วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ไม่สนว่าเก่งมาจากไหน

ไม่สนว่าเก่งมาจากไหน comment แนะนำ

หนังสือ pocket book แนวสารคดีการเดินทาง ในหมวด บทความ
สำนักพิมพ์ springbooks

“เก่งไม่เก่ง ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อยู่ที่ขนาดของหัวใจ มากกว่า” ทิม พิธา

“ติดตามงานเขียนของคุณทิม ผ่านทางนิตยสาร สุดสัปดาห์ มาโดยตลอด เพราะชื่นชอบในมุมมอง วิธีคิดของหนุ่มไทยรุ่นใหม่ไฟแรงคนนี้ และยังได้เพลิดเพลินกับประสบการณ์ใหม่ ๆ การได้พบเจอกับบุคคลระดับโลกมากมาย แต่สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุด คงเป็นเรื่องของความมุ่งมั่นตั้งใจของคุณทิมที่จะนำความรู้ ต่างๆ มาทำประโยชน์”

ระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กก.ผจก.อมรินทร์พริ้นติ้งพับลิชชิ่ง

“แต่เหนืออื่นใด เหตุผลที่ทำให้สุดสัปดาห์ประทับใจว่า ทิม พิธา เป็นคนมีค่า คือ ความรักชาติ ค่ะ คำนี้ใครๆ ก็พูดได้ แต่ทิมแสดงออกผ่านวิธีคิด มุมมอง และการกระทำหลายอย่าง เท่าที่ประชาชนคนไทยธรรมดาๆ คนนึง จะพึงทำได้”

มนทิรา ภูปากน้ำ บรรณาธิการบริหารนิตยสาร สุดสัปดาห์

“เสน่ห์ของทิม คือการเป็นคนฉลาด แต่นอบน้อม เป็นคุณสมบัติที่เหมือนจะหาได้ทั่วไป แต่หายากนะ หนังสือเล่มนี้รวบรวมมาจากคอลัมน์ จดหมายจากฮาร์วาร์ด ของเขาในนิตยสารสุดสัปดาห์”

สหัสวรรษ ใฝ่เจริญ บรรณาธิการต้นฉบับ

ผู้เขียนรู้จักน้องทิม ครั้งแรกในรายการ สุริวิภา เป็นการให้สัมภาษณ์ในรายการ ซึ่งตอนนั้นนั่งฟังดูก็รู้สึกว่า เด็กคนนี้เป็นคนรุ่นใหม่ที่เพอร์เฟ็คท์ คือ เรียนเก่ง บุคลิกหน้าตาดี พื้นฐานทางครอบครัวดี มีทัศนคติมองโลกในแง่บวก เป็นคนที่มีมุมมองทางความคิดเกินอายุ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดตามข่าวคราว จนมาได้ยินเมื่อไม่นานมานี้ว่าแต่งงานแล้วกับอดีตดาราวัยรุ่นชื่อต่าย และก็ออกพ็อคเก็ตบุ้ครวมเล่มบทความที่ได้เคยเขียนลงในแพรว สุดสัปดาห์ พอวางแผง ผู้เขียนก็ไม่พลาดที่จะซื้อทันที พอเอามาอ่านก็ชอบ จึงได้นำมาแนะนำในบล็อกแห่งนี้ เพื่อให้ผู้อ่านโดยทั่วไปได้ลองอ่านกันดูครับ

ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (เจ้าของผลงาน) จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านการเมืองการปกครอง ที่ John F.Kennedy School of Government มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และด้านบริหารธุรกิจ ที่ MIT Sloan School of Management เป็นนักศึกษาไทยคนแรกที่ได้รับทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดปัจจุบันเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทซีอีโอ อกริฟู้ด จำกัด ผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันรำข้าวรายใหญ่ของโลก

ชื่อ นามสกุล: พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

ชื่อเล่น: ทิม
อายุ: 28 ปี
ส่วนสูง: 175 เซนติเมตร
น้ำหนัก: 67 กิโลกรัม
การศึกษา: ปริญญาตรี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ การเงิน การธนาคาร ภาคภาษาอังกฤษ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง


ครอบครัว: มีพี่น้อง 2 คน เขาเป็นคนโต เป็นบุตรชายของคุณพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับคุณลิลฎา ลิ้มเจริญรัตน์
ประวัติการทำงาน: กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีอีโอ อกริฟู้ด และเกรท โอเชียน ฟู้ด


“การเรียนที่ฮาร์วาร์ด เป็นมากกว่าการเรียนหนังสือ หนังสือเรียนแทบไม่ต้องใช้ แต่อาศัยเรียนจากคนจริงๆ”

“เด็กรุ่นใหม่ ที่นี่เน้น เนื้อหา มากกว่า รูปแบบ เน้น สาร มากกว่า หีบห่อ ที่ดึงดูดความสามารถทั่วโลกมารวมกันในเมืองเหงาๆ แห่งนี้”

“วิชานี้ไม่มีหนังสือเรียน ถ้าเรียนจากหนังสือ หมายถึงคุณจะกลับไปหาอดีต แต่ถ้าเรียนจากเพื่อนรอบข้าง คือคุณเรียนจากอนาคต”

“เอาเวลาท่องจำไปเรียนนอกห้องดีกว่า ไม่ต้องเรียนทฤษฏีมากมาย สำหรับโลกในบริบทใหม่ ทฤษฏีมีไว้ทำลาย”

“การเดินทางเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันชีวิตไปข้างหน้า การท่องเที่ยวทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น โลกที่กว้างใหญ่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ”

"... ตลอดเวลาเรียนปริญญาโทในสองมหาิวิทยาลัยระดับโลก ผมไม่เคยรู้สึกว่ายากเลย (ตอนเรียนปริญญาตรีที่มหาิวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยากกว่าด้วยซ้ำ) สิ่งที่เขาเน้นคือ "อ่าน อ่าน และอ่าน" อ่านแล้วแลกเปลี่ยน อ่านแล้วเขียน ไม่ใช่การอ่านจากหนังสือเรียนที่เขียนมาแล้วเป็นสิบ ๆ ปี แต่เป็นการอ่านจากแมกกาซีน จากอินเทอร์เน็ต จากบล็อก แล้วมาถกกันให้ตกผลึก การเรียนการสอนแบบนี้ต่างหากที่ทำให้สองมหาวิทยาลัยนี้เป็นอันดับหนึ่งของโลกในสาขาที่ตัวเองถนัด ..."

เนื้อหาของหนังสือ เรียงตามสารบัญเนื้อหา ดังนี้

คาบเรียนที่ 1 วิชาฮาร์วาร์ด

คาบเรียนที่ 2 คนบันดาลใจ

คาบเรียนที่ 3 สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต

คาบเรียนที่ 4 มองประเทศไทยจากเมืองไกล

คาบเรียนที่ 5 Living etc.

ขอเล่าย่อๆ เพียงบางส่วนของเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ ที่ผู้เขียนอ่านแล้วชอบ คือตอน “ Nerd Pride ความภูมิใจของของเนิร์ดอันดับ 1 ของโลก” , และตอน “โลกร้อนและการเข้าใจสมการแห่งวิกฤติและโอกาส”

“เด็กเนิร์ดที่ MIT เป็นเนิร์ดแบบมีศักดิ์ศรีและมีสังคมนะ เขามีการแข่งขันที่เป็นตำนาน เรียกว่า MIT Hacks ครั้งสุดท้ายที่เห็นมีเนิร์ดกลุ่มหนึ่งนำรถตำรวจไปวางไว้บนยอดโดมหอประชุมของ มหา’ลัย ไม่รู้มันเอาขึ้นไปวางได้ไง ผมเองไม่ค่อยสนใจกับอารมณ์และความตื่นเต้นของการแข่งขันที่รุ่นพี่คนนนั้นพูดสักเท่าไหร่ กระทั่งเช้าวันหนึ่งได้เห็นมันกับตา สิ่งที่ MIT Hacks ให้กับผมก็คือ 1.จงตระหนักถึงพลังของคนรุ่นใหม่ที่แม้จะมีประสบการณ์น้อย แต่พลังกับความกล้า ก็สามารถทำให้คนทึ่งได้2.บรรยากาศการเรียนที่สนุกสนาน ท้าทายให้กล้าคิดและกล้าลอง จะเห็นว่าสินค้า สิ่งประดิษฐ์แปลกๆ และใช้งานง่ายในเว็บไซต์ออนไลน์ชื่อดัง เป็นผลผลิตจากมันสมองของศิษย์เก่า MIT แทบทั้งสิ้น”

“หิมะตกเดือนตุลา เป็นสัญญาณภาวะโลกร้อนที่ทำให้ชาวอเมริกันตระหนักในประเด็นนี้ เป็นช่วงเวลาที่ ปธน.บารัก โอบาม่า เดินทางมาพูดบรรยายเรื่องโลกร้อนและพลังงานทดแทนที่เอ็มไอทีพอดี คณาจารย์และนักเรียนเอ็มไอทีจากแขนงวิชา วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม บริหารธุรกิจ โลจิสติกส์ ฯลฯ ได้ร่วมกับภาคเอกชนเดินทางไปศึกษาชั้นน้ำแข็งที่แอนตาร์กติกา แล้วรวบรวมข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละปีมาสร้างโมเดลที่สามารถคาดการณ์ผลกระทบของภาวะโลกร้อน(สูงขึ้นปีละ 2-3 องศาเซลเซียส) หาวิธีแก้ปัญหาและบ่มเพาะนิสัยการประหยัดพลังงาน รวมถึงแยกขยะรีไซเคิลให้เกิดขึ้นกับนักเรียนนักศึกษาทั่วประเทศ ต่อเนื่องจากภาวะโลกร้อนเสร็จ มีการบรรยายเรื่อง Entrepreneurship ตอนนี้ทั่วอเมริกากำลังตื่นตัวกับสองกระแสหลัก นั่นคือ เรื่องภาวะโลกร้อน กับอีกเรื่องคือ สอนให้นักเรียนนักศึกษาเป็นเจ้าของกิจการมากกว่าจะเป็นพนักงานบริษัท อาจารย์เน้นเรื่องที่ 2 มากๆ ท่านพยายามโน้มน้าวทุกคนว่า ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะเริ่มธุรกิจของตนเอง เด็กจบใหม่ไม่อยากเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง เพราะกลัวความเสี่ยง สู้งานจากบริษัทเอกชนที่มั่นคงมากกว่าไม่ได้ แต่ความจริงแล้วภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำทำให้ความมั่นคงในงานลดลง พวกมนุษย์เงินเดือนแทบไม่เหลือความมั่นคงในชีวิต ความเสี่ยงของมนุษย์เงินเดือนกับผู้ที่เริ่มทำธุรกิจของตนเองจึงเกือบจะเท่ากัน คนที่ทำธุรกิจ ณ เวลานี้ มีความเสี่ยงน้อยเพราะทำในช่วงที่เศรษฐกิจแย่ที่สุด ดังนั้น ความน่าจะเป็นว่าโอกาสที่พรุ่งนี้จะดีกว่าจึงมีมากขึ้น”





วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คาสเซ็ทรีวิว- ร็อคเท่ห์ๆ กวนๆ สไตล์บิลลี่ โอแกน

บิลลี่ โอแกน เป็นนายแบบ และนักแสดงภาพยนตร์ มาก่อน จากนั้นมาเป็นพิธีกรรายการเพลง night show ของแกรมมี่ ก่อนจะมาเป็นศิลปินนักร้องในสังกัดแกรมมี่ ในอัลบั้มแรกนั้น พี่บิลลี่ ยังมีคาแรกเตอร์แบบในหนังเรื่องปลื้ม หรือ ซึมน้อยหน่อย ที่แกเล่นแล้วประสบความสำเร็จ คือบุคลิกใสๆ กวนๆ เฮฮา น่ารัก สมวัย และยังเป็นช่วงค้นหาแนวทางดนตรีอยู่ ดนตรียังไม่เข้มข้น และวิธีการร้องเพลงก็ยังเป็นป็อปจ๋า แต่อัลบั้มแรกก็ประสบความสำเร็จใช้ได้ จนถึงขนาดมีค่ายคู่แข่งส่งคุณ แมน วทัญญู ตามประกบ แต่ก็ไม่ดังเท่า และเงียบหายไป งานของพี่บิลลี่ตั้งแต่อัลบั้มแรกจนถึงปัจจุบัน มีความเข้มข้น หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่ไม่เคยขาดจากอัลบั้มเลย ก็คือ ท่วงทำนองที่เป็นร็อค เนื้อหาของเพลงที่ประชดประชัน เสียดสีสังคม จิกกัดค่านิยม สังคมไทย บางครั้งให้แง่คิด วิถีการดำเนินชีวิต การเคารพในคุณค่าของตนเอง ซึ่งหาได้ยากในศิลปินทั่วๆ ไป พี่บิลลี่เป็นแบบอย่างที่ดีได้ทั้งในแง่การผลิตงานดนตรี และการใช้ชีวิต ทัศนคติ มุมมอง และรสนิยมทางดนตรี ความสามารถทางดนตรีล้นเหลือ แต่เนื่องจากผู้เขียนตามงานของพี่บิลลี่ถึงแค่ชุดที่ 5 คือบันลือโลก ภายใต้ชายคาแกรมมี่และคีตาเท่านั้น หลังจากนั้นไม่ได้ตามต่อ แต่จะขอนำมารีวิวเพียงแค่ 3 อัลบั้มแรก เท่านั้น ดังนี้


อัลบั้มแรก บิลลี่ บิลลี่ (ปี 2530) จาจุรนซ์ เอมซ์บุตร เป็นโปรดิวเซอร์ และมีพี่เต๋อดูแลการผลิตเอง เป็นยุคต้นๆ ของแกรมมี่ เพลงเปิดตัว วันนี้ วันนั้น วันไหน ,อย่างน้อย ,บอกแล้วแววมันออก
3 เพลงนี้ ดังมาก เพลงเปิดตัว วันนี้ วันนั้น วันไหน (คำร้อง อรรณพ จันสุตะ,ทำนอง จาตุรนซ์ เอมซ์บุตร) สดใสน่ารัก ดนตรีสนุก เพลงต่อมา แพ้แก้ตัวใหม่ เพลงกลางๆ ความหมายดี เนื้อหาชอบ ,ขอเป็นเพื่อนที่ดี (คำร้อง จาตุรนซ์ เอมซ์บุตร,ทำนองไพฑูรย์ วาทยากร) มีท่อนฮุคติดหู “รู้ๆ ดี เราไม่ควรฝืนใจ เพราะรู้ๆ ดี เราต่างมีหนทางก้าวไกล คิดต่างกัน จากกันด้วยดี” เป็นเพลงอกหักที่มีแง่คิดเชิงบวกดี อัลบั้มนี้จะอยู่ในโทนคอนเซ็ปต์คือวิธีคิดเชิงบวกทั้งอัลบั้ม ค่อนข้างถ่อมตน สังเกตจากชื่อเพลงได้ เพลงทำอะไรก็ทำ เพลงนี้มีความหมายที่ดี มีกลิ่นไอความเป็นร็อกนิดๆ ซึ่งพี่บิลลี่ก็เริ่มฉายแววทางด้านนี้นิดๆ แล้ว เพลง ก็พอแล้ว ดนตรีเป็นร็อกเลย (คำร้อง พี่ดี้,ทำนอง อัฐพงษ์ ชัยกุล) เพลงช้าที่ไพเราะที่สุดในอัลบั้มคืออย่างน้อย (คำร้อง ประภา จันนิน , ทำนอง โสฬส ปุณกะบุตร) มีท่อนฮุค ประโยคจำ “ฉันนั้นก็รู้ดี จากวันนี้เธอคงต้องไป ตามทางที่เธอตั้งใจ สุดแต่ใจของเธอ จะขอไว้แต่ก็เพียง หากบังเอิญเรามาพบกัน จำไว้อย่างว่าเรายังรู้จักกัน อย่างน้อยก็คนเคยรัก ฉันคงยังจะหักใจไม่ได้ เพียงทักทาย ๆ แค่นั้นพอ” เพลงนี้แต่งไว้ก่อนที่พี่บิลลี่กับคุณสิเรียมจะเป็นแฟนกัน แต่พอมาฟังตอนหลัง นี่ได้ฟีลสุดๆ มันยังไพเราะมาจนถึงปัจจุบัน แล้วพี่บิลลี่ก็ร้องได้ดี อินสุดๆ เพลงบอกแล้วแววมันออก (คำร้องพี่ดี้,ทำนอง กฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนา) จังหวะมันส์ ๆ เพลงโจ๊ะของอัลบั้มนี้ มิวสิควีดีโอก็สนุก เพลงมาเป็นเพื่อนที่ดี (คำร้องอรรณพ จันสุตะ,ทำนอง อนุวัฒน์ สืบสุวรรณ) เพลงนี้สร้างคาแรกเตอร์ของเสียงให้เกิดสำเนียงแบบบิลลี่ๆ จนทำให้อัลบั้มต่อๆ มาของพี่บิลลี่ มีสำเนียงแบบเพลงนี้ คือเน้นๆ กระแทกๆ ยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก เพลงแค่รองเท้าเก่าๆ (คำร้องประภา จันนิน,ทำนอง ไพฑูรย์ วาทะยากร) ดนตรีมีความเป็นร็อกที่สุดในอัลบั้มแล้ว คำร้องก็มีความหมายที่ดี เพลงนี้ผู้เขียนชอบที่สุดในอัลบั้มที่สุดแล้ว
อัลบั้มที่ 2 บิลลี่ เข้ม (ปี 2532) โปรดิวเซอร์คนเดิมคือ จาตุรนซ์ เอมซ์บุตร เพลงเปิดตัว เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม ,หยดน้ำในทะเล ,อยากตะโกน ชื่อเพลงในอัลบั้มนี้มันบอกนัยยะอะไรบางอย่าง คือประชดประชันสุดๆ แต่เข้ากับธีมร็อคสุด ๆ อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จสูงสุดของพี่บิลลี่ เลยก็ว่าได้ ทั้งในแง่ยอดขาย การสร้างภาพลักษณ์การเป็นศิลปินร็อค และมีผลให้พี่บิลลี่มีคอนเสิร์ต และมีงานโชว์ตัวตามมาอีกมากมาย ขึ้นแท่นเป็นศิลปินลูกรักพี่เต๋อ และก็เบอร์ต้นๆ ของแกรมมี่ในยุคนั้น เพลงไพเราะทั้งอัลบั้ม เพลงแรก หยดน้ำในทะเล (คำร้องพี่ดี้,ทำนอง จาตุรนซ์) แค่ชื่อเพลงก็โดนแล้ว แต่งมาได้ยังไงเนี่ย เพลงต่อมานี่สิ เด็ดดวงมาก

เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม (คำร้องพี่ดี้,ทำนอง ชาตรี คงสุวรรณ) ทั้งเนื้อร้องและทำนองโดนสุดๆ ถูกนำมา cover มากที่สุดของบิลลี่ ฮิตที่สุดของบิลลี่ด้วย เพลงโจ๊ะของอัลบั้มนี้ ทุกวันนี้ยังมีคนนำเพลงนี้มาร้องอยู่เสมอๆ ประโยคจำ ท่อนฮุค วลีเด็ด “สิ่งใดดูเหมือนมีค่า คนใขว่และคว้ากันไป ไม่ขอยึดยื้อให้เหนื่อยใจ ฉันขอเธอคนเดียว โลกกลมๆ จะเป็นของใคร ไม่เคยจะข้องเกี่ยว มีแต่เธอผู้เดียวก็สุขใจ เธอให้ใจจริงแท้ และมีความหมาย เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม” เพลงเบื่อก็ทนเอา (คำร้องเขตอรัญ เลิศพิพัฒน์ ,ทำนองสมชาย กฤษณะเศรณี) เพลงนี้ประชดประชันผู้ใหญ่สุด ๆ ฟังครั้งแรกรู้สึกพี่บิลลี่ แนวสุดๆ กบฏนิดๆ

แล้วมาต่อด้วยเพลง ฟ้าคงสะใจ (คำร้อง พี่ดี้ ,ทำนอง จาตุรนซ์ เอมซ์บุตร) เพลงนี้โดนสุด ๆ เลย ชอบทั้งเนื้อหา ดนตรี มิวสิควีดีโอ มันบอกตัวตน คาแรกเตอร์ของพี่บิลลี่ ในอัลบั้มนี้ได้ชัดที่สุด คือบิลลี่เข้ม ท่อนฮุค ประโยคจำ “ฟ้าคงสะใจ คงพอใจที่ได้เห็นเราเลิกรา เห็นคนต้องเสียน้ำตา เห็นคนช้ำใจ คงจะเห็นเป็นความสะใจ “ เพลงช่างปะไร (ผู้หญิงคนเดียว) (คำร้องพี่ดี้, ทำนองสมชาย กฤษณะเศรณี) เพลงนี้เป็นเพลงอกหักที่มีท่วงทำนองสนุก เนื้อหาเป็นคำสอนชาย เมื่อก่อนเห็นมีแต่สอนหญิง แต่นี่เป็นเพลงสอนผู้ชาย ดูเท่ห์มากในยุคนั้น “เก็บมาจำ ให้เจ็บทำไม ช่างปะไร ผู้หญิงคนเดียว ....คนเดี๋ยวนี้ แม้รักจะหมดใจ ถึงยังไงก็ไม่มีทาง ใจก็รุ้ยิ่งคิดยิ่งผิดหวัง แล้วหวังทำไม “ เพลงก็มันเป็นอย่างนั้น (เพลงประกอบ ภ.ฉลุย) (คำร้อง เขตต์อรัญ,บิลลี่ ,ทำนอง จิรพรรณ อังศวานนท์) เพลงนี้ถูกนำมาใส่ไว้ในอัลบั้มนี้ด้วย ทั้งตัวเพลงและภาพยนตร์เรื่องฉลุย ถือว่าประสบความสำเร็จมากในยุคนั้น เพราะมีนักแสดงนำคือพี่บิลลี่และพี่เอ็ม สุรศักดิ์ แสดงนำ และเพลงนี้ร้องและแต่งเพลงเองด้วย คนเราเวลาจะประสบความสำเร็จ มันจะมาเป็นคอมโบ้เซ็ท เสมอ คือร้องเพลง เล่นภาพยนตร์ ถ่ายแบบ เล่นละคร ออกรายการ ออกคอนเสิร์ต ทัวร์ทั่วประเทศ ต่างประเทศ นั่นแหละพี่บิลลี่ตอนนั้น มีเขียนพ็อกเก็ตบุ้ค ด้วยหรือเปล่า อันนี้ไม่แน่ใจ นะครับ

เพลงฝังไว้ในผืนดิน (คำร้องพี่ดี้ ,พี่นิ่มสีฟ้า ,ทำนอง สมชัย ขำเลิศกุล) เพลงนี้เนื้อหาและดนตรีโดนสุด ๆ รวมถึงมิวสิควีดีโอเพลงนี้ภาพมิวสิคเหมือนถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตพี่บิลลี่ ตลอดการเดินทางมาเป็นศิลปินได้ดี (เป็นเพลงธีมของอัลบั้ม) และก็พูดถึงเรื่องราว ความรักของคนที่ทุ่มเท ศรัทธากับความรัก แต่ก็ต้องมาผิดหวัง เป็นผลงานเพลงที่ประพันธ์โดยสุดยอดนักแต่งเพลงแห่งยุค 2 ท่าน คือพี่ดี้และพี่นิ่ม( ตอนนั้นต้องมาทำงานร่วมกันเพื่อผลิตงานมาสเตอร์พีชชิ้นนี้) ท่อนฮุค ประโยคจำ “บนแผ่นดินที่มันกว้างใหญ่ หากจะพอฝังความตรอมใจที่มี ชีวิตคงดีกว่าที่เป็นมา เจ็บใจนักเพราะรักมาไป ไม่เตรียมใจซะบ้าง ไม่ระวัง ก็เพราะมัวแต่ไว้ใจ เก็บความหวังจริงใจที่ให้ไป ฝังลงในผืนดิน แล้วลืมมันให้สิ้นไปจากใจเสียคงดี” ผู้เขียนชอบที่สุดในอัลบั้ม ส่วนเพลงปล่อยเขา (คำร้อง อรรณพ จันสุตะ,ทำนองจาตุรนซ์)มีเนื้อหาที่ตัดพ้อ และจำยอมต่อความรัก เพลงนี้จะโดดออกไปจากคอนเซ็ปต์อัลลั้ม คือเพลงอื่นๆ จะประชดประชัน หรือออกแนวบู๊ เข้มตลอดเลย เพลงนี้มีเนื้อหาเชิงบวก คล้ายๆ เพลงเบื่อก็ทนเอา

เพลงอยากตะโกน (คำร้องพี่นิ่ม สีฟ้า,พี่ดี้ ,ทำนองจาตุรนซ์) เป็นผลงานเพลงที่ประพันธ์โดยสุดยอดนักแต่งเพลงแห่งยุค 2 ท่าน คือพี่ดี้และพี่นิ่ม มีท่อนฮุค ประโยคจำ “ทั้งที่ใจอยากตะโกน ฟ้องใครต่อใครเกี่ยวกับใจของเธอที่มี ที่ใครๆ คิดกันว่าดี แต่มันไม่ดีเท่าไหร่ อยากระบายให้ใครได้ฟัง เมื่อได้ฟัง แล้วคงเข้าใจ ว่าจริงๆ ฉันจวนจะตายเพราะเธอ “ เพลงโตๆ กันแล้ว (คำร้อง จาตุรนซ์,ทำนองอภิไชย เย็นพูนสุข) เพลงนี้เป็นเพลงปิดท้ายอัลบั้ม มีกลิ่นไอที่คล้ายเพลง แค่รองเท้าเก่าๆ ในอัลบั้มแรก คือโซโล่กีต้าร์กันยาวเลย แม้เนื้อหาไม่เกี่ยวเนื่องกัน แต่ภาคดนตรีมันจะดูเหมือนว่าจะเป็นการปล่อยของในเพลงสุดท้ายเสมอ
อัลบั้มที่ 3 บิลลี่ เข้มตลอด (ปี 2533) เพลงเปิดตัว ลาออก , ผิดจนเกินอภัย เพลงแรก ลาออก ฟังครั้งแรกก็ติดหู ดังระเบิดระเบ้อไปเลย เพลงนี้สร้างกระแส ลูกน้องกับเจ้านายในออฟฟิซ มากมาย เป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ในช่วงนั้น อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จสูงสุดต่อยอดมาจากอัลบั้มชุดที่แล้ว บางทีก็คิดว่าพี่บิลลี่เป็นเดวิด โบวี่เมืองไทยเหมือนกัน เพลงนี้จำได้ว่าถูกร้องบ่อยที่สุดเวลาไปเที่ยวคาราโอเกะกับเพื่อนๆ ในออฟฟิซ ประโยคจำหรือท่อนฮุค “เสียเวลาหน่ะ เสียเวลา ...ออก อย่างนี้ต้องลาออก จะขอลาออก ประท้วงคนงกนัก อย่างนี้ต้องลาออก ๆ จะขอลาออก รู้แล้วรู้รอดไป”

เพลงผิดจนเกินอภัย (คำร้อง/ทำนอง พี่บิลลี่แต่งเอง) เริ่มแสดงศักยภาพในการแต่งเพลงเอง แต่เพลงนี้ผู้เขียนชอบน้อยกว่าเพลงหมื่นล้านเพลง ที่เนื้อหาและดนตรีเข้มข้นกว่า แต่เพลงนี้ถูกเลือกโปรโมตในช่วงแรกเพราะคำร้องอาจฟังดูติดหูกว่าหรือเปล่า แต่สำหรับผู้เขียนก็ถือว่าเพลงนี้ไพเราะในระดับธรรมดาๆ เพลงนึง ไม่ได้มีกิมมิคอะไร เพลงพูดด้วยก็ไม่พูดด้วย (คำร้องอรรณพ จันสุตะ,ทำนอง จาตุรนซ์และบิลลี่) เพลงนี้ดีไซน์การร้องและดนตรีจะมีเน้นเสียงกลอง คือจะมีสำเนียงอีสานหน่อยๆ แบบติดสำเนียงฝรั่ง คือพี่บิลลี่แกเริ่มจะค้นหาแนวทางใหม่ๆ มาใส่ในอัลบั้ม และการร้องติดสำเนียงอีสาน ก็ถูกค้นพบ และก็ถูกนำมาใช้ในอัลบั้มต่อๆ ไปของแก เพลงคำมักง่าย (คำร้อง สุรักษ์ ,จักราวุธ ทำนอง โสฬส ปุณกะบุตร) เพลงนี้โดยส่วนตัวผู้เขียนก็ชอบเพลงนึงในอัลบั้ม แต่มันแปลกแยกที่สุดในอัลบั้ม คือมันซอฟท์ลงจนกลายเป็นเพลงป็อบอีซี่เพลงนึงไปเลย “เอ่ยคำว่ารัก ไม่ยากเท่าไหร่ ใครๆ ก็พูดกันได้ หากใครเชื่อใจ ก็ปล่อยให้ทนช้ำใจไปเอง” เพลงไม่มีแก่นสาร (คำร้องประชา พงษ์สุพัฒน์,ทำนอง โสฬส ปุณกะบุตร) เพลงนี้ร็อคสะใจที่สุดในอัลบั้ม เนื้อหาก็ดี มีช่วงโซโล่กีต้าร์ที่ยาว ชอบมากที่สุดในอัลบั้มแล้ว ประโยคจำ ท่อนฮุค “ย้อนนับวันนับปี ชีวิตที่เรามีอยู่ ก็ใช้นิ้วนับนิ้วดูสักที ว่ามีกี่ปีก่อนสิ้นใจ” เพลงหมื่นล้านเพลง (คำร้อง/ทำนอง แต่งโดยบิลลี่เอง) เป็นการโชว์ความสามารถของพี่บิลลี่เป็นครั้งแรกในเพลงนี้ เนื้อหาและทำนอง ซึ่งก็เป็นการฉายแววการเป็นโปรดิวเซอร์ของพี่บิลลี่จากเพลงนี้ เพลงนี้เป็นอีกเพลงนึงที่ชื่นชอบในอัลบั้มนี้ครับ เพลงหน่อมแน้มไปหน่อย (คำร้องพี่แอม ,ทำนองอภิไชย เย็นพูนสุข) เพลงนี้ท่าจะให้ฟังอย่างเดียวยังไม่ได้ฟิลเท่าไหร่ ต้องดูตอนพี่บิลลี่เล่นคอนเสิร์ตด้วย ลีลาแต๋วแตกมากๆ ไม่ออกหน่อมแน้มเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าตีความผิด หรือว่าบุคลิกมันไม่ได้ก็ไม่รู้, เพลงเสี้ยนหนาม (คำร้องพี่ดี้, ทำนองสมชาย กฤษณะเศรณี) (เพลงช้าโดนใจอีกเพลงนึง ในอัลบั้ม เพลงนี้ไม่ค่อยได้ยินเปิดทางสื่อมากนัก แต่เป็นอีกเพลงนึงที่พี่บิลลี่ร้องได้ฟีลสุด ๆ เพลงจนแต่เจ๋ง (คำร้องจักราวุธ แสวงผล, ทำนองบิลลี่ โอแกน) เพลงนี้แหละมันส์ที่สุดแล้วในอัลบั้มนี้ และมักนำขึ้นไปโชว์บนคอนเสิร์ตใหญ่ๆ ดนตรีสนุกมาก พี่บิลลี่แต่งเอง ได้คำร้องโดนๆ ของจักราวุธ แสวงผล ทำให้เพลงนี้ลงตัว ฟังทีไรอยากจะขึ้นมาโยกตามทุกที ประโยคจำ ท่อนฮุค “จนก็จนแต่เจ๋ง เป็นนักเลงหัวใจ เราไม่เคยหวั่นไหว ใครจะใช้สตางค์ เงินไม่มีไม่สน ใจไม่จนซะอย่าง จะจริงใจทั้งใจให้เธอ” เพลงหุ่น (คำร้อง พี่ดี้,ทำนอง จิรพรรณ อังศวานนท์) เนื้อหาเพลงดีมาก เป็นเพลงที่ให้แง่คิด คุณค่าความเป็นคน เป็นเพลงปิดอัลบั้มที่สุดยอดมาก




อัลบั้มเพลงผลงานทั้งหมดของบิลลี่ โอแกน


• ปี 2530 อัลบั้ม บิลลี่ บิลลี่ (สังกัดแกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์)

• ปี 2532 อัลบั้ม บิลลี่ เข้ม (สังกัดแกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์)

• ปี 2533 อัลบั้ม บิลลี่ เข้มตลอด (สังกัดแกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์)

• ปี 2535 อัลบั้ม บิลลี่ ทรงเครื่อง (สังกัดแกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์)

• ปี 2537 อัลบั้ม บิลลี่ บันลือโลก (สังกัดคีตาเอ็น เตอร์เทนเม้นท์)

• ปี 2539 อัลบั้ม บิลลี่ อาสา (สังกัดโรงบ่มดนตรี)

• ปี 2544 อัลบั้ม บิลลิโอ พิงก์ (สังกัดไวท์เลเบล)

• ปี 2547 อัลบั้ม บิลลี่ เสี่ยว (สังกัดอากูเรคคอร์ด)

• ปี 2548 อัลบั้ม บิลลี่ เข้มเหมือนเดิม (สังกัดมอร์มิวสิก)

• ปี 2551 อัลบั้ม บิลลี่ เอ็กซ์โอเอ็กซ์โอ (สังกัดติดดินอินดี้)

ยุคทองของอุตสาหกรรมละครเวทีในบ้านเรา


ละครเวที (play หรือ stageplay) ละครเพลงซึ่งเน้นการร้องมากกว่า คาดกันว่าละครเวทีมีมาตั้งแต่สมัยกรีก อริสโตเติลบันทึกไว้ว่าละครของกรีก เริ่มต้นขึ้นจากการกล่าวคำบูชาเทพเจ้าไดโอนีซุส เทพเจ้าแห่งไวน์และความอุดมสมบูรณ์ จุดเด่นของละครเวทีคือ การสื่อสารระหว่างผู้ชมกับนักแสดง การสื่อสารระหว่างผู้ชมและนักแสดงเกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กัน วอลเตอร์ เคอร์ นักวิจารณ์ชาวอเมริกันพูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า "ความสัมพันธ์ระหว่างคนดูกับนักแสดงเช่นนี้ไม่มีในภาพยนตร์ เพราะภาพยนตร์เป็นสิ่งที่สร้างมาสำเร็จรูปแล้ว มันไม่สามารถตอบสนองเราได้ เพราะนักแสดงในภาพยนตร์ไม่สามารถได้ยินเรา รู้สึกถึงตัวตนของเราและไม่ว่าเราจะมีปฏิกิริยาอย่างไรก็ไม่มีผลใดๆ"

องค์ประกอบของละครเวที คือ การแสดงสดบนเวที ที่มีฉาก แสง เสียง ประกอบ และบทละคร คือ ส่วนที่สำคัญที่สุดในการทำละครทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งละครเวที เพราะมันคือ ตัวกำหนดองค์ประกอบอื่นๆ ทุกอย่างในละคร ไม่ว่าจะเป็น โครงของเรื่อง ,สีสันของแสง ของฉาก ของเสื้อผ้า และรวมไปถึงการแสดง (acting) ของนักแสดงด้วย

ละครเวที เป็นศาสตร์และศิลปะชั้นสูง ทางด้านการแสดง เป็นศิลปะวิทยาการที่มีมานานมากแล้ว ถ้าจะนับในระดับโลกก็น่าจะเป็นยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการหรือ ยุคเรเนซองค์ นู่นเลย ถ้าเป็นบ้านเราการแสดงละครเวทีในบ้านเราก็น่าจะเข้ามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 สมัยก่อนผู้ที่จะเข้าชมได้ต้องเป็นสังคมชั้นสูงเท่านั้น พวกเชื้อพระวงศ์ คหบดี ข้าราชการระดับสูง พวกชาวบ้านธรรมดา ที่การศึกษาไม่สูงนัก โอกาสที่จะได้รับชมการแสดงแบบละครใน ยังยากเลย แต่การแสดงแบบละครเวทีเป็นศาสตร์ชั้นสูงของเมืองนอก ทำให้บทประพันธ์ที่นำมาแสดงในยุคแรกๆ มักจะเป็นบทประพันธ์ดังๆ จากบรอดเวย์ ,วรรณกรรมระดับโลก ของต่างประเทศ เช่น ราโชมอน ,โรมิโอแอนด์จูเลียต ,ดอน กิโฆเต้ ,เดอะ แพนทั่ม ออฟเดอะโอเปร่า ภายหลังพอเข้าสู่ยุคละครเวทีเฟืองฟูจึงเริ่มมีการนำบทประพันธ์ของไทยมาดัดแปลงเป็นละครเวที เช่น พันท้ายนรสิงห์ ,อิเหนา ,ผู้ชนะสิบทิศ ,ขุนช้างขุนแผน หรืออาจใช้บทประพันธ์ที่ประพันธ์ขึ้นมาใหม่สำหรับละครเวทีโดยตรง เช่น ฉันผู้ชายนะยะ , วิมานเมือง ,บัลลังก์เมฆ ยุคบุกเบิกของละครเวทีตามแบบฉบับสากล ในบ้านเรา จะเป็นช่วงปี 2525-2535 เป็นยุคของละครเวที ที่เล่นอยู่ในโรงแรมมณเฑียร ย่านสุรวงศ์ (มณเฑียรทองเธียเตอร์) คนที่เป็นเจ้าแม่แห่งยุค ก็คือ บริษัท แดส เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ทีมงานของ คุณ ต้อ มารุต สาโรวาท พวกคุณหงุ่ย วราพันธุ์ อ.ดร.เสรี วงศ์มณฑา เป็นหัวหอกในยุคนั้น ต่อมาก็เป็นยุคของโรงละครภัทราวดี เธียเตอร์ โดยคุณภัทราวดี มีชูธน ช่วงนั้นก็มีลูกศิษย์ลูกหาของอาจารย์สดใส พันธุมโกมล และอาจารย์ช่าง จากรั้วอักษรศาสตร์,นิเทศศาสตร์,สถาปัตย์ จุฬา พวกทีมงานที่ออกมาอยู่ เจเอสแอล แกรมมี่ กระจายไปอยู่ตามบริษัทบันเทิงหลายค่าย หลายช่อง ต่อมาบริษัทแกรมมี่ ได้ตัวคุณบอยมานั่งกุมบังเหียน (คุณบอยเรียนจบมาทางด้านการแสดงโดยตรง) บ.เอ็กแซ็กท์ และคุณบอยเป็นอีกค่ายนึงที่สนใจทำละครเวทีขึ้นมาและเป็นค่ายที่กล้าลงทุนนำเข้าอุปกรณ์สมัยใหม่และสร้างทีมงานละครในระบบมืออาชีพแบบเดียวกับสากล กระแสละครเวทีก็คึกคักขึ้นมาใหม่ จากที่ต้องไปเช่าเสถานที่แสดงละครตาม ศูนย์วัฒนธรรมบ้าง โรงละครแห่งชาติบ้าง เพราะบ้านเราในตอนนั้นยังไม่มี สถานที่ที่สร้างขึ้นมาสำหรับเป็นโรงละครเวทีสมบูรณ์แบบ ทำให้คุณบอย ดำริอยากจะสร้างโรงละครเวทีแห่งใหม่ที่สมบูรณ์แบบ เทียบเคียงโรงละครบรอดเวย์ของอเมริกา จึงเป็นทีมาของโรงละครเมืองไทยรัชดาลัยเธียเตอร์ ตัวที่ตั้งอยู่ที่ชั้น 5 ศูนย์การค้าเอสพลานาด รัชดา ซึ่งพอสร้างเสร็จก็ได้เปิดมิติใหม่ของละครเวทีในบ้านเรา เป็นการเปิดศักราชใหม่ของการปลุกกระแสการดูละครเวทีให้กลับมาอย่างคึกคักในยุคนี้ โรงละครแห่งนี้เปิดรอบปฐมทัศน์ครั้งแรกด้วยละครเวทีเรื่องฟ้าจรดทราย (บทประพันธ์ชื่อดัง) ตามมาด้วย ข้างหลังภาพ แม่นาคพระโขนง หงส์เหนือมังกร ทวิภพ และที่ดังฮือฮาเมื่อปีที่แล้วคาบเกี่ยวมาถึงต้นปีนี้ เล่นกว่า 100 รอบ (มากที่สุดตั้งแต่เคยมีการแสดงมาของโรงละครแห่งนี้) ก็คือเรื่อง สี่แผ่นดิน เดอะมิวสิคัล ,ล่าสุดกำลังแสดงเรื่อง รักจับใจ เดอะโรแมนติกมิวสิคัล , และเรื่องที่กำลังจะเปิดแสดงในช่วงปลายปีนี้เป็นละครเวทีชื่อเสียงก้องโลก (ซื้อลิขสิทธิ์จากบรอดเวย์มา) คือเรื่อง มิสไซง่อน น่าจะเป็นละครเวทีฟอร์มยักษ์แห่งปีที่พลาดไม่ได้อีกเรื่องนึง

ละครบรอดเวย์ (อังกฤษ: Broadway theatre) มีชื่อเสียงทางด้านของศิลปะการละครเวที มีเอกลักษณ์ของละครอเมริกันอย่างที่นิยมกันเรียกกันว่าละครเพลง มีองค์ประกอบรูปแบบการแสดง เพลงและการเต้นรำในลักษณะต่างๆ ที่กำหนดไว้อย่างตายตัวไม่ว่าจะมีการแสดงสักกี่รอบก็ตาม โดย บรอดเวย์ เป็นชื่อของถนนสายหนึ่งในเมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาและวงการภาพยนตร์ก็มักจะนำเรื่องราวจากละครเพลงมาทำเป็นภาพยนตร์และส่วนมากจะประสบความสำเร็จได้รางวัลอยู่เสมอ เช่น เรื่อง West Side Story, The Sound of Music, South Pacific, The King and I, และ Chicago เป็นต้น

ละครเพลงบรอดเวย์ แต่ละเรื่องมักได้รับความนิยมยาวนานมาก ตัวอย่าง เมื่อวันที่ 9 มกราคมปีนี้เอง ที่สถิติบันทึกว่า ละครเพลงเรื่อง The Phantom Of Opera ได้ทำการแสดงยาวนานที่สุด จำนวน 7,486 รอบ ณ โรงละครมาเจสติก และหลายเรื่องได้รับรางวัลโทนี่ ซึ่งเป็นมาตรฐานดีที่สุดของวงการบรอดเวย์ ในยุคแรกของละครเพลงที่เกิดขึ้นนี้ได้รับอิทธิพลทางการแสดงจากประเทศทางแบบยุโรป ซึ่งมีลักษณะเป็นโอเปร่า (Operetta)คือมีรูปแบบการร้องเพลงแบบโอเปราร่วมกับการแสดง และมีโครงเรื่องที่มีลักษณะเหนือจริงมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความรัก มีการเต้นประกอบการแสดงที่เรียกกันว่า โรแมนติก บัลเล่ต์ (Romantic Ballet) เช่นเรื่อง The Red Mill (1906) Naughty Marietta (1910) Sweethearts (1913)

ยุคที่สอง ในยุคนี้จัดว่าเริ่มเป็นยุคของละครเวทีแบบอเมริกันโดยแท้ คือมีรูปแบบการประพันธ์ เค้าโครงเรื่อง และองค์ประกอบต่างๆ ของละครมีลักษณะเป็นเรื่องราวของชาวบ้าน ชาวเมืองปกติในอเมริกา ใช้เพลงป็อป มีการนำการเต้นรำเข้ามาประกอบ มีบทพูดและมีการร้องเพลง การเต้นรำเพื่อเชื่อมต่อเรื่องราวจากเหตุการณ์หนึ่งไปสู่อีกเหตุการณ์หนึ่ง มีการเปลี่ยนฉาก มีบทชวนหัว เสียดสีล้อเลียนเหตุการณ์ที่สำคัญต่างๆ ที่เข้ากับเหตุการณ์ตอนนั้น ผู้นำการผลิตละครเพลงเวทีแบบอเมริกันในยุคนี้ได้แก่ จอร์ช แอมโคแฮน (1848-1942), เจอโรม เคิร์น (1885-1945), เออร์วิง เบอร์ลิน (1888-1985) ละครเพลงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในยุคนี้ได้แก่ Show boat (1927),Funny Face (1927), Roberta (1933), Annie get your guns (1946)

ยุคที่สาม จะมีเนื้อหาและเรื่องราวของละครเพลงในยุคนี้เน้นการเสนอเรื่องราวที่สะท้อนชีวิตจริงมากขึ้น และมีการนำเรื่องจากบทกวี วรรณคดีมาแสดงและผสมผสานเนื้อเรื่อง มีการเต้นรำมากขึ้น ละครเพลงในยุคนี้มีลักษณะเป็นละคร (Drama) มากขึ้น มีความสมบูรณ์มากขึ้นกว่าในยุคก่อน ผลงานเด่นในยุคนี้ได้แก่ Oklahoma! (1943) , South Pacific (1949), The King and I (1951), My Fair Lady (1956), The Sound of Music (1959)Camelot (1960), Funny Girls (1964) เป็นต้น

ยุคที่สี่ เป็นยุคของรูปแบบใหม่แห่งวงการละครเพลง คือการนำเสนอเรื่องราวจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องราวของวีรบุรุษ ความรักความยิ่งใหญ่ตระการตาหมดไปมีการนำเสนอเรื่องราวที่สะท้อนชีวิตสังคมในแง่มุมต่างๆ ซึ่งไม่จำเป็น จบลงด้วยความสุข หรือเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับ อาจจะมีการใช้เพลงร็อกแอนด์โรลประกอบการแสดง เช่น Jesus Christ Superstar (1968) Grease (1972) และในยุคนี้นับเป็นการเริ่มต้นละครแบบทดลองคือมีการนำเรื่องราวที่แปลกออกไปมานำเสนอเช่นเรื่อง Cabaret (1966) และเรื่อง Evita (1970)เป็นต้น ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ได้รับรางวัลมากมายและกลายเป็นละครเวทีที่ได้รับความนิยมเปิดแสดงติดต่อกันเป็นเวลานาน เพลงประกอบที่ได้รับความนิยมมากจากละครทั้งสองเรื่องนี้ก็คือ Cabaret, May be this time, Don’t cry for me Argentinaซึ่งประพันธ์โดยเจ้าพ่อแห่งวงการละครเพลง แอนดรู ลอยด์ เว๊บเบอร์

ปัจจุบันละครบรอดเวย์ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาปรับใช้ให้เข้ากับเรื่องราวและเหตุการณ์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ เครื่องยิงเลเซอร์ เครื่องสร้างภาพ 3 มิติ เครื่องสร้างปรากฏการณ์ธรรมชาติเทียม ทำให้ละครดูสมจริงสมจังมากขึ้นทุกที เป็นจุดเด่นที่ทำให้ผู้ชมชื่นชอบละครบรอดเวย์มาโดยตลอด

ลักษณะของละครบรอดเวย์

ละครชวนหัว (Musical Comedy) คือเป็นแนวทางในการจัดทำละครบรอดเวย์เหล่านี้มักจะเป็นแนวเบาสมอง เป็นส่วนใหญ่ และมีการสอดแทรกมุขตลกอยู่เสมอ

เน้นหนักด้านเนื้อเรื่อง บทร้อง และทำนองเพลงการเต้นรำที่ใช้ประกอบเพลงซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างให้เป็นเพลง “ฮิต” บทร้องและดนตรีจึงมีความสำคัญมาก ทำให้รวมไปถึงผู้ออกแบบท่าเต้นประกอบเพลง (Choreographer) เช่น เจอราลด์ รอบบินส์ (Jerome Robbins – West Side Story 1957), แอกเนส เดอ มิล (Agnes de Mille – Oklahoma! 1943), บ๊อบ ฟอซซี่ (Bob Fossi – Cabaret 1966)

หมอละคร (Show Doctor) คือผู้ที่ช่วยแก้ไขปรับปรุงองค์ประกอบต่างๆ ของละครให้ดีขึ้น ถ้าเห็นว่าการแสดงในรอบปฐมทัศน์ไม่ประสบความสำเร็จ อย่างเช่นเรื่อง คาเมล๊อต (Camelot)มอส ฮาร์ทได้เข้ามาปรับปรุงแก้ไข ทำให้ละครเรื่องนี้กลับมาเป็นละครเพลงบรอดเวย์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากเรื่องหนึ่งในเวลาต่อมา

ดารา มักจะกลายเป็นดาราที่มีชื่อเสียงในวงการอื่นๆ ด้วย เช่นวงการภาพยนตร์หรือ วงการโทรทัศน์ เช่น จูลี่ แอนดรูส์ (จาก The Sound of Music 1959) ซึ่งแตกต่างจากดาราโอเปรา เพราะโอเปราใช้เสียงเป็นสื่อในการแสดงแต่ละครเพลงต้องการ นางเอก หรือ พระเอก ที่ดูเหมาะสมกับบทบาทอย่างแท้จริง

เค้าโครงเรื่อง ส่วนมากจะได้รับการจัดทำขึ้นโดยดูตลาดและผู้ชมเป็นแนวทางการในการผลิตละครแต่ละเรื่อง โครงเรื่องจึงแตกต่างกันไปตามแนวความนิยมของสังคมในแต่ละยุค มักนำเหตุการณ์ที่น่าจดจำมาเป็นส่วนโครงเรื่อง อย่างประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา เช่น Oklahoma!, Show Boat ,Music Man หรือโครงเรื่องที่มีแนวเทพนิยายในลักษณะของซินเดอเรลล่า เช่น แอนนาในเรื่อง The King and I และมาเรียในเรื่อง The Sound of Music และ อีไลซ่า ดูลิตเติลในเรื่อง My Fair Lady หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อเรื่อง 'บุษบาริมทาง'

เค้าโครงเรื่องอีกประเภทหนึ่งคือเรื่องราวสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของสังคม เช่นเรื่อง Cabaret, West Side Story, Chicago

ฉาก และ คอสตูม หรือเครื่องแต่งกาย เน้นความอลังการอันตื่นตา ผสมผสานกับพื้นฐานสำคัญในเรื่องการสร้างสรรค์เพลง ดนตรี รวมทั้งการเต้นที่มีการพัฒนาให้เหมาะสมกับเนื้อหาของเรื่อง รวมทั้งแสง สี เสียง และเทคนิคของการจัดฉาก การเปลี่ยนฉาก และความสดในการแสดงของนักแสดงที่มีความสามารถสูงทั้งในด้านการร้องเพลง การเต้นรำ ทำให้ละครบรอดเวย์เป็นที่ประทับใจในเรื่องของความแปลกใหม่


เมืองไทยรัชดาลัยเธียเตอร์ เปิดตัว “มิสไซง่อน” ละครเวทีติดอันดับ 3 ของโลก

เปิดเผยกันมาแล้วว่า มิสไซ่ง่อน (Miss Saigon) ละครเพลงระดับตำนาน ซึ่งครองหัวใจผู้ชมทั่วโลกมากว่า 20 ปี โดยติด 1 ใน 5 ของละครเวทีระดับโลก จะเป็นละครเวทีเรื่องถัดไป ที่มารอจ่อคิวต่อจาก ‘ละครเวที รักจับใจ เดอะมิวสิคัล’ โดยที่ทางซีเนริโอ ร่วมกับ CAMERON MAVKINTOSH ภูมิใจนำเสนอ ละครเพลงสุดยิ่งใหญ่ระดับโลกเรื่องนี้ ในภาคภาษาไทย

นำแสดงโดย ‘กัน’ นภัทร อินทร์ในเอื้อ ในบท Chris นายทหารหนุ่มที่ต้องละทิ้งคิมไป แต่ในใจไม่เคยลืมเธอเลย และนักแสดงหน้าใหม่ ‘แก้ม’ กุลกรณ์พัชร์ โพธิทองนาค ทายาทนักร้องคุณภาพ ‘ทิพวัลย์ ปิ่นภิบาล’ ที่จะมารับบท Kim สาวเวียดนามซึ่งมั่นคงในความรัก ร่วมด้วยนักร้องคุณภาพอีกคับคั่ง อาทิ ‘เบน ชลาทิศ’ รับบท The Engineer เจ้าของไนต์คลับที่ Kim ทำงาน, ‘นิว’ นภัสสร ภูธรใจ รับบท Ellen ภรรยาคนใหม่สัญชาติอเมริกันของ Chris, ‘คิว’ สุวีระ บุญรอด (คิว วงฟลัว) รับบท John เพื่อนคนสนิทของ Chris เตรียมพบกับเรื่องราวความรักแสนยิ่งใหญ่ ตราตรึงใจผู้ชมไม่รู้คลาย กับ มิสไซ่ง่อน (Miss Saigon) มิวสิคัลระดับโลกในโปรดักชั่นไทย ณ เมืองไทยรัชดาลัยเธียเตอร์ ที่มีกำหนดจะเปิดการแสดงในเดือนกันยายน 55 และจะมีการแถลงข่าวในวันอังคารที่ 24 กรกฏาคม 2555 ที่เมืองไทยรัชดาลัยเธียเตอร์

มิสไซ่ง่อน (อังกฤษ: Miss Saigon) เป็นละครเพลงแนวละครเวสต์เอนด์ (West End theatre) ประพันธ์ดนตรีโดยคลอดด์-มิเชล โชนเบิร์ก (Claude-Michel Schönberg) คำร้องโดยอัลเลง บูบลิล (Alain Boublil) และริชาร์ด มอลต์บี จูเนียร์ (Richard Maltby, Jr.) โดยนำเค้าโครงเรื่องมาจากอุปรากรของจาโกโม ปุชชีนี (Giacomo Puccini) เรื่องมาดามบัตเตอร์ฟลาย (Madame Butterfly) ซึ่งทั้ง "มาดามบัตเตอร์ฟลาย" และ "มิสไซ่ง่อน" ได้ถ่ายทอดเรื่องราวโศกนาฏกรรมความรักของหญิงชาวเอเชียที่ถูกชายชาวอเมริกันทอดทิ้ง ในขณะที่เนื้อเรื่องเดิมของ "มาดามบัตเตอร์ฟลาย" เป็นเรื่องราวความรักของหญิงสาวเกอิชาชาวญี่ปุ่นและนายทหารเรือชาวอเมริกันในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1900 ซึ่งเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นเพิ่งเริ่มเปิดประเทศ "มิสไซ่ง่อน" เป็นเรื่องราวความรักของหญิงสาวชาวเวียดนามที่ทำงานในสถานบริการ และนายทหารชาวอเมริกันที่เข้าไปประจำการในเมืองไซ่ง่อน (ปัจจุบันคือ นครโฮจิมินห์) ประเทศเวียดนาม ระหว่างสงครามเวียดนาม ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970

มิสไซ่ง่อนรอบปฐมทัศน์แสดงที่โรงละครโรยัล ถนนดรูรี่ (Theatre Royal, Drury Lane) กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1989 และแสดงรอบสุดท้ายเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1999 รวมทั้งหมด 4,264 รอบ แต่ยังเปิดการแสดงที่โรงละครบรอดเวย์ (The Broadway Theatre) สหรัฐอเมริกา เมื่อ 11 เมษายน ค.ศ. 1991 และปิดการแสดงเมื่อวันที่ 28 มกราคม ค.ศ.2001 รวมรอบการแสดงถึง 4,092 รอบ ในอเมริกา และเปิดการแสดงตามเมืองใหญ่ ๆ ทั่วโลก

มิสไซ่ง่อน ถือเป็นละครเพลงของโชนเบิร์กและบูบลิลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเป็นอันดับ 3 รองจากเลส์ มิเซราเบลอส์ (Les Misérables) ที่เป็นการแสดงในค.ศ. 1980 มิสไซ่ง่อนยังถือเป็นละครบรอดเวย์ที่ดำเนินการแสดงเป็นระยะเวลายาวนานที่สุดเป็นอันดับ 10 ในประวัติศาสตร์ของละครเพลง

ยุคทองของละครเวทีเมืองไทย เดือนเดียว มีละครเวที เปิดวิกแสดงในบ้านเราพร้อมกันถึง 7 เรื่อง (คึกคักมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน)

รักจับใจ เดอะโรแมนติกมิวสิคัล ของซีนาริโอ้ เล่นที่เมืองไทยรัชดาลัยเธียเตอร์ วันนี้ถึงต้นส.ค.

หลังคาแดง เดอะมิวสิคัล ของพี่ตั้ว ศรัณญู เล่นที่เอ็มเธียเตอร์ ถ.เพชรบุรี วันนี้ถึง 29 ก.ค.

กุหลายสีเลือด เดอะมิวสิคัล ของครูเงาะ เล่นที่ศูนย์ดนตรีและการแสดงอโศกมนตรี วันนี้ถึง 16 ก.ย.

ดรีมเกิร์ล เดอะมิวสิคัล ของค่ายดรีมบ็อกซ์ เล่นที่โรงละครเอ็มเธียเตอร์ ช่วงเดือน ส.ค.

เรยา เดอะมิวสิคัล ของอ.สมเถา-ถ่ายเถา สุจริตกุล ร่วมกับเนชั่นทีวี เล่นที่โรงละครอักษรา คิงพาวเวอร์ 14 ก.ย.-7 ต.ค.

แม่เบี้ย ดิอีโรติค อาร์ต มิวสิคัล เล่นที่โรงละครเอ็มเธียเตอร์ ถ.เพชรบุรี 28 ก.ย.-14 ต.ค.

มิสไซง่อน ของซีนาริโอ้ เล่นที่เมืองไทยรัชดาลัยเธียเตอร์ 27 ก.ย. -21 ต.ค.

ชอบเรื่องไหน เป็นแฟนของค่ายละครใด สะดวกเรื่องไหน เชิญทัศนาครับ

มีคำกล่าวไว้ว่า ประเทศใดก็ตาม ที่อุตสาหกรรมละครเวทีเฟื่องฟู ประเทศนั้นคือประเทศที่เจริญสูงสุดในด้านศิลปะวิทยาการทางด้านแสดง และจะเป็นศูนย์กลางของโลกในอนาคตครับ

วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

One Up on SET เหนือกว่าตลาดหุ้นไทย

ตอน  Cash Out เขย่านักลงทุนรายย่อย สะบัดก้นออกจากตลาด

ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยผันผวนไปตามกระแสตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นหลัก ด้วยปัจจัยข่าว ประเด็นหลักๆ ก็คือเศรษฐกิจยุโรปและอเมริกา และก็ข่าวจากทางฟากฝั่งของจีน ซึ่งจะเดินหน้า ปรับฐาน ถอยหลัง หรือจะ side-way ต่อไปเรื่อย ๆ ก็คงต้อง wait & see กันต่อไปก่อน ผู้เขียนคงไม่ไปโฟกัสทิศทางของมันแต่อย่างใด ขอนำเอาเกร็ดความรู้พฤติกรรมของนักลงทุนอีกกลุ่มนึงมาตีแผ่จะดีกว่า เพราะก็เป็นบุคคลอีกกลุ่มนึงที่สามารถสร้างโมเมนตัม กุมทิศทาง มีอิทธิพล หรือทำตัวเหนือกว่าตลาดหุ้นไทยได้ตลอดมา นั่นก็คือนักลงทุนประเภทที่เรียกว่า นักลงทุนรายใหญ่ หรือนักธุรกิจเจ้าของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯนั่นแหละ ที่ผ่านมาทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ก็จะมีพฤติกรรมในแบบที่เรียกได้ว่า ทำยังไงก็ได้ที่จะสามารถกอบโกยกำไรเข้าสู่กระเป๋าตัวเองให้มากที่สุด เขาทำกันอย่างไรนั้น เรามีอีกกรณีศึกษานึง ก็คือ การ Cash Out เงินออกจากตลาดหุ้นไปเข้าสู่กระเป๋าตัวเอง เขาทำกันอย่างไร ขอเชิญทัศนากันได้เลย

การแปลงธุรกิจให้เป็นความมั่งคั่งนั้นเป็นอีกกลยุทธ์นึงที่เขาทำกัน เมื่อได้จังหวะเหมาะ มีตั้งแต่การขายหุ้นออกมาทั้งหมด หรือลดสัดส่วนการถือครองหุ้นส่วนใหญ่ ลดดีกรีความเป็นเจ้าของลงมา แต่ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใด ทั้งหมดล้วนมีเป้าหมายปลายทางเดียวกัน นั่นก็คือ มุ่งหาผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่า และเลือกที่จะ “ขายหุ้น” ในขณะที่ได้ “ราคาดี” และ “ธุรกิจยังคงรุ่งโรจน์” ต่อไป กรณีบิ๊กดีล เงินมหาศาลกว่า 73,271 ล้านบาท จากการขายหุ้นในเครือ “ชิน” (SHIN) คอร์ป ของตระกูลชินวัตร และดามาพงศ์ ให้กับเทมาเส็ก อันนั้นเป็นกรณีตัวอย่างที่เห็นกันมาแล้วว่า เป็นธุรกรรมทางการเงินที่มองได้หลายมิติมาก ถ้ามองทางด้านธุรกิจ ก็คือการผันเงินออกจากธุรกิจนึงเพื่อไปลงทุนในธุรกิจใหม่ที่ดีกว่า ในสายตาคุณทักษิณ (ซึ่งเวลาต่อมาก็ได้เฉลยมาว่า แกสนใจธุรกิจด้านพลังงาน) บางคนมองไปอีกด้านนึงซึ่งเป็นด้านลบว่า แกกำลังฟอกเงินจำนวนมหาศาล ที่แกได้มาช่วงมีอำนาจ ให้กลายเป็นเงินสุจริตขึ้นมา แล้วผ่องถ่ายออกเสีย แต่ถ้ามองเป็นมิติด้านการเมือง ก็นั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เป็นชนวนในการโจมตี ขับไล่ จนสุดท้ายต้องหลุดจากอำนาจไป วกมาเข้าเรื่องต่อ ดีลอื่นๆ ที่ไม่มีดีลไหนจะใหญ่เท่าดีลของชิน-เทมาเส็ก แต่ก็อยู่ในข่ายของการทำ Cash Out -4 มีดังนี้

1.ดีลเจ้าพ่อโรงหนัง คุณวิชา พูลวรลักษณ์ เจ้าของและซีอีโอ ของ เมเจอร์ ซีนีเพล็กกรุ๊ป (major) เลือกที่จะ cash out บางส่วน ทยอยเทขายหุ้นเมเจอร์ออกไป ทั้งในส่วนของตัวเองและภรรยา ได้เงินสดมานอนกอดกว่า 1,700 ล้านบาท ก่อนที่จะนำเงินนั้นไปซื้อหุ้นในบริษัท แมคไทย ซึ่งเป็นเจ้าของแฟรนไชส์รายใหญ่ นามว่า แม็คโดนัลด์ เพื่อเอามาต่อยอดเติมเต็มจิ๊กซอว์ธุรกิจให้กับเมเจอร์ ในขณะที่ธุรกิจยังคงโตต่อไป และตัวเองก็ยังนั่งบริหารอยู่ แม้ว่าหุ้นใหญ่ตกไปเป็นของสถาบันในประเทศ และกองทุนจากต่างประเทศแล้วก็ตาม

2.ดีลของกลุ่มณรงค์เดช ที่เลือกที่จะขายธุรกิจของครอบครัว KPN ออโตโมทีฟ ออกไปให้กับ อาปิโก้ไฮเทค แทน  ทำให้ cash out เงินออกไปได้กว่า 1,000 ล้านบาท แล้วนำเงินไปทำธุรกิจด้านโลจิสติกส์ และอื่นๆ แทน

3.ดีลของคุณตัน ภาสกรนที ผู้ปลุกปั้นแบรนด์ “OISHI”มากับมือ ยอมตัดใจขายหุ้นส่วนใหญ่ให้กับ คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ในนามของ บ.ไทยเบฟ ซึ่งดีลนี้ทำให้คุณตัน ได้เงินสดติดมือมากว่า 3,351ล้านบาท ภายหลังคุณตันก็นำเงินจำนวนนี้ไปลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ ทำรีสอร์ทบ้าง ตั้งบริษัทตันไม่ตันอะไรของแก ทำร้านอาหารญี่ปุ่นบ้าง และสุดท้ายมาเฉลยแบบสร้างกระแสดังไปทั่ววงการ ว่าแกตั้งใจจะทำอิชิตัน (ICHITAN) มาแข่งกับ OISHI นั่นเอง แสบมั๊ยหล่ะ แต่ต้องถือว่า win-win ทั้งคู่ เพราะว่าคุณเจริญซื้อมาก็ต้องถือว่าเกินคุ้ม เพราะตอนนั้นซื้อมาในราคาหุ้นละ 32.50 บาท ปัจจุบันราคาหุ้นโออิชิ ปาเข้าไป 110 บาทแล้ว ราคาขยับเป็น 3 เท่าจากที่ซื้อมา แถมมาร์เก็ตแชร์ของโออิชิก็ไม่ได้ลดลงมาก ยังคงเป็นผู้นำอยู่ นี่จะเรียกว่าเป็นบิ๊กดีล ที่ฉลาดที่สุด ก็ว่าได้ในประวัติศาสตร์ชาติไทย

4.ดีลกลุ่มเบญจรงคกุล ขายหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทยูคอม ผู้เป็นเจ้าของแบรนด์มือถือ Dtac ให้กับกลุ่ม เทเลนอร์ บริษัทยักษ์ใหญ่จากนอร์เวย์ ในช่วงที่ธุรกิจโทรคมนาคม ยังอยู่ในยุคดิจิตอล และมีการแข่งขันกันสูงมาก และดีแทคก็เป็นรองจากคู่แข่งคือ แอดวานซ์ และก็มีรายใหม่เข้ามาแข่ง มีข่าวถึงการเปิดเสรีด้านโทรคมนาคม รวมถึงการแปรรูปบริษัท TOT และ CAT เข้ามาร่วมวงสู้ด้วย การมาของ 3G ที่ต้องเปิดประมูลและลงทุนในมูลค่ามหาศาล ทำให้คุณ บุญชัยและวิชัย เบญจรงคกุล 2 พี่น้องถอดใจยอมขายธุรกิจทิ้ง เพื่อเอาเงินไปลงทุนด้านอื่น ทำกิจกรรมเพื่อสังคมจำนวนมาก เช่น โครงการสำนึกรักบ้านเกิด การขายหุ้นครั้งนั้น กลุ่มเบญจรงคกุล ขายไปในราคาหุ้นละ 53 บาท ได้เงินไปเฉียดๆ 9,200 ล้านบาท ภายหลังแม้ทราบว่า คุณบุญชัย แอบนำเงินสดส่วนหนึ่งไปซื้อคืนธุรกิจเดิมของตัวเองกลับคืนมาบ้างแล้วก็ตาม

ในมุมมองของ Deal Maker ตัวพ่อ อย่าง ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ปธ.บ.หลักทรัพย์ asiaplus (ASP) ได้ให้ข้อคิดมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า
“การ cash out มีมานานแล้ว นับตั้งแต่สมัย โรบินสันขายหุ้นไขว้ให้กับเซ็นทรัล ซึ่งถือเป็นดีลตำนานธุรกิจของไทย ที่ผ่านการดีลโดย ดร.ก้องเกียรติเอง เมื่อ สิบกว่าปีที่ผ่านมา ดีลอื่นๆ ก็เกิดขึ้นตามมาในยุคหลังๆ ตอนนี้แนวคิดหรือค่านิยมของบรรดาเจนเนอเรชั่นใหม่ๆ ของตระกูลดังๆ หรือนักธุรกิจรุ่นใหม่ๆ ในวันนี้ เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง สมัยก่อนการขายธุรกิจสำหรับนักธุรกิจคนไทย หรือคนจีนรุ่นเก่าๆ ที่บุกเบิกบริษัทมาด้วยตัวเองกับมือ เรื่องเหล่านี้ทำไม่ได้ ถือว่าเป็นการเสียหน้า เป็นเรื่องของศักดืศรี กลัวเพื่อนฝูงบอกว่าเดี๋ยวนี้ถึงขนาดต้องขายบริษัทกินกันแล้วเหรอ เหมือนกับเสียหน้ารับไม่ได้ แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษามาจากโลกตะวันตก พวกนี้จะรับเอาแนวความคิดใหม่ๆ มา จะไม่ยึดติด เพราะรู้ว่าของทุกอย่างมีราคาและช่วงเวลาของมัน”

หลัก 2 ข้อที่ ดร.ก้องเกียรติ มักจะย้ำเสมอๆ ในหลายโอกาส หลายสถานที่ ก็คือ 1 อย่ายึดติด 2 ของทุกอย่างมีราคาที่เหมาะสม ในจังหวะใดจังหวะหนึ่งเท่านั้น ทุกธุรกิจย่อมมีวัฏจักร การเติบโต มีขึ้นมีลง มีสูงสุดและมีต่ำสุด เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดติด... เขายกตัวอย่างให้เห็นว่า ปากกาด้ามนี้มีมูลค่าอยู่ที่ 200 บาท ถ้าอยู่ๆ มีคนจะมาขอซื้อต่อที่ราคา 500 บาท คุณจะขายมั๊ย ถ้าไม่อยากขาย กลัวเสียหน้า แต่สักพัก พอมีปากการุ่นใหม่มาแทน ปากกาด้ามนี้อาจจะมีมูลค่าลดลงมาเหลือแค่ 100 บาท เผลอๆ ลดลงมาเหลือแค่ 50 บาท และอีกหน่อยอาจจะเหลือแค่ 2 บาท “อย่ายึดติด !” ดร.ก้องเกียรติย้ำ “ของทุกอย่างมันมีราคาของมัน ถ้ามันแพงเกินไปแล้วก็ต้องขาย ถ้ามันถูกเกินไปก็ต้องซื้อเข้ามา....ก็แค่นั้น อย่างที่บอก ของทุกอย่างมีราคาของมัน อยู่ๆ เกิดมีคนมาให้พรีเมียมคุณเยอะอย่างนั้น เป็นคุณ..คุณจะไม่ขายเหรอ ถ้าคิดในแง่ตัวเลขนะ เป็นผม..ผมก็ขายนะ” ดร.ก้องเกียรติ ตอบคำถามที่ว่า ดีลการขายหุ้นชินคอร์ป จะมีส่วนมั๊ยกับการจุดประกายให้กับนักธุรกิจรุ่นใหม่ในเมืองไทยให้เดินตามรอยอดีตนายกฯ ดร.ก้องเกียรติ บอกว่า วิเคราะห์ว่าให้ดูจาก 4 องค์ประกอบหลักๆ ด้วยกัน คือ

1.ความสนใจที่จะทำธุรกิจนั้นต่อ ถ้าคิดว่าตัวเองก็ไม่ได้สนใจมาก แก่แล้ว หรือลูกหลานก็ไม่สนที่จะทำต่อ ก็ขาย

2.ความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับคู่แข่งเป็นอย่างไร ? “ถ้ามองไปแล้ว ทางข้างหน้าคู่แข่งมีเทคโนโลยีใหม่ มีต้นทุนที่ต่ำกว่า มีเครือข่าย เรา (เจ้าของธุรกิจ) จะเหนื่อยมากขึ้นมั๊ย ก็ตัดสินใจว่าจะรักษาหรือขายออกไป

ความสามารถในการแข่งขันนี้ ยังครอบคลุมกว้างไปถึงต้นทุนทางการเงิน ความสามารถทางการตลาด และทีมผู้บริหารเก่งด้วยหรือไม่ ฯลฯ

3.เรื่องราคาที่มีคนเสนอขอซื้อ “ราคาน่าสนใจหรือเปล่า จะซื้อหมดหรือบางส่วน เจ้าของบางคนก็อยากเก็บไว้บางส่วน เพื่อให้มีส่วนร่วมในการบริหารต่อไป ขณะที่บางคนอาจเลือกที่จะ cash out ออกไปทั้งหมด เหมือนอย่างดีลของกลุ่มณรงค์เดช KPN”

ของทุกอย่างมีราคา แต่คำว่า “ราคาที่เหมาะสม” ดร.ก้องเกียรติปฏิเสธว่า ไม่จำเป็นต้องหมายถึง “จุดพีค” หรือจุดสูงสุดของธุรกิจเสมอไป เพราะคนซื้อไม่ได้โง่ทุกคน ! แม้ว่าจะมีการตั้งข้อสังเกตว่า ในหลายๆ เคส ทั้งกรณีโออิชิ หรือ ชินคอร์ป ล้วนเป็นการขายธุรกิจเมือถึงจุดพีคแล้ว (อันนี้เป็นความเข้าใจของคนทั่วไปว่าธุรกิจนั้นพีคไปแล้ว แต่กาลต่อมาเราก็ยังเห็นว่าเกมธุรกิจยังเดินต่อไปได้อีก เมื่อสนามแข่งขันเปลี่ยนแปลงผู้เล่นใหม่ๆ เข้ามาหรือมีกติกาใหม่ๆ ) ดร.ก้องเกียรติ อธิบายต่อว่า พีคของคนขาย อาจไม่ใช่พีคของคนซื้อก็ได้ ธุรกิจที่ดูจะถึง “ขาลง” หรือจุดสูงสุดในมือของคนหนึ่ง เมื่อเปลี่ยนมือไปสู่อีกมือหนึ่ง ก็อาจจะมีแรงส่งให้ทะยานไปได้ต่อ
“ตลาดทุกตลาดมัน p/e ไม่เหมือนกัน ตอนที่ขายหุ้น shin ราคา 49.25 บาท ผู้ซื้ออาจบอกว่า ถูกเป็นบ้าเลย เพราะ cost of fund เขาต่ำ ถ้าเขาไปซื้อหุ้นแบบนี้ที่อื่น อาจแพงกว่านี้ตั้งเยอะ สมมติของของเราขายอยู่ตลาดเมืองไทย p/e 10 เท่า แต่พอขายให้ต่างประเทศ เขาบอกถูกเป็นบ้า เพราะของเขา p/e 20 เท่า เขาก็ไป consolidate กับธุรกิจที่มืองนอก แต่องค์ประกอบสุดท้ายของการขายหุ้น ที่เป็นตัวแปรที่สำคัญก็คือ เรื่องจังหวะ “บางทีอยากขาย แต่ไม่ได้ราคาที่ดี บางดีลคุยกันจนใกล้จบ เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติขึ้นมาบ้าง ราคาตกลงห่างกันบาทนึง ดีลไม่จบ ในที่สุดก็มาเสียดายภายหลัง” เรื่องของจังหวะจึงสำคัญ เพราะคนซื้อไม่ได้พร้อมตลอดเวลา “เมื่อสิบปีที่แล้ว จังหวะที่ใบอนุญาต บงล. มีคนอยากจะซื้อ ให้ราคาเกือบพันล้าน ผมไปถามเถ้าแก่คนหนึ่งบอกไม่ขาย แต่เสร็จแล้วก็ถูกปิดบริษัทไป ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 หรืออีกเคสหนึ่ง บริษัทประกันภัย สมัยสิบปีที่แล้วรุ่งเรือง ราคาหุ้นพุ่งมหาศาล อยู่ ๆมีต่างประเทศจะมาขอซื้อ ผมไปเจรจา ห่างกันอยู่แค่ 2บาท คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็แค่ 4-5% ไม่ยอมขาย พอการแข่งขันมหาศาล ราคาหุ้นก็ตกลง” เขายกตัวอย่าง เมื่อไหร่จังหวะมาแล้ว แต่ตัดสินใจพลาด ไม่ขาย นั่นอาจทำให้ต้องรอไปอีกนานนนนนนนนนน
“โอกาสที่ดีมีเพียงครั้งเดียว ! คติในการทำธุรกิจของผม โอกาสของคุณมีครั้งเดียวเสมอ ในหลายๆ เรื่อง และถ้าคุณไม่เอา มันก็จะหลุดผ่านไปเลย” ดร.ก้องเกียรติ บอก

สถานการณ์โลกธุรกิจทุกวันนี้ มันเป็นแบบ “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” ทำให้หลายธุรกิจต้องรู้จักปรับตัวตามทิศทางลม ชนิดที่ว่า ถ้าเข็นให้ใหญ่ไม่ได้ ก็ต้องขายทิ้ง หรือหาทางควบรวมเพื่อความแข็งแกร่ง ถ้าไม่ไปเทคโอเวอร์ธุรกิจอื่น ก็ต้องปล่อยให้ธุรกิจอื่นมาเทคโอเวอร์เรา ล่าสุด กลุ่มทุนต่างชาติ นอกจากญี่ปุ่น อเมริกา ยุโรปบางชาติ สิงคโปร์ (จอมเขมือบ) ที่เข้ามานานแล้ว ตอนนี้ก็เริ่มมีทุนจากจีน มาเลเซีย อินเดีย และชาติตะวันออกกลาง ที่สนใจโฉบเข้ามา “ช็อปธุรกิจ” ในเมืองไทยกันมาก
“พูดมาหลายปีแล้ว ถ้าคุณไม่ใหญ่ไปเลย ก็ต้องเล็กพริกขี้หนู มีแค่สองอย่าง กลางๆ อยู่ไม่ได้ ถ้าคุณไม่มีจุดเด่นอยุ่ไม่ได้” นั่นคือ ทิศทางลม ที่กำลังเปลี่ยนไปในยุค globalization เช่นเดียวกับแนวคิด “กอดธุรกิจหรือความเป็นเจ้าของ ไว้กับตัวเอง กำลังจะค่อยๆ จางหายไปเรื่อยๆ” แนวคิดที่ว่าสร้างธุรกิจมาให้ลูกหลานรัน เป็นแนวคิดที่เก่าแล้ว ถ้าลูกหลานของคุณไม่เก่ง คุณก็ต้องเอาคนเก่งกว่ามารันจะดีกว่า อย่าไปยึดติดเลย ธุรกิจไปไม่รอดแน่ หรือกรณีลูกหลานอาจไม่สนใจทำธุรกิจของกงสี คุณก็เอาคนเก่งมาดำเนินธุรกิจนั้นต่อ หรือขายทิ้งไป กำเงินสดในมือแทน สำหรับ ดร.ก้องเกียรติแล้ว สุดยอดของนักธุรกิจ ก็คือการเป็นนักลงทุน และการเป็นสุดยอดของนักลงทุน ก็คือต้องรู้จัก Cash Out....ก็คือซื้อให้ถูก และขายให้เป็น!


มาถึงมุมมองของนักเทคโอเวอร์ชั้นเซียน เซียนหุ้นใหญ่ และอดีตมือบริหาร “เฮดจ์ฟันด์ (กองทุนบริหารความเสี่ยง)” คุณเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานกรรมการบริหารเครือโอเรียนเต็ล มาร์ท กรุ๊ป ประเทศอังกฤษ อธิบายถึงกลยุทธ์ การ Cash Out โกยเงินเข้ากระเป๋าตนเอง ว่า มีหลักการ 2 ข้อ คือ

-สร้างธุรกิจแล้วเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ ฯ กระจายหุ้นขายส่วนหนึ่งกับนักลงทุนทั่วไป แต่อีก step นึงที่เหนือกว่าวิธีแรก ที่น่าสนใจ ก็คือ เอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว Cash Out อีกรอบหนึ่งโดยขายหุ้นใหญ่ที่ตัวเองถืออยู่ออกไป และยังมีข้อตกลงว่าสามารถบริหารกิจการต่อไปได้ อย่างกรณีของหุ้น ชินคอร์ป และ ตัน โออิชิ ค่อนข้างชัดเจนว่า Cash Out แล้วได้ราคาดี จากประสบการณ์ “Deal Maker” ที่ผ่านการทำดีลที่มาเลเซียมาแล้ว 60-70 ดีล ทั้งควบรวม และซื้อขายกิจการจนเป็นมืออาชีพ เอกยุทธบอกว่า สำหรับนักเทคโอเวอร์ตัวยงแล้ว จะไม่มีความรู้สึกแบบ Sentimental กับหุ้นหรือธุรกิจตัวใดตัวหนึ่งเป็นพิเศษ ต้องทำตามเงื่อนไขของดีลแต่ละดีลนั้น

เอกยุทธ บอกว่า จังหวะในการ cash out ไม่มีใครรู้หรอกว่า จุดสูงสุดอยู่ตรงไหน แต่ต้องรู้จักขายก่อนถึงจุดอิ่มตัว

ยกตัวอย่างธุรกิจกาแฟ ปีแรกเริ่มบูม ปีที่ 2 อิ่มตัว คนเปิดร้านกันเยอะ การแข่งขันสูงแล้ว พอมีคนมาทำเยอะ เป็นผมก็ต้องไปแล้ว ปล่อยในราคาที่พอใจ ยกตัวอย่าง กาแฟบ้านไร่ ตอนพีคสุด มีคนมาขอซื้อ แต่ไม่ได้ขายไป แต่พอจะมาขายตอนนี้ ไม่ได้แล้ว หรือขนาดอย่าง สตาร์บัคส์เองก็เหนื่อย ต้องปรับตัวธุรกิจอย่างมากเลยในเวลานี้ ประเภทที่ “ออกไม่ทัน” ก็อย่างกรณี ออเร้นจ์ (ชื่อเดิมของทรูมูฟ) พลาดจังหวะ ไม่ได้ cash out ในช่วงที่ราคาหุ้นขึ้นไปเกินมูลค่า “อันนี้เป็นแทคติค ถ้า cash out ไม่เป็น ไม่รู้จังหวะในการขาย ก็ต้องมาตกอยู่ในมือธุรกิจของตัวเอง แล้วดิ้นรนต่อไป รออีกรอบนึง แล้วรอรอบหน้า (ถ้ามีโอกาส) ซึ่งอย่างน้อยต้องรอเป็นสิบปี แต่ส่วนใหญ่ ถ้าพลาดโอกาสแล้วก็ยาก

เอกยุทธ อธิบายว่า สมมติถ้าลงทุนไปพันล้าน ทำไป 3-4ปี เปรียบเทียบผลตอบแทนกับฝากธนาคารได้ yield 6-7% หรือถ้าไปลงทุนในเฮดจ์ฟันด์ ไพรเวทฟันด์ ได้ผลตอบแทน 20-25% ถ้ามีคนมาซื้อ เสนอราคาแบบได้กำไรร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างนี้ ถ้าไม่เอา ก็ถือว่าคุณเป็นคนโลภมากแล้ว ส่วนใหญ่จะใช้คำว่าโง่เลยก็ว่าได้ แต่เราถือว่าโลภ เพราะต้องเอาแล้ว เพราไม่มีการลงทุนใดๆ ในโลกที่จะทำได้ ไปในทางเดียว คือกำไรตลอด

การ cash out พวกนี้ ก็ยังเหลือหุ้นส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะมีข้อตกลงให้บริหารต่ออีกอย่างน้อย 3ปี อย่างน้อยตัวเองก็ยังได้กุมธุรกิจต่อ อย่างกรณีคุณสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง (อดีตเจ้าพ่อธุรกิจเหล็ก NSM) ใครๆ ก็บอกแกถอย แต่ผมว่าไม่ใช่ ผมว่าแก cash out ไม่ได้ออกไปมือเปล่า และเมื่อถอยออกไปก็ไปทำธุรกิจอสังหาฯ ที่มีอยู่ ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ หรืออย่างกรณี การเทขายหุ้นของกลุ่มผู้บริหารบล. ภัทร (PHATRA) หลังจากทำ MBO ซื้อหุ้นคืน บล.เมอร์ริล ลินซ์ พอปรับตัวได้ระดับนึง เข้าตลาด และเริ่มมีมูลค่า ก็ cash out ขายหุ้นออกไปในราคาที่ค่อนข้างสูง “จริงๆ ก็ถือว่าเป็นการเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อยนะ เพราะข้อมูลทุกอย่างตัวเองมีอยู่” เอกยุทธตั้งข้อสังเกตว่า ประเด็นที่น่าสนใจที่ต้องมองลึกลงไปอีก ก็คือ การ cash out ที่เกิดขึ้น บางดีลอาจเป็นการ “สมรู้ร่วมคิด” ระหว่างบริษัทมหาชนกับบริษัทโบรกเกอร์เหมือนกัน ทั้งสร้างวอลุ่ม และราคาเกินจริงสูงกว่าที่ควรจะเป็น คือ win-win ทั้งคู่ บางกรณี บริษัทที่ต้องการเทคโอเวอร์อีกบริษัทหนึ่ง เพราะมีเงินสดในมือเหลือเยอะ บางกรณีทำเพื่อเลี่ยงเสียภาษี บางกรณีต้องการซื้อไปเพื่อต่อยอดทางธุรกิจจริงๆ ก็มี หรือบางกรณีซื้อมาเพื่อปั้นย้อมแม้ว แล้วขายออกไปอีกทีนึงก็มี

รูปแบบการ Cash Out ธรกิจ ในสไตล์เอกยุทธ ได้แก่

-สร้างธุรกิจแล้วนำเข้าตลาดหุ้น จากนั้นก็ขายหุ้นทิ้ง

-สร้างธุรกิจแล้วเข้าตลาดหุ้น แล้วขายหุ้นใหญ่ออกหมด แต่ยังได้นั่งบริหารต่อ

-ธุรกิจที่มีเงินสดในมือมาก จะต้องนำเงินไปซื้อกิจการดีๆ เพื่อเลี่ยงภาษี แล้วแบ่งส่วนต่างกับเจ้าของ

-ซื้อธุรกิจในนามส่วนตัว แล้วขายให้กับบริษัทในเครือ

-ซื้อธุรกิจเพื่อต่อยอด เติมเต็มกิจการที่มีอยู่

-ซื้อธุรกิจมาปั้นแล้วขายต่อ

-ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นเพราะถูกบีบ แต่ยังมีสิทธิในการบริหาร

-ซื้อธูรกิจมาขาย แต่ยังนั่งบริหาร

ทฤษฏีการสร้างกระแสแบบ "เงินมา ผ้าหลุด"

ทฤษฏีการสร้างกระแส แบบ เงินมา = ผ้าหลุด

สมการที่ว่า เงินมา = ผ้าหลุด

ไม่มี Text หรือตำราทางวิชาการเล่มใด เคยระบุไว้ว่าใครเป็นคนคิดทฤษฏีของสมการนี้

ทฤษฏีที่ 1 สมการ เงินมา = ผ้าหลุด

เงินมาที่ว่า จะมีปริมาณมากน้อยเพียงใด หล่ะ ตามทฤษฏีบอกว่า เงินจำนวนนั้นจะต้องมากกว่าหรือเท่ากับความต้องการที่เจ้าของผ้าอยากจะได้

ส่วนผ้าจะหลุดมากน้อยเท่าใด ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของเงินด้วยเช่นกัน คือถ้าเงินมาก ผ้าก็หลุดมาก ถ้าเงินน้อย ผ้าก็หลุดน้อย

ถ้าเป็นไปตามทฤษฏีนี้ ถ้าหากเงินไม่มา หรือมาน้อยมาก ผ้าก็อาจจะไม่หลุด เลยก็เป็นไปได้

ทฤษฏีที่ 2 สมการ เงินไม่มา/ไม่มาก = ผ้าหลุด

ตามทฤษฏีนี้บอกว่า เงินแม้จำนวนน้อย หรือเงินไม่มีก็ได้ แต่ผ้าก็พร้อมที่จะหลุดได้เสมอ อันนี้คงเป็นความพอใจของผ้าที่พร้อมจะหลุดได้เลย ถ้าพึงพอใจ เจ้าของเงินที่ว่า เจ้าของเงินอาจไม่มีเงิน หรือมีเงิน จะมีน้อยมีมากก็ได้ เจ้าของผ้าไม่ได้สนใจที่เงิน แต่สนใจที่ตัวของเจ้าของเงินมากกว่า

ทฤษฏีที่ 3 สมการ เงินมาแล้ว/เงินพร้อมกองไว้ตรงหน้าเลย = ผ้าไม่มีทางหลุด

ตามทฤษฏีนี้บอกว่า ถึงเงินจะมาก มากองไว้ตรงหน้าเลย ไม่อั้น แต่ผ้าก็ไม่พร้อมจะหลุด หรือไม่มีทางหลุด เพราะไม่เต็มใจที่จะหลุด นอกจากบังคับขืนใจเอา เพราะเจ้าของผ้า ไม่พึงพอใจทั้งตัวเงินและเจ้าของเงินนั้น แต่ถ้าพึงพอใจ เจ้าของเงินนั้นเมื่อไหร่ เงินอาจไม่จำเป็นก็ได้ ตามทฤษฏีนี้ก็คือเจ้าของผ้า ไม่เต็มใจที่จะผ้าหลุด ดังนั้น เงินจะมากหรือน้อย จะมาหรือไม่มา ก็ไม่สนใจ

ในโลกปัจจุบันนี้ ทฤษฏี เงินมา ผ้าหลุด ได้ถูกนำมาใช้ในแง่การตลาดกันมาก จนกลายเป็นกระแส Talk of the Town กันมากขึ้น อย่างเช่น เมื่อปีกลาย กระแส จ๊ะ คันหู ดัง ด้วยเสียงเพลงที่มีภาษา2 แง่ 2 ง่าม ล่อแหลม ท่าเต้นที่เย้ายวนใจ พอมาปีนี้ กลายเป็น น้องปอนด์ Thailand’s Got Talent ที่มาสร้างกระแส ด้วยวิธีการเงินมาผ้าหลุด ในวงการแฟชั่น นั้นใช้ทฤษฏีนี้มาตั้งนมนานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนิตยสาร PlayBoy, PentHouse ในบ้านเราก็พวกนิตยสารปลุกใจเสือป่า และพวกปฏิทินเหล้า เบียร์ ทั้งหลายทำมานานแล้ว หรือดารา นายแบบ นางแบบ ลุกขึ้นมาถ่ายรูปเซ็กซี่ในช่วงซัมเมอร์ มีนิตยสารหลายหัวทำกันอยู่ ฝ่ายหญิง ที่เคยเป็นข่าวฮือฮา ก็อาทิ เพ็ญพักตร์ ศิริกุล ,ดาริน กรสกุล ,มรกต มณีฉาย ,ทัดทรวง มณีจันทร์ ,อังคณา ทิมดี , น้องแน๊ต เกศริน ,บี วัลวิภา โยคะกุล , เปิ้ล ไอริณ ,โยโกะ ทาคาโน่ , หมออ้อย , ตั๊ก บงกช ,น้องไอซ์ อภิษฏา ,เมย์ พิชนาฏ , เป้ย ปานวาด ,อุ้ม ลักขณา ฯลฯ ด้านฝ่ายชาย ที่เคยมีข่าวสร้างกระแส ก็อาทิ เช่น โอ๋ ไอศูรย์ ,ติ๊ก ฉัตรมงคล,เอ็กซ์ ปิยะ,อ้น สราวุธ, นิกกี้ พริ้ม ,แท็ค ภรัณยู ,นาธาน โอมาน ฯลฯ หรือแม้กระทั่งนำนักมวย ชื่อดังอย่าง สามารถ พยัคฆ์อรุณ และ ก็ศิริมงคล สิงห์วังชา ก็เคยผ้าหลุดเพื่อเงินมาแล้ว

ในด้านวงการเพลงนั้น แม้จะไม่กล้านำทฤษฏีนี้มาใช้อย่างโต้งๆ เพราะกลัวถูกแบนหรือเซ็นเซอร์ แต่ก็นำมาใช้แบบอ้อมๆ ผ่านมิวสิควีดีโอที่หวือหวา อาทิ วงเกิร์ลกรุ๊ป อย่าง เกิร์ลลี่เบอร์รี่ ,โฟร์ มด มิวสิควีดีโอของทาทายัง (ในอัลบั้มเพลงสากล) พวกบรรดานักร้องที่เน้นขายรูปลักษณ์มากกว่าเสียง จำนวนมาก สังเกตดูได้จากช่องเพลงของเคเบิ้ลทีวี


ทางด้านวงการละครนั้น นักแสดงฝ่ายหญิงที่เคยมีบทแรง ในแง่การแสดงอย่าง อั้ม พัชราภา ,พลอย เฌอมาลย์, ชมพู่ อารยา แต่ด้านการแต่งกายก็ยังไม่มีใครกล้านำเอาทฤษฏีนี้มาใช้ (กลัวไม่ผ่านกบว,กองเซ็นเซอร์) โดยมากใช้กับนักแสดงชาย มาเป็นตัวเรียกเรตติ้ง (พวกเก้งกวาง) แทน อาทิเช่น อั้ม อธิชาติ ในขุนศึก , เวียร์ ศุกลวัฒน์ ใน ขุนเดช , สน ยุกต์ ในสาวน้อย , โฬม พัชฏะ ในเชลยศักดิ์ , ณเดชณ์ คูกิมิยะ ใน เกมร้ายเกมรัก , พอร์ช ศรัณย์ ใน ลูกผู้ชายไม้ตะพรต เป็นต้น

กรณีของภาพยนตร์ก็กำลังเป็นที่ฮือฮาอยุ่เวลานี้ 2 เรื่องก็ไม่พ้นกระแสนี้ ก็หยิบเอาทฤษฏีเงินมาผ้าหลุด มาใช้สร้างจุดขาย แม้ว่าเนื้อหาข้างในของภาพยนตร์จะต้องการสื่อสารทางด้านดราม่ามากกว่า และมีข้อคิดด้านดีๆ อยู่ แต่ก็จำเป็นจะต้องนำทฤษฏีนี้มาใช้เพื่อเป็นตัวเรียกกระแสความสนใจก่อน นั่นก็คือเรื่อง Magic Mike และ จันดารา

เรื่องย่อ ภ. เรื่อง Magic Mike เขย่าฝันสะบัดซิกแพค (M Pictures)
กำหนดฉาย : 28 มิถุนายน 2555
นำแสดง : แชนนิง เททัม, อเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์, แมทธิว แม็คคอนาเฮย์, โจ แมนเกนเนโล่
กำกับโดย สวีเว่น โซเดอร์เบิร์ก

Magic Mike เป็นหนังที่ได้ถูกดัดแปลงมาจากชีวิตของ Channing Tatum ก่อนเข้าวงการฮอลลีวูด (Hollywood) เมื่อเขา (Alex Pettyfer) เลือกที่อยากจะเต้นระบำเปลื้องผ้า ความเร่าร้อนของการเต้นเปลื้องผ้าบนเวทีจากนักเต้นรุ่นพี่อย่าง "ไมค์" (Channing Tatum) ซึ่งสาเหตุที่เขาเลือกเพราะเป็นงานที่หาเงินได้ง่ายเพียงแค่ใช้สรีระ รวมถึงผู้หญิงและปาร์ตี้

สาวน้อยสาวใหญ่เตรียมน้ำหลายไหลย้อยกันได้เลย เพราะ แชนนิง เททัม (Channing Tatum) จะสลัดผ้าให้เหลือน้อยชิ้นที่สุดในหนังเรื่องนี้ ด้วยบทบาทที่เขาจะเล่นเป็นหนุ่มระบำเปลื้องผ้า ซึ่งใครจะรู้หรือไม่ว่าหนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง ชีวิตจริงของ แชนนิง เททัม เอง ก่อนที่เขาจะเข้ามาวงการฮอลลีวูดและโด่งดังกันอย่างที่เห็น

ไมค์ (แชนนิ่ง ทาทั่ม) เป็นนักธุรกิจ เขาเป็นชายหนุ่มมากความสามารถ มีเสน่ห์ล้นเหลือ ช่วงกลางวัน เขาใช้เวลาไปกับการไล่ตามความฝันของคนอเมริกัน ตั้งแต่การมุงหลังคาบ้าน ทำความสะอาดรถ ไปจนถึงการออกแบบเฟอร์นิเจอร์จากคอนโดบนชายหาดแทมป้า แต่กลางคืนเขาร่ายมนต์สะกัดสาวๆ ด้วยท่วงท่าการเต้น และซิกแพ็ค


เรื่องราวกล่าวถึงหนุ่มไมค์ นักแสดงหนุ่มสุดฮ็อตบนเวทีชายล้วน เขย่าเวทีของคลับเอ็กซ์ควิซิท ให้สั่นสะเทือนมานานหลายปีด้วยสไตล์การเต้นที่ไม่เหมือนใคร เร่าร้อน ยิ่งสาวๆ รักเขามากเท่าไหร่ พวกเธอก็ยิ่งต้องจ่ายเงินหนักมือมากขึ้นเท่านั้น ทำให้ดัลลัส (แมทธิว แม็คคอนาเฮย์) เจ้าของคลับแฮ็ปปี้มากขึ้นด้วย เมื่อไมค์ไปเจอหนุ่มคิด แล้วเห็นแววของเด็กหนุ่มที่เขาตั้งชื่อให้ว่า คิด (อเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์) ไมค์ได้ช่วยดูแลเด็กหนุ่มวัย 19 ปี คนนี้ และคอยสอนศิลปะการเต้นชั้นสูงให้เขา รวมถึงเรื่องเฮฮาปาร์ตี้ การจีบสาว และวิธีหาเงินง่ายๆ ไม่นาน นักแสดงหน้าใหม่ของคลับรายนี้ก็เริ่มมีแฟน ๆ ชื่นชม

ขณะเดียวกัน ไมค์ได้พบกับบรูค (โคตี้ ฮอร์น) พี่สาวคนงามของคิด เธอเป็นคนที่เขาอยากรู้จักสนิทสนม และดูเหมือนเขาจะมีโอกาส เว้นแต่วิธีการใช้ชีวิตของเขาได้กลายมาเป็นอุปสรรคขัดขวาง

ไอเดียในการสร้างหนังที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในโลกของนักเต้นเปลื้องผ้าชาย วนเวียนอยู่ในความคิดของ แชนนิ่ง ทาทั่ม มาตั้งนานแล้ว ด้วยความที่เขาเคยเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนั้น เขาจึงรู้สึกว่ามันมีศักยภาพมากพอที่จะกลายเป็นหนังที่ดูสนุก โดดเด่น เพลิดเพลิน แต่สิ่งที่ทำให้ Magic Mike เดินหน้าขึ้นสู่จอเงินได้ในที่สุด ก็คือบทสนทนาที่เขาเคยพูดคุยกับสตีเว่น โซเดอร์เบิร์ก ทาทั่มซึ่งเป็นทั้งนักแสดงนำ และผู้อำนวยการสร้างของหนังเรื่องนี้ด้วย เล่าว่า “ผมเคยทำงานเป็นนักเต้นระบำเปลื้องผ้าอยู่ 8เดือน ตอนอายุ 18-19ปี ผมคิดอยู่เสมอว่า อยากจะสร้างหนังเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตช่วงนั้น เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการพูดถึงเรื่องนี้ พวกผู้ชายก็จะอยากรู้เกี่ยวกับมันเสมอ ทำนองว่า คุณเข้าวงการนี้ได้อย่างไร มันเป็นยังไง คุณหาเงินได้เท่าไหร่ สตีเว่นบอกกับผมว่า “นายน่าจะทำมันนะ นายน่าจะเขียนบทเรื่องนี้ แล้วฉันจะเป็นคนกำกับให้เอง”

“ผมคิดว่ามันเป็นหนึ่งในไอเดียหนังที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมาเลย” โซเดอร์เบิร์กบอก “ทั้งเซ็กซี่ ทั้งตลก และเป็นมุมมองต่อสังคมได้ด้วย ลับเฉพาะที่น่าสนใจ ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน” ทาทั่มเล่าให้ฟังต่อว่า แทนที่จะเป็นเหตุการณ์จริงๆ “ สิ่งที่ผมอยากจะถ่ายทอดคือบรรยากาศ และพลังงงานของมัน และความรู้สึกของการอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตที่คุณทดลองทำสิ่งต่างๆ และพร้อมที่รับทุกสิ่ง คุณอาจมีแผนสำหรับอนาคต แต่ตอนนี้ มันเป็นเรื่องของเงินเดือนงวดถัดไป ปาร์ตี้ครั้งต่อไป และการสนุกสุดเหวี่ยง” ตามที่ทาทั่มเล่า ตอนอายุ 18 เขาเปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น ตอนที่ได้ยินโฆษณาทางวิทยุ ประกาศหาตัวชายหนุ่มที่รักการเต้น เพื่อออดิชั่นสำหรับการเต้นชายล้วน “ผมคิดว่า ลองดูก็ได้ ก็ผมเต้นเป็นนี่ มันน่าจะเป็นสิ่งที่ผมสนุกได้สักพักเลย ผมไปขึ้นเวที 2ชั่วโมง และทำเงินได้ 150 เหรียญ บางครั้งก็มากถึง 600เหรียญต่อสัปดาห์เป็นเงินสด ถือเป็นเงินจำนวนมากมหาศาลสำหรับผมในตอนนั้น” ทาทั่มเล่าต่อ “ผมสนุกกับการแสดง แม้การสวมกางเกงในจีสตริงขึ้นเวที จะเป็นประสบการณ์ที่น่าอายอยู่บ้าง ยิ่งคุณพยายามจะทำตัวเซ็กซี่มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งแป้กมากขึ้นเท่านั้น นักเต้นเปลื้องผ้าเป็นคนที่เฉิ่มที่สุด เท่าที่คุณจะได้พบ ถ้ามันเป็นการล้อเลียนพนักงานดับเพลิง มันก็จะเป็นเวอร์ชั่นของพนักงานดับเพลิงที่เฉิ่มที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ แต่สาวๆ ก็ชอบนะ พวกเธอจะกรี๊ด หัวเราะ และยัดเงินเข้าไปในกางเกงในของคุณ มันบ้ามาก เราคิดว่าเราเป็นร็อคเกอร์สตาร์เลยนะตอนนั้น”  


เรื่องย่อ ภ.ไทย เรื่อง จันดารา (ฉบับรีเมค และตีความใหม่ โดย มล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล)
กำหนดฉาย : ประมาณเดือนกันยายน 2555
นำแสดง : มาริโอ้ เมาเร่อร์ , รฐา โพธิ์งาม , สาวิกา ไชยเดช
กำกับโดย มล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล

จัน ดาราเป็นเรื่องของนายจัน ผู้เกิดมาท่ามกลางความคาวคลุ้งของกามาที่แวดล้อม เขาคือบุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของโลกีย์โลกในครัวเรือนซึ่งเป็นอาณาจักรเล็กๆล้อมรั้วบ้านวิสนันท์ไว้ (มีข้อสังเกตว่าเมื่อจันออกนอกบ้าน หรือไปไกลอยู่พิจิตรถึงสามปี กลับไม่มีเรื่องนี้มาสุงสิง) เขาไม่สามารถเติบโตโดยพ้นวิสัยที่จะหนีพ้นออกจากบ่วงกรรมอันน่าสมเพชแห่งนี้ได้ ที่ว่าน่าสมเพชเพราะตัวเขาเองรู้ตัวดีถึงจุดอ่อนในจิตใจแห่งอาการเหล่านี้ การแสดงออกทางเพศ บางครั้งเหมือนเป็นการแก้แค้น เป็นแรงกดดันที่ได้รับได้เห็นจากผู้เป็นพ่อมาตั้งแต่เด็กและเกิดอาการไม่เข้าใจ จึงต้องเลยตามเลยไปในเบ้าหลอมชีวิต ขณะเดียวกันก็เหมือนเป็นการแสดงออกเพราะปรารถนาในอาการขาดแม่ อยากได้รับความอบอุ่นจากผู้หญิงที่เป็นเพศเดียวกับแม่ ฟังเขาเล่าแล้วดูสมเหตุสมผลเมื่อสืบสาวไปถึงต้นตอที่เป็นสัมพันธภาพระหว่างเขากับบุคคลอื่นๆ และนี่คือส่วนที่เรียกว่าเหตุผลของตัวละคร ตรงนี้เองที่ทำให้เรื่องราวนี้ดูหนักแน่น เนียน และสะท้อนด้านลึก(อาจจะรวมคำว่ามืดด้วยก็ได้ ถ้านึกถึงคำถัดๆมา เช่นปกปิดหรือตีแผ่) ของมนุษย์ออกมาอย่างชัดเจนศิโรราบ

นายจัน (oedipus complex and sex obsessive man) เกิดมาตอนแม่ตายไปแล้ว คือแม่ตายระหว่างคลอด และพ่อซึ่งเป็นคุณหลวง (sex obsessive man) เกลียดมาตั้งแต่เกิดจนถึงกับเรียกลูกว่า"ไอ้จัญไร" เวลาไปตั้งชื่อลูกที่กองทะเบียน เลยใช้ชื่อ "จัน"เฉยๆเพื่อความสุภาพ เด็กจันถูกเลี้ยงมาแบบทิ้งๆขว้างๆ ถึงแม้จะถูกยกเป็น"คุณจัน"ของบ้านนี้ แต่สถานภาพก็ไม่ต่างกับบริวารอื่นๆ เขาถูกพ่อดุด่าว่ากล่าวตลอดเวลาที่มีโอกาส พ่อแสดงความรังเกียจโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าทำไม ข้างแม่จากการบอกเล่า เป็นคนมีฐานะดีอยู่ในขั้นเศรษฐินีแห่งเมืองพิจิตร หลังจากที่แม่ตาย พ่อก็ค่อยๆครอบครองสมบัติของแม่ รวมทั้งกำจัดบริวารที่ไม่โอนอ่อนผ่อนตาม นำคนที่ตัวชอบมาเลี้ยงดูแล และเลี้ยงรวมไปถึงสาวๆตั้งแต่แรกรุ่นยันรุ่นดึก แล้วพ่อก็จะประกอบกิจในสนามกรีฑารัตน์ให้เป็นที่เลื่องลือ จันเคยพูดทำนองประชดขันว่า..ถ้าเด็กๆในบ้านหาพ่อไม่ได้ พ่อผมก็จะใจดีรับเขาไว้เป็นลูกหมด...จันนั้นเติบโตเพราะบารมีน้าวาดคุ้มครอง น้าวาดเป็นญาติข้างแม่ เป็นผู้หญิงที่มีจิตใจดีใฝ่ธรรมะและเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดของเขา น้าวาดเองก็ตกเป็นเมียของพ่อจนมีลูกสาวชื่อแก้ว (sex pervert) ซึ่งเธอคนนี้รับเชื้อดีจากพ่อเอาไว้หมด จันอยู่ในบ้านหลังเล็กกับเคน กระทิงทอง (sex expert) ลูกชายแม่พุ่มแม่ครัวในบ้าน ที่คอยสอนเรื่องราวกรีฑาการต่างๆในวิมานสโมสรให้เขา และมีตัวละครสำคัญอีกคู่หนึ่งคือ แม่บุญเลื่อง (object of desire) และคุณขจร (incest) ซึ่งเป็นภรรยาและลูกดั้งเดิมของพ่อที่เขารับเข้ามาอยู่ในบ้านภายหลัง ส่วนตัวละครอื่นๆก็เป็นตัวประกอบในเชิงบรรยายโลกีย์โลก ให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมที่นำกามตัณหามาแสดงความวิปริตในจิตใจมนุษย์แต่ละคน ความโดดเด่นของตัวเรื่องอ่านแล้วไม่รู้สึกก้าวร้าว(offensive) นอกจากความเข้าใจในการใช้ภาษาอย่างที่ผู้เขียนกล่าวไว้ น่าจะเป็นวิธีการเล่าเรื่องในเชิง "อัตถนิยม" ที่ในตอนท้ายนายจันก็บอกเองว่าเป็นการเขียนขึ้นเพื่อรักษาจิตใจจากการแนะนำของหมอประจำตัว เมื่อเล่าในลักษณะระบายทุกข์ใหญ่หลวงนี้ ตัวหนังสือจึงให้โทนเสียงไปในเชิงขบขัน บริสุทธิ์มาตั้งแต่เด็ก อ่านแล้วสนุกมาก ประกอบกับการผูกเรื่องที่ยอดเยี่ยม ผูกปม คลายปมที่สลับซับซ้อนในความสัมพันธ์ของตัวละครและเหตุการณ์เป็นไปที่แท้จริง ทำให้อยากรู้และชวนติดตามตลอดว่าชีวิตของนายจันจะเป็นอย่างไร เมื่อถูกกลั่นแกล้งจนต้องออกจากบ้าน และเมื่อต้องกลับเข้ามาบ้านอีกเพราะความจำเป็นบังคับชนิดที่หนักหนาพอที่จะสืบทอดเวรกรรมอันนี้

สร้างจากวรรณกรรมของคุณอุษณา เพลิงธรรม ซึ่งเป็นนามปากกาของคุณประมูล อุณหธูป เกิดเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๓ พระนคร กรุงเทพ เริ่มศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนเทวะกุญชร จบชั้นมัธยมปลายโรงเรียนมัธยมบ้านสมเด็จเจ้าพระยา หลังจากนั้นเข้าทำงานรับราชการที่กองรังวัด และไปรับราชการกรมสหกรณ์ที่ปากน้ำ สมุทรปราการ เริ่มมีงานเขียนมากมายในช่วงที่เข้าทำงานในแวดวงหนังสือ จนตอนหลังเป็นบรรณาธิการนิตยสารชาวกรุง มีผลงานในนามนี้อีกหลายเล่ม ขณะเดียวกันก็มีผลงานแปลชั้นครู ที่พอจะจำได้และประจำใจมาก เช่น โลงของอีส้า ปีศาจสันนิวาสที่แปลมาจากหนังสือของซิดนีย์ เชลดอน จ้าวแม่ทองดำ โลกียชน เป็นต้น

หนังสือของอุษณา เพลิงธรรมเล่มนี้ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปีพศ. ๒๕๐๙ นับนิ้วแล้วมีอายุยาวนานถึงสามสิบห้าปี เขียนตั้งแต่สมัยที่การพูดถึงเรื่องราวอีโรติกแบบนี้ในสังคมยังไม่เป็นที่รู้จัก ดังนั้นคงพอจะนึกออกว่าตัวหนังสือสร้างความฮือฮาในแง่ศีลธรรมขนาดไหน ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากนักอ่านตั้งแต่กรุงเทพฝั่งซ้ายยันฝั่งขวาจนกินพื้นที่ไปทั่วประเทศ แต่ความคลาสสิคของหนังสือเล่มนี้ไม่ได้สะท้อนถึงแต่ชีวิตที่หลงใหลไปในตัณหาเท่านั้น กลับสะท้อนด้านสำนึกดีงามของมนุษย์ และสะท้อนแง่มุมมนุษย์อย่างหมดเปลือกซึ่งก็แฝงมากับคำพูดของจัน ดาราเองแทบทุกตอน เรื่องนี้จึงคงความคลาสสิคไว้ด้วยประการทั้งปวง

เรื่องความวิกลของปรีย์ ถ้าจะว่าไปก็ยังนับว่าเป็นการดีอย่างเอกแล้ว ที่ความไม่สมประกอบของเขาได้เป็นที่โจ่งแจ้งออกมาเช่นนั้น นั่นก็คือการดีกว่าคนที่ซุ่มซ่อนเอาความไม่สมประกอบเข้าไว้ในจิตใจ -- ในสังขาร ซึ่งดูก็เป็นผู้คนบริบูรณ์ดีจนมีสิทธิ์และโอกาสที่จะก่อกรรมทำเข็ญแก่สังคมได้สารพัด คนประเภทนี้มีอยู่มากและระวังยากเสียด้วย ผมจึงรักและนิยมปรีย์ของผมในประการเช่นนี้ (หมายเหตุ: ปรีย์ มาจาก..อัปปรีย์ที่นายจันผู้ดูแลตั้งให้ เพราะเห็นว่าเกิดมาก็ตกสถานะในเวรกรรมเดียวกับที่เขาเคยประสบ)






10 ดาราหญิงไทยที่เซ็กซี่ที่สุด ในปี 2011

1. อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ 2.ชมพู่ อารยา เอ. ฮาร์เก็ต 3.พลอย เฌอมาลย์ บุณยศักดิ์ 4.โบวี่ อัฐมา ชีวนิชพันธ์ 5.ไอซ์ อภิษฏา เครือคงคา 6. อุ้ม ลักขณา วัธนวงศ์สิริ 7. เอ็มมี่ มรกต กิตติสาระ 8.เจนนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ 9. นาตาลี เดวิส 10.ซูซี่ สุษิรา แน่นหนา ที่มา : จากเว็บไซต์สนุกดอทคอม

10 ดาราชายไทยที่เซ็กซี่ที่สุด ในปี 2011

1.ป้อง ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ 2.อ๋อม อรรคพันธุ์ นะมาตร์ 3. ณเดชณ์ คูกิมิยะ 4.กันต์ กันตถาวร 5.แทค ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม 6.อนันดา เอเวอริ่งแฮม 7.ยุกต์ สน ส่งไพศาล 8.อั๊ต อัษฏา พานิชกุล 9. หมาก ปริญ สุภารัตน์ 10. เคน ธีรเดช วงศ์พัวพันธุ์ ที่มา : จากเว็บไซต์สนุกดอทคอม


ตำนาน และความเป็นมาของการถ่ายนู๊ด ในประเทศไทย

เป็นที่ทราบกันดีว่าแม่โขงคือเจ้าแห่งปฏิทิน'นู้ด' แต่ใครจะรู้บ้างว่าจริงๆแล้วปฏิทินนู้ดมีจุดกำเนิดมาตั้งแต่ปี 2502 'ผู้จัดการปริทรรศน์' จะพาท่านย้อนรอยไปสัมผัสกับปฏิทินนู้ดฉบับแรกๆของไทย จนมาถึง 'ศิริขวัญ นันทศิริ' ดาราสาวคนแรกที่กล้าเปลือยกายถ่ายปฏิทิน 'ดาริน กรสกุล' ในยุคที่ตำรวจกวาดจับปฏิทินหวาม ตื่นตากับบรรดาเซ็กซ์บอมบ์ในช่วงนู้ดข้างฝาเฟื่องฟู จนถึงยุคที่นางแบบทิ้งแคตวอล์กแห่ถ่ายปฏิทิน และล่าสุดกับปฏิทินนู้ดภายใต้การดูแลของเจ้าแม่คลับเอฟ 'ลูกเกด เมทินี กิ่งโพยม'

ปี พ.ศ. 2502 ซึ่งเป็นปีแรกที่ผู้ผลิตสุราของไทยชื่อผลิตปฏิทินแบบแขวนซึ่งมีรูปนางแบบ แต่งตัวเซ็กซี่แจกจ่ายเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แก่บรรดาลูกค้า แต่ภาพที่วาบหวามที่สุดของนางแบบในยุคนั้นเป็นเพียงชุดกางเกงขาสั้น เสื้อเชิ้ตแขนสั้นพับแขน และเอาชายสองข้างมาผูกไว้ที่เอว และนั่งโพสท่ามกลางฉากทิวทัศน์อันสวยงาม



อีก 2 ปีต่อมา คือประมาณปี 2504 นางแบบเพิ่มความเซ็กซี่มากขึ้นโดยพัฒนาจากกางเกงขาสั้นมาเป็นชุดว่ายน้ำแบบ วันพีซรัดรูปรัดทรง แต่ชุดว่ายน้ำสมัยนั้นจัดว่าไม่โป๊เลยก็ว่าได้ เพราะขากางเกงสั้นเท่ากับกางเกงขาสั้น ไม่ได้เว้าสูงเหมือนชุดว่ายน้ำในปัจจุบัน ส่วนเสื้อก็ปิดหน้าอกไว้ค่อนข้างมิดชิด จึงไม่มีส่วนเว้าส่วนโค้งให้เสือหิวทั้งหลายได้เห็น

จนกระทั่งปี 2511 ซึ่ง เป็นช่วงที่วัฒนธรรมตะวันตกเริ่มเข้ามา นางแบบปฏิทินของไทยจึงเริ่มใส่ชุดว่ายน้ำแบบทูพีซ เปิดเผยให้เห็นถึงสรีระมากขึ้น ปฏิทินที่บรรดาแฟนหนังไทยจดจำได้ดีคงหนีไม่พ้นชุดที่ โขมพัสตร์ อรรถยา ดาราดาวยั่วที่ถ่ายปฏิทินชุดว่ายน้ำให้สุรากวางทอง (เครือเดียวกับแม่โขง) เมื่อปี 2514 ซึ่งสร้างความฮือฮาอย่างมากเพราะในยุคนั้นต้องถือว่าเธอเป็นสาวที่ใจกล้าสุด สุด

นู้ดเต็มรูปแบบ

แต่ปี ที่นับว่าเป็นการเปิดศักราชปฏิทินนู้ดอย่างเต็มรูปแบบน่าจะเป็นปี 2519 ซึ่งประวัติศาสตร์ปฏิทินแนวปลุกใจเสือป่าต้องจารึก เพราะภาพที่ปรากฏบนแผ่นปฏิทินปีนี้เป็นภาพเรือนร่างอันเปลือยเปล่าของนางแบบ สาว 'ศิริขวัญ นันทศิริ' ดาราชื่อดังในสมัยนั้น ซึ่งเจ้าของไอเดียซึ่งเป็นผู้ผลิตปฏิทินชุดนี้ก็คือเหล้าวิสกี้ยี่ห้อไก่แดง และนี่เองอาจกลายเป็นตำนานบทแรกของปฏิทินเหล้าแนว 'นู้ด' หรือเรียกกันสมัยนั้นว่า 'ภาพโป๊' และช่วงนั้นเป็นยุคที่มีดาราดาวยั่วมาถ่ายปฏิทินนู้ดกันหลายคน ไม่ว่าจะเป็น วาสนา พลากร , ดวงชีวัน โกมลเสน , รุ้งลาวัลย์ ศรีปฏิมากูล

'อุ้ง' อัญมณี สีชาด ตากล้องภาพนู้ดมืออาชีพซึ่งคลุกคลีกับการถ่ายภาพนู้ดมากว่า 20 ปี เท้าความถึงความโด่งดังของศิริขวัญว่า

" เท่าที่จำได้ภาพที่ศิริขวัญเป็นแบบในสมัยนั้นสร้างความไม่พอใจให้แก่ตำรวจ ไทยทั่วประเทศ ถึงขั้นยื่นหนังสือประท้วง เนื่องจากเสื้อผ้าบางชุดที่ศิริขวัญใส่ถ่ายแบบเป็นชุดที่เลียนแบบชุดของ ตำรวจ และโพสท่าเซ็กซี่โดยปลดกระดุมเสื้อออก 2-3 เม็ด เผยให้เห็นเสื้อชั้นในและเนินอกอวบอิ่ม เรื่องนี้เป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์อยู่หลายวัน" ต่อ มาเป็นช่วงที่เริ่มเข้าสู่ยุคที่นางเอกมาถ่ายปฏิทินนู้ด (ช่วงหลังจากปี 2520) ซึ่งปฏิทินที่สร้างความฮือฮาอย่างมากคือปีที่ เนาวรัตน์ ซื่อสัตย์ นางเอกเรื่อง 'อีโล้นซ่าส์' เป็นนางแบบปฏิทินแม่โขงเมื่อปี 2522 โดยเนาวรัตน์เปลือยทั้งตัวแต่ไม่เห็นหน้าอกหรือของสงวน"

"ตอนที่ เนาวรัตน์ ซื่อสัตย์ ถ่ายปฏิทินนั้นเปลือยหมด แต่เปลือยแบบไม่เห็นอะไร คือเอามือบังหน้าอก เห็นแค่โครงร่างเป็น curve มีส่วนเว้าส่วนโค้ง แต่ที่หวือหวาเพราะเธอโกนหัว เป็นผู้หญิงที่โกนหัวแต่สวย เซ็กซี่ มีหน้าอก มีเอว แล้วหน้าตาก็สวยมากด้วย" อัญมณี สีชาด พูดถึงปฏิทินของนางเอกโล้นซ่าส์ด้วยความชื่นชม

และปฏิเสธไม่ได้ว่าปฏิทินแม่โขงได้สร้างชื่อให้หลายต่อหลายคนโด่งดังในวงการ บันเทิง แม้แต่นางแบบบรรดาโนเนม ถ้าพูดถึง แพรว มาศมารุต หรืออีกชื่อหนึ่งว่า จุติมา ดาวจรัส น้อยคนนักที่จะรู้จัก แต่ถ้าเอ่ยชื่อ 'ติ๊ก แม่โขง' หลายๆคนโดยเฉพาะหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่คงร้องอ๋อ... เพราะเธอคือนางแบบปฏิทินแม่โขงเมื่อปี 2525 ซึ่งโด่งดังมากถึงขนาดที่คำว่า 'แม่โขง' กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของฉายาของเธอ

ขณะที่ในปี 2528 เพ็ญพักตร์ ศิริกุล และ สุพรรณี จิตเที่ยง นางแบบ-ดาวยั่วที่ถ่ายปฏิทินนู้ดให้นิตยสารหนุ่มสาว นิตยสารสำหรับชายหนุ่มโดยเฉพาะ ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีเช่นกัน ด้วยท่าทีที่มั่นใจ หน้าตาสะสวย และหุ่นอันอวบอัด ทำให้ทั้งสองคนกลายเป็นเซ็กส์บอมบ์อันดับต้นๆของเมืองไทยในขณะนั้น

ยุคที่ใกล้เคียงกันคือยุคที่เริ่มเห็นหน้าอกของนางแบบอย่างชัดเจน โดย ผุสรัตน์ ดารา นางเอกภาพยนตร์จักรๆวงศ์ๆ เป็นผู้สร้างตำนานเป็นคนแรก โดยตัดสินใจหันถ่ายปฏิทินนู้ดให้กับสุราแม่โขง เมื่อปี 2528 ด้วยค่าตัว 100,000 บาท เพราะต้องการนำเงินไปรักษาพ่อที่เป็นมะเร็ง แต่เนื่องจากผุสรัตน์เป็นนางเอกที่มีภาพลักษณ์ดี สวยแบบเศร้าๆ และเรียบร้อยตามแบบฉบับกุลสตรีไทย การถ่ายปฏิทินนู้ดเปลือยอกครั้งนี้จึงก่อให้เกิดกระแสวิจารณ์อย่างหนัก และน่าเศร้าที่การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้เธอต้องออกจากวงการบันเทิง ผันตัวเองไปเป็นนักร้องคาเฟ่แทน

เซ็กซ์บอมบ์แห่ถ่าย

ในช่วงปี 2530 เป็นต้นมา นับว่าเป็นยุคที่นางแบบดาวยั่วทั้งหลายแห่แหนมาถ่ายปฏิทินนู้ดมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ขวัญภิรมย์ หลิน ที่ถ่ายปฏิทินให้ถุงยางอนามัยคิงเท็คในปี 2533 และในปีเดียวกัน ดาริน กรสกุล ก็เป็นแบบให้ปฏิทินแม่โขง โดยปฏิทินทั้ง 2 ชุดเป็นผลงานของตากล้องนู้ดฝีมือฉกาจ 'อุ้ง' อัญมณี สีชาด

ต่อมาปี 2535 ต้องนับว่าปฏิทินในปีนี้เป็นชุดที่ทำให้บรรดาเสือสิงห์กระทิงแรดน้ำลายสอได้ มากที่สุดชุดหนึ่งเพราะในปีนี้แม่โขงจับนางแบบเซ็กซ์บอมบ์มาไว้ในปฏิทินชุด เดียว เช่น สุกัญญา มิเกล นางแบบลูกครึ่งซึ่งภายหลังผันตัวมาจับไมค์เป็นนักร้องอาชีพ , ทัดทรวง มณีจันทร์ ดาวยั่วหุ่นทรมานใจชาย รวมทั้งนางแบบหุ้นสบึมอีกหลายคน

เช่นเดียวกับปี 2538 ที่เสือป่าต้องครางฮือเมื่อผู้ผลิตรถยนต์พร้อมใจกันดึงเซ็กซ์บอมบ์อันดับ ต้นๆของเมืองไทยมาถ่ายปฏิทินหวิวพร้อมๆกัน โดยรถบรรทุก FUSO เลือกนางแบบทรงโต 'แอน มรกต มณีฉาย' มาโชว์หน้าอกขนาด 38 นิ้ว บนแผ่นปฏิทิน ขณะที่รถจักรยานยนต์ KAWASAKI ให้ 'อุ้ยอ้าย อัครนี แดงใส' นางแบบนัยตาเซ็กซี่ ผิวสีแทน มาใส่ยีนส์สั้นเต่อ ปลดกระดุมโชว์หน้าท้องแบนราบ

ตำรวจกวาดจับปฎิทิน'ดาริน'

ในช่วงเดียวกันนี้นางแบบปฏิทินที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดอีกคนหนึ่งคือ ดาริน กรสกุล นางเอกหนังแนวอีโรติก เด็กในสังกัดของ ทรนง ศรีเชื้อ ซึ่งมีผลงานถ่ายปฏิทินแม่โขง เมื่อปี 2533 เมื่อนอกจากปฏิทินชุดนี้จะสร้างความฮือฮาให้แก่วงการบันเทิงแล้ว ยังเป็นยุคเดียวที่กระทรวงมหาดไทยออกกฎเหล็กห้ามตีพิมพ์และเผยแพร่ภาพที่มี ลักษณะยั่วยุทางเพศ ทำให้ปฏิทินชุดนี้ถูกกวาดล้างจากทางการ รวมทั้งมีการสอบสวนผู้จัดทำและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

"สำหรับผุสรัตน์ถือว่าเป็นยุคที่เห็นหน้าอกแล้ว ตอนนั้นผุสรัตน์ใส่บิกินีตัวเล็กๆ ส่วนท่อนบนเปลือยหมด ตอนนั้นก็โดนวิพากษ์วิจารณ์เยอะมาก ส่วนปฏิทินชุดของ ดาริน กรสกุล เป็นปฏิทินของปี 2533 ซึ่งพี่เป็นคนถ่ายภาพเอง คือพี่เริ่มถ่ายรูปนู้ดเมื่อปี 2525 ซึ่งเป็นปีที่ถาพนู้ดของไทยเริ่มให้เห็นหน้าอกของนางแบบได้แล้ว จริงๆแล้วรูปของดารินนี่ไม่ได้เห็นโชว์หน้าอกทั้งหมดด้วยซ้ำ แต่ตำรวจกวาดเก็บหมด สมัยนั้นปฏิทินชุดนี้ที่เยาวราชแอบขายกันชุดละ 200 บาท ซึ่งเงิน 200 เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วก็ถือว่าเยอะนะ" อัญมณี สีชาด เล่าอย่างออกรสออกชาติ

แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา ปี 2539 เป็น ปีที่มิตรรักคอสุราต่างต้องน้ำตาตกไปตามๆกัน เพราะเป็นปีที่คณะผู้บริหารของบริษัทสุรามหาราษฎร์เหล้าต้นตำรับนู้ดข้างฝา ออกมาประกาศปิดตัวปฏิทินนู้ดแม่โขง ด้วยเหตุผลที่ว่า " ต้องการสร้างภาพลักษณ์ใหม่" โดยหันมาทำปฏิทินตั้งโต๊ะแนวอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย

โดยในปีนั้นมี ' ลูกนัท กฤติยาภรณ์ ศรีรัตนพันธ์' นางแบบสะโพกสวย เป็นแบบปฏิทินนู้ดแม่โขงคนสุดท้าย ประกอบกับในช่วงปี 2540-2541 ประเทศไทยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนักส่งผลให้งบประมาณด้านการประชาสัมพันธ์ สินค้านานาชนิดถูกหั่นถูกตัดจนไม่สามารถจ้างนางแบบค่าตัวสูงลิ่วมาสร้างความ สยิวบนแผ่นปฏิทินได้ ทำให้ปฏิทินนู้ดหายไปจากตลาดอยู่หลายปี และถือว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นยุคซบเซาของปฏิทินนู้ดก็ว่าได้ และแม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาปฏิทินนู้ดจะกลับมาให้เห็นอีกครั้งแต่ก็ไม่หวือหวาฟู่ฟ่าเท่ากับสมัยก่อน


"ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจนี่ปฏิทินนู้ดหายไปถึง 80% จากก่อนหน้านี้พี่จะมีงานถ่ายปฏิทินนู้ดปีละประมาณ 6 ชิ้น มาปี 2541 พี่เหลืองานแค่เจ้าเดียว แต่ปี 2542 นี่ไม่มีเลย" อัญมณี สีชาด เล่าถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น

การกลับมาของปฏิทินนู้ด

หลัง จากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจได้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ในแวด วงน้ำเมา คือ นอกจากเจ้าของสินค้าที่มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าผู้ชายหลายต่อหลายเจ้าจะใช้ ปฏิทินนู้ดเป็นของสมนาคุณแก่ลูกค้าแล้ว ผู้ผลิตและผู้นำเข้าสุราต่างประเทศยี่ห้อใหม่ๆยังใช้ปฏิทินนู้ดเป็นตัวสร้าง กระแสเพื่อโปรโมตสินค้าให้เป็นที่รู้จักในตลาดอีกด้วย โดยเจ้าของสินค้าเหล่านี้ยอมลงทุนจ้างนางแบบชื่อดังด้วยค่าตัวไม่ต่ำกว่า 6 หลัก เพื่อแลกกับการเปลื้องผ้าถ่ายปฏิทินยั่วน้ำลายเสือหิวทั้งหลาย

เริ่ม จากปี 2543 ที่ 'บลู อีเกิ้ล' ดึง 'แชมเปญ เอ็กซ์' นางแบบลูกครึ่งผิวสีแทนมาถ่ายปฏิทินติดปีกขนนกสีเริ่มจากขาวซึ่งเป็สัญลักษณ์ของพญาอินทรีอันเป็นโลโก้ของสุรายี่ห้อนี้ ทำให้ปฏิทินนู้ดกลับมาคึกคักอีกครั้ง ขณะเดียวกัน'บลู อีเกิ้ล'ก็กลายเป็นที่รู้จักของบรรดานักดื่มอย่างรวดเร็ว และในปีนี้ 2 นางแบบฮอต 'ลูกเกด เมทินี กิ่งโพยม' และ 'เฮเลน ปทุมรัตน์ วรมาลี' ก็ถ่ายปฏิทินชุด 'เกิร์ลเฟรนด์ 2000' ออกมาเขย่าวงการเช่นกัน

ด้วยค่าตัว 7 หลัก

จากนั้นในปี 2544 พญาอินทรีทำตลาดซ้ำอีกครั้งโดยให้ 'วิชุดา พินดัม' ดาราละครชื่อดังมาเป็นนางแบบปฏิทิน ด้วยค่าตัวกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับเกินความคาดหมายจนสินค้าผลิตไม่ทันกับความต้องการ ของตลาด และปี 2545 'บุ๋ม...ตรีรัก รักการดี' เป็นนางแบบปฏิทินคนสุดท้ายของสุราค่ายนี้ เนื่องจาก'บลู อีเกิ้ล' มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริหารและกลยุทธ์การตลาดใหม่

แต่ปีเดียวกันนี้ (2545) 'โนเบิล สก็อต' วิสกี้ราคาถูกในกลุ่มเซกันดารี่ ได้เริ่มนำกลยุทธ์แจกปฏิทินหวือหวาเพื่อกระตุ้นตลาดเหล้าที่มีอายุการหมัก บ่ม 3 ปีมาใช้ โดยกล่อม 'มิเชล วอร์กอร์ด' นักร้องและวีเจลูกครึ่งสาวสวยมาเปลื้องผ้าเรียกเสียงฮือฮาจากบรรดาคอทองแดง ด้วยตัวเลขไม่มากมาย แค่ 1.5 ล้านบาท ตามด้วย 'หญิงจุฬาลักษณ์ กฤติยารัตน์' ที่เข้ามาโชว์สัดส่วนบนปฏิทินให้กับเหล้านอก 'คราวน์ 99' ในปี 2546 โดยฟันค่าตัวไปเกือบ 4 ล้าน และผลจากการออกปฏิทินก็ทำให้ผู้ผลิตสุราทั้ง 2 ค่ายมียอดขายทะลุเกินเป้า

ปี 2547 นับว่าเป็นปีที่กระแสปฏิทินนู้ดคึกคักอย่างมาก เพราะนอกจาก 'โนเบิล สก็อต' ที่เคยผิดหวังจากการดึงโอเด็ตมาอวดหวือในปี 2546 เพราะเธอกำลังจะมีงานเพลงกับค่ายแกรมมี่ จึงทุ่มงบในปี 2547 ถึง 9 ล้านบาท เพื่อดึงนางแบบชื่อดัง 'ซินดี้- สิรินยา เบอร์บริดจ์' ที่มีดีกรีเคยสวมมงกุฎมิสไทยแลนด์เวิลด์ ปี 2539 มาเป็นนางแบบปฏิทินปี 2004 ในคอนเซ็ปต์สไตล์โรมัน ที่เน้น'อีโรติก อาร์ต' ด้านถุงยางอนามัย 'Durex' ก็ได้ 'เปียโน จงรัก' อดีตสามบอมบ์จูเนียร์ มาเป็นนางแบบปฏิทินที่ทำแจกหนุ่มๆนักรักทั้งหลาย

แต่ที่มีการพูดถึงกันมากที่สุดในปี 2547 เห็นจะเป็นปฏิทินของ 'สีเดลต้า' ที่เปลี่ยนคอนเซ็ปต์จากการทำปฏิทินแนวอนุรักษ์มาทำปฏิทินนู้ด โดยดึง "อุ้ง อัญมณี สีชาด" ตากล้องนู้ดชื่อดังมาลั่นชัตเตอร์อีกครั้ง และงานนี้เป็นกลับมาถ่ายปฏิทินนู้ดอีกครั้งของ 'แอน มรกต มณีฉาย' ซึ่งแม้ว่าเธอจะผ่าตัดทำหน้าอกให้เล็กลงแล้วก็ยังไม่คลายความเซ็กซี่ นอกจากนั้นปฏิทินชุดนี้ยังมี 'กีต้าร์ ชุลีพร อาจปรุ' สาวน้อยเจ้าของตำแหน่งรองสาวเปรียวปี 1998 และ 'ดาวใจ ถนอมเมือง' นางแบบโฆษณาที่เวลานี้โกอินเตอร์เพราะผลงานเข้าตาโมเดลลิ่งทั้งจากอิตาลีและ ฝรั่งเศส

ยุคเจ้าแม่คลับเอฟ

สำหรับปฏิทินปี 2548 และ 2549 ต้องจัดว่าเป็นปีของเจ้าแม่คลับเอฟ 'ลูกเกด เมทินี กิ่งโพยม' เพราะในปี 2547 ลูกเกดได้รับความไว้วางใจจาก 'เบียร์ลีโอ' ให้ดูแลการจัดทำปฏิทินชุด 'ลีโอ บอดี้เพนต์ 2005' โดยนำ 3 นางแบบสาวสุดเซ็กซี่ โบ-เบญจศิริ วัฒนา ที่โด่งดังจากบท 'น้องหนิม' ในโฆษณาก๊อกน้ำยี่ห้อหนึ่ง , ลูกหมี-รัศมี ทองสิริไพศรี และ ลีน่า คริสเตนเซ่น มาเปลื้องผ้าทำบอดี้เพนต์

'เบียร์ลีโอ' ได้จัดทำปฏิทินปี 2549 โดยให้ลูกเกดเป็นผู้ดูแลอีกครั้ง และปีนี้ลูกเกดเลือก 3 นางแบบสาวสุดฮอตอย่าง โอเด็ต เฮนเรียต แจ็คโคมิน , แองจี้-อัจฉรา หรือแอนเจล่า แมคคาย อดีตมิสไทยแลนด์เวิลด์ 2005 และดาว-ภารตี อำภรรัตน์ นางแบบหน้าใหม่ไฟแรงแห่งค่ายคลับเอฟ มาเป็นนางแบบนุ่งน้อยห่มน้อยในชุดลายเสือ

และล่าสุด ลูกเกด เมทินี ร่วมกับ บ.บุญรอด ฯ ทำปฏิทินโปรโมตลีโอปี 2010 เพื่อหลีกเลี่ยงกฏหมายห้ามโฆษณาแอลกอฮอลล์

ฮือฮาปฏิทินลีโอปี 2010 สุดสยิว 6 สาวฮอต มีทั้งไฮโซ ดารา นางแบบ นางงาม อย่าง อุ้ม, แพม, ครี, แอม, มิกซ์, แอนนา เปลื้องผ้าเพนต์ตัวถ่ายแบบหวิว ยิ้มรับค่าเหนื่อยสูงถึง 7 หลัก พร้อมรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เข้าใจฟีดแบ็กต้องมีทั้งแง่ลบและบวกอย่างแน่นอน เมื่อถึงเดือนธันวาคมเป็นธรรมเนียมทุกปี บริษัทห้างร้านต่างๆ จะทำปฏิทิน ซึ่งที่สร้างความฮือฮาทุกครั้งเห็นจะเป็นปฏิทินของเบียร์ "ลีโอ" โดยปฏิทินลีโอ ปี 2010 ยังอัดแน่นไปด้วยความเซ็กซี่สุดร้อนแรงของสาวฮอตแห่งยุค ได้ไฮโซ ดารา นางแบบ นางงามอย่าง แพม - ปานพิมพ์ เตชะธนชัยพัฒน์ นางเอกหนังเรื่องเดอะกิ๊ก 3, ครี - พัสวีพิชญ์ ศรณ์อัครภา ไฮโซฮอตอดีตหวานใจ เดย์ ไทเทเนียม, แอม - สุทธิกานต์ หวังเจริญทวีกุล นางแบบชื่อดัง, มิกซ์ - เจนจิรา เกิดประสพ อดีตมิสไทยแลนด์เวิลด์ปี 2003 และนักกีฬายิงธนูทีมชาติไทย, อุ้ม - ลักขณา วัธนวงส์ศิริ ดาราจากละครซิตคอมชื่อดัง นัดกับนัด และ แอนนา รีส นางเอกหนังปืนใหญ่โจรสลัด มาเป็นนางแบบ โดยมี ลูกเกด - เมทินี กิ่งโพยม ดูแลการผลิตเหมือนเช่นเคย ซึ่งในปีนี้ดีกรีความวาบหวิวเพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อน เพราะนางแบบยอมลงทุนเพนต์ตัวให้ถ่ายแบบกันเลยทีเดียว ซึ่งมีทั้งโพสท่าถ่ายเดียว และถ่ายเป็นหมู่ รวมถึงถ่ายรวมทั้ง 6 คน

อุ้ม - ลักขณา กล่าวว่า การถ่ายทำนั้นสนุกมาก แปลกดี เป็นบอดี้เพนต์ ก่อนถ่ายนั้นตนได้ขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยนำคอนเซปต์ในการถ่ายไปเล่าให้ท่านฟัง "ตอนที่พี่ลูกเกดโทร.มา ก็คุยคอนเซปต์กันว่าประมาณไหน ถ่ายแบบไหน ซึ่งพี่เขาก็ได้อธิบายให้ฟังว่า เป็นการถ่ายแบบเพนต์บอดี้ หลังจากที่คุยกันเรียบร้อยแล้ว อุ้มก็ได้นำคอนเซปต์ที่คุยไปเล่าให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ" เมื่อถามว่าสาวอุ้มได้พูดคุยกับอดีตหวานใจอย่างเอ็กซ์บ้างหรือเปล่าเกี่ยวกับเรื่องการถ่ายปฏิทิน สาวอุ้ม กล่าวว่า ก็มีคุยบ้างค่ะ ก็เล่าให้เขาฟังว่า ถ่ายอะไรยังไง ซึ่งพี่เอ็กซ์เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเขาเป็นนายแบบอยู่แล้วเข้าใจงานถ่ายอย่างนี้ดี นอกจากนี้ "อุ้ม" ยังได้เล่าถึงรายละเอียดในการถ่ายปฏิทินเซ็กซี่ครั้งนี้ว่าใช้เวลาในการถ่าย ประมาณ 4 วัน เพราะงานในเรื่องของการเพนต์บอดี้นั้นใช้เวลาค่อนข้างมาก นอกจากนี้ยังแอบบ่นว่า หนาวมากเพราะไม่ได้ใส่อะไรเลยเวลาอยู่ในห้อง ส่วนเรื่องของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่จะตามมาหลังคนเห็นภาพในปฏิทินแล้วนั้น เจ้าตัวกล่าวว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้น ตนเองก็พร้อมที่จะรับคำติชม แต่เท่าที่ตนได้เห็นผลงานนั้น เป็นแนวออกสปอร์ตน่ารักไม่ได้ดูเซ็กซี่จนเกินไป

ผู้สื่อข่าวยังได้รับการเปิดเผยจากสาว "อุ้ม" อีกว่า ค่าเหนื่อยของตน และเพื่อนนางแบบคนอื่น ๆ ในการถ่ายเซ็กซี่ครั้งนี้นั้นเป็นเงินสูงถึง 7 หลักเลยทีเดียว โดยเจ้าตัวขอไม่ระบุเป็นตัวเลขชัดเจน ส่วนอีกรายที่ เป็น 1 ใน 6 นางแบบที่ได้สร้างความฮือฮาในการถ่ายปฏิทินในครั้งนี้เช่นกันคือสาว ครี - พัสวีพิชญ์ ศรณ์อัครภา ที่เคยมีข่าวว่าแย่ง นิกกี้ - สุระ ธีระกล กับไฮโซรุ่นพี่ และเป็นอดีตหวานใจหนุ่มฮิพฮอพอย่าง เดย์ ไทเทเนี่ยม กล่าวว่า ได้รับการชักชวนจากพี่ลูกเกด ซึ่งตนก็รู้สึกตกใจมาก เพราะไม่ได้รู้จักกับพี่ลูกเกดเป็นการส่วนตัว แต่คงไม่มีใครปฏิเสธงานที่พี่ลูกเกดชวนแน่นอน เมื่อตนได้ทราบถึงคอนเซปต์ต่าง ๆ แล้วจึงได้ตกลง แต่ยอมรับว่าตนขอทางคุณแม่อยู่นานเหมือนกันว่าท่านจะอนุญาต เพราะท่านกลัวว่าภาพที่ออกมาจะดูโป๊มากเกินไป นอกจากนี้สาวครียังกล่าวถึงเรื่องของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่จะตามมานั้นว่า ตนพร้อมที่จะรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่จะเกิดขึ้นเพราะเข้าใจว่าคงมีทั้งแง่ลบและแง่บวก ตนเป็นคนที่ไม่ได้เอาคำพูดของคนอื่นมาหยุดตัวเองอยู่แล้ว และเข้าใจงานที่ทำดี ตนมองว่างานที่ทำในครั้งนี้มันเป็นอาร์ต มันเป็นงานศิลปะ

ทางด้าน มิกซ์ - เจนจิรา เกิดประสพ กล่าวว่า ตนเองได้รับการชักชวน จากพี่ลูกเกด เมื่อ 2 - 3 ปีที่แล้ว แต่เวลานั้นตนยังไม่พร้อม ครอบครัวอยู่เมืองไทยก็ไม่อยากให้ถ่าย แต่คอนเซปต์ในครั้งนี้นั้นถูกใจมากเลยตอบตกลงไปซึ่งพอภาพออกมาก็ดูน่ารักดีถูกใจ ทั้งนี้ในวันอังคารที่ 15 ธันวาคม ต๊อด - ปิติ ภิรมย์ภักดี หนุ่มไฟแรงแห่งลีโอเบียร์ เตรียมจัดงานเลี้ยงปาร์ตี้ขอบคุณประจำปี กับผู้ให้การสนับสนุนกิจกรรมของบริษัทสิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด และผลิตภัณฑ์ลีโอเบียร์มาโดยตลอด นอกจากปาร์ตี้สุดมันส์แล้ว ผู้ที่ไปร่วมงานจะได้ร่วมเพิ่มอุณหภูมิความร้อนในตัวดับหนาวปีใหม่กับการเปิดตัวปฏิทินโปรเจกต์ยักษ์แห่งปี "ปฏิทินลีโอเบียร์ 2010" โดยเหล่านางแบบยกขบวนมาเปิดอกเปลือยใจกันแบบหมดเปลือกว่าทำไมจึงได้ตกลงมาร่วมงานเป็นนางแบบให้ปฏิทินเบียร์ลีโอชุดนี้ รวมทั้งส่งท้ายความมันส์เขย่าหัวใจกับมินิคอนเสิร์ตของนักร้องสาวปาล์มมี่ สำหรับ 6 นางแบบที่มาถ่ายปฏิทินลีโอครั้งนี้ล้วนแต่เป็นสาวฮอตทั้งสิ้น เริ่มจาก อุ้ม - ลักขณา วัธนวงส์ศิริ จบการศึกษา คณะศิลปกรรมศาสตร์ มศว ประสานมิตร สาขาการแสดง ผลงานที่ผ่านมาแสดงเป็น "อะตอม" ใน "นัดกับนัด" ภาพยนตร์เรื่อง ตำนานกระสือ, อุกกาบาต, ชุมทางรถไฟผี ผลงานถ่ายแบบ แรงบันดาลใจ vol. 1 no. 4 April 2008 Zoo Weekly FHM

แอนนา รีส (Anna Reese) เป็นนักแสดงชาวไทย ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงจากการถ่ายโฆษณาสบู่เด็ก เมื่ออายุ 4 ปี มีผลงาน ละครเรื่อง กุหลาบตัดเพชร แสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง "ทำอะไรสักอย่าง" และผลงานแสดงภาพยนตร์ เรื่อง เดอะเลตเตอร์ เขียนเป็นส่งตาย และเรื่อง ปืนใหญ่จอมสลัด รับบทเป็น เจ้าหญิงอูงู ภาพยนตร์ฟ้าทะลายโจร และมหา'ลัยสยองขวัญ

ครี - พัสวีพิชญ์ ศรณอัครภา (ติยะดา ติยะวงศ์สกุล หรือ แจ๋ว) ไฮโซสาวเคยผ่านการประกวด มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2006 เป็นนางแบบ นางเอก MV presenter ให้สินค้าหลายชิ้น อาทิ ซันซิล คลอเร็ท แคทเทเลคอม เลย์ ตะวัน ไบกอน โลตัส คลินิค เวดดิ้ง บิ๊กแตงค์เซลล์ ภาพนิ่ง ทรู อีซูซุ หมู่บ้านภัคภิรมย์วิลล่า เอ็มวีเพลงอะเดย์ ช่วงเวลาของโมโนโทน เอ็มวีเพลง "ที่รัก" ของพลาสม่า ผลงานที่สร้างชื่อมากที่สุด คือ โฆษณา ต่อต้านการสูบบุหรี่ ของ สสส. กับประโยคเด็ด แล้วคุณมาทำร้ายชั้นทำไม นอกจากนี้เคยมีข่าวเปิดศึก แย่งหนุ่มนิคกี้กับไฮโซชื่อดัง และเคยเป็นแฟนกับหนุ่มฮิพฮอพ จากวงไทเทเนี่ยม เดย์ ไทเทเนี่ยม

แพม - ปานพิมพ์ เตชะธนชัยพัฒน์ ชื่อเดิมก่อนเข้าวงการ "การ์ตูน" ชุลีรัตน์ จบการศึกษา สันติราษฎร์ บริหารธุรกิจ ผลงานที่ผ่านมา ชนะการประกวด Gossip Star Contest 2006 ส่วนผลงานการแสดง, เดอะกิ๊ก 2, เพื่อนกันเฉพาะวันพระ และเดอะกิ๊ก 3

แอม - สุทธิกานต์ หวังเจริญทวีกุล จบการศึกษา บริหารธุรกิจ สาขาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศภาคภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย เคยคว้าตำแหน่ง เปรียว ซูเปอร์โมเดล 2002 และแสดงภาพยนตร์ ถอดรหัส...วิญญาณ

มิกซ์ - เจนจิรา เกิดประสพ สาวลูกครึ่งไทย-สวีเดน อดีตมิสไทยแลนด์เวิลด์ ปี 2003 และอดีตนักยิงธนูทีมชาติไทย เธอเติบโตที่ประเทศสวีเดน ผลงานเคยออกอัลบั้ม กับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของสวีเดน "เมอร์ลิน โปรดักชั่น" ที่เคยผลิตงานให้ศิลปินดัง ๆ อย่าง เจนิเฟอร์ โลเปซ, บริตนีย์ สเปียร์ส, มาดอนน่า และ ซิลีน ดีออน

จากปรากฏการณ์ดังกล่าวคงพอจะยืนยันคำพูดที่ว่า "ปฏิทินนู้ดไม่มีวันตาย" ได้เป็นอย่างดี เพราะเชื่อว่าตราบใดที่ผู้ชายยังหลงใหลส่วนเว้าส่วนโค้ง การทำตลาดโดยใช้ปฏิทินหวามสร้างความน่าสนใจให้สินค้าก็ยังคงอยู่ต่อไป ตราบนานเท่านาน...

มุมมองของ 'เกจินู้ด'

หากจะพูดถึงภาพนู้ดทั้งหลายคงละเลยที่จะไถ่ถามถึงมุมมองของผู้ได้รับฉายาว่า 'เกจินู้ด'อย่าง 'นิวัติ กองเพียร' เสียมิได้ นิวัติพูดถึงปรากฏการณ์นู้ดข้างฝาไว้อย่างน่าฟังว่า

"ถ้าจะวิวัฒนาการของปฏิทินนู้ดจากอดีตถึงปัจจุบันก็คงไม่มีอะไรแตกต่างกัน มากนัก คือในประเทศไทยไม่มีใครทำปฏิทินนู้ดเพื่อศิลปะ เพราะต้องยอมรับว่าการผลิตปฏิทินนู้ดนั้นทำเพื่อเป้าหมายทางการตลาด เจ้าของสินค้าแจกปฏิทินเพื่อให้แบรนด์ของตัวเองเป็นที่รู้จัก ขณะที่ผู้รับซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายก็ชอบภาพที่มีลักษณะวับๆแวมๆ โดยไม่ได้สนใจว่าจะมีศิลปะหรือเปล่า สำหรับผู้ชายแล้วยิ่งเปิดมากเท่าไรยิ่งดี"

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติ แต่กระแสที่เกิดนั้นเกิดจากสื่อมากกว่า จริงๆสื่อเองก็ชอบดู ก็ไม่เข้าใจว่าแล้วไปถามเรื่องศีลธรรมเขาทำไม ถามเรื่องจริยธรรมทำไม ไปด่าคนที่เป็นนางแบบทำไม คนก็ประณามเขาอีก เสนอข่าวไปเฉยๆได้ไหม ว่าเขาไปถ่ายปฏิทิน แล้วผู้ผลิตปฏิทินเขาก็ทำเพื่อแจกลูกค้าเท่านั้น ไม่ได้ไปเผยแพร่หรือวางขายเลย ดังนั้นจะไปว่าเป็นสื่อลามกอนาจารก็ไม่น่าจะถูกต้อง

ด้านสายตานักสะสม ต้องยอมรับว่าปฏิทินนู้ดเป็นสิ่งหนึ่งที่บรรดาชายหนุ่มนิยมสะสมกันมาก แม้ว่าหลายคนจะไม่อยากเปิดเผยเพราะเกรงจะถูกมองในแง่ลบมากกว่าจะมองว่าเป็นเรื่องปกติของผู้ชาย



วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ฟรีทีวีตายแล้ว หรือฟรีทีวีเสียใจแต่ไม่แคร์

สืบเนื่องจากช่วงเวลา 1-2 เดือนมานี้ ฟรีทีวีมีอิทธิพลและบทบาทต่อสังคมไทยเป็นอย่างมาก ในแง่ที่เป็นสื่อกลางรายงานข่าว และสะท้อนภาพสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมืองไทยมาโดยตลอดเป็นเวลายาวนาน อันนั้นเป็นบทบาทที่ผู้ชมโดยทั่วไปในฐานะผู้บริโภครับทราบกันดีอยู่แล้ว อีกด้านหนึ่งก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อด้วยกันเอง หรือจากผู้ชม,ผู้บริโภคด้วยเช่นกันในกรณีที่เพิ่งเป็นข่าวไปสดๆ ร้อน เมื่อไม่นานมานี้ ก็อย่างน้อย 2 กรณี นั่นก็คือ กรณีจอดำในช่วงการแข่งขันฟุตบอลยูโร และกรณีรายการ Thailand Got Talent ที่แพร่ภาพทางช่อง 3 (ฟรีทีวี) กรณีแรกนั้นถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับผู้ได้รับลิขสิทธิ์คือ Gmm Grammy บล็อกสัญญาณไม่ให้คู่แข่งคือทรูวิชั่น ไม่ให้ได้รับชม เนื่องจากไม่ยอมจ่ายค่าลิขสิทธิ์ซึ่งผู้ได้รับลิขสิทธิ์ได้อ้างว่าเป็นข้อตกลงกับเจ้าของลิขสิทธิ์ และเห็นว่าการให้สัญญาณออกไปอาจทำให้เกิดการแพร่สัญญาณออกไปนอกประเทศ ซึ่งจะทำให้ผิดข้อตกลงกับเจ้าของลิขสิทธิ์ จนเป็นที่มาของการถูกฟ้องร้องจากมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค และต่อมาศาลได้ตัดสินให้ยกฟ้อง เนื่องจากการที่ผู้ฟ้องต้องการให้ศาลคุ้มครองสิทธิ์ของผู้บริโภคด้วยการให้ถ่ายทอดสัญญาณภาพในแม็ทซ์ที่เหลือจะส่งผลให้เจ้าของลิขสิทธ์ (ยูฟ่า) ที่อยุ่ต่างประเทศไม่พอใจ และอาจขอตัดสิทธิ์ยกเลิกการถ่ายทอดแม็ทซ์ที่เหลือไปเลยก็เป็นได้ นั่นยิ่งจะทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้ชมคนดูโดยทั่วไปได้ จึงยกฟ้อง คู่กรณีที่มีส่วนเกี่ยวข้องในส่วนของฟรีทีวีนั้นก็คือช่อง 3 ในส่วนของช่อง 5, กับช่อง 9 ที่ร่วมถ่ายทอดด้วยนั้น กลับไม่ได้รับการถูกต่อว่าหรือกล่าวถึงซักเท่าไหร่ อีกกรณีนึงนั้นเป็นเรื่องของจรรยาบรรณสื่อ ทั้งในส่วนของเจ้าของรายการโดยตรงคือ WorkPoint และเจ้าของสถานีคือช่อง 3 ที่ไม่ได้ตรวจทานอย่างรอบคอบ หรือประมาทเลินเล่อ จงใจปล่อยให้มีการแพร่ภาพผู้เข้าแข่งขันรายหนึ่งที่ได้แสดงความสามารถเข้าข่ายอนาจารออกสื่อ ซึ่งเป็นรายการที่มีเยาวชน และครอบครัวส่วนใหญ่ทั้งประเทศสามารถรับชมได้ทั้งประเทศ ซึ่งเจ้าของรายการอ้างว่าเป็นการแสดงที่เป็นศิลปะจึงให้แพร่ภาพได้ แต่เมื่อภายหลังถูกท้วงติงจากทุกทิศทาง จึงได้ออกมาขอโทษต่อประชาชนหรือผู้ชม ตัดสิทธืผู้เข้าแข่งขันท่านนั้น และต่อไปจะไม่ให้มีการเกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้อีก ทั้ง 2 เป็นกรณีตัวอย่างที่ดีมาก เป็นเคสที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นกรณีศึกษาร่วมกันของทั้งสื่อ ผู้ผลิตรายการ และคนดู ที่จะนำไปเป็นบทเรียนร่วมกัน ซึ่งต่างฝ่ายต่างต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ผู้เขียนคิดว่าไม่มีใครผิดใครถูก แบบ 100%.ในทั้ง 2 กรณีนั้น แต่น่าจะใช้เป็นบรรทัดฐานในกรณีคล้ายคลึงกันนี้ ในโอกาสต่อไปในการที่จะชั่งใจ คิดทบทวน และแก้ปัญหาที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นอีกในอนาคตได้



สื่อทีวีอย่างช่อง 3 นั้น เป็นฟรีทีวีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในบ้านเรา เมื่อก่อนเคยถูกช่อง 7ทิ้งห่างทั้งด้านรายการข่าวและละครทีวี แต่ปัจจุบันสามารถไล่ตาม และเบียดแซงขึ้นมาชนะช่อง 7ได้ทั้งในส่วนของการการข่าว และละครทีวีช่วงไพร์มไทม์ แม้ว่าเรตติ้งโดยรวมยังสู้ไม่ได้ แต่ในด้านคุณภาพการผลิต และกระแสนั้นแรงกว่า รวมถึงช่อง3 ยังสามารถดึงเอาบุคลากรทั้งด้านข่าวและละครทีวีจากหลากหลายช่อง มาไว้ที่ช่องตัวเองได้มากที่สุด ถ้าพูดถึงบุคลากรด้านข่าว ที่เป็นตัวจักรสำคัญในการสร้างเรตติ้งและโมเมนตัมให้ช่อง 3ขึ้นมาโดดเด่นเหนือคู่แข่งได้มากทีสุด ก็คือ คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของและผู้ดำเนินรายการเรื่องเล่าเช้านี้ และเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ รายการเจาะข่าวกับสรยุทธ ในช่วงข่าวหัวค่ำเรื่องเด่นเย็นนี้ อีกด้วย ด้วยความที่คุณสรยุทธ เป็นคนข่าวที่มีคุณภาพมาก่อนเป็นลูกหม้อเก่าของค่ายเนชั่น เคยเป็นลูกน้องเก่าคุณสุทธิชัย หยุ่น เคยทำข่าวภาคสนาม เป็นพิธีกร นักวิเคราะห์ข่าวสายการเมือง ในช่วงที่เนชั่นไปทำข่าวและบริหารให้กับช่องไอทีวี จนช่อง 9 (คุณมิ่งขวัญ ผอ.ช่อง 9 ขณะนั้น) ดึงตัวมาทำรายการสนทนาสถานการณ์ปัจจุบัน ,การเมืองช่วงไพร์มไทม์ที่ชื่อว่า ถึงลูกถึงคน จนโด่งดังจึงเป็นที่มาและถือกำเนิดของ บ.ไร่ส้ม และขอสัมปทานทำรายการทีวีกับช่อง 9 ที่ทำร่วมกับคุณกนก รัตน์วงศ์สกุล ชื่อรายการคุยคุ้ยข่าว อยู่พักนึง ภายหลังแตกคอกัน ไม่ทราบว่าเรื่องอะไรกัน (ผลประโยชน์และสปิริต) คุณสรยุทธ์ถูกคุณประวิทย์ มาลีนนท์ดึง (ซื้อ) ตัวมาอยู่ช่อง 3 จนถึงปัจจุบัน ส่วนคุณกนก แยกไปทำรายการข่าวข้นคนข่าว ร่วมกับคุณธีระ และคุณกำภู เป็นรายการที่ผลิตโดยเนชั่น ให้กับช่อง 9 และเพิ่งหลุดผังไปเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้ คุณสรยุทธ นั้นเดิมเคยเป็นคนข่าวคุณภาพในระดับต้นๆ ของประเทศนั้น ผู้เขียนคิดว่าใช่ แต่ปัจจุบันนั้นไม่ใช่แล้ว เนื่องจากรายการที่แกทำอยู่ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องเล่าเช้านี้ เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ นั้นไม่จัดว่าเป็นรายการข่าวแล้ว น่าจะเรียกว่าเป็นวาไรตี้ทอล์คโชว์หรือนำเกร็ดจากข่าวหรือสถานการณ์ปัจจุบันมานั่งคุย สรวลเสเฮฮากันเสียมากกว่า เพราะมีการแทรกความคิดเห็นส่วนตัว มุกตลก คุยนอกเรื่อง แซวกันขำๆ เกี่ยวกับประเด็นต่างๆ หรือมุมมองบางด้านของเนื้อข่าว โดยใช้วัตถุดิบก็คือข่าว หรือข้อเท็จจริง มานั่งคุยกันเสียมากกว่า คนดูคนฟังจึงอาจจะงงๆ ว่า อันไหนคือข้อเท็จจริง อันไหนคือความคิดเห็นส่วนตัวของสรยุทธ์ และอันไหน คือทัศนคติส่วนตัว ที่แทรกอยู่ในประเด็นหรือเนื้อข่าวนั้นๆ อย่างสับสนปนเปกันไปหมด ในเมืองนอกนั้นถ้าเป็นรายการข่าว รายงานสถานการณ์ปัจจุบัน ก็จะนั่งอ่านข่าวกันอย่างจริงจังเป็นทางการ ถ้าจะวิเคราะห์ข่าวก็จะมีพิธีกร นั่งคุยกับผู้เชี่ยวชาญ นักวิเคราะห์สถานการณ์ หรือแขกรับเชิญผู้รู้ในประเด็นนั้นๆ โดยแยกออกจากกันอย่างชัดเจน มันจะไม่ใช่วาไรตี้ทอล์คโชว์แบบที่คุณสรยุทธ์ทำอยู่เวลานี้ วันดีคืนดี อยากจะแจกเสื้อ ชิงโชคของรางวัล อยากจะให้ส่ง sms หรือบางทีเอาอาหาร ผลไม้มาตั้งกลางรายการ แล้วก็นั่งชิมกันไป หัวเราะกันไป ในเมืองนอกเขาไม่ทำกัน ดูแล้วมันอะไรกันนี่ ทำอย่างกับคนดูเป็นคนข้างบ้าน ที่มานั่งแอบฟังคุณกำลังคุยกันอยู่ แต่สิ่งที่คุณสรยุทธ์กำลังทำอยู่นั้น ผู้เขียนไม่ขอเถียงว่า มันถูกใจ หรือถูกจริตกับคนไทยโดยส่วนใหญ่ก็เป็นได้ (คนไทยไม่ชอบอะไรที่เครียดๆ) ไม่งั้นรายการของแกคงไม่เรตติ้งดีหรอก และอยุ่มาได้จนถึงทุกวันนี้ จะให้เครดิตแกในแง่ของผู้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ของรายการข่าวประเภทวาไรตี้ทอล์คโชว์หรืออะไรก็เห็นจะได้อยู่ แต่เป็นคนละเรื่องกับความเหมาะสม ความเหมาะควรในแง่หลักการ รายการข่าวที่ดี ที่ต้องนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงเพียวๆ การแยกเรื่องของบทวิเคราะห์ สกู๊ปข่าว ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้ดำเนินรายการ ไปอีก 1รายการ แต่ที่ช่อง 3ทำอยู่เวลานี้ มันยำกันมั่วเละเทะ ปนเปกันไปหมด คุณไม่สงสารคนดูบ้างเหรอ ลำพังดูละครของช่องคุณซึ่งเต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา ราคะ ก็มอมเมาคนดูมากพอแล้วนะ (เรื่องละครจะเป็นอีกหัวข้อนึงที่จะวิเคราะห์ในย่อหน้าถัดไป) ปัจจุบันคนข่าวคุณภาพที่ผู้เขียนพอจะยอมรับว่าเป็นผู้ดำเนินรายการได้เหมาะสมกว่าคุณสรยุทธ์ ยังมีอีกหลายท่าน อาทิ คุณกิตติ สิงหาปัด,คุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา,คุณเติมศักดิ์ จารุปราณ,คุณณัฐฐา โกมลวาทิน แต่สิ่งที่คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา ยังสามารถรักษาชื่อเสียงความเป็นผู้นำของคนข่าวมาได้ จนได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย นั้นจุดนึงก็คงเป็นเรื่องของภาพลักษณ์ทางการตลาด อันนี้เกิดจากการสร้างขึ้นมาแน่ๆ ในอีเว้นท์ต่างๆ ของแก ที่เคยทำมา เช่น สึนามิภาคใต้, เหตุการณ์ร้ายแรงใน3 จว.ชายแดน ,คนพิการ คนยากไร้ ,แผ่นดินไหวที่ไฮติ, สึนามิที่ญี่ปุ่น ,น้ำท่วมที่เมืองไทย ปี 2554 แล้วแกเป็นแกนกลางรับบริจาคสิ่งของ เงินทองเพื่อช่วยเหลือ อันนี้ผู้เขียนขอชื่นชม แม้ว่าจะเป็นการตลาดเพื่อสร้างภาพลักษณ์ส่วนหนึ่ง แต่ก็ถือว่าเป็นการทำดีเพื่อสังคม ชื่อเสียงถือเป็นผลพลอยได้ตามมา ไม่ว่ากัน สิ่งที่พอจะเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับการทำหน้าที่คนข่าวมากที่สุด น่าจะเป็นเจาะข่าวเด่นกับสรยุทธ์ ในเรื่องเด่นเย็นนี้ มากกว่า แต่นั่นก็ยังถือว่าเข้มข้นน้อยกว่าเมื่อตอนแกเป็นพิธีกรรายการถึงลูกถึงคนอยู่ดี อาจจะด้วยเหตุผลคือช่วงเวลาที่น้อยมากของรายการส่วนหนึ่ง แต่คุณสรยุทธ ณ วินาทีนี้ ที่ถือได้ว่ามีเงินมีทองเป็นร้อยล้าน ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่คนข่าวในประเทศไทยพึงจะทำได้คนนึง ต้องถือว่าแกมาได้ไกลมากที่สุดคนหนึ่ง เมื่อเทียบกับคนข่าวรุ่นเดียวกัน หรือในแง่ทรัพย์สินเงินทองก็มากกว่านายเก่าของแก อย่างคุณสุทธิชัย หยุ่น ทำให้คุณสรยุทธ อาจไม่จำเป็นต้องเป็นคนข่าวที่ทำหน้าที่อย่างเข้มข้นจริงจังเหมือนสมัยก่อนก็เป็นได้ ประคองตัวไป ทอล์คโชว์ขำๆ ของแกต่อไป ไม่ซีเรียส ก็อาจจะดีสำหรับสาวกแฟนคลับก็เป็นได้


พอมาดูด้านละคร ไม่เฉพาะเจาะจงช่อง 3 เท่านั้น คิดว่าวงการละครของบ้านเราเวลานี้ พัฒนาทางด้านโปรดักชั่น การผลิต การแสดงของนักแสดง ไปได้ไกล หรือพัฒนาขึ้นมามาก (ไม่ค่อยแน่ใจ) มีนักแสดงหน้าตาดีๆ เกิดขึ้นมาใหม่จำนวนมาก หลากหลายให้เลือก แต่สิ่งที่ยังจำเจ ก็คือ เนื้อหา พล็อตเรื่อง หรือบทละครดีๆ อันนี้ทำไมมันถึงตามไม่ทันปริมาณของละคร และนักแสดงที่มากขึ้นทุกวัน หรือเป็นเพราะผู้ผลิตและตัวสถานี ไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวเนื้อหา พล็อต บทละคร ที่มันควรต้องมีปริมาณที่มาก และหลากหลายด้วยเช่นกัน เป็นสมการที่คู่ขนานไปกับจำนวนละครที่ผลิตมากขึ้น มีผู้จัดมากขึ้น มีนักแสดงใหม่ๆ เกิดขึ้นมาก ตัวผู้เขียนเองก็เป็นคนที่ชอบดูละครไทยเหมือนกัน สมัยก่อนจะชอบดูละครช่อง 3 หลังๆมานี่จะดูเฉลี่ยกระจายไปทุกช่อง และก็ไม่เห็นด้วยที่มักมีคนพูดว่าละครไทยน้ำเน่า หรือไม่ได้ให้เนื้อหาสาระอะไร ตบตี ด่าทอ ใช้ถ้อยคำที่รุนแรง ผู้เขียนคิดว่าต้องวิเคราะห์วิจารณ์เป็นแต่ละเรื่อง แต่ละบท แยกแยะกันไป ไม่ใช่เหมารวมไปทั้งหมด เพราะบางเรื่องก็มีคุณภาพมาก แต่โดยรวมแล้วมีคติสอนใจแทบทุกเรื่อง และก็เห็นด้วยที่จะมีการสร้างมันเยอะๆ รีเมคละครงานเก่าๆ ทีดีมีคุณภาพ ให้กลับมาทำให้คนรุ่นหลังได้ดูกันด้วย เพราะอย่างน้อยเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ และอุตสาหกรรมให้กับวงการละคร บันเทิงไทยให้เจริญก้าวหน้า เติบโต แข่งกับชาติอื่นเมืองอื่นได้ด้วย แต่ขออย่างเดียว พัฒนาเรื่องบท เรื่องไดอะล็อคการพูดให้มันดูสมจริง มีเหตุมีผลหน่อยเถอะ และคติสอนใจให้มันหลากหลายหน่อย ไม่เอาคติสอนใจแบบซ้ำๆ ซากๆ ได้มั๊ยอ่ะ ประเภท แม่ผัวลูกสะใก้ , ตบตีแย่งผู้ชายโง่ๆ ไม่ทำงานทำการอะไรกัน , นางเอกเป็นแม่ค้าแต่แต่งหน้าสวยเป็นคุณหนูอยู่บ้าน , ลูกท่านเจ้าคุณตกยาก ปลอมตัวมาเป็นคนใช้ คลอดออกมาสลับตัวกัน ถูกเอาไปเลี้ยงเป็นเด็กสลัม วันหนึ่งต้องกลับมาเป็นคุณหนูครอบครองสมบัติของตระกูล ฯลฯ คติสอนใจ แบบทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นี่ขอแบบที่มันเห็นผลทันตาเลยได้มั๊ย เช่น ละครสะท้อนสังคม ประเภทเด็กติดยา ติดเกมส์ ติดการพนัน ช่างกลตีกัน นักเรียนหนีเที่ยว ค้าประเวณีแต่เด็ก ทำแท้ง และได้รับผลกรรมทันตา ทำออกมาเยอะๆ สิครับ เยาวชนคนดู จะได้ไม่เอาไปทำเป็นเยี่ยงอย่าง ละครที่มีแง่มุมแปลก หรือกว้างขวางออกไป เช่น พฤติกรรมของนักการเมือง ครูที่ไม่มีจรรยาบรรณ พ่อค้าที่ค้าหากำไรแบบผิดกฏหมาย ผิดศีลธรรม ผิดจรรยาบรรณ ข้าราชการที่คอรัปชั่น อะไรพวกนี้ทำออกมาเยอะๆ อย่าไปทำแต่ละครประโลมโลก รักๆ ใคร่ๆ แต่เพียงอย่างเดียว เยาวชนของชาติถึงได้มีบุตรก่อนวัยอันควรเยอะมาก (แล้วก็ไปทำแท้ง) จนติดอันดับโลกแล้ว ละครน่าจะมีส่วนต้องรับผิดชอบต่อสังคมด้วย เพราะมีอิทธิพลส่วนหนึ่งด้วยในการโน้มน้าว ชักจูง และสร้างแรงบันดาลใจต่อเด็กเยาวชน ให้อยากมีความรัก ฉากละครประเภทตบจูบ มีเพศสัมพันธ์กันนั้น เช่น ตัวละครพระเอกข่มขืนนางเอก แล้วไม่ได้รับการลงโทษ ควรระวัง ควรใช้มุมกล้องหรือตัดออกไปเลยก็จะเป็นการดี แม้จะช่วยสร้างเรตติ้ง แต่ก็สร้างพฤติกรรมเลียนแบบ และอาชญากรรมตามมา อย่างชนิดได้ไม่คุ้มเสีย คุณผู้จัดละคร ผู้ผลิต ผู้เขียนบท และเจ้าของสถานี จะต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อผลที่จะตามมา ไม่ใช่หวังผลแค่เรียกเรตติ้ง ค่าโฆษณา ของสถานีแต่เพียงเท่านั้น กรณีของละครมงกุฏดอกส้ม มารยาริษยา นั้น จะสร้างค่านิยมที่ไม่ดีต่อเยาวชน และค่านิยมเลียนแบบตัวละครก็เป็นไปได้ให้เกิดขึ้น นำมาซึ่งพฤติกรรมทางเพศ ครอบครัวแตกแยกในสังคม คิดว่าแนวๆ นี้ ควรจะคุมกำเนิด ไม่ให้มีมากเกินไป และก็เป็นมุมมองที่ซ้ำซาก ช้ำแล้ว และก็ไม่มีประเด็นอะไรใหม่ๆ สร้างสรรค์ต่อสังคม หรือจรรโลงใจต่อผู้ชมหรือสถาบันครอบครัวแต่อย่างใด ทำไมซีรี่ย์ต่างประเทศเขาถึงมีมุมมอง พล็อตเรื่องที่มันฉีกออกไปมาก หลากหลายแนว และให้ข้อคิดที่สามารถนำไปวิเคราะห์ สังเคราะห์ต่อได้ อาทิ ซี่รี่ย์ดังๆ ดีๆ ของอเมริกัน ซีรี่ย์เกาหลีเองก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่แนวรักใคร่ แต่มีแนวสืบสวนสอบสวน แนวประวัติศาสตร์ อัตชีวประวัติ ฯลฯ


ที่กล่าวมาทั้งหมดก็เพียงเพราะข้องใจแค่ว่า ทำไมฟรีทีวีถึงไม่มีซักช่องเลย ที่จะถ่ายทอดสดการไตร่สวนพยานผู้ร้อง และผู้ถูกร้อง คดีคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีผู้ร้องไปร้อง เรื่องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภา ม.291 มีผลลบล้างรัฐธรรมนูญ/ขัดรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ สำคัญที่ประชาชนคนไทยควรจะได้รับรู้ ถึงที่มาที่ไป และเหตุผลของแต่ละฝ่าย หักล้างกันอย่างไร ไม่ใช่จะมาให้รับรู้แค่ผลการตัดสินตอนท้ายแล้วเท่านั้น แม้จะไม่ใหญ่หรือใกล้ตัวประชาชนเท่าเรื่องปากท้อง หรือละครทีวี แต่ทีเรื่องฟุตบอลยูโร ยังถ่ายทอดสดได้ แถมยังมีการมานั่งถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์กันเป็นบ้าเป็นบอ แต่กลับกรณีเรื่องรัฐธรรมนูญใหญ่กว่าทุกเรื่องในประเทศนี้ ฟรีทีวีไม่นำเสนอข่าว เงียบเป็นเป่าสากทุกช่องเลย แม้แต่ช่วงข่าวต้นชั่วโมงของบางช่องก็ไม่มีรายงานเลย มัวไปออกอากาศรายการไร้สาระอะไรก็ไม่รู้ จึงเป็นที่มาของบทความนี้ไง ที่ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า ฟรีทีวีมันไปมัวทำอะไรอยู่ ฟรีทีวีตายแล้ว หรือฟรีทีวีเสียใจแต่ไม่แคร์ ผู้เขียนจึงขอจัดหนักหน่อย โดยเฉพาะช่อง 3 ก็ไหนคุณบอกว่า คุ้มค่าทุกนาทีดูทีวีสีช่อง 3 ไง แล้วมันคุ้มค่าไฟมั๊ยที่พูดมาหน่ะ ,ททบ 5นำคุณค่าสู่สังคมไทย ตรงไหน ,ช่อง 7 สี ทีวีเพื่อคุณ (คนไหนเหรอ) , ช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ สังคมอุดมปัญญา (ปัญญาอ่อนหน่ะใช่มั๊ย) , TPBS ทีวีไทย ทีวีที่คุณวางใจ (วางใจไม่ได้แล้วนะ ก็คุณไม่ทำหน้าที่เลยอ่ะ) ?????