ทั้งนี้กลุ่มอัล ชาบับ อ้างว่า ที่ก่อเหตุครั้งนี้เพื่อตอบโต้รัฐบาลเคนยาที่ส่งกองกำลังเข้าไปสู้รบกับกลุ่มอัล ชาบับในพื้นที่ทางใต้ของโซมาเลีย เมื่อปี 2011
เมื่อวันที่ 22 ก.ย. ศาลระดับกลางแห่งเมืองจี่หนานของจีนได้มีคำพิพากษาให้นายป๋อ ซีไหล อดีตสมาชิกระดับสูงพรรคคอมมิวนิสต์จีนและหัวหน้าพรรคสาขาเทศบาลนครฉงชิ่งจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาทุจริตฉ้อราษฏร์บังหลวง ยักยอกเงิน และใช้อำนาจในทางมิชอบ ทั้งนี้นายป๋อ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาโดยอ้างว่าการดำเนินคดีที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เป็นเพราะการเมือง และศาลไม่มีอิสระในการพิพากษาคดี อย่างไรก็ตามหากพิจารณาจากความผิดที่กระทำ ตามกฎหมายของจีน นายป๋อ ซีไหลต้องถูกลงโทษด้วยการประหารชีวิต แต่นักวิเคราะห์การเมืองคาดว่านายป๋อ ซีไหล น่าจะรอดพ้นโทษประหาร และให้จำคุกตลอดชีวิตที่ทุกฝ่ายเห็นชอบ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ นายป๋อ ซีไหล ถือเป็นเจ้าหน้าที่ทางการในระดับสูงที่ถูกดำเนินคดี นับตั้งแต่นายเฉิน เหลียงหยู อดีตหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขานครเซี่ยงไฮ้เคยถูกนำเนินคดีเมื่อปี 2551 เมื่อเดือนที่แล้ว ศาลเมืองจี้หนานใช้เวลาพิจารณาไต่สวนคดีนาน 5 วันโดยพยายามแสดงความโปร่งใสของการพิจารณาคดี โดยมีการเปิดเผยรายละเอียดการพิจารณาคดีผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เวยโป๋ และให้โอกาสนายป๋อใช้ถ้อยคำรุนแรงในการตอบโต้ระหว่างการไต่สวนซักถามพยาน ซึ่งเขาปฏิเสธทุกข้อหาทั้งคดีรับสินบนจากนักธุรกิจ 2 คน เป็นเงินมากกว่า 20 ล้านหยวน คดียักยอกเงิน 5 ล้านหยวนจากโครงการก่อสร้างของรัฐบาล และคดีใช้อำนาจโดยมิชอบปกปิดความผิดของภรรยาคดีสังหารนักธุรกิจ



เจ้าหน้าที่ฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ซูเปอร์ไต้ฝุ่นอุซางิ เกาะบาตาเนสทางเหนือสุดของฟิลิปปินส์ ด้วยกำลังลมสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กระทบการคมนาคมและพืชผลเสียหาย ศูนย์ภัยพิบัติแห่งชาติต้องประกาศเตือนภัยสูงสุด โดยมีน้ำท่วมสูงเป็นประวัติการณ์ในพื้นที่ 4 แห่งของเกาะลูซอนซึ่งมีประชากรหนาแน่นที่สุด ถนนและสะพานหลายแห่งใช้การไม่ได้เนื่องจากน้ำหนุนสูงและดินถล่ม ขณะนี้ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต แต่ทางหน่วยฉุกเฉินและบรรเทาทุกข์ได้เตรียมความพร้อมรับมือไว้แล้วหลังอพยพประชาชนกว่า 100 ครอบครัวไปก่อน ส่วนที่ไต้หวันต้องยกเลิกเที่ยวบินบางเที่ยวและงดบริการเรือข้ามฟาก โรงเรียนและสำนักงานปิดทำการโดยเฉพาะในพื้นที่ทางใต้และตะวันออกที่คาดว่าจะเผชิญอิทธิพลของพายุ ขณะที่ เจ้าหน้าที่ฮ่องกงประกาศเตือน “ความเสี่ยงขั้นร้ายแรง” จากไต้ฝุ่นอุซางิ และให้พลเมืองเตรียมรับมือกระแสลมแรงหรือน้ำท่วม ขณะที่ สายการบินคาเธย์แปซิฟิกอาจต้องยกเลิกเที่ยวบิน ศูนย์อุตุนิยมวิทยาแห่งชาติจีนออกประกาศเตือนภัยสีแดงซึ่งเป็นระดับสูงสุด ซึ่งคาดว่าจะมีลมกำลังแรงและฝนตกหนัก

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 20 ก.ย.ฟิลิปปินส์และไต้หวัน เตรียมพร้อมรับมือพายุไต้ฝุ่น “อูซางิ” ซึ่งเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยา ระบุว่า อาจเป็นพายุไต้ฝุ่นที่มีกำลังแรงที่สุดในปี 2556 โดยขณะนี้ ไต้ฝุ่นลูกนี้เคลื่อนตัวอยู่ห่างจากภาคตะวันออกเฉียงใต้ ค่อนไปทางตะวันออกของไต้หวันประมาณ 560 กิโลเมตร และห่างจากภาคเหนือของฟิลิปปินส์ 360 กิโลเมตรในช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งทั้งไต้หวันและฟิลิปปินส์ ได้ประกาศเตือน และเตือนเรือประมงให้เพิ่มความระมัดระวัง พายุลูกนี้คาดว่าจะพัดเข้าถล่มจีนในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ปากาซา สำนักงานพยากรณ์อากาศของฟิลิปปินส์ แถลงว่า ไต้ฝุ่น “อูซางิ” เคลื่อนตัวด้วยกำลังลม 175 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และทวีความรุนแรงมากขึ้นในวันนี้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ประกาศเตือนพายุลูกนี้แล้วว่า จะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ดินถล่มและคลื่นทะเลยกตัวสูง หรือสตอร์ม เซิร์จ ในหลายจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศ ซึ่งขณะนี้ เจ้าหน้าที่กู้ภัยฉุกเฉินและสาธารณสุข เตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนไว้แล้ว ขณะเดียวกัน สำนักงานพยากรณ์อากาศของไต้หวัน ก็ประกาศเตือนเมื่อเช้าวันนี้ และคาดว่าจะมีฝนตกหนักทางภาคเหนือและตะวันออกของเกาะไต้หวัน ขณะที่ สำนักงานมหาสมุทรของจีน ก็ประกาศเตือนภัยพายุไต้ฝุ่น ฉุกเฉินชั้นที่ 1 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในการตอบโต้ภัยพิบัติทางทะเลของจีน ส่วนศูนย์พยากรณ์อากาศแห่งชาติของจีน ก็ประกาศเตือนภัยสีเหลือง ในระดับการเตือนภัยสภาพอากาศด้วย ทั้งนี้ ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 คน และไร้ที่อยู่อาศัยหลายพันคน หลังจากไต้ฝุ่นอูตอร์ พัดถล่มภาคเหนือของฟิลิปปินส์

ย้อนตำนานยุครุ่งเรืองภาพยนตร์อเมริกัน ตอนที่ 2



ขอเริ่มที่ประวัติศาสตร์คร่าวๆ ของวงการภาพยนตร์อเมริกัน แต่เดิมนั้นจุดเริ่มต้นนั้นเกิดจากการรวมกลุ่มกันของบริษัทยักษ์ใหญ่ 9 บริษัท ร่วมกันผูกขาดกิจการโรงภาพยนตร์และโรงถ่ายทำภาพยนตร์ต่างๆในนามบริษัทโมชัน พิกเจอร์ พาเทนต์ คัมปานี (Motion Picture Patents Company) ซึ่งอยู่กันที่มหานครนิวยอร์กและมลรัฐชิคาโก ทำให้เกิดการผูกขาดธุรกิจด้านนี้ไปโดยปริยาย อุตสาหกรรมไม่ได้โตขึ้นมากนัก บริษัทผู้สร้างเล็กๆ ล้มหายตายจากกันไป ต้องหนีตายกันออกมาบ้าง เหตุการณ์นี้อยู่ในช่วงยุคปี ค.ศ.1910 หรือ พ.ศ.2452 ส่วนกลุ่มที่หนีตายมาได้ก็มาตั้งรกรากกันที่แคลิฟอร์เนีย เพราะมองเห็นถึงสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศที่ดีกว่า มีภูเขา มีทะเล บางส่วนเป็นทะเลทราย มีเรือกสวนไร่นา แสงแดดดี ซึ่งเหมาะต่อการเป็นโลเกชั่นการถ่ายทำ อีกทั้งอัตราภาษีในการจัดเก็บนั้นต่ำกว่านิวยอร์กและชิคาโกมาก ซึ่งเป็นปัจจัยเกื้อหนุนในการทำอุตสาหกรรมผลิตภาพยนตร์ มลรัฐแคลิฟอร์เนียประกอบไปด้วยเมืองหลัก ๆ 3 เมืองด้วยกัน ก็คือด้านทิศเหนือเป็นเมืองซาคราแมนโต ถัดลงมาเป็นเมืองซานฟรานซิสโก และทิศใต้เป็นเมืองลอสแอนเจลิส ซึ่งอยู่ติดกับชายทะเลแทบทั้งสิ้น แถวชานเมืองลอสแอนเจลิสมีนักสร้างภาพยนตร์รายแรกๆ มาก่อสร้างโรงถ่ายทำภาพยนตร์และสำนักงานในช่วงปี 1910-1915 โดยเรียกชื่อย่านนั้นว่า “ฮอลลีวู้ด” (เป็นชื่อที่นางวิลค็อกซ์ตั้งเอาไว้เมื่อปี 1886) สันนิษฐานว่า เดิมถิ่นนี้มีต้นฮอลลีไม้มงคลที่ฝรั่งนิยมมาประดับบ้านเรือนช่วงเทศกาลคริสต์มาสอยู่จำนวนมาก โรงถ่ายทำภาพยนตร์แห่งแรกของฮอลลีวู้ดชื่อว่า “คีย์สโตน” (Keystone) ก่อสร้างโดย แมค เชนเนตต์ (Mack Sennett) สามารถผลิตภาพยนตร์ตลกในช่วงต้นๆ ได้มากถึง 140 เรื่อง ,โรงถ่ายที่ 2 ตั้งอยู่ใกล้กับ “อินซ์วิลล์” (Inceville) ก่อสร้างโดย โทมัส ฮาร์เพอร์ อินซ์ (Thomas Harper Ince) เป็นโรงถ่ายที่อยู่ใกล้แหล่งสภาพเหมาะสมที่จะสร้างภาพยนตร์แนวคาวบอย ,โรงถ่ายที่ 3 มีชื่อว่า “มามาโรเนก” (Mamaronek) บริหารงานโดยเดวิด วาร์ก กริฟฟิธ (David Wark Griffith) นักสร้างภาพยนตร์แนวรูปแบบศิลปะ เป็นโรงภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นเพื่อให้เชื่อมโยงกับโรงถ่ายคีย์สโตนเข้ากับโรงถ่ายอินซ์วิลล์ โรงถ่ายภาพยนตร์ทั้ง 3แห่ง ได้รวมตัวกันจดทะเบียนเป็นบริษัทที่ชื่อว่า “ไทรแองเกิล คัมปานี” (Triangle Company)

“ฮอลลีวู้ด” นั้นกลายเป็นเมืองหลวงแห่งโลกมายา ที่ตั้งนั้นอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองลอสแอนเจลิส ในระยะแรกๆ นั้น ดาราที่มาแสดงในยุคแรกๆ นั้นจะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมาก่อน เช่น ฟลอเรนซ์ ลอว์เรนซ์ หรือ แมรี่ พิกฟอร์ด แม้กระทั่ง ชาร์ลี แชปลิน เป็นต้น ในระยะต่อมาทางบริษัทผู้สร้างภาพยนตร์ก็เริ่มเสาะหานักแสดงหน้าใหม่ๆ ที่ยังไม่มีชื่อเสียงมาเป็นนักแสดงในสังกัด โดยใช้วิธีทำสัญญาผูกมัดระยะยาวในอัตราค่าจ้างที่ไม่แพงจนเกินไป อีกทั้งยังใช้วิธีการตั้งชื่อนักแสดงขึ้นมาใหม่จากชื่อเดิม ให้เป็นที่จดจำหรือดึงดูดความสนใจของผู้ชม เช่น นอร์มา ยีน ดักเฮอร์ตี (Norma Jean Dougherty) ไม่มีทางที่ผู้คนจะจดจำได้ จึงเปลี่ยนมาเป็น มาริลีน มอนโร (Marilyn Monroe) ภายหลังเธอก็กลายเป็นดาราผู้โด่งดังเป็นพลุแตก กลายเป็น “Sex Symbol” ที่โด่งดังเป็นอมตะไปทั่วโลก ส่วนเรื่องรายได้นั้นก็มหัศจรรย์เอามากๆ ในปี ค.ศ.1910 ดาราภาพยนตร์อเมริกันจะมีรายได้กันอยู่ประมาณ 100 เหรียญสหรัฐต่อสัปดาห์ แต่พอผ่านมาได้ 4ปี พวกเขามีรายได้สูงถึง 2,000 เหรียญสหรัฐต่อสัปดาห์และเมื่อถึงปี ค.ศ.1917 ดาราผู้ยิ่งใหญ่ของโลกอย่าง ชาร์ลี แชปลิน และแมรี พิกฟอร์ด มีรายได้เกือบ 1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หรือสัปดาห์ละไม่น้อยกว่า 20,000 เหรียญสหรัฐเลยทีเดียว ในช่วงยุคปี ค.ศ.1950-1960 เป็นยุคที่ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเริ่มเสื่อมความนิยมลง อันเนื่องมาจาก “ดาวค้างฟ้า” นั้นล้มหายตายจากกันไปจำนวนมาก อาทิ ฮัมฟรีย์ โบการ์ด, แกรี คูเปอร์, เจมส์ ดีน ,คลาร์ก เกเบิล ,มาริลิน มอนโร,อลัน แลดด์ และสเปนเซอร์ เทรซี ต่างทยอยสิ้นชีวิตตามกันไป ดาราที่เกิดใหม่ยังไม่ค่อยมีผู้ที่ฉายแสงเจิดจรัส อีกทั้งดาราหน้าใหม่เลือกที่จะไม่สังกัดสตูดิโอ ขอเลือกที่จะเซ็นสัญญาเป็นเรื่องๆ ไป ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ช่วงปี 1960-1970 บริษัทสตูดิโอผู้สร้างหนังหลายแห่งต้องปิดตัวเองไป หรือบางแห่งก็ขายกิจการให้แก่บริษัทสถานีโทรทัศน์ ซึ่งสถานีโทรทัศน์ในช่วงนั้นก็ได้อาศัยภาพยนตร์ของสตูดิโอที่ตนซื้อมา มาฉายออกทางทีวีให้ผู้ชมทางบ้านได้ดู บริษัทผู้สร้างภาพยนตร์หรือโรงถ่ายภาพยนตร์หลายแห่งในยุคนั้น จำต้องขายกิจการหรือเลิกกิจการ บางแห่งก็หันไปประกอบธุรกิจขุดเจาะน้ำมันดิบ (เมื่อมีการค้นพบว่ามีน้ำมันอยู่ใต้บริเวณโรงถ่าย) เพื่อออกขายแทน บางรายมีการปรับเปลี่ยนผู้บริหารงานใหม่และยังทำธุรกิจอยู่ได้ บางแห่งก็โดนเทคโอเวอร์โดยชาวต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย เป็นต้น

พัฒนาการของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด โดยสังเขป มีดังนี้

1.ด้านนักแสดง เปลี่ยนจากการขายภาพดารา (Star Poster) มาเป็นการเน้นที่ชื่อเสียงของดารามากขึ้น

2.ด้านเทคนิคภาพ เปลี่ยนจากสีขาว-ดำ มาเป็นภาพยนตร์สี (2 สี ในปี ค.ศ.1922) แล้วมาเป็น (3 สีในปี ค.ศ.1932) ระบบ full colour ตามระบบในปัจจุบัน

3.ด้านเสียง พัฒนาจากหนังเงียบ (ค.ศ.1910-1925)ที่ไร้บทพูดมาเป็น ภาพยนตร์ที่มีเสียงดนตรีประกอบ (คาบเกี่ยวช่วงปี ค.ศ.1910-1927) บริษัทวอร์เนอร์บราเธอร์ส เป็นบริษัทแรกที่สร้างภาพยนตร์เสียงขึ้น คือเรื่อง “นักร้องเพลงแจ๊สซ์” (Jazz Singer) นำแสดงโดย อัล โจลสัน (Al Jolson) ซึ่งประสบความสำเร็จและทำกำไรให้แก่บริษัทผู้สร้างอย่างงดงาม

4.ด้านระบบการฉายและจอภาพ ยุคแรกจนถึงปี ค.ศ.1951 เป็นการฉายภาพยนตร์ในระบบจอธรรมดาตลอดมา จนถึงปี 1952 ฮอลลีวู้ดได้คิดระบบการฉายที่เรียกว่า “ซีเนรามา” (Cinerama) คือจอผืนผ้าขนาดใหญ่มาก โดยใช้เลนส์ 3 ตัว และฟิล์ม 3 ม้วน ในขณะที่ถ่ายทำเพื่อให้ได้ภาพออกมาเป็น 3 ส่วนคือส่วนกลางและส่วนริมอีก2 ข้าง เวลาฉายก็ต้องตั้งเครื่องฉายพร้อมกัน 3 เครื่อง แต่ละเครื่องจะแสดงแต่ละส่วนของภาพทั้งหมด ภาพที่ปรากฏบนจอจึงมีขนาดใหญ่และกว้าง จอภาพต้องโค้ง เพื่อให้เกิดความรู้สึกถึงความลึก ทำให้ผู้ชมดูได้อย่างสบายตา แต่ระบบนี้ต้องใช้ต้นทุนสูงมาก เพราะยังต้องใช้ระบบเสียงสเตริโอโฟนิกที่ใช้ลำโพงถึง 5 เครื่องประกอบ ผู้ผลิตภาพยนตร์จึงต้องคิดค้นและพัฒนาต่ออีกทั้งระบบภาพ 3 มิติ (3-D หรือ 3 Dimensions) ก็เริ่มคิดค้นมาในยุคนี้แต่ยังต้องใส่แว่นตาแบบพิเศษที่ยังได้ฉาพไม่ละเอียดคมชัด อีกทั้งมีความยุ่งยาก จึงทำให้ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก พอมาในยุคปี 1953 มีการนำเอาระบบ “ซีนีมาสโคป” (Cinemascope) ยังคงใช้จอภาพกว้างใหญ่เหมือนระบบซีเนรามา มาใช้ แต่เปลี่ยนระบบฉายมาเป็นใช้เลนส์เพียงตัวเดียวและฟิล์มม้วนเดียว ระบบเสียงยังเหมือนเดิม แต่ใช้ลำโพงน้อยลง จึงทำให้ลดต้นทุนได้มากกว่าระบบการฉายแบบซีเนรามา ภาพยนตร์ที่ฉายในระบบซีเนมาสโคป เรื่องแรกก็คือเรื่อง “เสื้อคลุม” (The Robe)



5.ผลของการพัฒนาและความก้าวหน้าในการสร้างภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ดส่งผลให้อเมริกากลายเป็นผู้สร้างภาพยนตร์รายใหญ่ที่สุดในโลก ช่วงปี 1930-1940 มีการสร้างภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด จำนวนกว่า 17,000 เรืองโดยประมาณ ในขณะที่อิตาลีเป็นผู้สร้างใหญ่ในแถบยุโรป ยังสร้างได้เพียง 6,000 กว่าเรื่องเท่านั้น

(ถอดความบางส่วนจากบทความ “ฮอลลีวู้ดกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์” จากหนังสือ “ย้อนรอยหนังฝรั่ง”โดยไพบูลย์ แพงเงิน ,สำนักพิมพ์วสีครีเอชั่น)

ลำดับของภาพยนตร์แนวต่างๆ หรือวิวัฒนาการภาพยนตร์ประเภทต่างๆ ของฮอลลีวู้ด

1.ภาพยนตร์เงียบ,หนังสารคดีขนาดสั้น,หนังขาว-ดำ ภาพยนตร์ในยุคนี้ ได้แก่ The Great Train Robbery,The Last Days of Pompeit , Rescued for the Eagle’s Nest, Enock Arden etc.



2.ภาพยนตร์ยุคชาร์ลี แชปลิน,หนังคู่หูตลกอ้วน-ผอม เริ่มมีเสียงดนตรีประกอบ ภาพยนตร์ในยุคนี้ ได้แก่ The Champion, Modern Times ,Duck Soup , The Jazz Singer etc.

3.ภาพยนตร์การ์ตูน,หนังนิทานสอนใจ,วอลท์ ดิสนี่ย์ เริ่มมีบทพูด และดนตรีประกอบ ภาพยนตร์ในยุคนี้ได้แก่ Mickey Mouse, Donald Duck, Pluto,Goofy, Pop-eye,Tom & Jerry, Lady&The Tramp etc.

4.ภาพยนตร์ผจญภัย,หนังฮีโร่ที่สร้างจากนิยาย-การ์ตูน,หนังที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ภาพยนตร์ในยุคนี้ ได้แก่  Tarzan, Creature from the Black Lagoon,Lassie etc.




5.ภาพยนตร์เพลง,มิวสิคัล ภาพยนตร์ในยุคนี้ ได้แก่ The Sound of Music, Seven Brides for Seven Brothers etc.

6.ภาพยนตร์คาวบอย-โคบาลตะวันตก,หนังสงคราม,หนังแอ็คชั่น (รายละเอียดได้กล่าวไว้ในย้อนตำนานยุครุ่งเรืองภาพยนตร์อเมริกัน ตอนที่ 1)

7.ภาพยนตร์แนว “วรรณกรรมฝนตก” หรือจะเรียกในภาษาชาวบ้านว่า หนังเรท R ภาพยนตร์ในแนวๆ นี้ได้แก่ The Postman always Rings Twice, The Blue Velvet etc.

8.ภาพยนตร์แนวอีพิค (Epic) อิงประวัติศาสตร์มหากาพย์ (History) ย้อนยุค ภาพยนตร์ในยุคนี้ได้แก่ El Cid, Ben-Hur, Gone with the Wind etc.


9.ภาพยนตร์ยุคใหม่ ที่ประกอบด้วย แนวไซไฟ,แนวทริลเลอร์,แนวดราม่า,แนวโรแมนติกคอมเมดี้,แนวซุปเปอร์ฮีโร่,แนวแอนิเมชั่น ที่เห็นๆ กันในยุคปัจจุบัน เป็นต้น

10.มีการจัดตั้งรางวัลจากสมาคม,สถาบันต่างๆ ที่สอนเกี่ยวกับศิลปะภาพยนตร์,หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญในวงการสร้างภาพยนตร์ต่างๆ ได้แก่ สถาบันศิลปะและวิทยาการด้านภาพยนตร์ (AMPAS) ,สมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์บนสื่อวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติ (BFCA) , สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำฮอลลีวู้ด (HFPA), สมาคมผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา (PGA), สมาคมนักเขียนแห่งอเมริกา (WGA) ,สมาคมนักแสดงแห่งอเมริกา (SAG) , สมาคมผู้กำกับการแสดง (DGA) ,คณะกรรมการวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งชาติ (NBR) นอกจากนี้ยังมีสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ที่แยกตามหัวเมืองหลักๆ ของอเมริกาอีกด้วย เช่น แห่งนครนิวยอร์ก,ซานฟรานซิสโก,นครบอสตัน,นครชิคาโก ส่วนรางวัลที่ผู้สร้างภาพยนตร์และนักแสดงที่มีชื่อเสียงต่างให้ความสำคัญยังมีอีก 2 รางวัล และเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก นั่นคือ “รางวัลตุ๊กตาทอง” หรือรางวัล “ออสการ์” (Academy Award) ,และรางวัล “ลูกโลกทองคำ” (The Golden Globe Award) รางวัลออสการ์ นั้นจัดทำขึ้นโดย สถาบันศิลปะและวิทยาการด้านภาพยนตร์ (AMPAS) ส่วน รางวัลลูกโลกทองคำ จัดทำขึ้นโดยสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งฮอลลีวู้ด (HFPA) เพื่อมอบให้แก่บุคคลในวงการภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเป็นเกียรติยศแก่ผู้มีผลงานดีเด่นในสาขาต่างๆในแต่ละปี



วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

โลก 360 องศา - (พายุถล่มเม็กซิโก,ไต้ฝุ่นถล่มญี่ปุ่น,เหตุกราดยิงฐานทัพเรือสหรัฐ,เจรจาตรวจอาวุธเคมีซีเรีย)


ความคืบหน้าหลังพายุโซนร้อนมานูเอล-เฮอริเคนอิงกริด ถล่มเม็กซิโก ยอดเสียชีวิตพุ่ง 21 ศพ


สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานความคืบหน้า ในวันนี้ (16 ก.ย.) หลังจากที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้รับแจ้งเหตุ พายุโซนร้อนมานูเอล และพายุเฮอร์ริเคนอิงกริด ได้พัดถล่มทางฝั่งตะวันตกของเม็กซิโก ส่งผลให้หลายรัฐในประเทศ ได้รับความเสียหายอย่างมาก ทั้งยังพบจำนวนของผู้ที่เสียชีวิต เพิ่มขึ้นเป็น 21 ราย

นอกจากนี้ พายุ 2 ลูกดังกล่าว ยังส่งอิทธิพลให้เกิดพายุฝนตกหนักและดินถล่มอย่างรุนแรง มากไปกว่านั้น เจ้าหน้าที่ในรัฐตาเมาลีปัส และเวรากรูซ ได้ทำการอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงแล้วกว่า 7 พันคน ที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ต่ำ หลังจากพายุเฮอร์ริเคนเคลื่อนตัวใกล้ต่อเนื่อง พร้อมด้วยสภาพภูมิอากาศที่เริ่มย่ำแย่ ทำให้ประชาชนในบางพื้นที่ ยกเลิก การเตรียมจัดงานเฉลิมฉลอง "วันชาติ" ในวันที่ 16 ก.ย.นี้

อย่างไรก็ตาม สภาพบ้านเรือนนับพันหลังในรัฐเวรากรูซ นั้นได้รับผลกระทบจากพายุ รวมทั้งถนนไฮเวย์ 20 สาย และสะพานอีก 12 แห่ง ได้รับความเสียหาย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย จึงจำเป็นต้องระดมกำลังคอยให้การช่วยเหลือประชาชนฉุกเฉิน

โดยพายุเฮอร์ริเคนอิงกริด ได้ทำให้เกิดฝนตกหนัก และน้ำท่วม ในหลายพื้นที่ของคาบสมุทรเม็กซิโก ที่เมืองเวราครูซ (Veracruz) และรัฐตาเมาลีปัส (Tamaulipas) ประชาชนกว่า 6,000 คน ต้องอพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว ในพื้นที่ปลอดภัย และคาดว่าพายุลูกนี้ จะพัดขึ้นฝั่งในวันนี้ โดยมีความเร็วลมที่ 120 กม./ช.ม.

ขณะที่ บริเวณชายฝั่งแปซิฟิก พายุโซนร้อนมานูเอล ได้พัดถล่มเม็กซิโก มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 วันแล้ว ทำให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อากาปุลโก เมืองตากอากาศชื่อดัง ไดัรับผลกระทบจากพายุลูกนี้ มากที่สุด มีฝนตกหนักมาก ปริมาณน้ำฝนมากกว่าปริมาณฝนเฉลี่ยในแต่ละเดือนถึง 2 เท่า ขณะที่ รัฐโออาซากา (Oaxaca), เกร์เรโร (Guerrero), และ ชิฮัวฮัว (Chihuahua) ถนนหลายสายถูกตัดขาด รวมถึงการสื่อสารโทรคมนาคมไม่สามารถใช้การได้

ทั้งนี้ สภาพอากาศที่แปรปรวน และมีพายุพัดเข้าถล่มถึง 2 ลูก ทำให้รัฐบาลมีการประกาศยกเลิกงานเฉลิมฉลองวันประกาศเอกราช ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาด้วย


ทางการท้องถิ่นของเมืองเกียวโต และเมืองอื่นๆ ทางตอนกลางและตอนเหนือของญี่ปุ่น สั่งอพยพประชาชนเกือบ 300,000 คน ออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ว หลังพายุไต้ฝุ่นมาน-หยี่พัดเข้าถล่มเมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ขณะนี้พายุกำลังเคลื่อนตัวไปทางตอนเหนือของประเทศ หวั่นกระทบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะ ไดอิจิ ที่กำลังประสบปัญหากัมมันตรังสีรั่วไหล

พายุไต้ฝุ่นมาน-หยี่พัดขึ้นฝั่งที่จังหวัดไอจิ ทางตอนกลางของประเทศญี่ปุ่นแล้ว เมื่อช่วงสายของวันนี้ตามเวลาในประเทศไทย ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมในบางพื้นที่ ขณะเดียวกัน สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเคของญี่ปุ่นก็รายงานว่า มีผู้สูญหายจากพายุดังกล่าวแล้ว 4 ราย และบาดเจ็บอีก 65 คน นอกจากนี้ บ้านเรือนประชาชนอีกกว่า 860 หลังก็ถูกน้ำท่วมเสียหาย โดยพายุไต้ฝุ่นมาน-หยี่ พัดด้วยความเร็วลมกว่า 162 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และกำลังมุ่งหน้าขึ้นไปบริเวณชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ทำให้หลายฝ่ายแสดงความกังวลว่า พายุลูกนี้ อาจทำให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะ ไดอิจิ ที่กำลังมีปัญหาเรื่องกัมมันตรังสีรั่วไหลได้รับผลกระทบด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ดังกล่าวเปิดเผยว่า ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ทุกคนได้รับคำเตือนเรื่องพายุไต้ฝุ่นลูกนี้ และอยู่ระหว่างการเฝ้าระวังภัยระดับสูงสุด พร้อมกับมีการเร่งสูบน้ำออกจากพื้นที่โดยรอบบ่อเก็บน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสี เนื่องจากเกรงว่า อิทธิพลจากพายุไต้ฝุ่นมาน-หยี่ จะทำให้เกิดฝนตกหนัก และน้ำที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสีอาจไหลลงสู่ทะเลเป็นปริมาณมากได้ ขณะเดียวกัน ทางการท้องถิ่นของญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเมืองเกียวโตรวมถึงเมืองอื่นๆ ได้สั่งอพยพประชาชนเกือบ 300,000 คน ออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย และยังมีการระดมกองกำลังป้องกันตนเองจำนวนมาก เข้าไปยังพื้นที่ เพื่อนำกระสอบทราย ไปวางไว้โดยรอบพื้นที่ที่เสี่ยงถูกน้ำท่วมแล้ว ขณะที่ เที่ยวบินกว่า 500 เที่ยว โดยเฉพาะเที่ยวบินที่เดินทางออกนอกญี่ปุ่น ถูกสั่งยกเลิกทั้งหมดแล้ว ส่วนรถไฟที่ให้บริการบางเส้นทาง เช่นทางตอนเหนือและตอนกลางของประเทศ ซึ่งรวมถึงรถไฟความเร็วสูงชิงคันเซน เส้นทางชิซูโอกะ - มิซูมะ ได้ประกาศระงับการให้บริการชั่วคราวแล้ว เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร


เอเอฟพี - ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุบุกราดยิงที่ฐานทัพเรือสหรัฐฯในวอชิงตันเมื่อวันจันทร์(16) เพิ่มขึ้นเป็น 13 ศพ หนึ่งในนั้นเป็นคนร้ายทราบชื่อแล้วเป็นอดีตกำลังพลสำรองของกองทัพเรือเอง ขณะเดียวกันก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นๆซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังเร่งมือไล่ล่า อย่างไรก็ตามเบื้องต้นยังไม่ทราบแรงจูงใจในปฏิบัติการอุกอาจครั้งนี้

สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ(เอฟบีไอ) ระบุว่าผู้ต้องสงสัยที่ถูกยิงเสียชีวิตคือนายอารอน อเล็กซิส จากฟอร์ทเวิร์ท รัฐเทกซัส ซึ่งเคยเป็นกำลังพลสำรองของกองทัพเรือ ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2007 ถึง มกราคม 2011 เจ้าหน้าที่บอกว่ายังไม่มีสิ่งบ่งชี้ใดๆที่เชื่อมโยงเหตุกราดยิงครั้งนี้กับกลุ่มก่อการร้าย ส่วนตำรวจยอมรับว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่ทราบแรงจูงใจของคนร้าย หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวจุดชนวนให้ตำรวจและเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางต้องปิดล้อมนาวี ยาร์ด ที่ตั้งสำนักงานและหน่วยงานต่างๆของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดีซี ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากอาคารรัฐสภา รวมทั้งปิดกั้นถนนทางสายๆโดยรอบ "ในชั่วโมงนี้ ดูเหมือนว่าจะมีผู้เสียชีวิตอย่างต่ำ 13 ศพและผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคน" แคที ลาเนอร์ ผู้บัญชาการตำรวจวอชิงตัน ดีซี แถลงกับผู้สื่อข่าว โดยเบื้องต้นเธอบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจมีมือปืนคนอื่นๆอีก 2 คน อย่างไรก็ตามต่อมาผู้ช่วยของเธอชี้แจงว่าหนึ่งในนั้นพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัยแล้ว ลาเนอร์บอกว่าตำรวจกำลังตามล่าชายผิวดำอายุระหว่าง 40 ถึง 50 ปี สวมชุดเครื่องแบบคล้ายทหาร และด้วยเจ้าหน้าที่ดำเนินการปิดถนนโดยรอบและยังปฏิบัติการค้นหาอย่างแข็งขัน เธอจึงเรียกร้องประชาชนอยู่แต่ในที่พักอาศัยและออกให้ห่างจากบริเวณที่เกิดเหตุ พร้อมกันนั้นเธอก็ยืนยันว่าตำรวจวอชิงตัน ดีซี นายหนึ่งอยู่ในกลุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บด้วย และทางโรงพยาบาลบอกว่าเขาอาการสาหัส

ขณะที่เอฟบีไอเข้ามารับหน้าที่สืบสวน ก็มีข้อมูลข่าวที่ขัดแย้งปรากฎบนโลกออนไลน์ และก่อคำถามว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นที่สำนักงานใหญ่หน่วยงานซ่อมบำรุงเรือของกองทัพเรือสหรัฐฯกันแน่ หลังจากก่อนหน้านี้ก็มีข่าวว่ามือปืนกำบังตนเองในห้องๆหนึ่งของอาคารศูนย์บัญชาการ นอกจากนี้แล้วยังไม่เป็นที่ชัดเจนอีกว่ามือปืนที่อาจมีคนเดียวหรือมากกว่านั้น โดยสำนักข่าวบางแห่งก็ระบุว่ามีผู้ก่อเหตุทั้งหมด 3 คน อีกด้านหนึ่งก็ยังมีคำถามว่าคนร้ายสามารถเล็ดรอดผ่านมาตรการรักษาความปลอดภัยอันหนาแน่นเข้าไปภายในนาวียาร์ด แห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำอนาคอสเตียและอยู่ห่างจากแค่รัฐสภาราว 3 กิโลเมตรได้อย่างไร และด้วยที่พบเห็นผู้ต้องสงสัยอื่นๆสวมชุดเครื่องแบบทหาร จึงก่อแรงคาดเดาต่างนานาว่าเหตุโจมตีนี้อาจเป็นฝีมือคนในก็เป็นได้ ตำรวจปิดกั้นแยกต่างๆที่อยู่โดยรอบอู่ทหารเรือ โดยมีทหารในเครื่องแบบคอยยืนรักษาความปลอดภัยตรงมุมถนน นอกจากนี้ยังพบเห็นเรือลาดตระเวนหลายลำเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ๆพื้นที่เกิดเหตุ ขณะเดียวกันก็มีชาวบ้านพากันออกมายืนมุงดูเหตุการณ์บนทางเท้าและเฮลิคอปเตอร์หลายลำบินอยู่ด้านบน เบื้องต้นทวิตเตอร์ของกองทัพเรือสหรัฐฯระบุว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคนและอ้างรายงานที่ยังไม่ยืนยันว่ามีผู้เสียชีวิต ส่วนตำรวจบอกกับสื่อมวลชนท้องถิ่นว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บราวๆ 10 คน "มีหลายคนได้รับบาดเจ็บและมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตในเหตุกราดยิงที่อู่ทหารเรือวอชิงตันด้วย" ถ้อยแถลงของกองทัพเรือระบุ เที่ยวบินหลายเที่ยว ณ ท่าอากาศยานเรแกน เนชันแนล ต้องถูกระงับและประสบปัญหาเดินทางล่าช้าช่วงสั้นๆ ส่วนโรงเรียนก็ถูกสั่งปิดห้ามเข้าออกจนกว่าผู้ปกครองจะเดินทางมารับบุตรหลานในช่วงบ่าย ทางกองทัพเรือเผยว่ามีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัดที่สำนักงานใหญ่หน่วยงานซ่อมบำรุงเรือของกองทัพเรือสหรัฐ (Naval Sea Systems Command) ตอนเวลาประมาณ 8.20 น.(ตรงกับเมืองไทย 20.20น.) โดยที่สำนักงานแห่งนี้มีเจ้าหน้าที่ราว 3,000 คน ซึ่งรับผิดชอบสร้างและจัดซื้อเรือรบ รวมถึงระบบต่อสู้ต่างๆแก่กองทัพเรือ นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์กองทัพเรือด้วย ขณะเดียวกันในค่ายดังกล่าวยังมีที่พักของเจ้าหน้าที่ระดับสูง ในนั้นรวมถึงบ้านพักของพลเรือเอกโจนาธาน กรีน ผู้บัญชาการกองทัพเรือสหรัฐฯ

ด้านประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯประณามเหตุกราดยิงครั้งนี้ว่าเป็นการกระทำที่ตาขาวและแสดงความเสียใจที่อเมริกาต้องเผชิญกับเหตุสังหารหมู่อีกครั้ง พร้อมระบุว่าทหารของกองทัพไม่ควรต้องเจอกับภัยอันตรายใดๆยามที่อยู่ในบ้านของตนเอง นอกจากนี้แล้วผู้นำอเมริกา ยังสั่งให้ลดธงชาติบริเวณอาคารรัฐสภาลงครึ่งเสาจนถึงวันศุกร์(20) เพื่อไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิต


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย เมื่อวันที่ 16 ก.ย. นายอาวี ไฮดาร์ รมว.กระทรวงปรองดองแห่งชาติของซีเรีย แถลงเมื่อวันอาทิตย์ว่า การบรรลุข้อตกลงเพื่อแก้ไขวิกฤตอาวุธเคมีในซีเรียระหว่างนายจอห์น แคร์รี รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กับนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.กระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ ที่นครเจนีวา ในสวิตเซอร์แลนด์ เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ซึ่งจะนำพาซีเรียหลุดพ้นออกจากวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่ โดยเฉพาะในเรื่องการตกเป็นเป้าโจมตีทางทหารของสหรัฐ

ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญในข้อตกลงระบุถึงการที่ซีเรีย ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ครอบครองอาวุธเคมีมากที่สุดในโลก ต้องให้ความร่วมมือแก่องค์กรสากลในการตรวจสอบและทำลายอาวุธเคมีทั้งหมด ภายในปี 2557 แต่นับจากวันที่ข้อตกลงมีผล ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย ต้องส่งรายงานระบุสถานที่เก็บอาวุธเคมีทั้งหมดภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และการใช้กำลังทางทหารของสหรัฐ ที่แคร์รียืนยันว่า วอชิงตันจะ "เอาจริง" หากอัสซาดไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงแม้เพียงข้อเดียว

ขณะที่ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ ออลลองด์ ผู้นำฝรั่งเศส ซึ่งประกาศตัวสนับสนุนภารกิจทางทหารของสหรัฐต่อซีเรียอย่างชัดเจน กล่าวแสดงความยินดีต่อการบรรลุข้อตกลงดังกล่าวของสหรัฐและรัสเซีย แต่ย้ำเช่นเดียวกับแคร์รีว่า คำขู่เรื่องภารกิจทางทหารนั้นเป็นของจริง ดังนั้น ดามัสกัสจึงควรปฏิบัติตามข้อตกลงให้เร็วที่สุด

ส่วนนายบัน คี-มูน เลขาธิการสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) มีกำหนดในวันนี้ ที่จะเผยรายงานผลการตรวจสอบหลักฐาน จากการลงพื้นที่สำรวจพื้นที่ต้องสงสัยใช้อาวุธเคมีในซีเรียเมื่อปลายเดือนที่แล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

ทำไมช่องเคเบิ้ลเพลง(MTV,Channel V) จึงไม่ฮอตฮิต (หมดเสน่ห์) เหมือนในยุคอดีต(ยุค 80’s,90’s,Millennium)


ประการแรกเลยก็คือ ความสดใหม่ มันไม่มีอีกแล้ว เนื่องจากสมัยที่เป็นยุคบุกเบิกวงการเคเบิ้ลเพลงทางทีวี หรือเป็นสถานีเพลง 24 ชั่วโมง ที่เปิดเพลงดังๆ จากหลากหลายศิลปินทั่วโลก พร้อมๆ กับการอุบัติขึ้นของมิวสิควีดีโอ ซึ่งยังเป็นสิ่งใหม่มากในยุคนั้น (MTV ก่อตั้งเมื่อ 1 ส.ค.1981 ที่นิวยอร์ก ส่วน Channel V ก่อตั้งเมื่อ 23 พ.ค.1994 ที่ฮ่องกง ) คนดูในยุคนั้นเขาได้รับการตอบสนองพร้อมๆ กันในหลายประการ คือ ได้ดูมิวสิควีดีโอจากเพลงของศิลปินดังๆ ที่เขาชอบ,การจัดอันดับเพลงไปพร้อมๆ กัน ,มีอาชีพใหม่ๆ ที่เรียกว่า “วีเจ” มาเปิดเพลง แนะนำเพลง ก่อนเข้าเพลงหรือดูมิวสิค คล้ายๆ ดีเจของสถานีวิทยุ ,มีช่องเคเบิ้ลที่เปิดเพลง 24 ชั่วโมง คือเขาสามารถเปิดดูในเวลาใดก็ได้ ซึ่งยังเป็นความบันเทิงที่แตกต่างไปจากการดูช่องภาพยนตร์,ช่องข่าว,ช่องสารคดี,ช่องกีฬา เป็นต้น และอย่าลืมว่ายุคนั้นอินเตอร์เน็ตยังไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแล้วแต่ยังไม่มีโซเชียลมีเดีย ที่จะดึงความสนใจของคนกลุ่มใหญ่ได้ ยุคนั้นประสบการณ์ที่คนฟังได้เสพเพลงจากรายการวิทยุแล้วมีเสียงดีเจคอยเปิดแผ่นให้ความรู้ด้านเพลงและวงการดนตรีเป็นสิ่งที่ประทับใจ พอมีสื่อใหม่อย่างช่องเคเบิ้ลเพลงขึ้นมาจึงกลายเป็นสิ่งใหม่ที่ผู้เขียนก็เคยคาดหวังไว้มากว่าจะมาแทนวิทยุได้ แต่ก็ผิดหวัง เพราะทุกวันนี้ดูช่องเคเบิ้ลเพลงแฟรนส์ไชส์น้อยลง เพราะเบื่อพวกวีเจมาพล่าม พูดมากในรายการหรือเล่นเกมส์ต่างๆ นานา จนได้ฟังเพลงที่อยากฟังน้อย หรือบางทีก็ไม่ได้เปิดเลย


 


                                             การแสดงสดของ Miley Cyrus ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์


 
 

ตลอดกว่า 30 ปี MTV เป็นที่เผยแพร่และแจ้งเกิดศิลปินผิวสี,มิวสิควีดีโออันล่อแหลม,การร่วมรักอย่างโจ๋งครึ่ม,ความรุนแรง,อาชญากรรม,เซ็กส์,รวมทั้งฉากการเสพยาเสพติด ซึ่งมิวสิควีดีโอหลายตัวไม่ถูกเซ็นเซอร์ ทั้งๆ ที่กลุ่มคนดูเป็นวัยรุ่นหรือเยาวชนจากทั่วโลก


ประการที่ 2 สิ่งแปลกใหม่หรือกลยุทธ์ทางการตลาดที่จะสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ชมซึ่งเป็นฐานคนดูกับตัวธุรกิจหรือช่องสถานี เพลงนั้น ๆ ได้ถูกทดลองทำมาหมดแล้ว สมัยแรกๆ มีการแข่งขันกันด้าน วีเจ ว่าของช่องใดจะมีตัวที่ ดี เด่น ดัง มากกว่ากัน มีการไปแย่งดึงตัวเอาเซเลป ดารา นางแบบ นายแบบ พิธีกรวัยรุ่น ที่เป็นทีนไอดอลของยุคนั้นมาอยู่ช่องของตน เช่น ตอนเปิดตัว Channel V ใหม่ๆ ก็ใช้วิธีนี้ เพื่อไม่ให้แพ้ MTV ,หลังๆ ก็มีการจัดหาด้วยวิธีการรับสมัครวีเจหน้าใหม่ในโครงการวีเจเซิร์จบ้าง หรือปั้นวีเจขึ้นมาเอง, การสร้างกิจกรรมระหว่างวีเจ กับฐานแฟนคลับหรือคนดู เช่น จัด คอนเสิร์ตไลฟ์ เซสชั่น ในสตูดิโอ โดยดึงศิลปินชื่อดังมาเล่นสดในรายการ,การรับสายขอเพลงสดๆ ในรายการ,การร่วมกันจัดอันดับเพลง,การเล่นเกมแจกของรางวัล,การสัมภาษณ์ศิลปินที่มีผลงานโปรโมตใหม่ๆ ในรายการ, การจัดคอนเสิร์ตโดยเชิญศิลปินหลากหลายศิลปินจากหลายค่ายมาแจมกันบนเวที โดยมีสถานีเพลงเป็นเจ้าภาพหรือสปอนเซอร์หลัก พร้อมด้วยสปอนเซอร์สนับสนุนอื่นๆ ,การจัดการประกาศผลรางวัลทางด้านดนตรีโดยสถานีเพลงเป็นเจ้าของรางวัล,การจัดแฟนมีทติ้งระหว่างวีเจชื่อดังกับแฟนคลับ โดยมีศิลปินดังๆ ร่วมด้วย จนไปถึงการทำสารคดีพิเศษที่เกี่ยวกับตัวศิลปินบ้าง หรือกิจกรรมทางสังคมบ้าง การจัดทำภาพยนตร์หรือซีรี่ย์ก็เคยมีมาแล้ว เช่น Awkward กับ Teenwolf ของทาง MTV หรือเกมเรียลลิตี้ เป็นต้น

ประการที่ 3 การเกิดขึ้นของโซเชียลมีเดีย อย่าง youtube เป็นต้นตอหลักที่มาฆ่าธุรกิจช่องเคเบิ้ลเพลง ในดอกแรกนี้เลย เพราะว่า จุดสนใจหรือข้อดีของ youtube นั้นกลับกลายเป็นจุดแข็งที่มาเติมเต็มหรือหรือทำลายข้อด้อยของพวกช่องเคเบิ้ลเพลงได้อย่างชะงัดเลย อันแรกก็คือเกิดการแชร์ อัพโหลดคลิปจากคนทั่วโลก ซึ่งมีสารพัด ไม่เพียงแต่เรื่องของเพลงเท่านั้น มันจึงมีความน่าสนใจใคร่รู้ของคนจำนวนมาก ที่โมเม้นต์ของคนไม่ได้ไปจดจ่ออยู่ที่เพลงอีกต่อไปแล้ว รวมถึงไปฆ่าธุรกิจภาพยนตร์ เพราะการดูมิวสิควีดีโอมันไม่ใช่ของสดแบบเรียลไทม์ (ข่าว,กีฬา,ละคร youtube เป็นตัวเสริมให้ดูย้อนหลังได้) ชนิดที่ต้องดูเดี๋ยวนั้น ขณะนั้น คนดูสามารถหันไปดูทาง youtube ได้ ดูซ้ำกี่รอบก็ได้ ซึ่งการดูในช่องเคเบิ้ลเพลงไม่สามารถทำได้ ยกเว้นว่าเขาฉายวนแบบรีรัน แบบถี่ๆ ซึ่งช่องเพลงไม่เหมือนช่องหนัง จึงไม่นิยมทำ การดูมิวสิควีดีโอผ่าน youtube ยังสามารถเลือกฟังเฉพาะศิลปินที่เราชื่นชอบ อยากจะฟังจริงๆ เดี๋ยวนั้น ขณะนั้น โดยไม่ต้องรอ หรือโทร.เข้าไปขอกับช่องเคเบิ้ลเพลง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะได้ฟังได้ดูเมื่อไร อีกทั้งข้อจำกัดของมิวสิควีดีโอที่นำมาเปิดในช่องเคเบิ้ลเพลงมักเป็นเพลงที่ตัดโปรโมทและต้องเป็นเพลงที่จัดทำในรูปมิวสิควีดีโอ หรือแสดงสดเท่านั้น จึงออกอากาศได้หรือคนดูจะได้ดูได้ฟัง หากเป็นเพลงที่ไม่ได้ทำมิวสิค หรือตัดโปรโมท ก็แทบหาฟังทางช่องเคเบิ้ลเพลงไม่ได้เลย ซึ่งต่างจากเพลงที่ฟังทางวิทยุ หรือทาง youtube ที่บางเพลงจัดทำในรูป file mp3 จึงฟังหรือดูทาง youtube ได้หลากหลายกว่า ส่วนการฟังโดยการ download ถูกกฎหมายของลิขสิทธิ์นั้นทำได้อยู่แล้ว

ประการที่ 4 ค่ายเพลงหลักๆ เปิดสถานีช่องเพลงเป็นของตนเอง โดยไม่ต้องไปพึ่งพาช่องเคเบิ้ลเพลงแฟรนไชส์อย่าง MTV,Channel V แล้ว เรียกได้ว่าใช้สูตรเดียวกับช่องเคเบิ้ลเพลงเคยทำมานั่นแหละ อันนี้ถือเป็นดอกที่ 2 แต่สิ่งที่ค่ายเพลงหันมาทำสถานีช่องเพลงเป็นของตนเองนั้น ตอบโจทย์และสร้างผลประโยชน์ให้กับเขาได้คุ้มค่ากว่า โดยไม่ต้องไปยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจ เหมือนกับที่เขามีช่องสถานีวิทยุเป็นของตนเองนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นข้อดีด้าน เม็ดเงินโฆษณา เม็ดเงิน sms ก็เข้าสถานีของเขาเอง อาศัยช่องสถานีของตน โปรโมตซิงเกิ้ลเพลงของศิลปินทุกคนในค่ายได้,โปรโมตผลงานมิวสิควีดีโอของศิลปินทั้งใหม่และเก่า ,เวลาศิลปินมีผลงานใหม่ๆ ก็ใช้เป็นที่โปรโมต สัมภาษณ์ แสดงสดในช่องสถานีตนเองได้ ,จัดแฟนคลับมีทติ้งร่วมกับสถานีหรือรายการในช่องสถานีตนเอง, สร้างกิจกรรม CSR ระหว่างตัวศิลปินกับฐานแฟนคลับ และกิจกรรมทางสังคมโดยร่วมกับองค์กรหรือหน่วยงานข้างนอกที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ,เวลาศิลปินมีข่าว ไปออกงานอีเว้นท์ หรือจะมีจัดคอนเสิร์ต ก็ใช้เป็นที่โปรโมตกิจกรรมทุกรูปแบบ, เวลามีซิงเกิ้ลใหม่,มิวสิควีดีโอตัวใหม่ ก็ใช้สถานีตัวเองเป็นที่แรกในการเปิดโปรโมต หรือพรีเมียร์ โดยลำดับความสำคัญเป็นที่แรก ที่อื่นเป็นลำดับรองลงไป อย่างเช่น ค่ายยักษ์ใหญ่อย่างแกรมมี่มีช่องเพลงเป็นของตนเองถึง 6 ช่อง เช่น Green,Bang, Acts,FanTV,Gmm Music, Gmm ONE ด้วยความที่เป็นค่ายใหญ่มีศิลปินเยอะที่สุด เพลงฮิตเยอะสุด ฐานแฟนคลับเยอะสุด จึงสามารถจัดรายการประเภทจัดอันดับเพลงเป็นของตนเองได้ ซึ่งค่ายอื่นไม่สามารถทำได้ ส่วนค่าย RS มีช่อง You ,สบายดี ,Yaak ส่วนทางโซนี่บีอีซีเทโร ก็มีช่อง POP , You 2 Play ดังนั้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า กลุ่มแฟนคลับซึ่งเป็นฐานแฟนคลับของศิลปินตามค่ายเพลงต่างๆ เหล่านี้ จะหันไปเสพหรือดูศิลปินของเขาผ่านช่องเคเบิ้ลของค่ายเพลงเป็นหลักอยู่แล้ว เพราะข่าวสาร ข้อมูล รวมถึงกิจกรรมก็จะ exclusive กว่าช่องเพลงแฟรนไชส์อย่าง MTV,Channel V เป็นแน่

รูปแบบรายการประเภทจัดอันดับเพลงไทยของช่องเพลงแฟรนไชส์


รูปแบบการแสดงสดของศิลปินที่มาออกรายการทางช่อง MTV


รายการ Asian Hero ที่นำเสนอศิลปินจากฝั่งเอเชีย และที่มาแสดงคอนเสิร์ตในเมืองไทย


ประการที่ 5 ช่องเคเบิ้ลเพลงที่เป็นแฟรนไชส์อย่าง MTV,Channel V นั้นต้นกำเนิดหรือรากนั้นมาจากเพลงทางฝั่งยุโรปหรืออเมริกาอยู่แล้ว จะเน้นเปิดเพลงไทยก็เป็นเพียงสัดส่วนเพียงแค่ 30% ของทั้งหมด แม้ว่าจะมีการเปิดบริษัทสาขาตัวแทนในประเทศไทยแล้วก็ตาม (MTV Thailand,Channel V Thailand)แต่ฐานกลุ่มคนที่ดูช่องเคเบิ้ลเพลงนั้นส่วนใหญ่จะเป็นฐานคนที่ฟังเพลงสากลเป็นหลัก แต่มีการทำสำรวจวิจัยออกมาแล้วว่าในช่วง 20 ปีหลังมานี้ ตลาดเพลงสากลในบ้านเรานั้นหดเล็กลง ในขณะที่ตลาดเพลงไทยสากลและเพลงเอเชียนกลับขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก สมัยผู้เขียนเป็นเด็กหรือยังวัยรุ่นอยู่ ตลาดเพลงบ้านเรา คนส่วนใหญ่จะฟังเพลงสากล 70 เพลงไทยกับเอเชียนแค่ 30 แต่เดี๋ยวนี้กลับกัน เพลงไทยกับเอเชียน 70-80 เพลงสากล 30-20 จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่หรือวัยรุ่นยุคนี้ฟังเพลงไทยในประเทศกับเพลงเอเชียน โดยเฉพาะเพลงเกาหลี เป็นตลาดใหญ่ และเพลงไทยกับเพลงเอเชียนนั้นอยู่ในมือของค่ายเพลงไทยก็คือแกรมมี่ กับโซนี่ ,อาร์เอส และทรูมิวสิค ซึ่งแต่ละค่ายเพลงเหล่านี้ก็มีช่องเพลงเป็นของตนเองทั้งสิ้น นี่คือสาเหตุที่ทำให้กลุ่มฐานคนดูในช่อง MTV,Channel V นั้นลดลง และเป็นที่มาที่ทำให้ผลการดำเนินงานของช่องสถานีเพลงที่เป็นแฟรนส์ไชส์เหล่านี้อยู่ได้ยากยิ่งในยุคปัจจุบัน MTV ไทยแลนด์เคยปิดตัวลงไปแล้ว 2 ครั้งและมาเปิดใหม่เมื่อไม่นานมานี้
(เอ็มทีวีไทยแลนด์ออกอากาศครั้งแรกบนช่อง 49 เครือยูบีซี ต่อมาย้ายมาช่องยูบีซี 32 ต่อมา เอ็มทีวีไทยแลนด์ประกาศย้ายการออกอากาศในไทยวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 จากเคเบิลทีวี ช่องทรูวิชั่นส์ไปแพร่ภาพทางทีวีดาวเทียม ดีทีเอช หรือรับชมผ่านเคเบิลทีวีท้องถิ่น ขณะนี้เอ็มทีวีไทยแลนด์ ได้ย้ายการออกอากาศจากสไมล์ทีวี เน็ตเวิร์ค โดยได้กลับมาออกอากาศ ทาง ทรูวิชั่นส์ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ย้ายมาอยู่ช่อง 85 เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553 ออกอากาศในวันสุดท้ายของคืนวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 หลังจากนั้นกลับมาออกอากาศอีกครั้งทางช่องทรูวิชันส์ เมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556 โดยถ่ายทอดสัญญาณของเอ็มทีวีเอเชียมา และออกอากาศอย่างเป็นทางการผ่านระบบซีแบนด์ (ที่ได้รับสัมปทานความถี่ช่องดาวเทียมของ อสมท.) และเคยูแบนด์ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ต่อมาในเดือนกันยายน 2556 กลับมาฉายอีกครั้งในรูปแบบเอ็มทีวีไทยแลนด์)
ส่วน Channel V ที่ออกอากาศทางทรูวิชั่นส์นั้นหมดสัญญาพอดีและเพิ่งปิดตัวไป และมีบริษัทฟ็อกซ์มาเทคโอเวอร์กิจการและเปิดดำเนินการธุรกิจต่อ และกำลังไปออกอากาศบนเครือข่าย GmmZ และ CTH แทน

หมายเหตุ  เมื่อก่อนค่ายเพล่งสากลที่จัดจำหน่ายเพลงสากลในบ้านเรามีหลายค่ายมากทั้ง Warners,BMG,Wea Record,Sony,Universal,EMI,Polygram(เพลงเอเชียน),Rock Record เป็นต้น รายการวิทยุที่เปิดเพลงสากลก็มีมากมาย เดี๋ยวนี้เหลือน้อยมาก หลักๆ ก็คือ 105.50,107,104.5 


ทางรอดของช่องเคเบิ้ลเพลงแฟรนไชส์อย่าง MTV,Channel V (Thailand)

1.ขยายฐานคนดูคนฟังรุ่นใหม่ให้หันมาดูมาฟังเพลงสากล ให้มากขึ้น ซึ่งเป็น content หลัก แต่ดั้งเดิมของช่องให้ได้เพิ่มขึ้น โดยจัดกิจกรรมต่างๆ

2.ปรับโหมดของการโฟกัสเพลงไทย ให้เน้นมาที่ค่ายเพลงอินดี้ ค่ายเพลงเล็กๆ เพลงนอกกระแส ที่ไม่มีช่องทางสถานีเพลงเป็นของตนเอง แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้ทิ้งเพลงกระแสหลักของค่ายใหญ่ๆ แต่เปิดน้อยลง และไปโฟกัสที่เพลงของค่ายเพลงน้องใหม่ หรืออันดับ 3,4 เช่น เปิดเพลงจาก smallroom, love is, believe record, spicy disc, iwave, panda record, true music, mono music ให้มากขึ้น เป็นต้น

3.กระแสของเรียลลิตี้ ประเภทประกวดร้องเพลงในบ้านเรา ยังได้รับความนิยมอยู่สูง และเป็นเทรนด์ใหม่ในรอบ 10 ปีมานี้ได้รับความนิยมมาก ทำไมช่อง M, ช่อง V ไม่ดึงเอาการประกวดแบบนี้มาฉายถ่ายทอดสดออกทางช่องตนเองบ้าง แม้ว่า TS,AF มีช่องและค่ายของตนเองแล้ว แต่เวทีใหม่ๆ หรือเก่า ๆ อย่าง KPN Award ,The Voice Thailand สามารถดึงมาออกได้นี่ หรือซื้อลิขสิทธิ์ประเภท X Factor มาออกก็ได้ หรือร่วมกับบริษัทผู้ถือลิขสิทธิ์ใครก็ได้ มาออกที่ช่อง อย่างน้อยสามารถสร้างจุดสนใจ เรตติ้ง และโมเมนตัมมาที่ช่องได้ส่วนหนึ่ง หรือการจัดงานประกาศผลรางวัลทางด้านดนตรีที่เป็นของช่อง M,ช่อง V เอง แต่เน้นเป็นสาขาประเทศไทย ก็จะเป็นอีกสถาบันรางวัลนึง เพราะที่ผ่านมาอย่าง MTV Music Award ก็จัดแบบรวมทั้งเอเชีย ไม่ได้โฟกัสมาที่ไทยเท่าไหร่ หากติดปัญหาเรื่องนโยบายหรือลิขสิทธิ์ ก็อาจใช้วิธีดึงรางวัลที่จัดอยู่แล้วในไทยมาออกอากาศที่ช่องได้ เช่น สีสันอวอร์ด แล้วเป็นสปอนเซอร์ให้เขาได้ หรือแม้กระทั่งร่วมกับนิตยสาร วารสารด้านเพลง มหาวิทยาลัยชื่อดัง จัดตั้งเป็นสถาบันที่น่าเชื่อถือได้จัดทำชาร์ตบิลบอร์ดของไทย เพื่อเป็นมาตรฐานชาร์ตเพลงไทยระดับชาติที่น่าเชื่อถือได้ ใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิง ตัววัด ความสำเร็จของวงการเพลงไทย ให้เป็นสถาบันหลัก

4.นำเอาจุดเด่น ข้อดีของเทคโนโลยีโซเชียลมีเดีย มาผนวกกับสื่อบรอดแคสท์อย่างช่องเคเบิ้ลเพลง ที่จะสามารถให้คนดูสามารถเลือกเพลงที่อยากฟัง โดยการคลิกโหวตแบบเรียลไทม์เพื่อวัดกระแส แล้วเปิดออนแอร์สดเดี๋ยวนั้น โดยที่วีเจหรือโปรดิวเซอร์รายการ ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธการเปิดเพื่อตอบสนองคนดูแบบเรียลไทม์ ซึงอาจทำเป็นบางช่วงของรายการสด หรือบางรายการ บางช่วงเวลาพิเศษ ย่อมทำให้สร้างจุดสนใจ หรือจุดขายใหม่ๆ ได้

5.เปิดมิวสิควีดีโอให้มากขึ้น ลดจำนวนวีเจพูดมากให้น้อยลง ที่ไม่ค่อยได้ให้ความรู้ด้านเพลง หรือวงการเพลงอะไรเลย มัวแต่พล่ามเรื่องราวไร้สาระ อีกทั้งจัดหมวดหมู่ของแนวเพลงในแต่ละชั่วโมงให้ชัด ถ้าเป็นไปได้เน้นเปิดเพลงเป็นยุค ๆ เก่าใหม่ ไม่ว่าแต่ควรจะเป็นโทนเดียวกันทั้งชั่วโมง ไม่ใช่ เปิดสะเปะสะปะ มั่วไปหมด กลุ่มคนดูก็จะอันตรธานหายไปทีละคน จนคนเขาหันไปฟังวิทยุหรือเปิดแผ่นซีดี ดาวน์โหลดใน i-tune ฟังจะดีกว่า


วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

โลก 360 องศา - (วิกฤติตัวประกันที่ฟิลิปปินส์,แอร์บัสการบินไทยไถลบนรันเวย์,ผลจัดอันดับขีดความสามารถของไทย,ประชุมจี 20 ที่รัสเซีย)

วิกฤติตัวประกันที่ฟิลิปปินส์ โดยกลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร
หน่วยตำรวจคอมมานโดฟิลิปปินส์ปิดล้อมพื้นที่ในเมืองซัมบวงกาบนเกาะมินดาเนา ภายหลังกลุ่มติดอาวุธในเครือแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร จับพลเรือนไปเป็นตัวประกัน 30 คน และพยายามบุกเข้าไปที่ศาลากลางเมืองซัมบวงกาเพื่อชูธงฝ่ายกบฏ  อย่างไรก็ตาม ผู้บังคับหน่วยฯ ประกาศทางสถานีวิทยุท้องถิ่นว่า เจ้าหน้าที่จะไม่ยอมให้ฝ่ายกบฏเด็ดขาด หลังกลุ่มติดอาวุธหลายสิบคนมาทางเรือขึ้นฝั่งที่หมู่บ้านชายทะเล 2 แห่ง เมื่อช่วงเช้าตรู่ และปะทะกับกองกำลังรักษาความมั่นคง จนถึงขณะนี้มีรายงานผู้เสียชีวิต 3 คน และบาดเจ็บอีก 10 คนขณะฝ่ายกบฏผลักดันจะรุกเข้าใจกลางเมืองให้ได้

โฆษกประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ แถลงประณามการโจมตีที่เมืองซัมบวงกาอย่างรุนแรง และว่ารายงานที่มีการใช้อาวุธและใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์สร้างความวิตกเป็นอย่างยิ่ง กลุ่มมือปืนดังกล่าวอยู่ในเครือกลุ่มกบฏมุสลิมที่เข้าร่วมข้อตกลงสันติภาพกับรัฐบาลเมื่อปี 2539 และได้แบ่งเขตปกครองตนเอง แต่จากนั้นอีก 5 ปี กลุ่มมุสลิมจับอาวุธอีกครั้งโดยอ้างว่ารัฐบาลไม่ได้ทำตามข้อตกลงสันติภาพทั้งหมด

มีรายงานว่า กบฏยิงต่อสู้กับทหารทำให้ทหารเสียชีวิต 1 นายและบาดเจ็บอีก 6 นาย นอกจากนี้มีพลเรือนเสียชีวิตอีก 2 คนและบาดเจ็บ 4 คนด้วย ขณะที่บางรายงานระบุว่ามีผู้บาดเจ็บ 17 คน จากการยิงต่อสู้ในช้าวันนี้ในอย่างน้อย 6 หมู่บ้าน และนายกเทศมนตรีได้ส่งทหารและตำรวจเฝ้าอารักขา โรงพยาบาล สำนักงานสื่อ ระบบประปา และธุรกิจต่างๆ

ผลสอบพบ"แอร์บัส-บินไทย"ฐานยึดล้อหักไถลหลุดรันเวย์ไฟลุก ‘วีรภาพ’พระเอกช่อง7 เผยนาทีหนีตาย

เมื่อเวลา 23.30 น. วันที่ 8 ก.ย. เกิดเหตุการณ์เครื่องบิน แอร์บัส 330 เที่ยวบินทีจี 679 กวางโจว-สุวรรณภูมิ ออกจากกวางโจวประมาณ 21.00 น. มีผู้โดยสารทั้งหมด 301 ราย เกิดอุบัติเหตุยางแตกขณะร่อนลง จนไถลตกรันเวย์ที่ 19 ฝั่งขวามือ ขณะลงจอดที่สุวรรณภูมิ ปีกด้านขวากระแทก ทำให้เกิดเพลิงไหม้ที่เครื่องยนต์ที่ 2 เสียหาย เจ้าหน้าที่ต้องเข้าดับเพลิง และเคลื่อนย้ายผู้โดยสารออกจากเครื่องบิน ล่าสุดรับรายงานมีผู้บาดเจ็บสิบกว่าคน โดยส่วนใหญ่สำลักควัน ตกใจ ช็อก ไม่มีผู้เสียชีวิต เจ้าหน้าที่นำผู้โดยสารทั้งหมดส่งบัสเกตที่ 5 รอตรวจสุขภาพทั้งหมด ขณะที่เครื่องบินเสียหายหนัก ยังไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเที่ยวบินดังกล่าวมีบุคคลที่มีชื่อเสียง ที่นั่งอยู่ในเครื่องดังกล่าว อาทิ วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ พระเอกช่องเจ็ด 7, คณะของนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง อดีตรัฐมนตรีอุตสาหกรรม และนายโฆสิต สุวินิจจิต อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ด้านนายวรเดช หาญประเสริฐ อธิบดีกรมการบินพลเรือน กล่าวว่า รับรายงานเบื้องต้นว่า เครื่องกระแทกพื้นทำให้เครื่องเอียง ไฟไหม้เครื่องยนต์ที่ 2 ต้องอพยพผู้โดยสารทั้งหมด 301 คนด้วยแพยาง เบื้องต้นมีผู้บาดเจ็บ แต่ไม่มีผู้เสียชีวิต

ขณะที่ ‘วี’ วีรภาพ พระเอกชื่อดัง กล่าวถึงนาทีระทึกว่า ได้ซื้อทัวร์ไปเที่ยวเมืองกวางโจวกับกลุ่มเพื่อนกว่า 10 คน ขากลับได้ใช้บริการ ของการบินไทย เที่ยวบิน TG 679 ก่อนเกิดเหตุกำลังนั่งคุยกับสจ๊วตใกล้ประตูฉุกเฉินฝั่งซ้าย แล้วได้ยินเสียงดังตึงและเสียงชนโครมคราม พอมองไปทางขวาเห็นฝรั่งร้องตะโกนว่าไฟไหม้ จากนั้นก็เกิดความชุลมุน เพราะทุกคนต่างพยายามหนีตาย เอาตัวรอด ต้องใช้แพยางสไลด์ออกจากตัวเครื่อง ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากแรงกระแทก เหตุการณ์นี้ถือว่าสร้างความระทึกที่สุดให้กับชีวิต แต่ถือว่าฟาดเคราะห์ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เพราะวันนี้ (9ก.ย.) เป็นวันเกิดครบรอบ 33 ปี ของตัวเอง  โดยเจ้าตัวได้โพสต์ภาพจากอินสตาแกรม วี วีรภาพ @vee_weraparp ก่อนขึ้นเครื่องดังกล่าวกลับไทย โดยข้อความระบุว่า “ได้กลับไทยแล้วววว เจอกัน 9 กันยา”  ล่าสุด วันที่ 9 ก.ย. นายวรเดช เปิดเผยผลตรวจสอบสาเหตุเครื่องบินแอร์บัส เอ 330- 300 ของบริษัทการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 679 กว่างโจว-กรุงเทพฯ ไถลออกนอกทางวิ่ง ขณะลงจอดว่า สาเหตุเกิดจากฐานยึดล้อหลังด้านขวาหัก ทำให้เครื่องเสียการทรงตัว ไถลออกนอกรันเวย์ และเครื่องยนต์ปีกขวาขูดกับพื้นรันเวย์ จนเกิดประกายไฟลุกไหม้ ลามไปถึงตัวเครื่องด้วย  อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่เกิดขึ้นยังต้องตรวจสอบต่อไป โดยกรมการบินพลเรือน จะนำกล่องดำของเครื่องบินลำดังกล่าวมาตรวจสอบอย่างละเอียด

WEF ขี้ความสามารถในการแข่งขันไทยเป็นรองสิงค์โปร์ มาเลเซีย บรูไน เผยจุดอ่อนไทยอยู่ที่นวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงสุขภาพและการศึกษาขั้นพื้นฐานด้อยคุณภาพ  WEF ชี้อันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยดีขึ้น ขยับจากอันดับที่ 38 มาเป็นอันดับที่ 37 แต่ถ้าเทียบในกลุ่มประเทศอาเซียนแล้ว ประเทศไทยยังเป็นอันดับ 4 รองจากสิงค์โปร์ (2) มาเลเซีย (24) และบรูไน (26) ในขณะที่อินโดนีเซียก็จี้ตามหลังประเทศไทยมาอยู่ในอันดับที่ 38 ส่วนจุดอ่อนในการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยอยู่ที่ความสามารถในด้านนวัตกรรมและความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีของไทยที่ต่ำ กฎหมายที่ไม่เอื้อต่อการลงทุนและการแข่งขัน ปัจจัยด้านสุขภาพและการศึกษาพื้นฐานที่ไม่เข้มแข็งในขณะที่ WEF ยังได้สรุปต่อไปอีกว่าปัญหาที่สำคัญที่สุดสี่ประการสำหรับประเทศไทย คือ อันดับที่ 1 การคอรัปชั่น (20.2%) อันดับที่ 2 ความไม่มั่นคงของรัฐบาล (16.5%) และอันดับที่ 3 นโยบายไม่มีเสถียรภาพ (13.5%) และอันดับที่ 4 ระบบราชการไม่มีประสิทธิภาพ (13.4%)  ในวันที่ 4 กันยายน 2556 World Economic Forum (WEF) เผยแพร่รายงานความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ ทั่วโลก จำนวน 148 ประเทศ ครั้งล่าสุด ใน The Global Competitiveness Report 2013-2014 ซึ่งใช้ดัชนีความสามารถในการแข่งขันรวม (Global Competitiveness Index (GCI)) ในการจัดลำดับความสามารถในการแข่งขัน โดยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในฐานะ Partner หลักของ World Economic Forum ในประเทศไทย ได้วิเคราะห์ผลการจัดอันดับในปี 2013 ไว้ดังนี้

ในปี 2556 สวิสเซอร์แลนด์ได้รับการจัดอยู่ในอันดับสูงสุดเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน ตามมาด้วย สิงคโปร์ ฟินแลนด์ (คงที่ในลำดับที่ 2 และ 3) ขณะที่เยอรมนีเลื่อนขึ้นเป็นอันดับที่ 4 (จากอันดับที่ 6) และสหรัฐอเมริกาในอันดับที่ 5 (เลื่อนขึ้นมา 2 อันดับหลังจากที่ตกลงอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 4 ปี) โดย WEF ได้สรุปว่าประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันระดับสูงนั้น เป็นประเทศที่มีนวัตกรรม (Highly innovative) อยู่ในระดับสูง และมีสภาพแวดล้อมด้านสถาบัน (Institutions) ที่เข้มแข็ง

สำหรับประเทศไทย ผลการจัดอันดับในปี 2556 ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันอยู่ในลำดับที่ 37 สูงขึ้นจากลำดับที่ 38 ในปี 2555 (เป็นลำดับที่ 4 ในกลุ่มประเทศอาเซียน รองจากสิงคโปร์ มาเลเซีย และบรูไน) และเมื่อพิจารณาปัจจัยหลักที่นำมาใช้ในการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งประกอบไปด้วย
1. ปัจจัยพื้นฐาน (Basic requirements) ไทยได้รับการจัดอันดับที่ 49 (ลดลงจากลำดับที่ 45)
2. ปัจจัยเพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency enhancers) อยู่ในลำดับที่ 40 (ดีขึ้นจากเดิมที่ 47)
3. ปัจจัยนวัตกรรมและศักยภาพทางธุรกิจ (Innovation and sophistication) อยู่ในลำดับที่ 52 (ดีขึ้นจากเดิมที่ 55)
แต่ถ้าเปรียบเทียบไปในอดีตตั้งแต่ปี 2549 จะเห็นได้ว่าระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยมีแนวโน้มลดลง โดยปัจจุบันลดลงถึง 6 ลำดับจากปี 2549

สำหรับกลุ่มประเทศอาเซียนนั้น ประเทศในกลุ่มส่วนใหญ่ได้รับการจัดอันดับสูงขึ้นจากปี 2555 กล่าวคือมาเลเซียปรับตัวสูงขึ้นจากลำดับที่ 25 เป็น 24 บรูไนจาก 28 เป็น 26 อินโดนีเซียจาก 50 เป็น 38 ฟิลิปปินส์ จาก 65 เป็น 59 เวียดนามจาก 75 เป็น 70 สำหรับอินโดนีเซียนั้นถือได้ว่ามีการพัฒนาเพิ่มขึ้นสูงสุดในกลุ่ม G20 คือปรับขึ้น 12 อันดับ ในขณะที่ประเทศที่มีลำดับต่ำลงได้แก่ กัมพูชาลดลงจากลำดับที่ 85 เป็น 88 ส่วนสิงคโปร์ลำดับเท่าเดิม คือ ลำดับที่ 2 นอกจากนี้ลาวและเมียนมาร์ ได้รับการจัดอันดับเป็นปีแรก โดยอยู่ในลำดับที่ 81 และ 139 ตามลำดับ

โดยปัจจัยนวัตกรรมและศักยภาพทางธุรกิจนั้นแยกเป็นระดับการพัฒนาของธุรกิจ (Business sophistication) และนวัตกรรม (Innovation) โดยระดับการพัฒนาของธุรกิจของไทยอยู่ในลำดับที่ 40 (4.4 คะแนน) และระดับนวัตกรรมอยู่ในลำดับที่ 66 (3.2 คะแนน) จะเห็นได้ว่าระดับนวัตกรรมของไทยอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ (ใกล้เคียงกับฟิลิปปินส์และลาว) เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศผู้นำในกลุ่มอาเซียน (สิงคโปร์ ลำดับที่ 9 มาเลเซีย ลำดับที่ 25 อินโดนีเซีย 33 และบรูไน 59)
ในส่วนของปัจจัยพื้นฐานนั้นประเทศไทยถูกจัดลำดับให้ลดลงจากเดิม 4 ลำดับ (จาก 45 เป็น 49) แม้ว่าคะแนนที่ได้จะคงเดิมอยู่ที่ 4.9 คะแนน ซึ่งอาจสรุปได้ว่าการรักษาระดับของปัจจัยพื้นฐานนั้นที่ระดับเดิมนั้นไม่เพียงพอ เนื่องจากประเทศอื่นมีการพัฒนาปัจจัยพื้นฐานในอัตราที่สูงกว่า โดยปัจจัยพื้นฐานนั้นแยกเป็น 4 ด้าน คือ 1. สภาพแวดล้อมด้านสถาบันหรือปัจจัยด้านกฎหมายต่างๆ (Institutions) 2. โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) 3. สภาวะเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic environment) 4. สุขภาพและการศึกษาพื้นฐาน (Health and primary education)  จะเห็นได้ว่าสภาพแวดล้อมด้านสถาบันและ สุขภาพและการศึกษาพื้นฐานนั้นอยู่ในลำดับที่ 78 และ 81 ซึ่งถือว่าเป็นจุดอ่อนของประเทศไทย (เปรียบเทียบกับประเทศผู้นำในกลุ่มอาเซียน (สิงคโปร์ ลำดับที่ 3 และ 2 มาเลเซีย ลำดับที่ 29 และ 33 และบรูไน ลำดับที่ 25 และ 23)
ในส่วนของปัจจัยเพิ่มประสิทธิภาพนั้นประเทศไทยถูกจัดลำดับให้สูงขึ้นจากเดิมถึง 7 ลำดับ (จาก 47 เป็น 40) แม้ว่าคะแนนที่ได้นั้นคงเดิมอยู่ที่ 4.4 คะแนน แต่ก็ถือได้ว่าเป็นจุดเด่นของประเทศไทย โดยปัจจัยยกระดับประสิทธิภาพนั้นแยกเป็น 6 ด้าน คือ

1. การศึกษาขั้นสูงและการฝึกอบรม (Higher education and training) 2. ประสิทธิภาพของตลาดสินค้า (Goods market efficiency) 3. ประสิทธิภาพของตลาดแรงงาน (Labor market efficiency) 4. ระดับการพัฒนาของตลาดการเงิน (Financial market development) 5. ความพร้อมด้านเทคโนโลยี (Technological readiness) และ 6. ขนาดของตลาด (Market size) จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีความได้เปรียบในด้านขนาดของตลาด โดยอยู่ในลำดับที่ 22 (เป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศอาเซียน รองจากอินโดนีเซียที่อยู่ในลำดับที่ 15) ในทางตรงกันข้ามความพร้อมด้านเทคโนโลยีของประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 78 ซึ่งเป็นอันดับที่ 6 ในกลุ่มประเทศอาเซียน รองจาก สิงคโปร์ (15) มาเลเซีย (51) บรูไน (71) อินโดนีเซีย (75) และฟิลิปปินส์ (75) จึงสรุปได้ว่าความพร้อมด้านเทคโนโลยีเป็นจุดอ่อนที่สำคัญของประเทศไทย

รายงาน The Global Competitiveness Report 2013-2014 สรุปว่าประเทศไทยได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 37 เนื่องจากมีการพัฒนาในภาพรวมเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ความสามารถในการแข่งขันยังเป็นปัญหาที่ท้าทายเป็นอย่างมาก WEF ยังได้สรุปต่อไปอีกว่าปัจจัยที่ก่อปัญหามากที่สุด 3 อันดับแรก คือ อันดับที่ 1 การคอรัปชั่น (20.2%) อันดับที่ 2 ความไม่มั่นคงของรัฐบาล (16.5%) และอันดับที่ 3 นโยบายไม่มีเสถียรภาพ (13.5%) และอันดับที่ 4 ระบบราชการไม่มีประสิทธิภาพ (13.4%)

นับตั้งแต่ปี 2548 (2005) World Economic Forum ได้นำเสนอดัชนีความสามารถในการแข่งขัน (Global Competitiveness Index) ซึ่งเป็นดัชนีวัดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทั้งระดับมหภาคและจุลภาค โดยนิยาม “ความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness)” ไว้ว่า เป็นการวัดความมีประสิทธิภาพของสถาบัน นโยบาย และปัจจัยที่บ่งชี้ถึงประสิทธิภาพของประเทศ ซึ่งความมีประสิทธิภาพของประเทศจะส่งผลถึงความอยู่ดีกินดีของประชากรและการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ โดยดัชนี GCI วิเคราะห์ 12 ปัจจัยหลัก ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้
1. กลุ่มปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสู่การผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจประเทศ ประกอบด้วย
- สภาพแวดล้อมด้านสถาบัน (Institutions)
- โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)
- สภาวะเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic environment)
- สุขภาพและการศึกษาพื้นฐาน (Health and primary education)
2. กลุ่มเสริมประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสู่การผลักดันความมีประสิทธิภาพของประเทศ ประกอบด้วย
- การศึกษาขั้นสูงและการฝึกอบรม (Higher education and training)
- ประสิทธิภาพของตลาดสินค้า (Goods market efficiency)
- ประสิทธิภาพของตลาดแรงงาน (Labor market efficiency)
- ระดับการพัฒนาของตลาดการเงิน (Financial market development)
- ความพร้อมด้านเทคโนโลยี (Technological readiness)
- ขนาดของตลาด (Market size)
3. กลุ่มนวัตกรรมและระดับการพัฒนา ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสู่การผลักดันระดับนวัตกรรมของประเทศ ประกอบด้วย
- ระดับการพัฒนาของธุรกิจ (Business sophistication)
- นวัตกรรม (Innovation)
 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย กล่าวแถลงระหว่างการประชุมสุดยอดกลุ่ม จี-20 ที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมื่อวันศุกร์ ว่า เขาได้พบปะหารือเกี่ยวกับปัญหาซีเรีย กับ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ ช่วงนอกรอบการประชุม แต่การหารือซึ่งใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาที จบลงโดยไม่อาจตกลงกันได้ เกี่ยวกับจุดยืนของแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวกับซีเรีย แม้ว่าการสนทนาโดยรวมจะเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และเป็นมิตร

ผู้นำรัสเซีย เผยอีกว่า เกี่ยวกับแผนการที่สหรัฐจะใช้กำลังทหารโจมตีซีเรีย ดูเหมือนเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุม จี-20 จะเห็นด้วยกับรัสเซีย ไม่ใช้ 50 : 50 ตามที่เป็นข่าว โดยฝ่ายที่แสดงท่าทีสนับสนุนการโจมตีของสหรัฐ ประกอบด้วย ตุรกี แคนาดา ซาอุดิอาระเบีย และฝรั่งเศส ทางด้านเยอรมนียัง "ลังเล" ขณะที่อังกฤษ แม้นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน จะสนับสนุน แต่เขาไม่ได้เป็นตัวแทน "ความประสงค์" ของประชาชน เนื่องจากรัฐสภาอังกฤษมีมติปฏิเสธการแทรกแซง ส่วนฝ่ายที่คัดค้านการโจมตีซีเรีย นอกจากรัสเซียแล้วยังรวมถึง จีน อินเดีย อินโดนีเซีย อาร์เจนตินา บราซิล แอฟริกาใต้ และ อิตาลี.