วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ย้อนตำนานยุครุ่งเรืองภาพยนตร์(คาวบอย)อเมริกัน ตอนที่ 1

 

ภาพยนตร์ในแนวโคบาล หรือที่มักจะใช้ทับศัพท์ฝรั่งว่า “แนวคาวบอย” นั้น ต้องนับว่าเป็นภาพยนตร์แนวที่สำคัญแนวหนึ่ง มักจะเรียกกันในทางวิชาการว่า “แนวบุกเบิกตะวันตก” (The Western Film) เป็นแนวที่มักจะมีพระเอกรูปหล่อ ขี่ม้ายิงปืน ใส่ชุดกางเกงหนังขายาว เสื้อแขนยาว (ยุคนั้นมียีนส์หรือเดนิมใส่กันแล้ว) มีเสื้อกั๊กหนังสวมทับอีกชั้น คาดเข็มขัดพร้อมตับกระสุนรอบเอว มีปืนลูกโม่โบราณอย่างน้อย 1 กระบอก หรือบางคนอาจพก 2 เป็นกระบอกคู่เลยก็มี สวมหมวกปีกกว้างแคบบ้าง ในด้านฝีมือยิงปืนนั้นหายห่วง แม่นอย่างกับจับวางเลยทีเดียว ส่วนผู้ร้ายก็มักจะเป็นคนนอกกฎหมายมีทั้งผิวขาวและพวกอินเดียนแดงเผ่าต่าง ๆ เช่น เผ่าชู ,เผ่าอาปาเช่ เป็นต้น บางเรื่องจะสวมเสื้อขนสัตว์มีริ้วตามชายเสื้อบริเวณไหล่ และแนวแขนทั้ง 2 ข้าง สวมหมวกขนสัตว์ที่มีพู่คล้ายหางกระรอกด้านหลัง ที่เราเรียกกันว่าชุดเสือพราน เช่น ชุดของ “เดวี คร็อกเกตต์” เป็นต้น ยิ่งพระเอกขี่ม้าขาวด้วยแล้วยิ่งโก้ที่สุด (วลีที่ว่าพระเอกขี่ม้าขาว จึงมาจากภ.คาวบอยนี่เอง)



เมื่อหวนไปรำลึกถึงภาพยนตร์ในแนวโคบาลที่ว่านี้ หลายคนจะนึกถึง ชื่อของพระเอกหรือตัวนำในเรื่อง เช่น เชน, บัฟฟาโล บิลล์, บิลลีเดอะคิด, เจส ลี เจมส์, แพต กาเรตต์ (ผู้ปราบบิลลีเดอะคิด) ,แบต มาสเตอร์สัน, จอห์น “ด็อค” โฮลิเดย์ และนายอำเภอไวแอตต์ เอิร์ป เป็นต้น หรือไม่หากเป็นนักอ่านสักหน่อยก็จะนึกถึง หลุยส์ ลามูร์ นักเขียนนิยายแนวคาวบอยมากมายหลายเรื่อง บางเรื่องของเขานำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่บางเรื่องเขาก็เขียนขึ้นมาจากบทภาพยนตร์เช่นกัน ตัวเอกที่เอ่ยชื่อมาแล้วนั้น บางคนก็เป็นคนดี บางคนเป็นผู้ร้าย แต่คนดูก็มักจะเข้าใจว่าพวกเขาเป็นพระเอก (คนดี) เสมอ เนื่องจากเป็นตัวเอกและตัวเดินเรื่อง บางคนมีตัวตนจริงๆ แต่บางคนก็มาจากตัวละครในนิยายที่แต่งขึ้นมาให้ดูสนุก ตัวอย่างเช่น “เชน” เป็นชื่อของพระเอกจากนิยายของ แจค แชเฟอร์ (Jack Schaefer) ที่นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยมีผู้แสดงนำ ประกอบด้วย อลัน แลดด์ (เป็น “เชน”) ,แวน เอฟลิน (เป็น “โจ สตาร์เรต” ) ,จีน อาร์เธอร์ (เป็น “มาเรียน สตาร์เรต” – ภรรยาของโจ) และมี แจค พาแลนซ์ (แสดงเป็น มือปืนรับจ้างที่ชื่อว่า “สตาร์ก วิลสัน”) นอกจากนี้ก็มีชื่อตัวเอกในเรื่องที่สร้างจากประวัติของคนจริงๆ ในประวัติศาสตร์ เช่น บัฟฟาโล บิลล์, บิลลีเดอะคิด และ เจสลี เจมส์ เป็นต้น



บัฟฟาโล บิลล์ มีอยู่ด้วยกัน 2 คน คนแรกเป็นคนดี มีชื่อเต็มๆว่า “วิลเลียม ‘บัฟฟาโล บิลล์’ โคดี” (William ‘Buffalo Bill’ Cody) มีชื่อเสียงมาก่อนคนหลัง ส่วนคนที่ 2 นั้นมีชื่อว่า “วิลเลียม บัฟฟาโล บิลล์ บรู้กส์” ได้รับเลือกให้เป็นนายอำเภอแห่งเมืองดอดจ์ซิตี้ รัฐแคนซัส ในช่วงที่บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย เพราะเชื่อว่าจะสามารถควบคุมพวกโจรได้ ภายหลังชาวเมืองจับได้ว่าเขาทำตัวเป็นจอมบงการชุมโจรปล้นม้าเสียเอง เขาจึงถูกจับแขวนคอเมื่อปี พ.ศ.2417 ส่วนเจสสี เจมส์ มีชื่อเต็มๆว่า “เจสสี วู้ดสัน เจมส์” (Jesse Woodson James) เกิดเมื่อปี ค.ศ.1848 มีพี่ชายชื่อว่า แฟรงก์ เจมส์ เป็นอดีตทหารหน่วยจรยุทธ์ของรัฐฝ่ายใต้คราวที่เกิดสงครามกลางเมือง หรือ “สงครามเลิกทาส” ระหว่างรัฐฝ่ายเหนือกับรัฐฝ่ายใต้ สมัยประธานาธิบดีลินคอล์น (The American Civil War, 1861-1865) ตรงกับปี พ.ศ.2404 -2408 สมัยรัชกาลที่ 4 ของไทยเรา เมื่อสงครามสงบลง เขากับพี่ชายและพี่น้องในตระกูล “ยังเกอร์” คือ บ็อบ ยังเกอร์ กับ โคล ยังเกอร์ (บางตำราก็ว่าตระกูล “ยัง” (Young) ได้ร่วมกันปล้นรถไฟ และธนาคารในรัฐต่างๆ ต่างกรรมต่างวาระกันมากกว่า 26 ครั้ง มีคนที่ต้องตายไปเพราะถูกปล้น และที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ราวๆ 20 คน ทำให้ค่าหัวสินบนนำจับของพวกเขา ขึ้นไปสูงถึงหัวละ 10,000 เหรียญสหรัฐ ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย จนในที่สุด ด้วยแรงจูงใจจากค่าหัวดังกล่าว ทำให้เขาต้องตกเป็นเป้ากระสุนของพี่น้องสกุลฟอร์ด ที่ชื่อว่าโรเบิร์ตกับชาร์ลส์ในไร่ที่เซนต์โยเซฟ รัฐมิสซูรี จากการลอบยิงข้างหลังเมื่อปี ค.ศ. 1882 ทั้งๆ ที่เขาอุตส่าห์หลบหนีมือของกฎหมายและเปลี่ยนชื่อไปเป็น “ทอม โฮเวิร์ด” (Tom Howard) แล้วก็ตาม



บิลลีเดอะคิด มีชื่อจริงว่า วิลเลียม หรือ บิลลี่ บอนนีย์ (William Bonney) ถือกำเนิดมา ณ มหานครนิวยอร์ก เมื่อปี ค.ศ. 1880 ก่อนเจสสี เจมส์ ตาย 2 ปี ต่อมามารดาซึ่งเป็นแม่ม่าย เพราะบิดาสิ้นชีวิตเมื่อเขามีอายุได้เพียง 8 ขวบ ได้พาเขาไปทำมาหากินอยู่ที่เมืองลินคอล์น รัฐเท็กซัส ต้องใช้ชีวิตแบบ “ปากกัดตีนถีบ” จนกระทั่งเขามีอายุได้ 17 ปี ก็เกิดเหตุใหญ่ เพราะมารดาของเขาถูกผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งลวนลามต่อหน้าและในที่สาธารณะ เขาได้ทำร้ายคนผู้นั้นจนถึงตาย ทำให้ต้องหนีกฎหมายไปอยู่กับซ่องโจร ใช้เวลาเพียง 2 ปีให้หลัง เขาก็ได้ยกระดับตัวเองขึ้นเป็น “หัวหน้าซ่องโจร” ได้อย่างเต็มภาคภูมิ ประธานาธิบดี รุตเธอร์ ฟอร์ด เฮย์ส ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามจากส่วนกลางคือ แพต กาเรตต์ มาปราบบิลลีเดอะคิดโดยเฉพาะ ซึ่งจากการที่มีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทำให้บิลลีต้องสิ้นชื่อลงด้วยน้ำมือของแพต กาเรตต์ กับลูกน้องของเขา ขณะที่บิลลีมีอายุได้เพียง 21 ปี ว่ากันว่า ในบรรดามือปืนตะวันตกด้วยกันนั้น เจสสี เจมส์ กับบิลลี่ เดอะคิด ชักปืนไวและยิงแม่นที่สุด แต่ในชีวิตจริงพวกเขาไม่มีโอกาสจะได้พบกัน เพราะทั้งคู่มีอายุห่างกันเหมือนลูกกับพ่อ จึงไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าใครจะเหนือใคร



ภาพยนตร์ที่สร้างเกี่ยวกับประวัติของเจสสี เจมส์ นั้น เท่าที่พอจะหามาดูทบทวนได้คือ เรื่อง The Long Riders ตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า “เจสสี เจมส์ โจรพันธุ์แท้” นำแสดงโดย เดวิด คาร์เรเดียน, เคต คาร์เรเดียน และโรเบิร์ต คาร์เรเดียน .... เป็นภาพยนตร์ที่มีแต่การปล้นแทบจะตลอดเรื่อง ส่วนภาพยนตร์อันเป็นอัตชีวประวัติของ “บิลลีเดอะคิด” นั้นโฮเวิร์ด ฮิวจ์ ผู้เป็นเจ้าของประวัติในภาพยนตร์เรื่อง The Aviator เคยสร้างไว้และนำออกฉายเมื่อปี ค.ศ. 1943 ตรงกับปี พ.ศ.2486  ตั้งชื่อเรื่องว่า “The Outlaw” (เหนือกฎหมาย) ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้แสดงเป็นบิลลีเดอะคิด เพราะไม่ได้ระบุชื่อไว้ ดูจากรูปภาพในใบปิดหนังก็มีความหล่อเหลาอยู่ไม่เบา ส่วนนางเอกก็คือ เจน รัสเซลล์ ซึ่งอวดทรวงอกอันอะร้าอร่ามของเธออย่างเต็มที่ให้สมกับที่มี “เจ้าพ่อเพลย์บอย” เป็นผู้สร้างและสนับสนุน ย้อนกลับไปหาภาพยนตร์เรื่อง “เชน” กันอีกสักเล็กน้อย เนื้อเรื่องของภาพยนตร์เดินตามหลังหนังสือนิยายเรื่อง “เชน” ของ “แจค แชเฟอร์” เกือบทั้งหมด คงมีต่างออกไปเพียงเล็กน้อยในบางตอน เนื้อเรื่องย่อมีอยู่ว่า เชน เป็นสุภาพบุรุษแม่นปืนพเนจรที่ไม่มีใครทราบถึงประวัติความเป็นมาที่แน่นอน บ้างก็เชื่อว่าเขาคือ “แชนนอน” ผู้เป็นทั้งนักเลงปืนคนกล้าชื่อกระฉ่อน และเป็นนักพนันมือฉกาจที่อยู่แถวรัฐอาร์คันซอส์และรัฐเท็กซัส แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่เล่าเรื่องราวของเขาแตกต่างออกไป ในภาพยนตร์เริ่มเรื่องตอนที่เขาขี่ม้าเข้ามาในหุบเขาแห่งหนึ่งในรัฐไวโอมิง ซึ่งเป็นผืนดินของ โจ สตาร์เรต เพื่อพักม้าและขอน้ำดื่ม แต่หลังจากที่ได้มีวิสาสะกันอยู่พักหนึ่ง เขาได้ตกลงใจที่จะพักอยู่กับโจระยะหนึ่งเพื่อช่วยทำงานในไร่เกษตร โดยที่เราไม่ทราบถึงเหตุผลที่ชัดเจน อาจจะเป็นเพราะการที่เขาได้เห็นด้วยสายตาของตนเองว่า โจ สตาร์เรต กำลังได้รับความลำบากเพราะถูกนายทุนอิทธิพลข่มขู่ให้ขายที่ดิน เพื่อที่จะใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์สัมปทาน บวกกับความชอบพอในนิสัยใจคอของโจ,มาเรียน – ภรรยาของโจ และโจอี หรือบ็อบ – ลูกชายผู้กระตือรือร้นและแสดงตัวว่าชื่นชมเชนก็อาจจะเป็นได้ ต่อมาเมื่อเชนได้เข้าไปในเมืองที่ร้านของกราฟตัน ซึ่งเป็นที่รวมของพวกนักเลงลูกน้องของ “ลุค เฟลตเชอร์” ผู้ทรงอิทธิพลและเจ้าของคอกปศุสัตว์รายใหญ่ เขาก็ถูกพวกนั้นด่าว่าเสี่ยดสีและห้ามไม่ให้เข้าไปซื้อสินค้าที่นั่น จนเมื่อเขาได้เข้าไปพร้อมกับโจ ครอบครัวของโจและเพื่อนบ้านอีกหลากคน เขาได้รับรู้การข่มขี่ก เขาจึงได้ชกกับคริสและลูกน้องคนอื่นๆ ของเฟลตเชอร์อย่างชนิดฝากฝีมือ แต่เนื่องจากเป็นการชกแบบถูกรุมจาก “หมาหมู่” ทำให้โจต้องใช้ไม้ท่อนเข้าไปฟาดฟันเพื่อช่วยเชนออกมา ทำให้พวกกวนเมืองต้องขยาดในฝีมือได้ไม่น้อย โจและเพื่อนบ้านถูกข่มขู่จนถึงที่ บางคนถูกเผาบ้าน บางคนถูกยิงตาย เพราะเฟลตเชอร์ไปหามือปืนมหากาฬที่ชื่อว่า “สตาร์ก วิลสัน” มาช่วยและมาพักอยู่ที่โรงแรมของกราฟตันด้วย จนในที่สุดเฟลตเชอร์ได้วางอำนาจถึงกับสั่งให้โจ สตาร์เรต ไปพบ โดยตั้งใจว่า หากโจไม่ยอมขายที่ให้ก็จะหาเรื่องยิงทิ้งโดยอ้างว่าเป็นการดวลปืนกัน ในคืนวันหนึ่ง โจ สตาร์เรต ไม่มีทางหลีกเลี่ยง เขาจำเป็นต้องเดินทางไปพบเฟลตเชอร์ ในขณะที่เชนก็เห็นว่า โจคงจะรับมือกับพวกอันธพาลไม่ไหว เขาจึงจะเข้าไปเสียเอง แต่โจก็ไม่ยอมเพราะไม่ใช่เรื่องของเชน ในที่สุดทั้งคู่ได้ต่อสู้กันด้วยหมัดลุ่นๆ จนเชนเกือบจะเสียท่าอยู่แล้ว เขาจึงต้องใช้เครื่องทุ่นแรงคือ ด้ามปืน ซัดท้ายทอยของโจเข้าไป 1 ที โจสลบเหมือด และเชนมอบโจไว้ให้มาเรียนดูแล เขาให้มาเรียนเก็บปืนของโจไว้ และไล่ม้าของโจออกจากคอกไปพร้อมคำพูดเป็นเชิงปลอบใจโจว่า “เขาจะได้พักผ่อนให้สบาย เวลาฟื้นก็คงจะเพลียนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร บอกเขาด้วยนะครับว่า ไม่มีใครต้องอายหรอกเมื่อพลาดท่าให้เซน” ...แล้วเชนก็ขี่ม้าพร้อมปืนพกเข้าเมืองไป ที่ร้านของกราฟตัน หลังจากต่อปากต่อคำกับสตาร์ก วิลสัน และเฟลตเชอร์อยู่ชั่วครู่เดียว เชนก็ดวลปืนกับวิลสันและเฟลตเชอร์ชนิด 1 ต่อ 2 คู่ต่อสู้ทั้งสองคนดับดิ้นไปเพราะความแม่นและเร็วของเชน แถมเมื่อเขาหันหลังกลับจะออกจากร้าน มีลูกน้องของเฟลตเชอร์อีกคนหนึ่งจะลอบยิงเขาทางด้านหลัง เขาก็ย่อตัวและหันมาสอยเจ้านั่นจนหล่นลงมาจากระเบียงอีกคนหนึ่ง โดยที่ตัวเขาเองไม่เป็นอันตรายหรือบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น ในนิยายระบุว่า เชน บาดเจ็บจากกระสุนของวิลสันบริเวณหน้าท้องเหนือเข็มขัด ....แล้วเขาก็ขี่ม้าจากหุบเขาไป





ในหนังสือนิยายเรื่องเชน เขาได้กล่าววาทะต่อทุกคนที่อยู่ในร้านกราฟตัน ภายหลังการดวลปืนไว้ว่า “ผมจะขึ้นม้าไปจากที่นี่แล้ว ห้ามใครตามออกไปโดยเด็ดขาด” วันที่เชนขึ้นหลังม้าออกจากหุบเขาไปนั้น ในนิยายระบุไว้ว่า คือปี ค.ศ. 1889 ตรงกับปี พ.ศ. 2432 แห่งรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ของไทยเรา เชนนับเป็นพระเอกที่น่าประทับใจมาก เขาเป็นคนรูปงาม สง่า สุภาพ แต่งตัวอย่างคนที่มีรสนิยมสูง แต่เขาก็เป็นคนสู้งาน หนักเอาเบาสู้ ในขณะที่ช่วยงานของโจ เขาไม่รังเกียจการใช้กำลังกายแต่อย่างใดทั้งสิ้น ส่วนในภาพยนตร์นั้น ผู้ชมจะจดจำเขาได้ในตอนที่การดวลปืนสิ้นสุดลง เขาควงปืนไปและกลับถึง 2 รอบก่อนจะหย่อนเข้าซองปืนด้วยความนุ่มนวล เป็นภาพที่น่าประทับใจอย่างไม่รู้ลืม นับว่า “อลัน แลตต์” สวมบทบาทของเชนได้ อย่างไม่มีที่ติ สมควรที่ผู้นิยมภาพยนตร์ในแนวโคบาลตะวันตกจะหา “เชน” มาสะสมเอาไว้เสีย ในส่วนของหลุยส์ ลามูร์ (Louis L’ amour) ซึ่งเป็นนักเขียนนิยายแนวตะวันตก (Western Novel) นั้น เขาได้เขียนนิยายขึ้นมาหลายเรื่อง บางเรื่องได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์ เช่น เรื่อง How The West was Won (พิชิตตะวันตก) ซึ่งเป็นเรื่องที่รวมเอาดาราใหญ่ๆ ของฮอลลีวู้ด ไว้มากมาย และผู้ชมจะได้เห็นฉากธรรมชาติที่สวยงามตลอดเรื่องเลยทีเดียว

(ถอดความบางส่วนจาก หนังสือ “ย้อนรอยหนังฝรั่ง” โดย ไพบูลย์ แพงเงิน ,ภาพยนตร์โคบาลตะวันตก,สำนักพิมพ์วลี ครีเอชั่น)

วิวัฒนาการของหนังคาวบอยจากอดีตมาถึงปัจจุบัน



































วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โลก 360 องศา - (รถไฟตกรางที่สเปน,เจ้าหญิงและดัชเชสออฟเคมบริดจ์คลอดพระโอรส,ดีทรอยด์ล้มละลาย)


เตรียมสอบเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเหตุการณ์รถไฟตกรางที่สเปน

ยอดผู้เสียชีวิตแก้ไขล่าสุดเหตุรถไฟขบวนหนึ่งที่แล่นมาด้วยความเร็วสูงเกิดตกรางทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของสเปนเมื่อวันพุธ(24) ซึ่งเจ้าหน้าที่ยืนในวันพฤหัสบดี(25) คือ 78 ศพ บาดเจ็บ 140 คน ขณะที่ตำรวจเตรียมสอบปากคำพนักงานผู้ทำหน้าที่ควบคุมรถไฟขบวนดังกล่าวตอนเกิดเหตุ

จนถึงตอนนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ยืนยันว่าอะไรคือต้นตอของอุบัติเหตุซึ่งเกิดขึ้นใกล้ๆสถานีซานติอาร์โก เด กอมปอสเตลา แคว้นกาลิเซีย กับขบวนรถไฟที่บรรทุกผู้โดยสาร 218 พนักงาน 4 คน เที่ยวจากกรุงมาดริด มุ่งหน้าสู่เมืองเฟร์รอล แต่รายงานข่าวระบุว่ารถไฟขบวนดังกล่าวแล่นด้วยความเร็วกว่า 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มากกว่าข้อกำหนดจำกัดความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงถึง 2 เท่า

ด้านเจ้าหน้าที่ศาลให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีว่าหนึ่งในเหล่าผู้ควบคุมรถไฟขบวนมรณะ ซึ่งเป็นหายนะทางการเดินรถไฟครั้งเลวร้ายที่สุดของสเปนนับตั้งแต่ปี 1944 จะถูกตำรวจสอบปากคำในวันพฤหัสบดี(25)


จีน แผ่นดินไหวอีก 2 ระลอก ที่มณฑลกานซู

เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - แผ่นดินไหวรุนแรง 2 ระลอกในมณฑลกานซูทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เมื่อเช้าวันนี้(22) ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 47 ราย บาดเจ็บสาหัสราว 300คน ขณะที่อาคารบ้านเรือนพังถล่มอีกนับหมื่นหลัง

เจ้าหน้าที่สำนักงานแผ่นดินไหวประจำมณฑลกานซู เปิดเผยว่า “มีอาคารพังเสียหายกว่า 21,000 แห่ง และอีกกว่า 1,200 แห่งพังถล่ม” หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.9 และ 5.6 เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ซึ่งยังติดตามมาด้วยอาฟเตอร์ช็อกถึง 371 ครั้ง

แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 7.45 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เขตหมินเซียนและจางเซียน ห่างจากเมืองหลานโจว เมืองหลวงประจำมณฑลกานซู ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 170 กิโลเมตร ตามรายงานจากสำนักข่าวซินหวา

สื่อของทางการจีนรายงานยอดผู้บาดเจ็บสาหัสขณะนี้อยู่ที่ 296 ราย ขณะที่เมืองเล็กๆอีก 8 เมืองในเขตภูเขาห่างไกลก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากน้ำท่วมและโคลนถล่มที่เกิดขึ้นตามมา

13 เมืองในเขตจางเซียนต้องเผชิญปัญหาไฟฟ้าดับ และไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกได้

ซินหวา รายงานว่า หลังแผ่นดินไหวระลอกแรกผ่านไปราว 90 นาที ได้เกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกหลายครั้ง วัดความรุนแรงได้สูงสุด 5.6 ริกเตอร์  มณฑลกานซูมีอาณาเขตติดต่อกับมณฑลเสฉวน ซึ่งเคยเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 6.6 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา คร่าชีวิตพลเมืองจีน 164 ราย ขณะที่ยอดผู้บาดเจ็บสูงกว่า 6,700 คน  แผ่นดินไหวดังกล่าวถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 3 ปี และมีศูนย์กลางอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.9 เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2008 ซึ่งครั้งนั้นมีชาวมณฑลเสฉวนล้มตายไปถึง 70,000 คน

เจ้าหญิงแคเทอรีนหรือดัชเชสแห่งเคมบริดจ์มีพระประสูติกาลเป็นพระโอรสแล้ว
เอเอฟพี/บีบีซีนิวส์ - เจ้าหญิงแคเทอรีนหรือดัชเชสแห่งเคมบริดจ์มีพระประสูติกาลพระโอรส ผู้สืบทอดราชบัลลังก์แห่งราชวงศ์อังกฤษในอนาคต เมื่อช่วงเย็นวันจันทร์(22) ตามเวลาท้องถิ่น(ตรงกับเมืองไทยค่ำวันเดียวกัน) ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเสด็จไปยังโรงพยาบาลเซนต์แมรีในเขตแพดดิงตัน ด้านทิศตะวันตกของกรุงลอนดอน พร้อมกับเจ้าชายวิลเลียม ดยุคแห่งเคมบริดจ์ พระสวามีในวันเดียวกัน

สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่าราชองครักษ์ ได้นำเอกสารแจ้งข่าวพระประสูติกาลอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีการลงชื่อรับรองอย่างเป็นทางการโดยดอคเตอร์ มาร์คัส เซตเชล นรีแพย์ประจำพระองค์สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 และเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ทำคลอดเจ้าหญิงเคท ไปยังพระราชวังบัคกิงแฮมภายใต้การคุ้มกันของเจ้าหน้าที่ตำรวจและติดประกาศที่ลานหน้าพระราชวัง

ถ้อยแถลงของสำนักพระราชวังเคนซิงตันระบุว่า "ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ ทรงระประสูติกาลพระโอรส อย่างปลอดภัย ณ เวลา 16.24 น.(ตรงกับเมืองไทย 22.24 น.) พระโอรสทรงมีน้ำหนัก 3.8 กิโลกรัม เจ้าหญิงแคเทอรีนและพระโอรสทรงแข็งแรงดีและจะทรงประทับค้างคืนที่โรงพยาบาล"

ขณะที่เจ้าชายวิลเลียม ทรงระบุในถ้อยแแถลงสั้นๆในเวลาต่อมาว่าพระองค์ทรงมีความสุขเป็นอย่างมากที่พระชายาพระประสูติกาลพระโอรส"เราคงไม่มีความสุขไปมากกว่านี้อีกแล้ว" ขณะที่พระองค์ทรงประทับค้างคืนเฝ้าพระราชาและพระโอรสที่โรงพยาบาล

เจ้าชายวิลเลียมทรงอยู่เคียงข้างพระชายาตอนที่พระองค์ทรงมีประสูติกาลที่โรงพยาบาลเซนต์แมรี ขณะที่ราชินี ก็ทรงยินดีเป็นอย่างดีหลังจากทราบข่าวนี้ ถ้อนแถลงของพระราชวังระบุ "สมเด็จพระราชินีดยุคแห่งเอดินเบิร์ก, เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์, ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์, เจ้าชายแฮร์รีและเหล่าสมาชิกพระบรมวงศานุวงศ์ ต่างทราบข่าวแล้วและรู้สึกปิติยินดีอย่างยิ่งต่อข่าวนี้"

มีรายงานว่า สมเด็จพระราชินีนาถ พระองค์ทรงเสด็จจากพระราชวังวินด์เซอร์ รอบนอกกรุงลอนดอน กลับถึงพระราชวังบัคกิงแฮมในช่วงบ่าย แต่พระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นๆยังประกอบพระกรณียกิจตามปกติ

ฝูงชนจำนวนมากมารวมตัวกันบริเวณด้านนอกพระราชวัง และต่างส่งเสียงด้วยความยินดี ขณะที่ข่าวคราวการมีพระประสูติกาลที่รอคอยกันมาอย่างยาวนานนี้ถูกแถลงออกมา ณ เวลา 20.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น(ตรงกับเมืองไทย(02.30น.) ด้วยทางเท้าฝั่งตรงข้ามของโรงพยาบาลคับคั่งไปด้วยพิธีกรข่าวที่รายงานข่าวการประสูติกาลออกอากาศสดๆ เช่นเดียวกับช่างภาพและสื่อมวลชนแขนงอื่นๆ

พระโอรสทรงจะมีพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งเคมบริดจ์ (Prince of Cambridge) และพระองค์จะทรงอยู่ในฐานะรัชทายาทลำดับ 3 แห่งราชวงศ์อังกฤษ ต่อจากเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ พระอัยกา และเจ้าชายวิลเลียม พระบิดา ทั้งนี้ยังไม่มีการเปิดเผยพระนามของพระองค์ แต่เหล่าบริษัทรับพนันอย่างถูกกฎหมายของอังกฤษยกให้ชื่อ "จอร์จ" และ "เจมส์" อยู่ในตัวเต็งพระนามลำดับต้นๆ

ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ เสด็จโดยรถยนต์จากพระราชวังเคนซิงตัน ไปยังโรงพยาบาลเซนต์แมรีในเขตแพดดิงตัน ด้านทิศตะวันตกของกรุงลอนดอน พร้อมกับเจ้าชายวิลเลียม ดยุคแห่งเคมบริดจ์ พระสวามี ท่ามกลางพายุฝนฟ้าคะนองช่วงฤดูร้อนตอนเวลาประมาณ 6.00 น. เพื่อหลบหลีกผู้สื่อข่าวจากทั่วโลกเฝ้ารอคอยทำข่าวอย่างใจจดใจจ่ออยู่หน้าโรงพยาบาลมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ขณะที่การประสูตรของโอรสพระองค์น้อยๆเมื่อวันจันทร์(22) ถือว่าล่าช้ากว่าที่คาดหมายกันไว้เล็กน้อย

ทั้งนี้พระโอรสองค์นี้ทรงประสูติกาลที่โรงพยาบาลเดียวกับที่เจ้าชายวิลเลียม พระบิดา พระโอรสของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์กับเจ้าหญิงไดอานา ที่ทรงประสูติกาลในปี 1982 ซึ่งคราวนั้นก็ได้รับการสนใจจากสื่อมวลชนจากทั่วโลกไม่แพ้กัน ขณะที่พระโอรสองค์นี้ทรงมีศักดิ์เป็นพระราชปนัดดาองค์ที่ 3 ในสมเด็จพระราชินีนาถ



ช็อค! เมืองอุตสาหกรรมยานยนต์ดีทรอยต์ ฟ้องล้มละลาย
เอเอฟพี - ดีทรอยต์ เมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ในสหรัฐฯ ยื่นขอศาลคุ้มครองการล้มละลายแล้ว หลังเผชิญภาวะซบเซามานานหลายสิบปีจนหนี้สินรุงรัง ประกอบกับการบริหารจัดการที่ผิดพลาดทำให้ระบบเก็บภาษีไร้ประสิทธิภาพ

จากที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ด้านอุตสาหกรรม ดีทรอยต์ในวันนี้กลับกลายเป็นเมืองเสื่อมโทรม ดารดาษไปด้วยตึกระฟ้า, โรงงาน และบ้านเรือนที่ปราศจากผู้คนอยู่อาศัย ฝ่ายบริหารเมืองไม่มีงบประมาณพอแม้แต่จะเปิดไฟส่องสว่างตามท้องถนน ทำให้ถนนหนทางร้อยละ 40 ตกอยู่ในความมืดมิดยามค่ำคืน  ริค สไนเดอร์ ผู้ว่าการรัฐมิชิแกน ออกมายอมรับว่าไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว   “มันเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก แต่ก็เป็นทางเลือกเดียวที่จะแก้ปัญหาซึ่งสะสมมานานถึง 60 ปี” สไนเดอร์ ระบุในถ้อยแถลง

ประชากรเมืองดีทรอยต์ลดลงกว่าครึ่งในรอบ 60 ปี จากสถิติ 1,800,000 คนในปี 1950 เหลือเพียง 700,000 คนในปัจจุบัน  ปมขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติซึ่งถูกโหมกระแสโดยขบวนการต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมือง รวมไปถึงเหตุจลาจลครั้งใหญ่เมื่อปี 1967 ทำให้พลเมืองผิวขาวและชนชั้นกลางอพยพหนีไปอยู่ชานเมืองกันมากขึ้น ติดตามมาด้วยการไหลออกของภาคธุรกิจ ซึ่งทำให้ฐานภาษีของดีทรอยต์ร่อยหรอลงทุกวัน   เมื่อเก็บภาษีได้น้อยลง ฝ่ายบริหารเมืองก็จำเป็นต้องตัดทอนบริการสาธารณะต่างๆ ซึ่งยิ่งกระตุ้นให้คนย้ายออกจากเมืองมากขึ้น   เจ้าของโรงงานที่เผชิญปัญหาสภาพคล่องและถูกคู่แข่งจากเอเชียช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจำต้อง “ลอยแพ” พนักงานเพื่อลดภาระ และหันมาใช้กระบวนการผลิตด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติหรือจ้างแรงงานเอาท์ซอร์สแทน

เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ดีทรอยต์ได้หยุดพักชำระหนี้บางส่วนจากมูลค่าหนี้สินที่สูงถึง 18,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ เควิน ออร์ ผู้บริหารเมืองฉุกเฉิน ก็ได้ยื่นเงื่อนไขผ่อนปรนกับบรรดาเจ้าหนี้ โดยจะจ่ายเงินคืนไม่ถึง 10 เซนต์ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ปรากฎว่ากองทุนเงินบำนาญ 2 แห่งซึ่งเป็นเจ้าของเงินกู้ราว 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ออกมายื่นฟ้องเพื่อปกป้องสิทธิประโยชน์ของพนักงานเกษียณ แต่การยื่นขอคุ้มครองล้มละลายของดีทรอยต์ก็ทำให้กระบวนการพิจารณาคดีต้องระงับไว้ชั่วคราว  หลังจากนี้ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางว่าจะอนุมัติแผนปรับโครงสร้างหรือลดหนี้สินบางส่วนให้แก่ดีทรอยต์ ตามที่ระบุในมาตรา 9 ของกฎหมายล้มละลายสหรัฐฯหรือไม่

ดักลาส เบิร์นสไตน์ ทนายความฝ่ายคดีล้มละลายจากบริษัทกฎหมาย พลังเค็ทท์ คูนีย์ ซึ่งมีฐานในรัฐมิชิแกน ชี้ว่า กรณีของดีทรอยต์อาจไม่ง่ายดายเหมือนคราว เจเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) และ ไครส์เลอร์ ซึ่งยื่นขอรับการคุ้มครองล้มละลายเมื่อปี 2009 และดำเนินการปรับโครงสร้างได้ในไม่กี่สัปดาห์ ด้วยแรงสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ  “ปัญหาที่สำคัญก็คือ ที่ผ่านมายังไม่ค่อยมีเทศบาลเมืองในสหรัฐฯยื่นล้มละลาย จึงไม่มีแบบอย่างให้ปฏิบัติตามได้มากนัก” เบิร์นสไตน์ ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี  สถิติการฆาตกรรมในเมืองดีทรอยต์พุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี และตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ดีทรอยต์ยังขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งใน “เมืองอันตรายที่สุด” ของสหรัฐฯด้วย  ชาวเมืองดีทรอยต์ที่โทรศัพท์แจ้งเหตุฉุกเฉินต้องอดทนคอยโดยเฉลี่ย 58 นาทีกว่าตำรวจเดินทางไปถึง ขณะที่ค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศอยู่ที่ประมาณ 11 นาที

ปัจจุบันมีอาคารกว่า 78,000 หลังที่ถูกทิ้งร้าง และรถพยาบาลก็ใช้การได้เพียง 1 ใน 3 เนื่องจากขาดงบประมาณซ่อมบำรุงฝ่ายบริหารเมืองดีทรอยต์ใช้วิธีกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายนานกว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งเป็นความไร้วิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่นำมาสู่ความเสื่อมของเมืองทุกวันนี้  เงิน 38 เซนต์จากรายรับทุกๆ 1 ดอลลาร์ของดีทรอยต์ จะถูกดึงไปชำระหนี้และใช้จ่ายด้านอื่นๆ เช่น จ่ายบำนาญ เป็นต้น และมีแนวโน้มว่าสัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มเป็น 65 เซนต์ต่อ 1 ดอลลาร์ ภายในปี 2017

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

The Persuit of Happyness ความสุขสร้างได้ เพียงคุณสู้และแก้ปัญหาเป็น

วันก่อนได้มีโอกาสได้ชมสกู้ปสรุปตัวเลขรายได้ของหนังซัมเมอร์อเมริกาในปีนี้ เห็นชื่อเรื่อง After Earth ที่แสดงนำโดย วิลล์ สมิธและลูกชายของเขาคือ เจเด้น สมิธ ซึ่งกำกับโดยผู้กำกับชื่อดังคือ เอ็มไนท์ ชยามาลาน แต่พบว่าตัวหนังทำรายได้ต่ำกว่าทุกเรื่องในตารางหนังซัมเมอร์ปีนี้ทุกเรื่องที่เป็นตัวเต็ง และก็ไม่ค่อยทำเงินในตลาดนอกประเทศ รวมถึงคำวิจารณ์ก็ไม่ค่อยดี ทำให้รู้สึกเสียดายทั้งตัวผู้กำกับและตัวสมิธเอง ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นทั้งนักแสดงและโปรดิวเซอร์ด้วย รวมถึงข่าวคราวของเขาที่จะไม่สามารถมารับบทนำในภาคต่อของ ID4 เนื่องจากผู้สร้างและผู้กำกับเกี่ยงงอนเรื่องค่าตัวเขาที่สูงมาก จนทำให้ต้องหันไปใช้บริการนักแสดงท่านอื่น ทั้งๆ ที่เรื่อง ID4 เป็นหนังลายเซ็นและหนังแจ้งเกิดให้กับวิลล์ สมิธ อีกด้วย ถ้าเป็นผมจะขอลดค่าตัว หรือไม่รับเลย ขอเพียงให้ได้มีส่วนในหนังภาคต่อเรื่องนี้ เพราะมันหมายถึงเครดิตส่วนตัวที่เงินก็ซื้อไม่ได้ ทำให้นึกย้อนไปถึงภาพยนตร์เรื่องเล็กๆ เรืองนึงซึ่งแม้ไม่ใช่หนังฟอร์มใหญ่ ไม่ทำรายได้อะไร แต่เป็นหนังที่ถูกกล่าวขวัญถึงอย่างมากในแง่การแสดง บท และเป็นหนังดีเรื่องนึงในปี 2006 เลย เป็นหนังที่พ่อ-ลูก สมิธ เล่นไว้ดีมาก พลังของการแสดงและทรงพลังมาก สะท้อนแง่คิดการดำเนินชีวิต เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก หนังเรื่องนั้นคือ The Persuit of Happyness

หนังเล่าเรื่องราวจากชีวิตจริงของคริส การ์ดเนอร์ ที่ทุกๆ วัน เขาจะต้องแบกเครื่องสแกนกระดูกที่มีราคาแสนแพงไปขายตามคลินิกและโรงพยาบาลต่างๆ แน่นอนว่ามันขายไม่ค่อยจะได้ จึงทำให้ครอบครัวเผชิญกับปัญหาทางการเงิน และเมื่อปัญหามันหนักหนาจนเกินไป สุดท้ายภรรยาจึงทิ้งเขาไป ให้เขาต้องแบกภาระเลี้ยงดูลูกชายวัย 5 ขวบแต่เพียงลำพัง จากนั้นทุกวันเขาต้องหอบหิ้วเครื่องสแกนกระดูกด้วยมือซ้าย จูงลูกด้วยมือขวา เข้าออกโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อขายเครื่องนี้ต่อชีวิตเขาไปในแต่ละเดือน จนเมื่อเขาเดินผ่านบริษัทการเงินที่ที่ผู้คนเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข มีรถสปอร์ตคันหรูจอดเรียงรายตามริมถนน เขาจึงมีความคิดที่จะเปลี่ยนอาชีพใหม่ มุ่งสู่การเป็นโบรกเกอร์ (ที่ปรึกษาด้านการลงทุนหลักทรัพย์) ความเลวร้ายนั้นยังไม่หยุดโหมกระหน่ำ เมื่อรายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย จนเจ้าของบ้านเช่าที่เอือมระอาเขา ที่ค้างค่าเช่าอยู่เป็นประจำ จนบางครั้งต้องวิ่งหาค่าเช่ามาจ่ายประทังแบบวันต่อวัน และสุดท้ายก็ต้องโดนอัปเปหิออกจากบ้านเช่านั้นไป ต้องไปนอนตามห้องน้ำ สถานีรถไฟใต้ดิน ชะตากรรมของพ่อลูกตกอับจนถึงต้องไปต่อคิวเพื่อแย่งสิทธิ์เข้าพักสถานพักสำหรับคนไร้ที่อยู่แบบชั่วคราว ซึ่งจำกัดได้วันละไม่กี่ร้อยคน และได้สิทธิ์วันต่อวัน จากนั้นหากต้องการจะพักต่อก็ต้องมาเข้าคิวขอใช้สิทธิ์ใหม่ ต่อหน้าลูกนั้น พ่อต้องทำตัวเป็นฮีโร่ให้ลูกเห็น ไม่แสดงความอ่อนแอออกมา แต่ลับหลังลูกนั้นน้ำตาของลูกผู้ชาย ที่น้อยใจต่อโชคชะตา และเจ็บช้ำน้ำใจต่ออดีตภรรยาที่ทอดทิ้งตนไปแบบไม่มีเยื่อใยต่อกัน เขาต้อง แบ่งเวลาไปฝึกงานที่บริษัทการเงิน ใช้เวลาอีกส่วนหนึ่งเดินออกตามโรงพยาบาลเพื่อขายเครื่องสแกนและใช้เวลาที่เหลือเดินทางไปตามสถานสงเคราะห์ให้มีที่นอนในแต่ละคืน บ่อยครั้งที่เขามีเงินเพียงไม่กี่ดอลล่าร์ติดกระเป๋า แต่เป็นเพราะความรักที่มีต่อลูก การมองโลกในแง่ดีและมีความหวัง จึงทำให้เขากัดฟันต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อให้ทั้งคู่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ช่วงหนึ่งของเหตุการณ์ที่เขาอาศัยนั่งรถผู้บริหารท่านนึงของบริษัทการเงินเพื่กลับยังที่พัก เขาได้อาศัยติดรถกลับไปด้วยเพื่อประหยัดค่าเดินทางนั้น เขาเห็นผู้บริหารท่านนั้นเล่นรูบิก (ผลึกมิติที่มีรูปลักษณ์สี่เหลี่ยมเท่ากันทุกด้าน แต่ละด้านมีสี่เหลี่ยมย่อยเรียงตัวกัน 9 สี่เหลี่ยมย่อย สามารถหมุนเปลี่ยนได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน วิธีการคือต้องหมุนให้สี่เหลี่ยมทั้ง 9 นั้นเรียงตัวเป็นสีเดียวกันทั้ง 6 ด้าน ซึ่งรูบิกมี 6 ด้านคล้ายลูกเต๋า เครื่องเล่นนี้ผลิตขึ้นจากความรู้ด้านฟิสิกศ์ โดยมีแกนหมุนอยู่ตรงกลางเป็นตัวยึดข้อต่อสี่เหลี่ยมทุกฟันเฟืองเอาไว้) รูบิกก็คือ symbolic ที่ใส่เข้ามาในเรื่อง สิ่งที่คริสกำลังเผชิญอยู่เปรียบเสมือนปัญหาที่เขาต้องพบเจอในชีวิตจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน การงาน ครอบครัว ปัญหาที่คริสกำลังเผชิญอยู่นั้นมีหลากหลายด้าน คล้ายๆ รูบิก ที่เมื่อแก้ไขปัญหาด้านนึงจะมีผลไปถึงปัญหาอีกด้านนึง แต่ทุกปัญหาส่งผลต่อตัวเขา และเขาต้องแก้ไขมันให้ได้ คริสขอผู้บริหารท่านั้นลองหมุนรูบิกดูแต่ก็ไม่สามารถทำได้ในครั้งนั้น สิ่งสำคัญก็คือ เราจะต้องรู้แกนของปัญหาเพื่อที่จะแก้ไขให้ได้ถูกจุด และของเล่นชิ้นนี้นี่เอง ที่มีส่วนช่วยพลิกผันชีวิตของคริส การ์ดเนอร์ ให้ก้าวเดินได้สะดวกมากขึ้น คริสไม่เคยแสดงความเหนื่อยอ่อน หรือมีทีท่าจะยอมแพ้กับชีวิตให้เห็นแม้แต่น้อย เมื่อทางข้างหน้ามีปัญหา เขาก็ไม่เคยคิดที่จะหันไปข้างหลัง สภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่สอนหลายสิ่งหลายอย่างให้แก่เขา คริสไม่ปล่อยเวลาทำงานให้เสียเปล่าไปกับการพักดื่มน้ำในระหว่างการทำงาน และจะได้ไม่ต้องเสียเวลาที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำ ทำให้เขามีเวลาทำงานเพิ่มขึ้นวันละหลายนาที

The Persuit of Happyness แม้ว่าจะเป็นหนังที่สร้างจากอัตชีวประวัติของคนๆ นึง แม้ว่าจะไม่ใช่บุคคลสำคัญระดับโลก แต่ชีวิตของเขานั้นให้คุณค่าแก่การเรียนรู้ ทั้งในแง่การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การใช้ชีวิต การเผชิญปัญหา และแก้ไขปัญหา อีกทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจ ให้กำลังใจแก่ทุกชีวิตบนโลกนี้ ที่มีชะตากรรมที่ย่ำแย่และตกต่ำ ในหนังมีประโยควลีคำคมอยู่เป็นจำนวนมาก หลากหลายซีน สามารถนำข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้ไปปรับใช้กับตนเองได้ ฉากนึงในเรื่อง ที่คริสเห็นลูกชายยอมแพ้ให้กับความฝันที่จะเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอล คริสจึงบอกกับลูกชายว่า “อย่าปล่อยให้ใครมาบอกนายว่า นายทำอะไรไม่ได้... หากนายมีความฝัน นายต้องปกป้องมัน เมื่อนายปรารถนาสิ่งใด อย่านิ่งเฉย ต้องออกไปไขว่คว้ามันมาให้ได้” คำพูดประโยคนี้อธิบายความเป็นตัวตนของคริส การ์ดเนอร์ ได้เป็นอย่างดี เพราะเราจะไม่เคยเห็น แม้แต่ฉากเดียวที่ คริส ยอมแพ้ให้แก่ปัญหาที่รุมล้อมตัวเขา นานๆ ทีที่เราจะได้เห็นวิลล์ สมิธ มารับบทดราม่าหนักๆ อย่างเรื่องนี้ เพราะโดยส่วนใหญ่เขาจะเล่นแต่หนังแอ็คชั่น ทริลเลอร์ แต่เรื่องนี้วิลล์ สมิธ สามารถรับบทคริส การ์ดเนอร์ เล่นได้เข้าถึงบทบาท ความเป็นคนเข้มแข็ง อดทน มุมานะ เป็นลูกผู้ชายใจสู้ และบทบาทความเป็นพ่อที่เข้าใจทั้งหัวอกคนเป็นพ่อของลูกได้เป็นอย่างดี และในเรื่องนี้เขาก็เล่นลูกชายแท้ๆ ของเขาเองจริงๆ

เจเด้น คริสโตเฟอร์ ไซร์ สมิธ ลูกชายแท้ๆ (วัย 7 ขวบในตอนนั้น) ของวิลล์ สมิธ แต่ในเรื่องเล่นเป็นเด็ก 5 ขวบ ซึ่งในเรื่องบทเด็กซึ่งเป็นลูกชายของคริส การ์ดเนอร์ เป็นเด็กที่ใส บริสุทธิ์ อ่อนต่อโลก ไร้เดียงสา เล่นเป็นธรรมชาติของเด็ก ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงทิ้งพ่อไป และเอ่ยหาแม่อยู่ตลอดเวลาว่า แม่ไปไหน ส่วนบทของแม่นั้น ในเรื่องแสดงโดย แธนตี้ นิวตัน นักแสดงสาวจากเรื่อง Crash ที่มารับบทแม่ได้ดี จนได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ด้วย

ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยผู้กำกับชาวอิตาลี ชื่อ กาเบรียล มัคชิโน ซึ่งเคยมีผลงานเป็นภาพยนตร์ภาษาอิตาเลียนมาตลอด เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เป็นภาษาอังกฤษ เคยมีผลงานที่เป็นที่จดจำคือเรื่อง The Last Kiss (หนังปี 2002) ในบ้านของตนเอง ที่ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์


หนังเรื่องนี้จัดเป็นหนัง 1 ใน 100 เรื่องที่ผู้เขียนชื่นชอบ เคยพาเพื่อนสนิทไปดูที่โรงหนังลิโด้ ดูจบน้ำตาคลอ ซาบซึ้ง ประทับใจ อินกับเนื้อหาและเข้าใจชีวิตมากขึ้น ส่วนเพื่อนที่ไปดูด้วยไม่อินกับหนัง ดูออกมาแล้วเฉย ๆ ทั้งๆที่เขามีลูกชายวัยเดียวกับในหนัง และชีวิตเขามีปัญหาทางด้านการเงินในขณะนั้น ผู้เขียนจะไม่ขอสรุปอะไรเกี่ยวกับประเด็นในหนัง แต่จะขอกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า บางครั้งชีวิตจริงคนเรายิ่งกว่าในหนัง และบางครั้งคนเราก็ยอมจะขมชื่น ไม่อยากเอาชีวิตของตัวเราเองไปเล่าให้ใครฟัง เพราะว่ามันเศร้าเสียยิ่งกว่าในหนังเสียอีก

ประวัติและผลงานผู้กำกับ Gabriele Muccino

Director Writer Producer

Gabriele and Eugenia F. Di Napoli have a son named Silvio Leonardo (b.2000). See more trivia »

Born: May 20, 1967 in Rome, Lazio, Italy

Director (18 titles)

2013 Shanghai, I Love You (in production)
???? Fathers and Daughters (pre-production)
2012 Playing for Keeps
2010 Baciami ancora
2010 Senza tempo (short)
2008 Seven Pounds
2007 Viva Laughlin (TV series)
– Pilot (2007)
2007 Heartango (short)
2006 The Pursuit of Happyness
2006 Chi siete venuti a cercare (TV documentary)
2004 Giovani talenti italiani (video) (segment "14 agosto")
2003 Ricordati di me
2001 L'ultimo bacio
1999 Come te nessuno mai
1999 Gli amici di Sara (TV documentary)
1998 Ecco fatto
1996 Intolerance (segment "Max suona il piano")
1996 Un posto al sole (TV series)

คริสโตเฟอร์ พอล การ์ดเนอร์ เป็นมหาเศรษฐีที่สร้างฐานะขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเขาเอง เป็นนายทุนที่ร่ำรวย มีความสามารถในการพูดจูงใจผู้อื่นและยังใจบุญอีกด้วย เขาเกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1954 ที่มิลวอคกี วิสคอนซิน ในช่วงทศวรรษ 1980 นั้น คริสต้องเผชิญกับช่วงที่ยากลำบากของชีวิต เขาต้องต่อสู้ดิ้นรนเนื่องจากไม่มีบ้านอยู่ทั้งๆที่มีภาระต้องเลี้ยงดูลูกชายคนเดียว คริสโตเฟอร์ จูเนียร์ อีกคน หนังสือชีวประวัติของคริสนั้นตีพิมพ์เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2006 โดย Amistad และ HarperCollins

ในปี 2006 นั้น เขาเป็นซีอีโอของบริษัทนายหน้าค้าหุ้นของเขาเองคือ Gardner Rich & Co มีสำนักงานอยู่ที่ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ อันเป็นที่อยู่ของเขาในคราวที่ไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่นครนิวยอร์ก คริสบอกว่าความสำเร็จและอดทนของเขานั้นได้รับมาจากแม่ Bettye Jean Triplett, née Gardner และกำลังใจที่สำคัญที่สุดในการสู้ชีวิตของเขาคือลูกชายคริส จูเนียร์ (เกิดปี ค.ศ. 1981) และลูกชายจาซิสตา (เกิดปี ค.ศ. 1985) ของเขานั่นเอง คริสต้องเผชิญกับช่วงลำบากของชีวิต เขาสร้างตัวมาจากการเป็นนายหน้าค้าหุ้นในช่วงที่เป็นพ่อหม้ายและคนพเนจรไร้บ้าน จนได้มีการนำชีวประวัติส่วนหนึ่งของเขาไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Pursuit of Happyness นำแสดงโดย วิลล์ สมิธ



กรุงเทพฯ เมืองหนังสือ(แพง) โลก > เมืองของนักอ่านโลก

คนไทยอ่านหนังสือโดยเฉลี่ยปีละ 8 บรรทัด ประโยคหรือวลีนี้ ผู้เขียนคิดว่าเป็นทั้งคำปรามาสและคำชื่นชมให้เกียรติคนไทยมากเกินไปหรือไม่ เพราะไม่รู้ว่ามีการสำรวจวิจัยอย่างละเอียดแล้วจริงๆ หรือไม่ อีกทั้งเป็นตัววัดถึงมาตรฐานการศึกษาของไทยได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าเป็นเช่นคำพูดนั้นจริงๆ เห็นทีประเทศไทยคงจะต้องจัดเป็นประเทศด้อยพัฒนามากกว่าที่จะถูกจัดอยู่ในประเทศกำลังพัฒนาเป็นแน่แท้ เพราะโลกสมัยใหม่นี้ ไม่ว่าจะใช้วิสัยทัศน์ หรือพลวัตในปัจจุบันหรืออนาคตเขาแข่งกันในด้านการศึกษาเป็นหลัก และประเทศพัฒนาแล้วใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาความก้าวหน้าของมนุษย์ เทคโนโลยี และวิทยาการล้ำยุคหรือไปสู่นอกโลกด้วย ดังนั้น หากคนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยเพียงปีละ 8 บรรทัด แต่หาก 8 บรรทัดนั้นบังเอิญเป็นปรัชญา คำสอนของพระพุทธเจ้า ชนิดเป็นแก่นหรือห้วใจแห่งสัจจธรรมแล้วนำไปประพฤติปฏิบัติ ก็ต้องถือว่าเป็นการอ่านอย่างมีคุณภาพ ยังพอเอาตัวรอดได้ในโลกมนุษย์  หรือหาก 8 บรรทัดนั้น เป็นโฉลกที่เป็นหัวๆ ของปรัชญาชั้นสูงแห่งกวีระดับโลก แล้วสามารถถอดความตีความนำไปปรับใช้กับชีวิตตนเองได้ ก็ยังนับว่ามีคุณค่าในการอ่านเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อมองกลับกัน หากคนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 8 ล้านตัวอักษร แต่เป็นการอ่านกลอนวัยรุ่น คำสบถ คำแสลงวัยรุ่นในไลน์แชต เฟซบุ้ค ทวิตเตอร์ หรือข่าวซุบซิบบันเทิง นวนิยายประโลมโลก เช่นนี้แล้ว ก็ไม่สามารถยกระดับ สร้างคุณภาพ มาตรฐานการเป็นนักอ่านของคนไทยได้ หรือเมื่อเทียบกับ 8 บรรทัดแห่งคุณค่าได้ ก็ป่วยการกับการยินดีที่คนไทยอ่านหนังสือเยอะถึง 8 ล้านตัวอักษร มากที่สุดในโลกเป็นไหนๆ

ปีนี้เป็นปีที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพของงาน เมืองหนังสือโลก แต่ดูเหมือนการประชาสัมพันธ์ หรือกิจกรรมส่งเสริมด้านการอ่านแทบไม่เห็นเลย จัดว่าเงียบกริบมากๆ เข้าใจว่าคนไทยถนัดการจัดงานอีเว้นท์ที่เอาของมาแสดงหรือขาย แบบงานปาปี่ พอจัดเสร็จก็เลิกกันไป ไม่ถนัดการรณรงค์ก่อนจัดงาน และการต่อยอดความสำเร็จภายหลังจากงาน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำมาใช้กับการจัดงานประเภท เมืองหนังสือโลก  มันคงไม่ใช่งานแบบสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ที่คนมาเดินซื้อหนังสือกันนะครับ แต่ต้องมีกิจกรรมทั้งก่อนหน้าอีเว้นท์ และหลังอีเว้นท์ ซึ่งต้องใช้คำว่ารณรงค์ให้คนทั่วไปรู้จักก่อนว่าหนังสือคืออะไร มีกี่ประเภท หนังสือแบบใดเหมาะกับคนกลุ่มไหน วัยใด เนื้อหาเป็นอย่างไร ประโยชน์ของการอ่าน ความสะดวกของการเข้าหา แหล่งของหนังสือที่คนไทยจะสามารถไปใช้บริการได้ฟรี หรือมีค่าใช้จ่ายน้อย ทุกวันนี้คนไทยพึ่งได้เพียงร้านหนังสือใกล้บ้าน ร้านหนังสือแฟรนไชส์ใหญ่ๆ เป็นที่พึ่ง ซึ่งหนังสือเหล่านั้นก็มีราคาแพงเกินกว่าจะซื้อหามาสะสมไว้อ่านได้ ไอ้ครั้นจะไปใช้บริการแหล่งหนังสือของภาครัฐอย่าง ห้องสมุด ก็มีน้อย และกฏระเบียบเยอะ ตามมหาวิทยาลัยก็ไม่ค่อยเปิดกว้างแก่บุคคลภายนอกมากนัก หนังสือน้อยและไม่หลากหลาย ค้นหายาก ไม่ทันสมัย ส่วนห้องสมุดเอกชนก็แสนแพงต้องเป็นสมาชิกที่เสียค่าบริการสูงจึงจะมีออพชั่นยืมหนังสือได้ เช่น ห้องสมุดมารวย ห้องสมุดแห่งการเรียนรู้ TCDC เป็นต้น จะทำอย่างไรที่ภาครัฐจะลงทุนกับห้องสมุดประชาชนให้ทันสมัย กระจายไปยังทุกเขตของ กทม. และเข้าใช้บริการได้สะดวกสบายกว่าที่เป็นอยู่ ติดแอร์ มีหนังสือทีหลากหลายและมากพอ ไม่ชำรุด และล้าสมัย

อยากเห็นภาคเอกชน โดยเฉพาะบริษัทสำนักพิมพ์ใหญ่ๆ ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คืนกำไรสู่สังคมบ้าง เช่นจัดพิมพ์หนังสือในต้นทุนราคาที่ต่ำ เช่น พ็อกเก็ตบุ้คเล่มเล็กๆ ราคาไม่เกิน 50 บาท (ทำไมหนังสือในร้าน 7-eleven ยังทำได้เลย) เป็นการส่งเสริมการอ่านแก่เยาวชน และคนที่มีรายได้น้อย ได้ซื้อหนังสือดีในราคาถูก โดยที่เป็นหนังสือ 100 หนังสือดีที่คนไทยควรต้องอ่าน อ้างอิงข้อมูลของ อ.วิทยากร เชียงกูล link : http://www.eppo.go.th/tank/100-Best.html

รายชื่อหนังสือดี 100 เล่ม ที่คนไทยควรอ่าน ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
ประเภทบันเทิงคดี (FICTION)

ก. กวีนิพนธ์และบทละคร

1. ประชุมโคลงโลกนิติ - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร

2. เสภาศรีธนญไชยเชียงเมี่ยง

3. นิราศหนองคาย - หลวงพัฒนพงศ์ภักดี

4. สามัคคีเภทคำฉันท์ - ชิต บุรทัต

5. มัทนะพาธา - พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว

6. โคลงกลอนของครูเทพ - เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี

7. บทละครเรื่องพระลอ - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์

8. ขอบฟ้าขลิบทอง - อุชเชนี

9. เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า. - นายผี

10. บทกวีของเปลื้อง วรรณศรี

11. บทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ - จิตร ภูมิศักดิ์

12. จงเป็นอาทิตย์เมื่ออุทัย - ทวีปวร

13. กวีนิพนธ์ - อังคาร กัลยาณพงศ์

14. ขอบกรุง - ราช รังรอง

15. เพียงความเคลื่อนไหว - เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

ข. นิยาย

16. ละครแห่งชีวิต - ม.จ. อากาศดำเกิง รพีพัฒน์

17. กามนิต - เสฐียรโกเศศ, นาคะประทีป

18. ดำรงประเทศ - เวทางค์

19. ผู้ชนะสิบทิศ - ยาขอบ

20. หนึ่งในร้อย - ดอกไม้สด

21. บางระจัน - ไม้ เมืองเดิม

22. หญิงคนชั่ว - ก. สุรางคนางค์

23. พล นิกร กิมหงวน - ป. อินทรปาลิต

24. ปักกิ่ง-นครแห่งความหลัง - สด กูรมะโรหิต

25. เราลิขิต-บทหลุมศพวาสิฏฐี - ร.จันทพิมพะ

26. เมืองนิมิตร - ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน์

27. แม่สายสะอื้น - อ. ไชยวรศิลป์

28. พัทยา - ดาวหาง

29. แผ่นดินนี้ของใคร - ศรีรัตน์ สถาปนวัฒน์

30. มหาบัณฑิตแห่งมิถิลานคร - แย้ม ประพัฒน์ทอง

31. ปีศาจ - เสนีย์ เสาวพงศ์

32. สี่แผ่นดิน - ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช

33. ทุ่งมหาราช - มาลัย ชูพินิจ

34. แลไปข้างหน้า - ศรีบูรพา

35. เสเพลบอยชาวไร่ - รงค์ วงษ์สวรรค์

36. จดหมายจากเมืองไทย - โบตั๋น

37. เขาชื่อกานต์ - สุวรรณี สุคนธา

38. สร้างชีวิต - หลวงวิจิตรวาทการ

39. ตะวันตกดิน - กฤษณา อโศกสิน

40. สร้อยทอง - นิมิตร ภูมิถาวร

41. พิราบแดง - สุวัฒน์ วรดิลก

42. ลูกอีสาน - คำพูน บุญทวี

ค. เรื่องสั้น

43. นิทานเวตาล - น.ม.ส.

44. จับตาย : รวมเรื่องเอก - มนัส จรรยงค์

45. เรื่องสั้นของป. บูรณปกรณ์ (ชีวิตจากมุมมืด, ดาวเงิน) - ป. บูรณปกรณ์

46. เสาชิงช้า, เอแลนบารอง และเรื่องสั้นอื่นๆ ของ ส. ธรรมยศ

47. พลายมลิวัลลิ์ และเรื่องสั้นบางเรื่อง ของถนอม มหาเปารยะ

48. ผู้ดับดวงอาทิตย์ และเรื่องสั้นอื่นๆ - จันตรี ศิริบุญรอด

49. ยุคทมิฬ และเรื่องสั้นอื่นๆ ของ อิศรา อมันตกุล

50. เรื่องสั้นชุดเหมืองแร่ - อาจินต์ ปัญจพรรค์

51. ฟ้าบ่กั้น - ลาว คำหอม

52. ชุดเพื่อนนักเรียนเก่า "เพื่อนเก่า" - เสนอ อินทรสุขศรี

53. รวมเรื่องสั้นบางเรื่องของฮิวเมอร์ริสต์ - ฮิวเมอร์ริสต์

54. ฉันจึงมาหาความหมาย - วิทยากร เชียงกูล

55. คนบนต้นไม้ - นิคม รายวา

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION)

ก. ประวัติศาสตร์

56. ประวัติกฎหมายไทย - ร. แลงกาต์

57. นิทานโบราณคดี - สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

58. โฉมหน้าศักดินาไทย - จิตร ภูมิศักดิ์

59. กบฏ ร.ศ. 130 - เหรียญ ศรีจันทร์, ร.ต.เนตร พูนวิวัฒน์

60. เจ้าชีวิต - พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์

61. ศาลไทยในอดีต - ประยุทธ สิทธิพันธ์

62. ประวัติศาสตร์ไทยสมัย 2352-2453 ด้านสังคม - ชัย เรืองศิลป์

63. สังคมไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ 2325 - 2416 - ม.ร.ว. อคิน รพีพัฒน์

ข. การเมือง,ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย, เศรษฐศาสตร์

64. ทรัพยศาสตร์ - พระยาสุริยานุวัตร

65. เบื้องหลังการปฏิวัติ 2475 - กุหลาบ สายประดิษฐ์

66. ความเป็นอนิจจังของสังคม - ปรีดี พนมยงค์

67. ท่านปรีดี รัฐบุรุษอาวุโส ผู้วางแผนเศรษฐกิจไทยคนแรก - เดือน บุนนาค

68. โอ้ว่าอาณาประชาราษฎร - สนิท เจริญรัฐ

69. ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง - ดิเรก ชัยนาม

70. สันติประชาธรรม - ป๋วย อึ๊งภากรณ์

71. ห้าปีปริทัศน์ - ส. ศิวรักษ์

72. "วันมหาปิติ" วารสาร อมธ.ฉบับพิเศษ 14 ตุลาคม 2516 - องค์การบริหารกิจกรรมนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ค. ศิลปะ ภาษาและวรรณกรรม วรรณกรรมวิจารณ์

73. วรรณคดี และวรรณคดีวิจารณ์ - วิทย์ ศิวะศิริยานนท์

74. ประติมากรรมไทย - ศิลป พีระศรี

75. วรรณสาส์นสำนึก - สุภา ศิริมานนท์

76. วิทยาวรรณกรรม - พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์

77. ความงามของศิลปไทย - น. ณ ปากน้ำ

78. ภาษากฎหมายไทย - ธานินทร์ กรัยวิเชียร

79. วรรณไวทยากร ชุมนุมบทความทางวิชาการ ฉบับวรรณคดี - เจตนา นาควัชระ และมล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ

80. แสงอรุณ 2 - แสงอรุณ รัตกสิกร

ง. สังคมวิทยา, มานุษยวิทยา, ประวัติศาสตร์สังคม

81. พระราชพิธีสิบสองเดือน - พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

82. สาส์นสมเด็จ - สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์

83. 30 ชาติในเชียงราย - บุญช่วย ศรีสวัสดิ์

84. เทียนวรรณ - สงบ สุริยินทร์

85. กาเลหม่านไต - บรรจบ พันธุเมธา

86. นิทานชาวไร่ - น.อ.สวัสดิ์ จันทนี

87. ภารตวิทยา - กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย

88. ฟื้นความหลัง - พระยาอนุมานราชธน

89. ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ - จิตร ภูมิศักดิ์

90. อัตชีวประวัติ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร - หม่อมศรีพรหมา กฤดากร

91. 80 ปีในชีวิตข้าพเจ้า - กาญจนาคพันธ์

จ. ศาสนา, ปรัชญา

92. พระประวัติตรัสเล่า - สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

93. พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน - สุชีพ ปุญญานุภาพ

94. ปัญญาวิวัฒน์ - สมัคร บุราวาศ

95. พุทธธรรม - พระธรรมปิฎก

96. อิทัปปัจจยตา - พุทธทาสภิกขุ

ฉ. ธรรมชาติ, วิทยาศาสตร์

97. หนังสือแสดงกิจจานุกิจ - เจ้าพระยาทิพากรวงษ์

98. แพทยศาสตร์สงเคราะห์ - คณะกรรมการแพทย์หลวงในรัชกาลที่ 5

99. ธรรมชาตินานาสัตว์ - บุญส่ง เลขะกุล

100. ขบวนการแก้จน - ประยูร จรรยาวงษ์

หนังสือ 101 เล่มในดวงใจนักเขียนและนักอ่านชั้นนำที่ควรอ่านก่อนตาย จาก เว็บเด็กดีดอทคอม

1. แฮร์รี่ พอตเตอร์ - เจ เค โรวลิ่ง

2. ความสุขของกะทิ - งามพรรณ เวชชาชีวะ

3. ลูกอีสาน - คำพูน บุญทวี

4. ข้างหลังภาพ - ศรีบูรพา

5. สี่แผ่นดิน - ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

6. เพชรพระอุมา - พนมเทียน

7. เจ้าชายน้อย - อองตวน เดอ แซง-เตกซูเปรี

8. คำพิพากษา - ชาติ กอบจิตติ

9. คู่กรรม - ทมยันตี

10. หัวขโมยแห่งบารามอส - แรบบิท

11. โดราเอมอน - ฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ

12. สามก๊ก - หลอ กว้าน จง

13. อยู่กับก๋ง - หยก บูรพา

14. หลายชีวิต - ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

15. พระอภัยมณี - สุนทรภู่

16. น้ำพุ - สุวรรณี สุคนธา

17. ก่อกองทราย - ไพฑูรย์ ธัญญา

18. เข็มทิศชีวิต - ฐิตินาถ ณ พัทลุง

19. ลับแล, แก่งคอย - อุทิศ เหมาะมูล

20. โคนัน ยอดนักสืบ - โกโช อาโอยาม่า

21. บ้านเล็กในป่าใหญ่ - ลอร่า อิงกัลล์ส ไวล์เดอร์

22. แมงมุมเพื่อนรัก - อี.บี.ไวท์

23. เจ้าหงิญ - บินหลา สันกาลาคีรี

24. ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน - วินทร์ เลียววาริณ

25. แก้วจอมแก่น - แว่นแก้ว

26. ใบไม้ที่หายไป - จิระนันท์ พิตรปรีชา

27. ผู้ชนะสิบทิศ - ยาขอบ

28. ฟ้าจรดทราย - โสภาค สุวรรณ

29. พระมหาชนก - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ภูมิพลอดุลยเดช

30. สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน - วินทร์ เลียววาริณ

31. อัจฉริยะสร้างได้ - หนูดี

32. เราหลงลืมอะไรบางอย่าง - วัชระ สัจจะสารสิน

33. วัน พีซ - เออิจิโระ โอดะ

34. ต้นส้มแสนรัก - โจเช่ วาสคอนเวลอส

35. ทวิภพ - ทมยันตี

36. ปุลากง - โสภาค สุวรรณ

37. ขายหัวเราะ - สำนักพิมพ์บันลือสาสน์

38. ตลิ่งสูงซุงหนัก - นิคม รายวา

39. นารุโตะ - มาซาชิ คิชิโมโตะ

40. Shockolate - เดอะดวง

41. เชอร์ล็อก โฮล์มส์ - เซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์

42. หนูหิ่น อินเตอร์ - เอ๊าะ ขายหัวเราะ

43. อมตะ - วิมล ไทรนิ่มนวล

44. ความน่าจะเป็น - ปราบดา หยุ่น

45. พันธุ์หมาบ้า - ชาติ กอบจิตติ

46. แวววัน - โบตั๋น

47. เดอะ ไวท์ โรด - ดร. ป๊อป

48. ชินจังจอมแก่น - โยซึโอะ อุสึอิ

49. โต๊ะโตะจัง - เท๊ตสึโกะ

50. พล นิกร กิมหงวน - ป.อินทรปาลิต

51. เวลาในขวดแก้ว - ประภัสสร เสวิกุล

52. เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก - ทิพย์วาณี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา

53. รามเกียรติ์

54. นิทานอีสป - อีสป

55. ผู้ดี - ดอกไม้สด

56. ฟ้าบ่กั้น - ลาวคำหอม

57. รหัสลับดาวินชี - แดน บราวน์

58. ทไวไลท์ - สเตเฟนี เมเยอร์

59. ดั่งดวงหฤทัย - ลักษณวดี

60. บาปบุญคุณธรรม - ศักดา วิมลจันทร์

61. มือนั้นสีขาว - ศักดิ์ศิริ มีสมสืบ

62. กามนิต วาสิฏฐี - เสฐียร โกเศศ นาคะประทีป

63. ขุนช้างขุนแผน

64. เจ้าจันท์ผมหอม - นิราศพระธาตุอินทร์แขวน มาลา คำจันทร์

65. เซวิน่า มหานครแห่งมนตรา - กัลฐิดา

66. ถั่วงอกกับหัวไฟ - ทรงศีล ทิวสมบุญ

67. เทวากับซาตาน - แดน บราวน์

68. ผู้ใหญ่ลีกับนางมา - กาญจนา นาคนันทน์

69. เวลา - ชาติ กอบจิตติ

70. คู่มือมนุษย์ - พุทธทาสภิกขุ

71. จดหมายจากเมืองไทย - โบตั๋น

72. บันทึกจากลูก(ผู้)ชาย - ชมัยภร แสงกระจ่าง

73. ปีศาจ - เสนีย์ เสาวพงศ์

74. เพื่อนนอน - ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

75. ละครแห่งชีวิต - หม่อมเจ้าอากาศดำเกิง ระพีพัฒน์

76. ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานไม่ยอมแพ้ชีวิต - ไล่ตงจิ้น

77. สมุดปกดำกับใบไม้สีแดง - วินทร์ เลียววาริณ

78. สร้อยทอง - นิมิต ภูมิถาวร

79. 5 สหายผจญภัย - Enit Blyton

80. ขวัญสงฆ์ - ชมัยภร แสงกระจ่าง

81. ช่างสำราญ - เดือนวาด พิมวนา

82. ปริศนา - ว.ณ ประมวลมารค

83. ผมจะเป็นคนดี - วิกรม กรมดิษฐ์

84. มังกรหยก - กิมย้ง

85. มาเฟียที่รัก - หนูผักบุ้ง

86. แม่สอนไว้ - พุทธทาสภิกขุ

87. ล่องไพร - น้อย อินทนนท์

88. Black & White : เพราะชีวิตจริง มีทั้งขาวและดำ - เดอะดวง

89. H.A.C.K. - Enigma

90. Nine Lives - ทรงศีล ทิวสมบุญ

91. The top secret - ทันตแพทย์สม สุจิรา

92. จดหมายถึงดวงดาว - ชมัยภร แสงกระจ่าง

93. จนตรอก - ชาติ กอบจิตติ

94. ซอยเดียวกัน - วาณิช จรุงกิจอนันต์

95. เดินสู่อิสรภาพ - ประมวล จันทร์เพ็ง

96. ธรรมะเดลิเวอร์ลี่ - พระมหาสมปอง ตาลปตํโต

97. ไผ่แดง - ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

98. มัทนะพาธา - พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ

99. ม้าก้านกล้วย - ไพวรินทร์ ขาวงาม

100. อยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย - เลโมนี สนิคเก็ต

101. ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น - ทันตแพทย์สม สุจิรา

หากโปรเจ็คท์นี้จะทำให้สำนักพิมพ์ใหญ่ๆ ขาดทุน อาจตั้งเป็นกองทุน ลงขันกันของสำนักพิมพ์ใหญ่ๆ และภาครัฐ เช่น กระทรวงการศึกษาที่มีงบประมาณมากที่สุด ควรลงขันด้วย เข้ามา subsidize  โครงการนี้ยังได้ประโยชน์กว่าไปจัดหาซื้อ tablet มาแจกเด็กนักเรียน ซึ่งล้มเหลวไม่เป็นท่า อีกทั้งลูกหลานก็ไม่ได้มีความรู้อะไรเพิ่มขึ้นเท่าไร นอกจากเอาไว้เล่นเกมส์ ดูหนัง ซึ่งการพิมพ์หนังสือดีที่เป็นพื้นฐานให้คนไทยได้อ่านในราคาถูก อย่างน้อยเป็นการวางรากฐานทางการศึกษาให้คนไทย เยาวชนไทยไปด้วยในตัว อีกทั้งหนังสือจำนวนมากในรายชื่อเหล่านั้น ยังไม่ถูกละทิ้ง สูญหาย มีการจัดพิมพ์ขึ้นมาใหม่ เป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาของคนไทยไว้ ให้รุ่นลูกรุ่นหลานสืบทอดต่อไปได้ หากเล่มใดซ้ำกับที่มีอยุู่แล้วในแบบเรียน ก็อาจเปลี่ยนเป็นหนังสือวรรณกรรมดีๆ ของคนไทย หรือความรู้ ปรัชญา หรือแม้กระทั่งการรวบรวม พระราชดำรัสสำคัญๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นหนังสือไว้ให้คนไทยได้อ่าน เป็นคู่มือประจำบ้าน ซึมซับนำไปปฏิบัติตามพระราชดำรัสเพื่อเป็นศิริมงคลของชีวิต,ความรู้เกี่ยวกับโครงการพระราชดำริ หรือพระราชกรณียกิจของพระเจ้าอยู่่หัว,คำสอนของพระเกจิอาจารย์ที่เป็นพระสงฆ์ที่คนไทยรู้จัก ยกย่องนับถือ,ปรัชญาของกวีใหญ่ๆ ดังๆ ระดับโลก,เอ็นไซโคปีเดียที่รวบรวมเกร็ดข้อมูลของไทยและต่างประเทศทำแบบแยกหมวด ซอยเป็นเล่มเล็กๆ ให้เยาวชนซื้อหาเก็บ สะสมเป็นความรู้ ฯลฯ

ข่าวเกี่ยวกับงานเมืองหนังสือโลก

งานกิจกรรมอ่านลอยฟ้า จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 – 23 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 10.00 น.- 20.00 น. ณ บริเวณ Sky Walk หอศิลป์กรุงเทพ ไปยัง Sky Walk รถไฟฟ้าสถานีสยาม จนถึง Sky Walk ด้านหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยกำหนดให้พื้นที่บริเวณ sky walk สยามพารากอน ถึงเซ็นทรัลเวิร์ลด์ เป็นพื้นที่ออกบูธจำหน่ายหนังสือซึ่งในงานมีพื้นที่จำหน่ายหนังสือทั้งหมด 48 บูธ ขนาด 2x3 เมตร กิจกรรมดังกล่าวนี้ ทางกรุงเทพมหานคร ได้ร่วมมือกับหลายหน่วยงาน ที่จะร่วมผลักดันให้กิจกรรมประสบผลสำเร็จ อาทิ รถไฟฟ้า บี ที เอส, สยามพารากอน, เซ็นทรัลเวิร์ล, สสส. และมีการออกโฆษณาทางสื่อต่างๆ ทั้งภายนอกและภายในบริเวณการจัดงานอีกด้วย

อนึ่ง เนื่องจากทางกรุงเทพมหานครได้กำหนดให้มีกลุ่มหนังสือพิเศษจัดแสดงในกิจกรรมต่างๆของงานกรุงเทพเมืองหนังสือโลก เช่นกลุ่มหนังสือแนวให้กำลังใจ (Spirituals) กลุ่มหนังสือแนววิทยาศาสตร์ และหนังสือสำหรับเด็กและเยาวชน และเนื่องจากจำนวนพื้นที่ออกงานที่จำนวนจำกัด ดังนั้นสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯจึงใคร่ขอความกรุณาสมาชิกฯที่ผลิตหนังสือแนวดังกล่าวนี้มาร่วมออกบูธเป็นหลัก

วันนี้ (14 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่บริเวณทางเชื่อมระหว่างหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร กับ BTS สนามกีฬาแห่งชาติ กลุ่มนักอ่านจำนวนหนึ่ง ได้มีการจัดกิจกรรม "ยืนอ่านกันให้เงียบเงียบ กรุงเทพเมืองหนังสือโลก" โดยการประท้วงในครั้งนี้เป็นการประท้วงเชิงสัญลักษณ์ต่อ โครงการ"อ่านกันสนั่นเมือง"กรุงเทพเมืองหนังสือโลก ว่าเป็นโครงการที่ไม่เหมาะสม เพราะ มีการนำเอางบประมาณจำนวนมากไปทุ่มให้กับการประชาสัมพันธ์จนเกินพอดี โดยนายศักดิ์รพี รินสาร หนึ่งในผู้ชุมนุม กล่าวว่า กิจกรรมในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากการเห็นตัวอย่างการประท้วงจากประเทศตุรกี ที่มีประชาชนประท้วงอย่างสันติต่อรัฐบาล ด้วยการอ่านหนังสือ โดยกลุ่มฯไม่เห็นด้วยกับโครงการ"อ่านกันสนั่นเมือง"กรุงเทพเมืองหนังสือโลกเพราะเห็นว่าโครงการดังกล่าวใช้งบประมาณในการประชาสัมพันธ์มากไปโดยไม่เกิดประโยชน์ควรนำเงินดังกล่าวไปใช้ในการจัดพิมพ์หนังสือดีๆ หรือนำงบไปสนับสนุนการเข้าถึงการอ่านให้ง่ายขึ้นของประชาชนมากกว่า ดังเช่น โครงการจัดทำตู้หนังสือสาธารณะของมูลนิธิกระจกเงาดำเนินการ เป็นต้น  นอกจากนี้ยังเป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ต่อสังคมว่า การอ่านที่มีคุณภาพแท้จริง ไม่ใช่การอ่านเพื่อเน้นปริมาณ หรือความรวดเร็วเพื่อการประชาสัมพันธ์อย่างที่กรุงเทพมหานคร ทำ แต่การอ่านหนังสือต้องอ่านช้าๆ เงียบๆ

ด้านนายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นักเรียนโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง หนึ่งในผู้ร่วมกิจกรรมกล่าวว่า ตนทราบข่าวจากเฟสบุ๊ค เห็นเนื้อหาว่าเกี่ยวกับการประท้วงโดยสันติวิธีคล้ายกับต่างประเทศ และเห็นว่าโครงการที่ กรุงเทพมหานครจัดขึ้นนั้นเป็นสิ่งไม่มีประโยชน์ เช่นการจัดงาน"อ่านกันสนั่นเมือง"ของกทม.เป็นเรื่องที่ค่อนข้างฟุ่มเฟือย ไม่มีคุณค่า ตนรู้สึกเสียดายที่กรุงเทพมหานครได้รับเลือกเป็นเมืองหนังสือโลก โดยที่มาประท้วงด้วยการยืนอ่านหนังสือเงียบๆก็เพื่อต้องการให้คนเห็นว่าการอ่านต้องอ่านเงียบๆเพื่อเน้นคุณภาพไม่ต้องเน้นพิธีกรรมมาก อยากให้นำเงินไปซื้อหนังสือดีๆกว่าที่มีอยู่บนรถเมล์สาธารณะมากกว่า และต้องการให้ภาครัฐตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวจึงมาร่วมชุมนุม  โดยโครงการดังกล่าวถูกตั้งข้อสังเกตจากนักเขียนจำนวนหนึ่งว่าเป็นโครงการที่กทม.ใช้เงินกว่า200 ล้านบาท เพื่อให้ได้มาซึ่งการรับเลือกเป็นเมืองหนังสือโลก โดยมีงบประมาณเพื่อดำเนินงานโครงการเมืองหนังสือโลก จนถึงปี 2556 ทั้งสิ้น 1,400 ล้านบาท เฉพาะการสร้างหอสมุดกทม. (หอสมุดกทม.-พิพิธภัณฑ์ประวัติหนังสือไทย-ศูนย์วิจัยหนังสือและการอ่านแห่งประเทศไทย) ใช้เงินร่วม 640 ล้านบาทแล้ว และล่าสุดคือการจัดงาน"อ่านกันสนั่นเมือง"ช่วงวันที่21-23 เม.ย. ที่ผ่านมา ใช้เงินไปแล้วกว่า 100 ล้านบาท และเฉพาะนิทรรศการ 35 ปีซีไรต์ ใช้งบไปถึง 12 ล้านบาท ว่ามีความคุ้มค่าหรือไม่








โปสการ์ดถ่ายทอดอารมณ์ คำคมของชีวิต 3


“แม้ว่าจะโชคไม่ดีแค่ไหน คนฉลาดก็สามารถทำให้ชีวิตตนเองพลิกเป็นประโยชน์ได้ หรือพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส แต่ในขณะเดียวกันคนโง่ ไม่ว่าจะโชคดีเพียงใดก็ไม่อาจใช้โอกาสนั้นให้เป็นประโยชน์ได้”              โรชฟูโกลด์

คำว่า “โชค” หรือ “ LUCK ” อักษรแต่ละตัวที่มารวมกัน มีความหมายได้แก่

L มาจากคำว่า Likeability ความหมายคือเป็นที่ชื่นชอบ หรือเป็นที่รักของคนอื่นรอบตัว

U มาจากคำว่า Usefulness ความหมายคือ มีประโยชน์ สามารถใช้งานได้ ไม่เรื่องมาก เกี่ยงงาน

C มาจากคำว่า Conscientious ความหมายคือ ความเอาใจใส่ หรือ การตั้งใจทำงานหรือกิจการงานต่างๆ ที่ทำ

K มาจากคำว่า Knowledge ความหมายคือ ความรู้ในงาน ความรู้ในอาชีพ ความรู้ในสินค้า ของตน


ดังนั้น คำว่า “โชค” มันจึงเป็นองค์ประกอบของสิ่งที่เรามีอยู่ในตัวของเราเองอยู่แล้ว เพียงแต่มันจะมาเมื่อเราถึงพร้อม และเมื่อเรามีองค์ประกอบครบในสิ่งที่เราเรียกว่าโชคพร้อมแล้ว คำว่าโชคก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เราจึงควรเรียกสิ่งนั้นว่า “ศักยภาพ” มากกว่า

ถ้า "มนุษย์จะพัฒนาการไปตามอย่างที่ตนคิดเท่านั้น” มันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลที่จะบอกว่า ถ้าเราต้องการอะไรจากชีวิต เราก็ต้องคิดอย่างนั้น คิดตลอดเวลาถึงสิ่งที่เราต้องการ ถ้าคุณฝันว่า สักวันหนึ่งอยากได้รับรางวัลออสการ์ หรือรางวัลโนเบล หรือมีเงินร้อยล้าน หรือมีสุขภาพดีเป็นเลิศ คุณต้องจินตนาการถึงสิ่งนั้นตลอด พูดถึงมันตลอด อย่าไปพูดหรือคิดถึงสิ่งที่ไม่ต้องการ “ผมกลัวโน่น ผมกลัวนี่” “ผมไม่กล้า” ฯลฯ ไม่ใช่แต่เฉพาะตัวเอง แต่รวมถึงการกล่าวร้ายหรือวิจารณ์ผู้อื่นในทางลบ ในด้านหนึ่งก็เพาะเมล็ดพันธุ์ในทางตกต่ำในตัวคุณด้วย ในขณะเดียวกันก็รู้จักชื่นชมความใฝ่ฝันในทางบวกของผู้อื่น สิ่งนั้นก็จะกลับมาหาตัวคุณเช่นกัน       บัณฑิต อึ้งรังษี

“ปฏิเสธที่จะหาข้ออ้างให้แก่ความล้มเหลว แต่จงมองหาบทเรียนที่มีค่า ซึ่งคุณจะสามารถเรียนรู้ได้จากการล้มเหลวแต่ละครั้ง ทุ่มเทกายและใจให้การทำงานเต็มที่ ยิ่งคุณมีความสุขกับการทำงานมากเท่าไหร่ คุณก็จะเก่งขึ้นเท่านั้น”   Brian Tracy


“จงทำในสิ่งที่คุณทำได้ ด้วยสิ่งที่มี จากจุดที่คุณยืนอยู่นี้” Theodore Roosevelt

“หมั่นจัดระบบใหม่เสมอ ด้วยการหาวิธีที่ดีกว่า รวดเร็วกว่า มีประสิทธิผลมากกว่า ที่จะบรรลุผลสำเร็จในเป้าหมายเดียวกัน" Brian Tracy

“ขอให้ทุกอย่างอย่าดูถูกตนเอง อย่าคิดว่าเราจะทำอะไรไม่ได้ ทุกอย่างต้องมีความเพียรและความตั้งใจ มันต้องสะสม อย่าละเลยในสิ่งเล็กสิ่งน้อย ทั้งในด้านเงินทอง การศึกษาหาความรู้ อย่าไปละเลย ว่าไม่เป็นไรให้เก็บเล็กผสมน้อยไว้ มันจะนำกำลังมหาศาลมาให้ทุกคนไปสู่ความสำเร็จได้”      อุเทน เตชะไพบูลย์

"ความสำเร็จ ไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์ ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนรอบข้าง ความสำเร็จสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ที่รู้วิธีการบริหารความสำเร็จนั้นอย่างไร"             ดำรงค์ วงษ์โชติปิ่นทอง

ความกล้าหาญคือการเลือกที่จะยืนหยัดในเวลาที่น่าจะล้ม ไม่ว่าจะเป็นระดับปัจเจก เช่น การใช้ชีวิต การศึกษา การทำงาน ความรัก ไปจนถึงระดับมหภาค เช่น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ไม่ว่าจะด้วยความไม่รู้ ความปล่อยปละละเลย หรือความเสียดาย ความประมาท หรือเหตุผลใดก็ตาม หากกลัด “กระดุมเม็ดแรกผิด” ทุกสิ่งที่ทำถูกต้องหลังจากนั้น จะกลายเป็นผิดไป!          2ปีกของความฝัน - วินทร์ เลียววาริณ

“เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าประชาธิปไตยคืออะไร แต่ไม่ยากที่จะบอกว่าเผด็จการคืออะไร”      ธีรยุทธ บุญมี




วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Hormones ซีรี่ย์ของวัยว้าวุ่น ที่คุณผู้ใหญ่ควรจะต้องชม




บทโทรทัศน์ : ธนพล เกรียงไกร ธนีดา วรรณแวว กวินเจตย์
กำกับ : ทรงยศ สุขมากอนันต์
ผลิต : ค่าย จีทีเอช นาดาวบางกอก
ออกอากาศ ทุกวันเสาร์ 4 ทุ่ม ทางช่อง ONE เริ่มตอนแรกเมื่อ 18 พฤษภาคม 2556


" Hormones วัยว้าวุ่น" ละครเรื่องใหม่ ของค่าย จีทีเอช เป็นละครเกี่ยวกับ วัยรุ่นวัยเรียน และได้นักแสดงที่เหมาะสมกับบทบาทที่มีประสบการณ์ อาทิ พีช พชร รับบท วิน และ แพตตี้ อังศุมาลิน รับบท ของขวัญ ซึ่งทั้งคู่ได้รับบทบาทเป็น หนุ่มฮอต สาวฮอต ประจำโรงเรียน และยังมีนักแสดงน้องใหม่อีกหลายคน ที่เล่นละครซีรี่ส์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก

หนุ่มสาววัยฮอร์โมนพลุ่งพล่านกลุ่มนี้ เดินมาถึงจุดหนึ่งของชิวิตที่เต็มไปด้วยความสนุก ความคะนอง ความผิดหวัง ความสมหวัง ความรัก ความเกลียด ความฝัน อารมณ์และเรื่องราวสับสนต่างๆ ซัดเข้ามาในชีวิตอย่างจัง ปัญหาของเด็กวัยรุ่นอย่างพวกเขาก็เกิดขึ้น
วิน เด็กหนุ่มที่ป็อปปูล่าร์ที่สุดในโรงเรียน ชอบท้าทายและเล่นสนุกกับความสัมพันธ์รอบตัว ขวัญ เธอผู้แสนเพอร์เฟ็กต์ แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับความไม่สมบูรณ์แบบ ต้า เด็กหนุ่มผู้มี กีต้าร์ เป็นความฝัน และใช้ความรักเป็นแรงผลักดัน หมอก เด็กที่ชอบหมกตัวอยู่ในโลกส่วนตัวมากกว่าใช้ชีวิตในโลกความเป็นจริง ภู เขาน่ารัก เขาเฟรนด์ลี่ อารมณ์ขัน แต่เขาเป็นเกย์ เต้ย เธอไม่เข้าใจนิสัยเพื่อนผู้หญิง เธอสบายใจเมื่ออยู่กับเพื่อนผู้ชาย แต่ทำก็ทำให้ใคร มองว่าเธอ แรด ดาว โลกของเธอสวย ใส จนเมื่อเจอเขา โลกของเธอก็เปลี่ยนไป ไผ่ เด็กหนุ่มเลือดร้อน ที่คิดว่าการใช้กำลัง คือการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด สไปรท์ สำหรับเธอความรักและเซ็กส์คือสิ่งสวยงาม โดยเรื่องราวจะถูกถ่ายทอดผ่านชีวิตวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ที่ล้วนความแตกต่างและสิ่งนี้เอง ทำให้พวกเค้าเจอเรื่องราวมากมาย ไม่ซ้ำกัน แต่ไม่ว่าชีวิตพวกเขาจะพบเจออะไร จะเลือกทางออกอย่างไร สุดท้ายพวกเขาจะได้เรียนรู้ผลของการกระทำก้าวผ่านและเติบโตขึ้นในที่สุด


นักแสดงในละครซีรี่ส์ Hormones วัยว้าวุ่น

พชร จิราธิวัฒน์ รับบทเป็น วิน ในละครซีรี่ส์ Hormones วัยว้าวุ่น
อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา รับบทเป็น ของขวัญ ในละครซีรี่ส์ Hormones วัยว้าวุ่น

สุทัตตา อุดมศิลป์ รับบทเป็น เต้ย ในละครซีรี่ส์ Hormones วัยว้าวุ่น
กันต์ ชุณหวัตร รับบทเป็น ต้า ในละครซีรี่ส์ Hormones วัยว้าวุ่น ศิรชัช เจียรถาวร รับบทเป็น หมอก ในละครซีรี่ส์ Hormones วัยว้าวุ่น จุฑาวุธ ภัทรกำพล รับบทเป็น ภู ในละครซีรี่ส์ Hormones วัยว้าวุ่น
ศนันทฉัตร ธนพัฒน์พิศาล
รับบทเป็น ดาว ในละครซีรี่ส์ Hormones วัยว้าวุ่น ณัฐนันท์ ลีรัตนขจร รับบทเป็น ไผ่ ในละครซีรี่ส์ Hormones วัยว้าวุ่น สุภัสสรา ธนชาต รับบทเป็น สไปร์ท ในละครซีรี่ส์ Hormones วัยว้าวุ่น


Episode 1 เทสโทสเตอโรน ( Testosterone ) ฮอร์โมนเพศชาย

"เทสโทสเตอโรน" เป็นฮอร์โมนที่จะส่งผลให้ผู้ชายมีนิสัยชอบเอาชนะและชอบการแข่งขัน ทั้งเรื่องของความรักและความสัมพันธ์ และยังเป็นฮอร์โมนสำคัญสำหรับผู้ชาย ที่กระตุ้นให้เกิดความสนใจในเพศตรงข้าม

ชีวิตมัธยมปลายของนักเรียนโรงเรียนนาดาวบางกอก เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ขวัญ นักเรียนชั้น ม.5 เธอเป็นนักเรียนดีเด่นที่ใครๆ ก็จับตามอง กระทั่งครูบาอาจารย์ก็ฝากฝังให้ช่วยดูแล ดาว รุ่นน้อง ม.4 เด็กสาวช่างฝันที่ชอบเก็บเรื่องรักในโรงเรียนไปจินตนาการ เขียนเป็นเรื่องราวในบล๊อคของเธอบนโลกออนไลน์ ส่วน ภู เป็นมือแซ็กโซโฟนของวงโยธวาทิต ซึ่งเป็นแฟนเก่าของ เต้ย เมื่อสมัย ม.ต้น ทุกคนไม่รู้เลยว่าภูกับธีร์เพื่อนชายในวงโยธวาทิตกําลังสนิทสนมกันอย่างน่าสงสัย

เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกของการเปิดภาคเรียน ด้วยฝีมือของ วิน หนุ่มเจ้าเสน่ห์ประจําโรงเรียน ผู้ที่มีสัมพันธ์ลับกับสาวๆ มากมายรวมถึง สไปรท์ เด็กสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวแรงในเรื่องผู้ชาย โดยมี ไผ่ หนุ่มเลือดร้อน แก๊งค์ต่อยตีประจําโรงเรียน แอบเป็นพยานรู้เห็นและเก็บความลับนี้ไว้ วินคิดท้าทายตั้งคําถามกับกฎระเบียบของโรงเรียนชนิดที่ไม่เคยมีใครกล้าทํามาก่อน เขาจึงถูกครูนิพนธ์ครู ฝ่ายปกครองหมายหัว แม้ ครูอ้อ ครูสาวหัวสมัยใหม่จะอยากช่วยยังไง ก็ยังห้ามความแค้นเคืองของครูนิพนธ์ไม่ได้ ซึ่งวินก็ไม่ได้เกรงกลัว เพราะเขาเชื่อมั่นว่าตัวเองกําลังตั้งคําถามอย่างมีเหตุผล โดยมี หมอก หนุ่มเงียบขรึมโลกส่วนตัวสูง และ ต้า หนุ่มนักดนตรีตัวซ่าส์ เพื่อนซี้ของเขาคอยสนับสนุน จนนํามาซึ่งความโกลาหลกันไปทั้งโรงเรียน

Episode 2 โดพามีน ( Dopamine ) ฮอร์โมนแห่งความรัก

"โดพามีน" เป็นสารที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์พึงพอใจ ความปิติยินดี ความรักใคร่ชอบพอ เมื่อโดพามีนถูกหลั่งออกมาแล้ว จะส่งผลต่ออารมณ์ให้มีความตื่นตัว กระฉับกระเฉง มีสมาธิมากขึ้น และไวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ รอบตัว

ต้า ทำคลิปวีดีโอคัฟเวอร์เพลงลง youtube โดยเอาหนุ่มป๊อปอย่างวินมาช่วยร้อง และเพื่อนรักอย่างหมอกมาช่วยถ่าย ทำให้พี่จอมหัวหน้าวง See Scape วงดนตรีที่ฮอตที่สุดในโรงเรียนสนใจมาชวนต้าไปออดิชั่นเพื่อเป็นมือกีตาร์คนใหม่ของวง ในช่วงที่ต้าตั้งใจซ้อมเพื่อออดิชั่นนี้เอง ทำให้ต้าค่อยๆ สนิทกับไผ่ในฐานะคอดนตรีเดียวกัน และเขาก็เริ่มรู้สึกกับเต้ยเกินกว่าคำว่าเพื่อน

ในงานเปิดโลกกิจกรรมโรงเรียน ขณะที่นักเรียนทุกคนคึกคักไปกับบรรยากาศของงาน สารพัดเหตุการณ์ได้เกิดขึ้น ซึ่งมันกลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เล็กๆ ของภูที่เกิดขึ้นในบูธของชมรมวงโยธวาทิต, บทสนทนาของขวัญและดาวที่บูธชมรมวารสาร, พฤติกรรมของสไปร์ทในห้องแล็บเคมี แม้กระทั่งการแสดงของวง See Scape ที่ทุกคนเฝ้ารอ


Episode 3 เอ็นโดรฟิน ( Endorphin ) ฮอร์โมนแห่งความสุข

"เอ็นโดรฟิน" คือ สารคล้ายมอร์ฟีนที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ ที่ถูกผลิตขึ้นจากต่อมใต้สมองและไฮโปทาลามัสในกระดูกสันหลัง ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนนี้ขึ้นเมื่อเราเกิดความสุขใจจากการทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการมีเซ็กส์

ชีวิต มัธยมปลายของนักเรียนโรงเรียนนาดาวบางกอก เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ขวัญ นักเรียนชั้น ม.5 เธอเป็นนักเรียนดีเด่นที่ใครๆ ก็จับตามอง กระทั่งครูบาอาจารย์ก็ฝากฝังให้ช่วยดูแล ดาว รุ่นน้อง ม.4 เด็กสาวช่างฝันที่ชอบเก็บเรื่องรักในโรงเรียนไปจินตนาการ เขียนเป็นเรื่องราวในบล๊อคของเธอบนโลกออนไลน์ ส่วน ภู เป็นมือแซ็กโซโฟนของวงโยธวาทิต ซึ่งเป็นแฟนเก่าของ เต้ย เมื่อสมัย ม.ต้น ทุกคนไม่รู้เลยว่าภูกับธีร์เพื่อนชายในวงโยธวาทิตกําลังสนิทสนมกันอย่างน่า สงสัย

เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกของการเปิดภาคเรียน ด้วยฝีมือของ วิน หนุ่มเจ้าเสน่ห์ประจําโรงเรียน ผู้ที่มีสัมพันธ์ลับกับสาวๆ มากมายรวมถึง สไปรท์ เด็กสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวแรงในเรื่องผู้ชาย โดยมี ไผ่ หนุ่มเลือดร้อน แก๊งค์ต่อยตีประจําโรงเรียน แอบเป็นพยานรู้เห็นและเก็บความลับนี้ไว้ วินคิดท้าทายตั้งคําถามกับกฎระเบียบของโรงเรียนชนิดที่ไม่เคยมีใครกล้าทํามา ก่อน เขาจึงถูกครูนิพนธ์ครู ฝ่ายปกครองหมายหัว แม้ ครูอ้อ ครูสาวหัวสมัยใหม่จะอยากช่วยยังไง ก็ยังห้ามความแค้นเคืองของครูนิพนธ์ไม่ได้ ซึ่งวินก็ไม่ได้เกรงกลัว เพราะเขาเชื่อมั่นว่าตัวเองกําลังตั้งคําถามอย่างมีเหตุผล โดยมี หมอก หนุ่มเงียบขรึมโลกส่วนตัวสูง และ ต้า หนุ่มนักดนตรีตัวซ่าส์ เพื่อนซี้ของเขาคอยสนับสนุน จนนํามาซึ่งความโกลาหลกันไปทั้งโรงเรียน

Episode 4 เซโรโทนิน ( Serotonin ) ฮอร์โมนแห่งความสงบ

"เซโรโทนิน" ทำหน้าที่เสมือนยาแก้อาการซึมเศร้า ช่วยให้ประสาทสงบ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

หมอกผู้มีมาดขรึมและโลกส่วนตัวสูง เขาชอบใส่หูฟังเพลงพลางเฝ้าสังเกตเรื่องราวรอบตัว โดยมีกล้องถ่ายรูปฟิล์มเก่าๆ เป็นอุปกรณ์ชั้นดีคู่กายที่ทำให้เขาสามารถเก็บภาพโมเม้นท์เล็กๆ ที่ประทับใจได้

หมอกมีแฟนชื่อมิ้น แต่เพื่อนสนิทอย่างวินและต้ากลับไม่เคยเจอ หมอกทะเลาะกับมิ้น ด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บ่อยครั้ง ยิ่งเวลาที่หมอกจมดิ่งอยู่กับอะไรบางอย่าง เขามักจะลืมเรื่องราวอื่นๆ ทำให้ไม่ได้รับสายมิ้นบ้าง หรือไปตามนัดไม่ทันบ้าง ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับมิ้น หมอกตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เขารักมิ้นและไม่อยากทำให้มิ้นเสียใจ แต่โลกส่วนตัวของเขาเองกลับไปมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ แล้วหมอกจะจัดการเรื่องราวนี้อย่างไร?

ขณะเดียวกันต้าเองก็ยังเฮิร์ทหนักเรื่องเต้ย โดยมีวินให้คำแนะนำอย่างผู้เชี่ยวชาญ เต้ยเองก็เจอเรื่องช็อคไม่แพ้กัน กับข่าวร่อนกระฉ่อนไปทั่วโรงเรียนว่า ภู ผู้เป็นแฟนเก่าสมัยม.ต้น ดันไปกุ๊กกิ๊กกับธีร์เพื่อนชายในวง โยธวาทิต ส่วนไผ่หลังจากก่อวีรกรรมแย่งสไปรท์มาจากพี่เป๊ก ก็โดนเพื่อนสนิทในแก๊งค์รุมแบน...ดูเหมือนว่าหลายๆ คนจะกำลังเผชิญปัญหาวัยฮอร์โมนกันทั้งนั้น

และในคืนเดียวนั้นเองธีร์ผู้แพ้เหล้า โดนมอมให้เมามายจากปาร์ตี้ของวงโยฯ จนภูต้องหามธีร์ กลับบ้าน ทําให้ทั้งสองค้นพบความจริงบางอย่างเกี่ยวกับตัวเอง


Episode 5 เอสโตรเจน ( Estrogen ) ฮอร์โมนเพศหญิง

"เอสโตรเจน" เป็นฮอร์โมนที่สำคัญสำหรับผู้หญิง ที่ทำให้เกิดความอ่อนหวาน ผิวพรรณมีน้ำมีนวล รูปร่างเริ่มเป็นที่ดึงดูดเพศตรงข้าม

เต้ย เจอเรื่องช็อค เมื่อจู่ๆ ก็มีคนเอาลิควิดเขียนว่า "แรด" โชว์หราอยู่บนโต๊ะเรียนของเธอ แม้ว่าจะรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์นี้อยู่บ้า­ง แต่เต้ยก็ยังเข้มแข็ง เธอเริ่มสังเกตและไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมเ­ธอถึงมีเพื่อนผู้หญิงน้อย รู้แค่ว่าคุยกับเพื่อนผู้หญิงไม่ค่อยรู้เรื่อง เต้ยได้แต่ปลอบตัวเองว่าตราบใดที่เราไม่ทำ­ให้ใครเดือดร้อนก็ไม่น่ามีปัญหา

ข้างฝ่าย วิน ก็เริ่มเบื่อ พี่บี รุ่นพี่ม.6 ที่เขามีสัมพันธ์ด้วยจึงตัดเยื่อใยอย่างไม่แคร์ เรื่องนี้กลายเป็นข่าวดังใน Fan page คนรักวิน พร้อมคอมเม้นท์แซ่บๆ ของแฟนคลับมากมาย ขณะเดียวกันนั้นเอง ต้า ก็คิดวางแผนว่าจะซื้อดอกกุหลาบมาขอโทษเ­ต้ย เพราะเต้ยชอบดอกกุหลาบ เขารวบรวมความกล้าทั้งหมดดักเจอเต้ยตอนพัก­กลางวัน แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตรไม่เป็นไปตามที่ต้­าคิด

คนเดียวที่ดูเหมือนจะเบิกบานในขณะนี้คือ ดา­ว เธอได้เจอกับหนุ่มชื่อ ดิน ในที่เรียนพิเศษ เขาเข้ามาคุยและชวนเธอไปที่ต่างๆ โลกของดาวที่เป็นสีชมพูอยู่แล้วก็ยิ่งหวานแหววหนักเข้าไปอีก
Episode 6. โดพามีน ( Dopamine ) ฮอร์โมนแห่งความรัก

"โดพามีน" เป็นสารที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์พึงพอใจ ความปิติยินดี ความรักใคร่ชอบพอ เมื่อโดพามีนถูกหลั่งออกมาแล้ว จะส่งผลต่ออารมณ์ให้มีความตื่นตัว กระฉับกระเฉง มีสมาธิมากขึ้น และไวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ รอบตัว

ภู อดีตรักวัยหวาน กลับเข้ามาในชีวิตเต้ยหลังเหตุการณ์หนักหนักหน่วงที่เต้ยเพิ่งเผชิญมา ความเป็นคนขี้เล่นของภูทำให้ทั้งสองคนกลับมาสนิทกันอย่างรวดเร็ว ภูยังเห็นสีหน้าอมทุกข์ของเต้ย จึงออกอาการเป็นห่วงและตัดสินใจเอ่ยปากชวนไปทำบุญ เพียงหวังให้จิตใจของเพื่อนเคยรักคนนี้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

ทั้งสองคนไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้น ความสนิทสนมที่เคยมีมานาน บวกกับความทรงจำเก่าๆ ที่เคยมีร่วมกันของทั้งคู่ เป็นเชื้อไฟชั้นดีที่ทำให้ภูเริ่มรู้สึกดีกับเต้ยมากขึ้นเรื่อยๆ จนลืมไปว่าเขายังมี ธีร์ เพื่อนคนพิเศษที่คบหากันอยู่ เมื่อความสนิทสนมของภูและเต้ยล้ำเส้นเกินกว่าคำว่าเพื่อน ถึงเวลาที่ภูจะต้องเลือกใครสักคน

ความสัมพันธ์อันร้าวฉานระหว่างต้ากับวิน ยังคงไม่คลี่คลาย อีกทั้งต้ายังคงมีใจให้กับเต้ย เขาจึงระบายความรู้สึกที่เก็บกลั้นข้างในออกมาผ่านบทเพลงที่เขาตั้งใจเล่นบนเวทีคอนเสิร์ตในงานโรงเรียน ซึ่งต่างจากเพื่อนสนิทอีกคนอย่าง หมอก ที่ก่อร่างสร้างความสนิทสนมกับของขวัญมากขึ้นเรื่อยๆ และรุ่นน้องอย่างดาวที่ความรักอันสวยงามของเธอกับดินก็กำลังเบ่งบานเช่นกัน

Episode 7 อะดรีนาลีน (Adrenaline) ฮอร์โมนเลือดเดือด

"อะดรีนาลีน" เป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นจากต่อมหมวกไต อะดรีนาลีนจะหลั่งออกมาขณะที่ โกรธ, ตกใจ, ตื่นเต้น อย่างรุนแรง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน และเพิ่มประสิทธิภาพทางร่างกายในระยะเวลาอันสั้น

ไผ่ โดนเพื่อนทั้งหมดในกลุ่มเลิกคบ ทำให้เขาเหลือเพียงความสัมพันธ์กับสไปร์ทเท่านั้น เขาพยายามทําให้ดีที่สุด แต่เมื่อได้เห็นภาพวินเข้าใกล้สไปร์ท ก็หวนให้ไผ่นึกได้ว่าทั้งคู่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน ไผ่จึงเริ่มไม่ไว้ใจวิน และไม่วางใจสไปร์ท ส่งผลให้ไผ่กับสไปร์ทระหองระแหงกันมากขึ้น

แท้ที่จริงแล้ว วินในตอนนี้ไม่ได้สนใจใครอื่นเลยนอกจากขวั¬ญ เขาเริ่มรุกเข้าใกล้ขวัญมากขึ้นแต่ขวัญเองก็ยังสงวนท่าทีอยู่เหมือนเคย และขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างดาวกับดินเริ่มคืบหน้าขึ้นเรื่อยๆ ในอีกด้านหนึ่ง ภูยังคงตกอยู่ในช่วงเวลาที่อึดอัดทุกครั้งที่ได้พบธีร์ รวมถึงเต้ยด้วย

สงครามระหว่างไผ่กับปั้นยังไม่จบสิ้น ต่างฝ่ายยังผลัดกันเอาคืนทวงแค้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนลุกลามไปจนถึงชีวิตครอบครัวของไผ่ เขาทะเลาะกับพ่อรุนแรงทุกครั้งที่เกิดเรื่-อง และแม่เองก็เป็นห่วงเขาอย่างหนัก จนตัดสินใจพาไผ่เข้าวัดไปพบท่านเจ้าอาวาส ผู้ซึ่งทํานายทายทักไว้ว่า ดวงชะตาของไผ่กําลังจะถึงฆาต

Episode 8 โปรเจสเตอโรน (Progesterone) ฮอร์โมนแห่งการเป็นแม่

เป็นฮอร์โมนสำคัญสำหรับผู้หญิง ในการเตรียมความพร้อมของร่างกายสำหรับการเป็นแม่

ดาว ถูกแม่จับได้และสั่งให้เลิกคุยกับดิน เนื่องจากไม่อยากให้เธอต้องเสียการเรียนเพราะมีความรัก ดาวรับปากแม่ว่าจะทำตาม จนวันหนึ่งแม่ดาวก็จับได้อีกครั้งว่าดาวยังคงคุยกับดินอยู่ จึงตัดสินใจทำความรู้จักกับดินเสียเลย ซึ่งทำให้แม่ดาวรู้ว่าดินไม่ใช่เด็กชายไม่เอาไหนอย่างที่คิดไว้ เธอจึงเบาใจและให้ดาวคบหาเป็นเพื่อนได้เพราะคิดว่าดีกว่าให้ลูกไปคบกับเด็กผู้ชายที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าคนอื่นๆ

ดาวดีใจมากที่แม่อนุญาตให้คุยกับดินได้ ทำให้เธอได้มีโลกแห่งความรักอันสดใสที่วาดฝันไว้และนำมาถ่ายทอด ในฟิคที่เธอเขียนได้อีกครั้ง โดยที่เธอเองไม่ทันได้คาดคิดเลยว่าบางทีตอนจบของโลกแห่งความฝัน อาจจะไม่แฮปปี้เอ็นดิ้ง อย่างที่คิดเสมอไป

หมอกที่ตกลงเป็นตากล้องถ่ายภาพโรงเรียนเพื่อทำหนังสือรุ่นตามที่ของขวัญร้องขอ ทำให้ทั้งสองคนได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น หมอกเริ่มเห็นอะไรบางอย่างในตัวของขวัญและดูเหมือนว่าเขาเองก็รู้สึกดี เวลาที่ได้อยู่กับผู้หญิงคนนี้ ในขณะที่วินได้บังเอิญไปรู้ความลับบางอย่างเกี่ยวกับครอบครัวของขวัญ เขาต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับความจริงที่เขารับรู้มา

Episode 9 คอร์ติซอล (Cortisol) ฮอร์โมนแห่งความเครียด

"คอร์ติซอล" หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า ฮอร์โมนเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้ออกมาในเวลาที่รางกายมีความเครียด เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ ออกกำลังกายหักโหมเกินไป หรือเครียดหงุดหงิดกับชีวิต

หลังเหตุการณ์ที่วินทำให้แก๊งพี่บีรุมตบเต้ย แม้ว่าวินจะแสดงความสนใจและพยายามเข้าหาขวัญมากแค่ไหน แต่ขวัญก็ไม่เคยมีท่าทีตอบรับหรือปฏิเสธอย่างชัดเจนเลยสักครั้ง

เมื่อถึงคราวที่ครูอ้อมอบหมายงานกลุ่มชิ้นสุดท้ายก่อนสอบปลายภาคให้นักเรียนห้องม. 5/1 วินจึงฉวยโอกาสนี้เข้าทำงานกลุ่มเดียวกับขวัญ และวางแผนสร้างสถานการณ์ให้ขวัญยอมเปิดใจให้วินเข้าไปมากขึ้น

ขวัญ เด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ไม่เคยหมุนตามวันเลย คือ คนที่ท้าทายให้วินอยากเอาชนะที่สุดแล้ว วินจึงคิดหาทางให้ตัวเองเป็นพระเอก โดยวางแผนลับให้ขวัญได้พบกับความจริงที่เธอไม่เคยรู้และจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของขวัญไปตลอดกาล วินพาเพื่อนๆ ในกลุ่มไปทำรายงานที่คลับสโมสรกีฬาที่ครอบครัวตนเป็นสมาชิก ที่นั่นวินได้พบกับพอร์ชและพ่อของพอร์ช ซึ่งขวัญเองก็พบว่าคนที่ยืนข้างพอร์ช คือพ่อของตนเช่นกัน ขวัญขอให้วินพาไปที่บ้านพอร์ช ขวัญได้พบความจริงว่าพ่อตนเองมีบ้านใหญ่อยู่แล้ว พร้อมๆ กับครอบครัวของคุณพ่อมีลูกๆ อีก 3 คน ขวัญออกจากบ้านพอร์ชไปโดยไม่บอกกับวิน ขวัญกลับไปบ้านเพื่อคาดคั้นเอาความจริงจากแม่ ขวัญสับสนกับความจริงที่เกิดขึ้น วินคอยปลอบ ซึ่งมีผลต่อการสอบวิชาเคมีของขวัญ ขวัญไม่มีสมาธิที่จะอ่านหนังสือสอบและเผลอหลับไป เช้าวันรุ่งขึ้นที่ขวัญต้องไปสอบ เพื่อนๆ ต่างรุมเข้ามาให้ขวัญติวลัดก่อนสอบ แต่ขวัญพบว่าตนเองแทบไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลย ขวัญวิ่งเข้าห้องน้ำไปพร้อมๆ กับความเครียด และจิตตก และทางเลือกสุดท้ายที่ขวัญต้องทำก็คือ ลอกสูตรเคมีเข้าห้องสอบ ขวัญแอบทำทุจริตในการสอบ เมื่อครูผู้คุมสอบเดินมาเห็นเข้า ขวัญจะทำอย่างไร

Episode 10  เทสโทสเทอโรน VS เอสโตรเจน

"เทสโทสเตอโรน ( Testosterone ) ฮอร์โมนเพศชาย" เป็นฮอร์โมนที่จะส่งผลให้ผู้ชายมีนิสัยชอบ-เอาชนะและชอบการแข่งขัน ทั้งเรื่องของความรักและความสัมพันธ์ และยังเป็นฮอร์โมนสำคัญสำหรับผู้ชาย ที่กระตุ้นให้เกิดความสนใจในเพศตรงข้าม

"เอสโตรเจน ( Estrogen ) ฮอร์โมนเพศหญิง" เป็นฮอร์โมนที่สำคัญสำหรับผู้หญิง ที่ทำให้เกิดความอ่อนหวาน ผิวพรรณมีน้ำมีนวล รูปร่างเริ่มเป็นที่ดึงดูดเพศตรงข้าม

และแล้วการสอบปลายภาคเรียนที่ 1 ก็มาถึง นักเรียนทุกคนเตรียมตัวสอบกันอย่างเต็มที่ด้วยวิธีของตัวเองจนทุกคนพร้อมที่สุดเท่าที่จะทําได้ กลับมีเพียงขวัญ นักเรียนตัวอย่าง ของโรงเรียนเท่านั้นที่ยังไม่สามารถตั้งสมาธิกับการสอบครั้งนี้ได้ มรสุมในชีวิตขวัญ ทำให้เธอไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการสอบครั้งนี้เลย

ขวัญตัดสินใจทำสิ่งที่เธอไม่คิดว่าชีวิตนี้เธอจะทำมาก่อน และมันทำให้เธอกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของนักเรียนทั้งโรงเรียนกันอย่างเมามัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง นั่นก็คือการทำทุจริตในห้องสอบ จนคุณครูผู้ปกครองจับได้ ในที่ประชุมของคณาจารย์และผู้อำนวยการโรงเรียนมีการถกเถียงกันทั้งฝ่ายคุณครูอ้อที่คอยปกป้องของขวัญ และคุณครูฝ่ายปกครองที่ต้องการให้ลงโทษเฉียบขาดไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง และแล้วจากความดีและประวัติการเรียนที่ดี ตลอดจนเป็นเด็กกิจกรรมทำประโยชน์ให้โรงเรียนสม่ำเสมอ ทำให้ที่ประชุมคณาจารย์มีมติลงโทษของขวัญเพียงแค่ปรับตกวิชาเคมีในเทอมนั้นและให้ทำทัณฑ์บนเอาไว้

ในเวลานี้ที่ขวัญรู้สึกเสียศูนย์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เธอรู้สึกว่ามีเพียงวินเท่านั้นที่เข้าใจและพยายามปกป้องเธอ ทำให้ขวัญรู้สึกดีกับวินมากขึ้น แต่เมื่อของขวัญทราบความจริงว่า ที่แท้แล้ววินนั้นทราบเรื่องที่พ่อของตนมีบ้านเล็กมาตั้งแต่ต้น โดยการจับผิดของหมอก ซึ่งหมอกจับสังเกตได้จากวันที่วินเห็นพ่อของขวัญมารับ วันที่เลิกเรียนดึก แล้ววินแสร้งถามหมอกว่า แน่ใจหรือว่านั่นใช่พ่อของขวัญจริง จากนั้นต่อมา วินก็เสนอตัวให้เพื่อนไปจับกลุ่มทำรายงานที่สโมสรกีฬาที่ตนเองเป็นสมาชิกอยู่ จนทำให้ขวัญได้เจอกับพ่อและพอร์ช จนเป็นที่มาที่ทำให้ขวัญต้องการให้วินพาไปบ้านพอร์ช จนได้รับทราบความจริง ขวัญแอบได้ยินวินกับหมอกพูดถึงความจริงเรื่องนี้ ทำให้ขวัญโกรธและไม่ยอมรับสายโทรศัพท์จากวินเลย

Episode 11  ออกซิโทซิน (Oxytocin)  ฮอร์โมนแห่งความผูกพัน

"ออกซิโทซิน" เป็นฮอร์โมนที่เชื่อมสายใยแห่งความผูกพัน ความคุ้นเคย ทำให้รู้สึกสบายใจ คลายความกังวลจากเรื่องต่างๆ ทำให้รู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจคนที่ผูกพันกัน และเพิ่มพลังความเชื่อมั่นในตัวเองให้กลับคืนมา

ปิดเทอมเป็นช่วงเวลาพักผ่อนจากเรื่องปวดหัวที่โรงเรียน ต้าตั้งใจเขียนเพลงกลั่นออกมาจากความรู้สึกของเขาที่มีต่อเต้ย ส่วนภูหลังจากผ่านช่วงเวลาของการเสียเพื่อนเคยรักไปทั้งสองคน เขาใช้เวลาในช่วงปิดเทอม คลี่คลายและทำความเข้าใจตัวเอง เช่นเดียวกับเต้ยที่กลับมานั่งทบทวนหัวใจตัวเองอีกครั้ง และไผ่ได้พบกับอริเก่าโดยบังเอิญ...

ของขวัญกลับมาเป็นลูกที่ดีอีกครั้งพร้อมกับเข้าใจทุกอย่างมากขึ้น ส่วนวินกำลังว้าวุ่นใจเพราะหลังเกิดเรื่องของขวัญก็ไม่คุยกับวินอีกเลย ด้วยความโมโหและรู้สึกเสียศูนย์ วินจึงทำตัวสำมะเลเทเมา ใช้ชีวิตอย่างไม่แคร์ใครแต่ในใจก็ยังคงคิดถึงแต่ขวัญ

ในขณะที่สไปร์ท ต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงโดยไม่ทันตั้งตัว ที่อยู่ๆ แม่ของเธอก็คลอดน้องก่อนกำหนด

Episode 12 โกรทฮอร์โมน (Growth Hormones)  ฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโต

"โกรทฮอร์โมน" เป็นฮอร์โมนหลักที่มีบทบาทสำคัญในการหมุนเข็มนาฬิกาชีวิตให้เข้าสู่ความเป็นหนุ่มเป็นสาว และเมื่อชีวิตก้าวเข้าสู่วัยรุ่นเป็นช่วงเวลาที่ระดับของโกรทฮอร์โมนสูงสุด เพื่อเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมที่จะเติบโตต่อไป

เทอมสองเริ่มต้นขึ้น ในที่สุดต้าและวง see scape ก็ผ่านการคัดเลือกจนได้ขึ้นเล่นบนเวที คอนเสิร์ต Big Mountain Festival ทุกคนต่างดีใจ รวมถึงเต้ยเองที่ได้รู้ข่าวก็ยินดีด้วยกับต้า ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันและกลับมาเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเคยอีกครั้ง เช่นเดียวกับขวัญและสไปร์ทที่กลับมาสนิทกัน อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ค้างคากันมานาน ภูตัดสินใจที่จะเปิดใจเคลียร์กับธีร์ให้ชัดเจนเสียที, หมอกพูดคุยกับขวัญมากขึ้นจากการที่ไปช่วยทำหนังสือรุ่น แต่ขวัญก็ยังคงไม่คุยกับวินอีกเช่นเคย

จนกระทั่งครูอ้อจัดปาร์ตี้ติวภาษาอังกฤษกับเพื่อนต่างชาติของครูแบบกันเองที่บ้านครูอ้อ สถานการณ์ที่พาให้วินกับขวัญ ต้องอยู่ในที่เดียวกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ยิ่งบีบให้ความอึดอัดนั้นปะทุหนักขึ้นจนเจียนระเบิด และสุดท้ายแล้ว ด้วยความเมามายในงานปาร์ตี้ ก็ทําให้วินพลาดพลั้งทําอะไรบางอย่างที่ไม่น่าให้อภัยลงไปจนได้ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของวิน และชะตากรรมของครูอ้อ ที่ทุกคนคาดไม่ถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังผลไปถึงความรู้สึกของทุกคนในโรงเรียนด้วย

(อ้างอิงข้อมูลที่มา : ขอขอบคุณเว็บไซต์ยูทูปดอทคอม)




ปีนี้เป็นปีที่ผู้เขียนดูละครไทยน้อยมาก ส่วนใหญ่จะดูหนังหรือซีรี่ย์ต่างประเทศเป็นหลัก เพราะเนื้อหา และรูปแบบการถ่ายทำไปไกลจากบ้านเรานานมากแล้ว ส่วนละครไทยใช่ว่าจะไม่พัฒนา เพียงแต่ว่าเนื้อหายังย่ำอยู่กับทีเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะละครหลังข่าวเรื่องดังๆ ทั้งหลาย แทบจะไม่ได้ดูเลย ขนาดดังๆ อย่างสุภาพบุรุษจุฑาเทพ ผู้เขียนก็ไม่ได้ติดตาม เห็นว่าเรตติ้งถล่มทลาย มีทีได้ดูเป็นจริงเป็นจังบ้างก็ละครหลังข่าวช่อง 5 เรืองเรือนเสน่หา และก็ซี่รี่ย์ฮอร์โมน วัยว้าว่น นี่แหละ ที่กำลังจะวิพากษ์วิจารณ์ในลำดับถัดไป

ปีนี้ต้องถือเป็นปีทองของค่ายหนังอารมณ์ดี Gth เลยก็ว่าได้ เพราะภายหลังจากความสำเร็จของหนังพันล้านอย่างเรื่องพี่มากพระโขนง แล้วพอมาทำซีรี่ย์เรื่องแรกฉายทางช่องเคเบิลเล็กๆ ก็ยังประสบความสำเร็จอีก มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลเน็ตเวิร์กอยู่พอสมควร ตัววัดที่เห็นได้ชัดก็คือยอดวิวในยูทูปในแต่ละตอนนั้นสูงมาก  ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายโดยตรงของซีรี่ย์เรื่องนี้ ซึ่งนอกเหนือจากกลุ่มคนดูที่ดูผ่านทางเครือข่ายเคเบิลทีวีทั่วประเทศ และที่รับชมผ่านทางกล่อง Gmmz ซึ่งมีบางส่วนอาจทับซ้อนกันอยู่ และมีบางส่วนที่นิยมดูผ่านทางยูทูปหรืออินเตอร์เน็ตเป็นหลัก โดยกลุ่มที่ดูผ่านทางเคเบิลทีวีทั่วประเทศรวมถึงกล่อง Gmmz น่าจะมากพอๆ กันกับที่ดูผ่านทางยูทูป เพราะช่องทางเคเบิลทีวีและคนที่ติดกล่อง Gmmz ไม่ใช่ทั้งหมดที่จะดูซีรี่ย์เรื่องนี้ ตีเสียว่าคนที่มีเคเบิลและกล่อง Gmmz รวมทั้งประเทศกว่า 10 ล้านคน แต่อาจมีคนดูซีรี่ย์เรื่องนี้เพียง 1-2 ล้านคน ไปบวกกับที่ดูผ่านทางอินเตอร์เน็ตกว่า 4-5 ล้านคนต่อตอน ต้องถือว่าซีรี่ย์เรื่องนี้มีคนชมโดยเฉลี่ยประมาณ 6-7 ล้านคนต่อตอน ซึ่งก็เท่ากับประมาณ 10%ของประชากรของทั้งประเทศ ก็ต้องถือว่าไม่น้อยทีเดียว และเมื่อเทียบกับละครหลังข่าวทางช่องฟรีทีวีซึ่งเป็นความสนใจหลักของคนทั้งประเทศ ดีไม่ดี ละครซีรี่ย์เรื่องนี้อาจทำเรตติ้งดีกว่าละครบางเรื่องของช่องฟรีทีวีก็เป็นได้ หากวัดจากยอดวิวในยูทูป และกระแสทอล์คออฟเดอะทาวน์ และการบอกต่อ วิพากษ์วิจารณ์กันในเว็บบอร์ด และโซเชียลเน็ตเวิร์กอยู่ในเวลานี้

ประเด็นเรื่องคนดูมากหรือน้อย จึงไม่ใช่ประเด็นแล้ว เพราะสามารถหาดูย้อนหลังในยูทูปได้ หากว่าสนใจอยากดูมันจริงๆ การนำเกร็ดชีวิตวัยรุ่นมาทำเป็นซีรี่ย์ หรือพล็อตเกี่ยวกับชีวิตวัยรุ่นนั้นไม่ใช่ของใหม่เลย สำหรับวงการละครไทยหรือแม้กระทั่งในต่างประเทศ ซีรีย์ของอเมริกา,ญี่ปุ่น,เกาหลี ก็มีออกมามากมาย เพียงแต่แง่มุม ประเด็น วิธีการนำเสนอ และการเล่าเรื่องแบบใดต่างหากที่จะน่าสนใจใน พ.ศ.นี้ นะ  ในอดีตละครไทยหรือซีรี่ย์ไทยก็มีละครแนวแบบนี้ออกมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ ของค่ายบรอดแคสท์ ทางช่อง 3, กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ ของค่ายโพลีพลัส ทางช่อง 7 หรืออย่างที่เพิ่งจบไปทางช่อง 9 เรื่อง My Melody 360 องศา  ของค่าย  Guts Entertainment หรือ KPN แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น มีจุดร่วมเดียวกันนั่นก็คือ การนำเสนอประเด็นหลักประเด็นเดียวในแต่ละตอน และเล่าเรื่องหรือโฟกัสตัวละครไปเพียงตัวละครหลักเพียงตัวเดียวหรือ 2 ตัวในแต่ละตอน แบบแยกส่วน ในขณะที่ซีรี่ย์ฮอร์โมน ใช้วิธีการเล่าเรื่องตัวละครหลายๆ ตัวไปพร้อมกัน มีการผูกโยงตัวละคร เชื่อมโยงกัน มีที่มา แบ็กกราวด์ของตัวละครหลักถึง 9-12 ตัวละครหลัก และค่อยๆ เล่าไปทีละตัว ในขณะที่ตัวเรื่องยังดำเนินไป ไม่แยกส่วน อีกทั้งในแต่ละตอนจะมีการโฟกัสที่ตัวละครหลัก 1-2 ตัว และใช้ประเด็นในแต่ละตอนเป็นแก่นแกนของเรื่อง อธิบายให้ฟังเข้าใจง่ายก็คือ ในซีรี่ย์ฮอร์โมน มีตัวละครหลักถึง 9-12 ตัว และมีความเชื่อมโยงกัน ไม่ได้ถึงกับสลับซับซ้อนอะไร แต่ทยอยเล่าเรื่องของแต่ละบุคคลไปพร้อมๆ กับเรื่องที่ดำเนินไปข้างหน้า ไม่หยุดอยู่กับที่เหมือนละครแนวๆ นี้ในอดีต และในแต่ละตอนมีการตั้งประเด็นเป็นทั้งตัวเล่าเรื่องและเทิร์นนิ่งพ้อยท์ หรือจุดเปลี่ยนของตัวละคร แล้วจึงดึงเอาตัวละครที่เกี่ยวข้องตัวนั้นมาโฟกัส เล่าโดยเน้นตัวละครหลักตัวนั้นในแต่ละตอน แต่โดยภาพรวมเรื่องยังคงดำเนินไป แบบไม่หยุดอยู่กับที่ ทำให้ผู้ชมหรือคนดู อยากติดตามความเป็นไปของตัวละครในตอนถัดไป เพราะในฉากจบของแต่ละตอน ผู้เขียนบทใช้วิธีทิ้งปมปัญหาเอาไว้ให้คนดูคิดต่อ หรือเดาทาง หรืออยากจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา ทำให้อยากดูต่อ ซึ่งก็เป็นกลวิธีแบบเดียวกับซีรี่ย์ของต่างประเทศทำกันนั่นเอง

นอกจากจุดเด่นเรื่องการเล่าเรื่อง บทภาพยนตร์ที่นำเอาประเด็นปัญหาสำคัญๆ ที่พบในวัยรุ่นสมัยนี้มาตีแผ่ ยังมีเรื่องไดอะล็อคหรือบทพูดที่มันเรียลอย่างมาก ไม่ค่อยพบในละครช่องฟรีทีวี หรืออาจจะพูดได้ว่าไม่เคยมีในละครไทยเลยก็ว่าได้  เช่น ในฉากที่ตัวละครหลักของเรื่องคือสไปร์ท คือสาวแรงของเรื่อง แอบไปมีสัมพันธ์รักกับเพื่อนชายในห้องเรียน ใต้โต๊ะเรียน เสร็จแล้วตัวละครสไปร์ท ถามกับตัวละครเพื่อนชายที่กำลังจะมีเพศสัมพันธ์กันในเรื่องว่า “เฮ้ย อารมณ์ฉันก็มี แต่ถ้าไม่มีถุงยาง ก็อดเว้ย”  ซึ่งประโยคประมาณอย่างนี้จะไม่สามารถนำเสนอได้ในละครช่องฟรีทีวี

ระบบการถ่ายทำที่เป็นแบบภาพยนตร์ ที่ผู้กำกับเลือกที่จะใช้ ทำให้ได้ภาพ มุมกล้องทีสวยงามกว่าในละครทีวีทั่วไป การเดินเรื่องที่กระชับ ฉับไว (เห็นว่ามีเพียง 13 ตอนเท่านั้น)  นักแสดงเกือบทุกตัวแสดงได้สมบทบาท ตีโจทย์ทำการบ้านมาได้ตรงกับคาแร็กเตอร์ ซึ่งคงไม่ใช่ฝีมือของนักแสดงเท่านั้น ตัวผู้กำกับคงต้องมีส่วนในการแคสนักแสดงมาได้ตรงกับคาแร็กเตอร์ตัวละครด้วย ถ้าจะมีข้อเสียอยู่บ้างก็คงเป็นเรื่องของแง่มุม และคาแร็กเตอร์ที่เอามานำเสนอในเรื่องนั้น ส่วนใหญ่เป็นคาแร็กเตอร์ที่เห็นมีอยู่ทั่วไปแล้วในชีวิตจริง แต่ที่มีอยู่จริง แปลก และน่าสนใจ และอาจไม่เคยมีใครได้พบเห็น บางประเภท ก็น่าจะเอามานำเสนอ เช่น พวกอีโก้สูง เห็นแก่ตัวสุดๆ พร้อมที่จะเอาชนะคะคานเพื่อเป็น 1,พวกที่ยอมเป็นเบี้ยล่าง พร้อมจะให้คนอื่นเอาเปรียบ เพียงขอให้ได้เข้ากลุ่ม,พวกปิดทองหลังพระ ให้การบ้านเพื่อนลอกเป็นประจำ เป็นต้น   (ระหว่างที่กำลังเขียนบทวิจารณ์อยู่นี้ ซีรี่ย์ออกอากาศไปจบถึงตอนที่ 7 แล้วซึ่งเป็นครึ่งทางของเรื่องแล้ว)

โดยรวมต้องถือว่าซีรี่ย์เรื่องนี้นำเสนอประเด็นเนื้อหาออกมาได้ดีมีกลวิธีนำเสนอที่แตกต่างจากละครวัยรุ่นอื่นที่เคยดูมา ดูสนุก น่าติดตาม ชืนชมตัวผู้กำกับคุณย้ง ทีมเขียนบท และยังอยากให้ซีรี่ย์เรื่องนี้มีซีซั่นต่อไปเรื่อยๆ จะคอยติดตามครับ และขอให้คงคุณภาพในเรื่องบทและนักแสดงต่อไป แนะนำซีรี่ย์เรื่องนี้ให้แก่คุณผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ปกครองของเด็กวัยรุ่นทุกคนครับว่าควรจะชมซีรี่ย์เรื่องนี้ แม้ว่จะตีแผ่ปัญหาชีวิตวัยรุ่น แต่ก็ให้แง่คิดที่สะท้อนไปถึงผู้ใหญด้วย เพราะพฤติกรรมของวัยรุ่นส่วนใหญ่ก็มาจากการต้องการจะฉีกกรอบ ออกนอกกรอบที่ผู้ใหญ่ต้องการจะให้เป็น ดังนั้นทั้ง 2ฝ่ายจึงมีส่วนต้องแก้ปัญหานั้นร่วมกัน ไม่ใช่โยนปัญหาไปลงที่เด็กแต่เพียงฝ่ายเดียว



ชอบชื่อตอนในแต่ละตอนที่นำเอาชื่อสารฮอร์โมนแต่ละประเภทมาตั้งเป็นชื่อตอน เช่น เทสโตสเตอโรน หมายถึงฮอร์โมนเพศชาย (บ่งบอกลักษณะ ความเป็นชาย เช่น ห่าม ดิบ ต้องการความท้าทาย) เป็นตอนแรกก็คือเปิดตัวละครเอกที่ชื่อวิน (แสดงโดย พีชร พชร) ที่มีนิสัยชอบทำอะไรแหกคอก ต้องการเอาชนะ โดพามีน เป็นชื่อตอน 2 และ 6 สารฮอร์โมนที่หลั่งมาเมื่อมีความสุข ความพอใจ ซึ่งเป็นตอนที่นำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ภู กับธีร์ และมีเต้ย กับต้า เป็นตัวแทรกซ้อน คั่นความสัมพันธ์อีกชั้นนึง   เอ็นโดรฟิน เป็นชื่อตอนที่ 3 เป็นสารความสุขที่มีลักษณะเสพติด เพราะมีส่วนผสมของมอร์ฟีนด้วย ซึ่งนำเสนอตัวละครที่ชื่อดาว ที่เป็นสาวจิ้นประจำโรงเรียน คือนอกจากจะเป็นคนมองโลกสวย แล้วยังชอบจินตนาการไปเรื่อย ชอบจับคู่จิ้นให้กับเพื่อนในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นคู่ช ช แล้วยังมี คู่ ญ ญ หรือ ช ญ เป็นต้น นี่คือตัวอย่างของชื่อตอนถัดๆ ไป (เซโรโทนิน,เอสโตรเจน,โปรเจสเตอโรน,อะดรีนาลิน) ซึ่งมีลักษณะอย่างนี้ไปจนถึงตอนที่ 13 ซึ่งเป็นตอนจบ