วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

K-Pop ดังไกล ไปยุโรป และอเมริกา



การไปโชว์ตัวในรายการ The Late Show with David Letherman ของวง Girl Generation เมื่อเร็วๆ นี้ อาจเป็นการส่งสัญญาณว่าอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ขยับขยายจากการครองใจชาวเอเซียติดหนึบ ไปปลุกระดมสาวกเพิ่มขึ้นในตะวันตกแล้ว


ไม่กี่วันหลังจากปรากฏโฉมในเครือข่ายทีวีอเมริกาครั้งแรกด้วยซิงเกิ้ลฮิต “The Boys” สาวๆ เทเลเจนิกทั้ง 9 คน หอบหิ้วกันบุกดินแดนน้ำหอมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วต่อ เพื่อโชว์เพลงในรายการทีวีช่วงไพร์มไทม์ ทั้งนี้คอนเสิร์ต Girl Generation ในปีที่ผ่านมาขายตั๋วหมดเกลี้ยงภายใน 15 นาที


หนังเกาหลี ละคร ศิลปินไอดอล “K-Pop” ทั้งหลายแหล่ที่ต่างเดินตามรอย “J-Pop” ถาโถมครองตลาดทั่วเอเซียเมื่อทศวรรษที่แล้ว แต่ “hallyu” หรือ “คลื่นเกาหลี” (Korean Wave) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกขานกันในเอเซีย บัดนี้แพร่กระจายไปถึงยุโรปและอเมริกากันแล้ว ช่วยกระตุ้นการส่งออกของแดนอารีดังได้เป็นอย่างมาก ยอดส่งออกด้านวัฒนธรรม อาทิ หนัง หนังสือการ์ตูน เกมคอมพิวเตอร์ ทำสถิติสูงสุดเมื่อปีที่แล้วที่ 4,200 ล้านดอลล่าร์(สหรัฐ) เพิ่มขึ้นจาก 2,600 ล้านดอลล่าร์(สหรัฐ) ในปี 2009 ส่งให้ราคาหุ้นของสตูดิโอชั้นนำพ่งกระฉูด ตัวการ์ตูนยอดนิยมของเกาหลีใต้ เจ้านกเพนกวิน “Pororo” ไปปรากฏโฉมในทีวีของทั่วโลก 120 ประเทศ

โชวฮุนจิน ตัวแทนของรัฐบาลเกาหลี ผู้ริเริ่มคำว่า “K-Pop” เพื่อเรียกขานวงดนตรีเกาหลีใต้ขณะที่ยังทำอาชีพนักข่าว กล่าวว่า เพลงเกาหลีขณะนี้แพร่หลายออกไปมากกว่าที่เคยคาดหวังกันไว้มาก แม้เกาหลีเป็นผู้ส่งออกชั้นนำในด้านอิเลคทรอนิคส์ เรือ และรถยนต์ มานับสิบปี แต่บริษัทผู้ผลิตกลับไม่สามารถสร้างเอกลักษณ์แบรนด์เกาหลีในสายตาชาวโลกได้ เนื่องจากกลัวจะถูกมองว่า ต่ำต้อยด้านคุณภาพเมื่อเทียบกับคุ่แข่งแดนปลาดิบ แต่แล้วการส่งออกทางวัฒนธรรมกลับทำให้ประเทศที่เคยเก็บเนื้อเก็บตัวแห่งนี้เป็นที่ยอมรับของชาวโลกเป็นครั้งแรก




การส่งออก การแพร่ภาพกระจายเสียง อาทิ ละครทีวี ทำสถิติสูงสุดเมื่อปีที่แล้วด้วยมูลค่า 252 ล้านดอลล่าร์(สหรัฐ) เพิ่มจาก 185 ล้านดอลล่าร์(สหรัฐ) ในปี 2009 ในส่วนอุตสาหกรรมเพลง ทำรายได้จากการส่งออก 177 ล้านดอลล่าร์(สหรัฐ) จากเพียง 31 ล้านดอลล่าร์(สหรัฐ) ในปี 2009 และภาพยนตร์ ทำรายได้ 26 ล้านดอลล่าร์(สหรัฐ) จาก 14 ล้านดอลล่าร์(สหรัฐ)เมื่อ 3 ปีก่อน ก่อนหน้านี้ “คลื่นเกาหลี” ยังเป็นปรากฏการณ์ที่จำกัดเขตอยู่ในเอเซียเท่านั้น ปี 2003 ละคร “แดจังกึม” กลายเป็นซีรี่ย์ยอดฮิตตั้งแต่ประเทศไต้หวันไปจนกระทั่งอิหร่าน แต่เมื่อไม่นานมานี้ ละครเรื่องนี้ได้ข้ามฝั่งไปดังในยุโรปตะวันออกด้วย กระนั้นเอเซียยังคงเป็นตลาดที่สำคัญ และผู้จัดการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดยังเล็งเป้าหมายการส่งออกในภูมิภาค ปักจินยัง ผู้บริหาร JYP International ผู้ปลุกปั้นวง “มิส เอ” ที่ประกอบด้วยนักร้องเกาหลี 2 คน คนจีน 2 คน เพื่อทำเพลงฮิตทั้งในภาษาเกาหลีและแมนดาริน ขณะที่วง เกิร์ล เจเนอเรชั่น คล่องทั้งเพลงภาษาเกาหลี ฝรั่ง และญี่ปุ่น

ฮันกูฮุน ประธานสถาบันวิจัย Korean Wave ชี้ว่า ขั้นตอนต่อไปของอุตสาหกรรมเพลงก็คือ เปิดตัวนักร้องในตะวันตกเพื่อส่งบอยแบนด์ และเกิร์ลกรุ๊ป สู่ระดับโลกอย่างแท้จริง คนเกาหลีเองก็แปลกใจมาก ที่เห็นคนตะวันตกอ้าแขนรับ “K-Pop” อย่างท่วมท้นล้นหลาม ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ วัฒนธรรมเกาหลีไม่เคยได้รับความสนใจในสื่อกระแสหลักซักเท่าไรนัก หนังสือพิมพ์แดนอารีดังเล่นภาพคอนเสิร์ตฮอลล์ในฝรั่งเศส หรือแฟนๆ เมืองผู้ดีแห่ต้อนรับวงเกิร์ล เจเนอเรชั่น พร้อมชูป้ายเป็นภาษาเกาหลีอย่างครึกโครม แฟนๆ ในยุโรปเหล่านี้ ค้นพบ “K-Pop” จากเว็บไซต์เครือข่ายสังคมอย่าง Facebook และ You Tube

นักวิจารณ์จำนวนมากตั้งข้อสังเกตว่า ความแปลกใหม่ของเคป๊อปในสายตาคนภายนอกมาจากการคร่ำเคร่งฝึกฝนเป็นแรมปี ในบางครั้งฝึกหนักระดับน้องๆ ค่ายทหารกันเลยทีเดียว เพื่อให้แน่ใจว่า ซุปเปอร์สตาร์ที่ปั้นขึ้นมามีความสามารถรอบด้าน พร้อมขับขานบทเพลงและเต้นถูกสเต็ป พร้อมเพรียงกันทั้งวง ชนิดที่ไม่ค่อยเห็นในวัฒนธรรมเพลงป๊อปของชาติอื่นมากนัก

อย่างไรก็ดี แม้ว่าการส่งออกทางวัฒนธรรมเป็นความภาคภูมิใจของประเทศ แต่คนเกาหลียังเรียกร้องให้อุตสาหกรรมนี้ปรับกฏเกณฑ์ ระเบียบให้เคร่งครัดขึ้น การฆ่าตัวตายของนักแสดงสาว จางจายอน ในปี 2009 ทำให้สายตาทุกคู่จับจ้องด้านมืดของคลื่นเกาหลี ที่นักร้อง นักแสดงบางคนถูกล็อคไว้กับสัญญาทาส และถูกบังคับให้หลับนอนกับผู้บริหาร เพื่อแลกกับบทบาทในหนังในละคร หรือการได้แจ้งเกิดในวงการ



อารยธรรมเพลงและแนวการนำเสนอเพลงเป็นทีมนักร้องพร้อมท่าเต้นที่เร้าใจในสไตล์เกาหลีใต้ (วงบอยแบนด์ เกิร์ลกรุ๊ป) ที่เรียกกันว่า K-POP เริ่มขยายวงออกไปมากขึ้น โดยล่าสุดสามารถรุกเข้าไปวางตำแหน่งทางการตลาดและสร้างความคลั่งไคล้ให้กับแฟนเพลงในสหรัฐได้แล้ว


ตำนานของนักร้องเอเชียในตลาดสหรัฐคงต้องยกให้กับ นักร้องญี่ปุ่นที่ชื่อ เคยุ ซากาโมโต ที่โด่งดังจากเพลงสุกี้ยากี้ ที่ติดอันดับในท็อปชาร์ตของสหรัฐอเมริกาติดต่อกันถึง 3 สัปดาห์ ซึ่งหลังจากนั้นยังไม่มีนักร้องญี่ปุ่นคนใดที่สามารถครองตำแหน่งอันดับ 1 ในบิลบอร์ดชาร์ตได้อีกเลย แม้ว่าหลังจากนั้นจะมีวงพิ้งค์ เลดี้จากญี่ปุ่น ที่พยายามจะจับตลาดสหรัฐอยู่ แต่ก้าวขึ้นไปได้แค่อันดับ 37 ของบิลบอร์ดชาร์ตเท่านั้น แต่การที่พิ้งค์ เลดี้ สามารถรุกตลาดสหรัฐได้ ทำให้นักร้องอื่นๆ จากเอเชียยังมีความหวัง เพราะในช่วงปี 2004 ฮิคารุ อูทาดะ ก็เคยสามารถเอาเพลงในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษเข้าไปเจาะตลาด เจาะใจคนอเมริกันได้ จนกระทั่งถึงยุคของนักร้อง K-POP มาตั้งแต่ปี 2009

K-POP วงที่เริ่มประสบความสำเร็จทางธุรกิจ และเป็นที่รู้จักกันในตลาดสหรัฐมากขึ้นได้แก่ นักร้องในวง Girl Generation และวงดนตรีชื่อ 2NE1 แนวเพลงในสไตล์ของเคป็อป เริ่มแพร่หลายออกไปในระดับตลาดเพลงของโลกอย่างรวดเร็ว และเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ปี 2011 เมื่อการประกาศของบิลบอร์ดเริ่มทำการเปิดตัวการจัดอันดับเพลงของกลุ่มเคป็อปเองในลักษณะ Korea K-Pop Hot 100 Chart ทำให้การทำการส่งเสริมการตลาดของงานเพลงเคป๊อปในสหรัฐมีความโด่งดังและเริ่มเป็นที่รู้จักพร้อมกับนักร้องดังในสหรัฐ อย่าง จัสติน บีเบอร์ และเลดี้ กาก้า

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แนวเพลงในสไตล์เคป๊อป ได้เข้าไปครองตลาดเพลงและทำรายได้มากมายจากการสร้างมิวสิคชาร์ต ทั้งในตลาดญี่ปุ่น จีน ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลาดตะวันออกกลาง ละตินอเมริกา และเริ่มรุกภูมิภาคอื่นๆ อีกหลายแห่ง ช่วงเดือนพฤษภาคม 2011 แฟนเพลงที่คลั่งไคล้ในเคป๊อป ได้ออกันอยู่ที่ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ในนครปารีส หลังจากที่ตั๋วชมการแสดงคอนเสิร์ตที่มีชื่อว่า “Europe’s first K-Pop concert” ขายจนหมดเกลี้ยง

ความโด่งดังของ เคป๊อป ยังมาจากการสนับสนุนองค์กรข่าวรายใหญ่ๆ สถานีโทรทัศน์ในสหรัฐ ที่เข้ามาร่วมโปรโมตเคป๊อปอีกแรงหนึ่ง ในปี 2012 นี้ คาดหมายว่าจะมีการรายงานข่าวเกี่ยวกับความแคลื่อนไหวของวงดนตรี และนักร้องที่มีชื่อเสียงโด่งดังในกลุ่มที่กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มเคป๊อป ที่ปรากฏตามหน้าสื่อมวลชนและวงการบันเทิงในสหรัฐมากขึ้น โดยเฉพาะ Girls Generation, Wonder Girls หรือ BEAST พร้อมกับวงดนตรีกลุ่มเคป๊อป ที่กำลังจะมีการจัดทัวร์ทั่วโลกใน 21 เมืองในสหรัฐเป็นอย่างน้อยภายในปีนี้ อย่างเช่นวง Girls Generation วงนักร้องหญิงของเกาหลีใต้ในระดับชั้นนำที่มีอัลบั้มเปิดตัวไปแล้วไม่น้อยกว่า 3 อัลบั้ม และครองตำแหน่งอันดับ 1 จากการจัดอันดับของสถานีโทรทัศน์ KBS, Music Bank และวง Wonder Girls ที่มีสถานะทางการตลาดเคป๊อป ที่มั่นคงกว่าวงอื่นๆ ของเกาหลีใต้ ทั้งที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดสหรัฐมาเมื่อปี 2009 นี้เอง ด้วยการเริ่มจากการจัดคอนเสิร์ตตามมลรัฐต่างๆ และโชคเข้าข้างเขา เมื่อดิสนีย์ได้เลือกวง Wonder Girls ไปเปิดทัวร์คอนเสิร์ตในอเมริกาเหนือ ที่จริงมีป๊อปสตาร์จากเอเชียมากมายที่อยากจะประสบความสำเร็จในสหรัฐ หลังจากที่เป็นซุปเปอร์สตาร์ในประเทศบ้านเกิดของตนเองแล้ว แต่การจะประสบความสำเร็จจริงๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ความสำเร็จของเคป๊อป จึงเป็นเรื่องที่นักการตลาดเพลงเอเชีย ต้องพยายามศึกษาจากกรณีของป๊อปสตาร์จากประเทศเกาหลีใต้เป็นตัวอย่างนึงที่น่าสนใจครับ

(คัดลอกจากบทความ “เคป๊อปดังไกลมัดใจแฟนคลับฝรั่ง” คอลัมน์ World Momentum , ผู้จัดการ360องศา รายสัปดาห์ฉบับวันที่ 20-26 ก.พ.2555 )

วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555

เศรษฐศาสตร์ชาตินิยม (Nationalism Economics) Attitude Review Serie

ตอนที่ 6 ค่านิยมผิดๆ เป็นตัวบ่อนทำลายความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจที่แสนแพง ยุคข้าวของแพง น้ำมันแพง แพงทั้งแผ่นดิน หวนกลับมาอีกแล้ว

ในช่วงเวลานี้ คงไม่มีอะไรหนักหนาสาหัสเท่ากับปัญหาเศรษฐกิจแล้ว เรามักได้ยินคนรอบข้างบ่นว่าข้าวของแพง ซึ่งผู้เขียนคิดไว้นานแล้ว มันไม่ได้เกินจากความคาดหมายอะไรเลย ถ้าข้าวของมันไม่แพงสิ แปลก ส่วนสาเหตุจะมาจากเหตุปัจจัยอะไรบ้างนั้น ค่อยมาสาธยายกันต่อไป สิ่งแรกที่จะต้องแก้ไขกันก่อนเป็นประการแรกเลยก็คือ เรื่องค่านิยมที่ผิด ๆ เช่น ค่านิยมบริโภคนิยม ที่ชอบใช้ของหรูหราฟุ่มเฟือย ราคาแพง ใช้ของแบรนด์เนมแล้วดูเท่ห์ ดูมีระดับนั้นต้องเลิกไปได้แล้ว สำหรับคนชั้นกลางและชั้นล่าง ส่วนพวกเศรษฐี ไฮโซ นั้นปล่อยเขาไป ในเมื่อเขามีอันจะกินและพร้อมจะจ่าย เวลานี้ค่านิยมนี้กำลังเป็นตัวกดดันหรือกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ต้องเห่อตามกระแสกัน ไม่ว่าจะเป็น ทุกคนจะต้องมีโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ไว้เล่น face หรือ twit กัน ,ต้องมีกระเป๋าแบรนด์เนมไว้ใช้ ,ต้องกินอาหารญี่ปุ่น ,ต้องไปทำหน้าเด้ง หน้าใส ศัลยกรรมกันทุกส่วน ให้ดูดี ,ต้องมีรถยนต์ขับ หรือมีมอเตอร์ไซด์คันงาม ,ต้องสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำให้ได้ จึงต้องไปเรียนกวดวิชาเพิ่ม , อยากมีเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าดีๆ รุ่นใหม่ๆ ใช้ จึงขยันไปซื้อหรือผ่อนกับบัตรเครดิต เป็นต้น ค่านิยมตัวแรกนี้ได้ทำให้ทุกคนต้องใช้จ่ายเพิ่มโดยไม่จำเป็น หรือสร้างภาระต้นทุนให้กับชีวิตประจำวันของคุณให้เพิ่มมากขึ้น โดยที่บางครั้งรายได้ไม่ได้เพิ่มตาม (โดยที่ยังไม่พูดถึงผลพวงจากนโยบายเรื่องรายได้ขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน,เงินเดือนขั้นต่ำ 15,000 บาทของรัฐบาล ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป) ค่านิยมตัวต่อมาก็คือ โกงนิดโกงหน่อย ไม่เห็นเป็นไร คนไทยรับได้ ขอให้ทำงานเก่ง บริหารเศรษฐกิจได้ดีก็พอแล้ว ค่านิยมนี้ถ้าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาคงไม่ปล่อยเอาไว้ เพราะมันเป็นตัวทำลายเศรษฐกิจแน่ๆ ในระยะยาว มันจะดีได้ยังไง เพราะการคอรัปชั่นหรือการโกงกิน แม้ในระดับเงินใต้โต๊ะ ค่าน้ำร้อนน้ำชา วิ่งเต้นหรือเงินค่าแปะเจี๋ยะ การแบ่งเปอร์เซ็นต์ กินหัวคิว อะไรทั้งหลายเหล่านี้มันก็จะกลายไปเป็นต้นทุน หรือถูกผลักไปเป็นต้นทุนหรือราคาที่จะต้องจ่ายแพงขึ้น สำหรับผู้บริโภค ผู้ใช้ และผู้เสียภาษี นั่นก็คือคนไทยโดยส่วนรวมอยู่นั่นเอง ดังนั้น เมื่อมีการสำรวจวิจัย หรือผลโพลล์ออกมาทีไร ว่าคนไทยรับได้ถ้าโกงแต่ทำงานเป็นนั้น ผู้เขียนค่อนข้างขัดใจ ไม่เห็นด้วย และก็อยากจะตั้งข้อสงสัยกับเจ้าของสำนักโพลล์ หรือคนที่ทำวิจัยเหล่านั้นว่า ทำไมคุณถึงไม่พยายามรณรงค์หรือเรียกร้องให้แก้ไขค่านิยมตัวนี้เสีย เพราะคุณเป็นผู้ทำวิจัย เก็บข้อมูล ย่อมรู้ดีว่า คนกลุ่มใดที่ตอบคำถามในลักษณะนี้ หรือว่ามีการชี้นำโดยคำถาม หรือผู้นำทางความคิดของกลุ่มเป้าหมายที่คุณทำวิจัยหรือเปล่า ถ้ามี ถ้าใช่ ต้องพยายามไปปรับทัศนคติของกลุ่มเป้าหมายหรือผู้นำทางความคิดของกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นด้วย ว่าอย่ามาชี้นำค่านิยมนี้ในทางที่ผิด เพราะมันบ่อนทำลายชาติ ทีเรื่องเล็กๆ น้อย ทำไมสังคมไทยยังกล้าต่อต้านหรือออกมารณรงค์กัน แต่กลับค่านิยมเรื่องการโกงนั้นใหญ่กว่ามากกลับไม่มีใครออกมา อาจมีบ้างก็สมาคมอุตสาหกรรม หอการค้า และสมาคมธนาคารไทย ซึ่งเพิ่งจะมีการจัดตั้งเป็นองค์กรและออกมารณรงค์ แต่ตามความคิดของผู้เขียนเห็นว่า ยังน้อยไป ควรจะจัดเป็นแคมเปญใหญ่และรณรงค์ต่อเนื่องทั้งปี ทุกปีอย่างต่อเนื่อง เหมือนแคมเปญการท่องเที่ยวไทยนั่นแหละ หรือเมาไม่ขับ ของ สสส. กลุ่มนักธุรกิจเหล่านั้นที่ต้องออกมาเพราะตนเองได้รับผลกระทบโดยตรง และในอดีตก็เป็นหนึ่งในองคาพยพของกระบวนการคอรัปชั่นนั่นแหละ ที่ต้องเดือดร้อนออกมาร้องแร่แห่กระเชอ แสดงการต่อต้านและรณรงค์ก็เพราะว่าปัญหามันเริ่มฝังรากลึก บานปลาย และรุนแรงมากขึ้นนั่นเอง จนทำให้เหล่านักธุรกิจเหล่านั้นเริ่มอยู่ไม่ได้ ไม่ไหวกันแล้วใช่มั๊ยพวกท่าน จริงๆ เรื่องนี้มันควรจะเป็นวาระแห่งชาติหมายเลขหนึ่งเลย ที่จะต้องได้รับการแก้ไขหรือให้ลำดับความสำคัญแบบเรื่องแรกๆ เลยสำหรับประเทศนี้ แต่ที่ผ่านมากี่รัฐบาลแล้วก็ไม่เคยเห็นว่ามันจะสำเร็จเป็นรูปธรรมได้เลยสักกรณีเดียว ยังกรณีของข้าราชการระดับปลัดกระทรวงคมนาคมที่ถูกจับได้ว่ามีเงินเก็บอยุ่ในบ้านเป็น สิบๆ ล้าน ซึ่งเรืองแดงออกมาให้สังคมรับทราบก็เพราะมีโจรไปปล้นบ้าน และยังออกมาให้ข่าวว่าบ้านหลังนั้นมีเงินเก็บอยู่มากกว่าที่จับได้ด้วย สุดท้ายคดีนี้ก็เงียบหายเข้ากลีบเมฆไปเหมือนเดิม นี่เป็นเพียงตัวอย่างเพียง 1 ในร้อยล้านตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองนี้ที่ไม่มีใครเอาจริงเอาจังกับปัญหาการโกง ทุจริต คอรัปชั่นอย่างเป็นรูปธรรมเสียที มีแต่ผู้หลักผู้ใหญ่ทุกรัฐบาล ปากก็พูดว่าจะปราบปรามปัญหานี้อย่างเอาจริงเอาจังให้ได้ ฟังดูเป็นคนดีจังเลย แต่สุดท้ายก็ยังตั้งหน้าตั้งตาตะบี้ตะบันโกงกันอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ , ค่านิยมที่ยึดติดกับตัวบุคคลคนใดคนหนึ่งเป็นฮีโร่ เช่น อยากได้ท่านนายกทักษิณ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของพวกเรา ท่านทำให้เศรษฐกิจดีนะ ทำมาค้าขายคล่อง เจริญก้าวหน้าดี อยากออกตัวว่าในอดีต ผู้เขียนเองก็เคยชื่นชอบคุณทักษิณ ชินวัตรมาก่อน และก็เลือกท่านมาเป็นนายกรัฐมนตรี ถึง 2 สมัย จริงๆ ก็เลือกท่านตั้งแต่สมัยอยู่เป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรมเสียด้วยซ้ำ เพราะศรัทธาใน พลต.จำลอง แต่พอท่านได้มาบริหารประเทศอยู่ 6 ปี ความเป็นจริงที่แสดงออกมากับความเชื่อมัน ศรัทธาผ่านการสร้างภาพได้เดินสวนทางกันไปแบบหน้ามือเป็นหลังเท้าเลย เปลือกนอกท่านได้นำเอาทฤษฏีการตลาดอันแหลมคม เฉียบขาด และเป็นมืออาชีพ มาใช้บริหารประเทศ บดบังและเคลือบแฝง ฉาบหน้าด้วยกลยุทธ์อันชาญฉลาด ทำให้เราหลงไปในภาพมายา กลลวง ที่ท่านได้นำเสนอ หรือ present ให้เราเห็นว่าท่านเป็นนายกที่เก่ง ฉลาด สมาร์ท มีวิสัยทัศน์ ทำงานแล้วมีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน มีรูปธรรมจับต้องได้ มีการนำเอาเทคโนโลยี ระบบการบริหารงานสมัยใหม่มาปรับใช้ ให้ระบบราชการทันสมัยขึ้น และมีประสิทธิภาพ (หรือเปล่า) มากขึ้น แต่โดยเนื้อแท้ข้างในของนโยบาย วิธีการ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี กลุยทธ์ต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้นั้นเคลือบแฝงด้วยยาพิษ หรือพูดง่ายๆก็คือ ผลประโยชน์ทับซ้อน ผลประโยชน์ที่กูอยากจะได้ บริวารของกู เครือญาติของกูอยากได้บ้าง จึงเกิดการทุจริต ฉ้อฉลในโครงการ นโยบายแทบจะทุกอันในการบริหารงาน 6 ปีของท่าน ยังไม่นับรวมการปิดบังอำพรางผลประโยชน์ส่วนตัว เช่น การโอนหุ้น ขายหุ้น ไขว้หุ้นยัวเยี้ยในบริษัทของท่าน ซึ่งถูกจับได้ว่าเป็นนิติกรรมอำพรางในภายหลัง มูลเหตุจูงใจก็คือต้องการหลบเลี่ยงภาษี (โถๆๆ เป็นถึงมหาเศรษฐีและผู้นำรัฐบาลในตอนนั้น ยังอยากเลี่ยงภาษี แล้วจะรีดนาทาเร้น เก็บภาษีเอาจากคนชั้นกลาง รากหญ้า และเอสเอ็มอี ที่เป็นฐานแฟนคลับของคุณได้ มันช่างใจดำจังเลยตาคนนี้ เงินกูไม่ให้กระเด็น แต่เงินคนอื่นกูกล้าหน้าด้านจะเอาด้วย) สิ่งที่แกทำมาทั้งหมดไม่ว่าจะเรื่องดีบ้าง (คิดไม่ออกตอนนี้) ไม่ดีบ้าง (อันนี้คิดออก มีเยอะแยะมากมาย) จึงพังครืนลงมาด้วยวิกฤติศรัทธาของคนชั้นกลางนี่แหละที่มารู้เท่าทันในภายหลัง ส่วนคนชั้นล่างนั้นน่าสงสาร ไม่ค่อยจะรู้อะไร ถูกปิดหูปิดตาด้วยสื่อที่เขาซื้อมาเป็นพวก ให้รู้แต่สิ่งที่เป็นผลงานเป็นภาพดีๆ ของเขา ด้วยความที่คนชั้นล่างมีภูมิคุ้มกันด้านการครองชีพต่ำ เขาจึงยังไม่รู้ บางคนรู้ตามที่เขาอยากจะบอก บางคนถึงรุ้ก็ยังอยากให้เขาหลอกต่อไป เพราะภูมิคุ้มกันต่ำ บางส่วนจึงถูกหลอกใช้ให้มาเป็นเหยื่อ เช่น ในกรณีคนเสื้อแดงบางส่วนที่ถูกชักนำมาให้ชุมนุมบริเวณราชประสงค์ จนเกิดเหตุกรณีเผาบ้าน เผาเมือง เผาศาลากลางจังหวัดหลายแห่ง พอมีคนล้มตาย เสียหาย รัฐบาลนี้ซึ่งได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากการชุมนุม จึงออกกฎหมายอัปยศ ด้วยการจะนำเงินภาษีของคนไทยทั้งประเทศ (ซึ่งส่วนใหญ่คนที่จ่ายภาษีคือคนชั้นกลางและชั้นสูงทั้งนั้น) มาจ่ายให้กับเหยื่อที่ประสบภัยจากการชุมนุม คนละ 7.75 ล้านบาท นี่เป็นกรณีตัวอย่างนึงของการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินไปแบบอีลุ่ยฉุยแฉกที่สุด ยังมีอีกหลายโครงการที่จะได้กล่าวถึงต่อไป ค่านิยมอีกอย่างนึงที่คนไทยควรแก้ไขอย่างมากก็คือ ค่านิยมทำตามใจคือไทยแท้ ไม่ทราบว่ามันมีประโยชน์อะไรที่เราคนไทยจะต้องมีเสรีภาพ หรือสิทธิอะไรแบบสิ้นคิดเช่นนี้ เพราะสิ่งที่พบเจอนั้น ฝรั่งหรือชาวต่างชาติมันยังกลัวเลยก็คือ เรามักจะอ้างเสรีภาพที่เกินเลยจากความพอดี และไปล่วงละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น แล้วก็อ้างข้างคูๆ ว่าประเทศไทยเราเป็นประชาธิปไตย ฉันต้องมีเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ เช่น วันดีคืนดีไม่พอใจอะไรก็ออกมาประท้วงปิดถนนให้เกิดความเดือดร้อนแก่บุคคลอื่น เสรีภาพในการชุมนุมที่ก่อความรุนแรง ทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อหรือโซเชียลเน็ตเวิร์ก เว็บไซต์บางเว็บไซต์ที่ใช้คำไม่สุภาพ หยาบคาย ด่าทอว่าร้าย และก็หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างนี้ในประเทศที่เจริญแล้ว พัฒนาแล้ว เขายังต้องมีการควบคุมและจำกัดสิทธิ เสรีภาพให้อยู่ในกรอบจำกัด การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล บุคคลอื่น ในประเทศที่เจริญแล้วเขาซีเรียส และมีสิทธิจะฟ้องร้องกันได้ เขาจึงระมัดระวังและก็มีวัฒนธรรมที่ดี ที่ไม่ไปละเมิดผู้อื่น แม้ว่าเสรีภาพนั้นมีตามระบอบประชาธิปไตยก็เถอะ จะมีก็แต่ประเทศไทยหล่ะมังที่คนส่วนหนึ่ง อ้างเสรีภาพ อ้างสิทธิ แบบเห็นแก่ตัว แบบไม่รับผิดชอบ และบางทีก็ไม่รู้ด้วยว่าเสรีภาพ และสิทธิหน้าที่ของบุคคลตามกฏหมายรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายทั่วไป เราทำได้แค่ไหน ในระดับใด และต้องคำนึงถึงสิทธิของผู้อื่นหรือไม่ ไอ้ค่านิยมนี้ตัวเดียว ได้ทำให้ประเทศไทยหรือคนไทยกลายเป็นประเทศที่คนไม่มีระเบียบวินัย นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ เช่น การทิ้งขยะไม่ลงถังขยะ หรือที่ที่จัดเตรียมไว้ให้ การแย่งกันขึ้นรถเมล์ การไม่ต่อคิว ชอบลัดคิว วิ่งเต้น เพื่อให้ตนเองได้ถึงคิวก่อน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวทำลายขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยด้วยในระยะยาว เราจะกลายเป็นประเทศที่แข่งสู้อะไรกับใครเขาไม่ได้ (ล่าสุด การจัดอันดับขีดความสามารถของประเทศไทยตกลงทุกปี อยู่ในอันดับ ) ค่านิยมตัวสุดท้ายก็คือเราไม่นิยมความเป็นไทย ความเป็นชาติของเราเอง เรารับเอาวัฒนธรรมต่างชาติอย่างไม่เลือกหรือกลั่นกรอง เรารับมาทั้งหมดไม่ว่าดีหรือร้าย บางครั้งเราเชิดชูมันไปตามกระแสแฟชั่น โดยลืมคิดไปว่าบางอย่างไม่เหมาะกับวิถีชีวิต รากฐานทางความคิด หรือวัฒนธรรมของเรา แต่เราลอกเลียน เลียนแบบทางวัฒนธรรมของต่างชาติมาอย่างเต็มๆ โดยที่ลืมนึกไปว่านั่นเป็นการรุกคืบทางวัฒนธรรม ผ่านตัวสินค้า ความบันเทิงต่างๆ ซึ่งเป็นการล่าอาณานิคมทางธุรกิจแบบสมัยใหม่ เพื่อให้เราเป็นเหยื่อทางการตลาด โดยที่เราไม่หันไปคำนึงหรือให้คุณค่าต่อรากฐานทางวัฒนธรรมของเราเอง บางอย่างกำลังสูญพันธุ์ สูญสลายไปกับคนรุ่นใหม่ที่ไม่เห็นคุณค่า ทั้งๆ ที่บางอย่างสามารถนำมาต่อยอดสร้างเป็นจุดขายหรือจุดแข็งให้กับประเทศเราได้ ค่านิยมรักชาติ เชิดชูความเป็นไทย ไม่ใช่การคลั่งชาติ เพราะประเทศที่เจริญแล้ว พัฒนาแล้วเขารักชาติ และชาตินิยมกันทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นเขาจะก้าวมาเป็นผู้นำทางอุตสาหกรรมได้อย่างไร หรือเป็นประเทศมหาอำนาจได้อย่างไรกัน จะมีก็แต่ประเทศที่อยากจะตกไปเป็นเมืองขึ้นของคนอื่นเขานั่นแหละที่ไม่คลั่งชาติ ไม่มีความเป็นชาตินิยมอะไรทั้งสิ้นเอาเสียเลย


แพงทั้งแผ่นดิน เป็นแคมเปญใหม่ วลีโดนใจของพรรคประชาธิปัตย์ที่ถนัดพูดเก่ง แต่ด้วยความที่พรรคนี้มีความสามารถที่จะเป็นฝ่ายค้านมืออาชีพ ข้อมูลที่เขานำมาเปิดเผยต่อสาธารณะชนให้รับทราบในช่วงนี้นั้น อาศัยข้อมูล ข้อเท็จจริง ผ่านการซุ่มเงียบศึกษามาเป็นอย่างดี ดูน่าสนใจ และก็คงเป็นอารมณ์ร่วมของคนชั้นกลางส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เลือกพรรครัฐบาล (พรรคเพื่อไทย) พรรคนี้ให้มาบริหารประเทศอยู่แล้ว พอมาบริหารประเทศ วาระแห่งชาติที่เขาทำเป็นเรื่องแรก จึงไม่ใช่การแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนซักเท่าไหร่ แต่เป็นการไปทำเรื่องที่แก้ปัญหาให้กับเจ้าของพรรคเขานั่นแหละเสียเป็นส่วนใหญ่ บวกกับการอุ้มชูนโยบายขายฝัน ตอนหาเสียง พวกนโยบายประชานิยมทั้งหลาย ที่มันไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจของโลกเขา แต่ก็ยังอยากจะทำ เพราะหาเสียงเอาไว้ รับปากกับประชาชน ฐานเสียงของเขาไว้ จึงต้องทำให้ได้ และปัจจัยที่จะทำให้นโยบายขายฝันเหล่านั้นเป็นจริงหรือเกิดขึ้นมาได้ ก็คือ จะต้องมีเงิน หรืองบประมาณ ในเมื่อเขามาเป็นรัฐบาลแล้วรับทราบว่าเรามีแต่หนี้แต่เงินคงคลังไม่ค่อยมี ร่อยหรอ สิ่งแรกคืออยากดึงเงินจากท้องพระคลังที่เคยสะสมเอาไว้มาใช้ พอถูกต่อต้านจากศิษยานุศิษย์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน จึงต้องไปคิดวิธีออก พรก.4 ฉบับเพื่อหาเงินมาผลาญทิ้งให้ได้โดยเร็ว หายนะจึงเริ่มเกิดกับประเทศนี้ นับจากนี้ไป อีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า ประเทศเราจะมีสถานภาพที่ไม่ค่อยต่างไปจากประเทศกรีซหรือกลุ่ม Pigs (โปรตุเกส,ไอร์แลนด์,กรีซ,สเปน,อิตาลี) มากนัก เราคงจะต้องเข้าโครงการ IMF (โปรแกรมลดน้ำหนักความน่าเชือถือด้านการคลังของรัฐบาล) กันอีกรอบเป็นแน่ และครั้งนี้คงตัวใครก็ตัวมัน ไม่มีใครจะช่วยใครได้ นอกจากช่วยตัวเองเท่านั้น ทีนี้เรามาดูอภิมหาโครงการของรัฐบาลชุดนี้ ที่สรรหาแต่เรื่องใช้เงิน โดยยังไม่มีเลยซักนโยบายที่พูดถึงการหาเงินเข้าประเทศ ดังนั้นคุณเดาได้เลยว่าหนี้สาธารณะของประเทศจะพอกพูนไปได้อีกขนาดไหน

โครงการรับจำนำข้าว ทั้งฉาวโฉ่และช่องโหว่ให้ทุจริตมากมาย ขนาดถูกท้วงติงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้ว แต่ก็ยังไม่รับฟังข้อมูลหรือความเป็นจริงใด ๆ ยังดื้อด้านผลักดันนโยบายนี้ต่อ และเมื่อนำมาใช้ ก็ไม่ได้ผลอะไร แต่กลับสร้างปัญหาใหม่ตามมา รวมถึงสร้างภาระงบประมาณแผ่นดินให้มากขึ้น และก็จะกลายไปเป็นงบประมาณผูกพันต่อเนื่องไปอีกจนถึงอีกหลายรัฐบาล

โครงการรถยนต์คันแรก บ้านหลังแรก อันนี้เห็นชัดว่า ไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งประเทศอื่นเขารัดเข็มขัดกัน แต่ประเทศเรามุ่งเน้นให้คนใช้จ่ายฟุ่มเฟือย อีกทั้งไม่สอดคล้องกับภาวะที่ราคาน้ำมันโลกปรับตัวสูงขึ้นมาก ประเทศที่พัฒนาแล้วเขาหันไปมุ่งเน้นการใช้พลังงานทางเลือก หรือใช้รถยนต์ระบบไฟฟ้ากันแล้ว แต่ของเรา ไม่มีนโยบายสนับสนุนพลังงานทางเลือก อีกทั้งยังหันมามุ่งปรับราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น ราคาก๊าซเพิ่มขึ้น โดยอ้างต้นทุนนำเข้าที่สูงตามราคาตลาดโลก (ซึ่งก็เป็นข้อมูลของทาง ปตท.แต่ฝ่ายเดียว โดยกลไกราคาที่ผิดเพี้ยนและเอาเปรียบผู้บริโภคของ ปตท.นั้นได้มีกลุ่ม ส.ว.สายกู้ชาติ นำโดยคุณรสนา โตสิตระกูล ได้ทำการศึกษาวิจัยข้อมูลตัวเลขไว้ละเอียดยิบ เกี่ยวกับความฉ้อฉลขององค์กรพลังงานแห่งชาติ อย่าง ปตท.เอาไว้ ประชาชนน่าจะหามาศึกษาดูได้ จะทราบถึงความไม่ชอบมาพากล การบิดเบือน หลอกตุ้มตุ๋น ของนักการเมืองที่เข้าไปมีผลประโยชน์ในองค์กรพลังงานแห่งชาติ อย่าง ปตท.แห่งนี้ อันเป็นที่มาที่ทำให้คนไทยต้องใช้น้ำมัน และก๊าซแพง ทั้งๆ ที่เราเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ทางด้านพลังงานติดอันดับโลก และล่าสุดกับข่าวที่รัฐบาลชุดนี้มีแผนจะขายหุ้น ปตท,การบินไทย ในส่วนของกระทรวงการคลังออกไปให้กองทุนวายุภักด์ดูแล โดยอ้างว่าจะทำให้ภาระหนี้สินขององค์กรรัฐวิสาหกิจของรัฐจะได้ลดลง แล้วจะทำให้ไม่เป็นภาระในส่วนของหนี้สินสาธารณะของประเทศ แต่คนที่เขารู้ทัน อย่างกลุ่ม ส.ว.สายกู้ชาติ นั้นได้เคยออกมาแถลงแล้วว่า นี่อาจเป็นแผนแปลงบริษัทมหาชนซึงเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลไปเป็นบริษัทเอกชน เพื่อที่จะง่ายต่อการเขมือบไปเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลของใครบางคนที่คุณก็รู้ว่ามันคือใคร หน้ามันเหลี่ยมๆ ปากมันทีเดียว) โครงการนี้ทำมาก็เพียงแต่เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทรถยนต์ และบริษัทขายบ้านที่อาจจะได้กำลังซื้อหรือยอดขายเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่จะตามมาในอนาคตก็คือ หนี้ และ NPL รวมถึงรายชื่อ Blacklist กลิ่นตุ ของปี 2540 กำลังโชยมาอีกแล้ว


โครงการแจกแท็บเล็ตให้กับนักเรียน และยังแจกแท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟนให้กับ ส.ส. ,ส.ว. ทั้งรัฐสภา อันนี้สุดแสนจะเป็นนโยบายตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอีก 1 โครงการ ข้ออ้างเรื่องการพัฒนาคุณภาพการศึกษานั้นยังไงๆ ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ประเด็นมันอยู่ที่เนื้อหาของการปฏิรูป วิธีคิด วิธีการ และเครื่องมือที่จะนำมาใช้ ตลอดจนหัวใจขอการพัฒนาหรือปฏิรูปการศึกษามันอยู่ที่หลักสูตร กรอบการเรียนรู้ ตัวอาจารย์ และตัวนักเรียนมากกว่า ไม่เถียงว่าเจ้า tablet เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยในเรื่องการอ่าน การค้นคว้า แต่เจ้าเครื่องมือนี้มันควรเป็นอุปกรณ์ตัวนึงในห้องสมุดอัจฉริยะก็พอ ที่จะทำให้เด็กนักเรียน คุณครูใช้เรียนรู้ ค้นคว้า อ่านหนังสือ วิชาการที่มีใช้ในห้องสมุด หรือถ้าจะมีประจำห้องด้วยก็ได้ แต่ไม่จำเป็นถึงขนาดจะต้องมีแจกให้นักเรียนมีใช้กันทุกคน เพราะเจ้าสิ่งนี้จะดึงเอาความสนใจจากคุณครู การเรียนการสอนที่ควรจะต้องเน้นการปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับคุณครู เน้นการตั้งประเด็น ถกเถียง วิเคราะห์กันมากกว่าในชั้นเรียนไปทั้งหมด ไปอยู่กับเครื่อง tablet ซึ่งก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร ไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้ และอาจนำพาไปสู่การนอกลู่นอกทางจากการเรียน เช่น นำไปใช้เล่นเกมส์ ซึ่งก็น่าจะทำได้ หากเป็นนอกเวลาเรียน แต่เราจะควบคุมดูแลกันอย่างไรหล่ะ ยังไม่นับรวมว่า การต้องเก็บรักษา บำรุงรักษาเจ้าเครื่องมือนี้ ไว้ส่งต่อรุ่นน้องๆ ในรุ่นถัดไปอีก ไม่คิดว่าเด็กไทยมันจะทำได้เหมือนเด็กญี่ปุ่นอ่ะ กลัวจะพังตั้งแต่เทอมแรกเลยแหละ และก็ไม่ทันได้ใช้จนจบการศึกษาก็มาเสียหรือพังก่อน การพัฒนาการศึกษาโดยการแจกแท็บเล็ตให้เด็กนักเรียนช่างเป็นวิธีคิดของพวกพ่อแม่คนรวยที่มีตังค์เยอะ แล้วมักจะโอ๋ลูก สปอยด์ลูกโดยการซื้อของแพงให้ลูกใช้ โดยที่ยังไม่เคยถามลูกเสียด้วยซ้ำว่าลูกจะอยากได้หรือเปล่า และเห่ออยู่ 2-3 วัน พังแล้วก็ทิ้ง แต่ถึงอย่างไรนโยบายนี้ก็ยังรับได้มากกว่าการซื้อแท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟนให้กับบรรดา ส.ส.,ส.ว. ซึ่งผมว่าคุณควรจะละอายใจต่อประชาชนบ้าง เงินเดือนพวกคุณก็สูงมากอยู่แล้ว และได้ทำหน้าที่ความเป็น ส.ส.,ส.ว.ได้อย่างคุ้มค่าเงินเดือนกันหรือยัง ประเทศอื่นที่เขามีปัญหาทางเศรษฐกิจ พวกบรรดา ส.ส.,รัฐมนตรี เขายังขอลดเงินเดือนตัวเองลงเพื่อช่วยชาติเลย แต่นี่อะไรทำหน้าที่ก็ไม่สมกับเงินเดือนภาษีอยู่แล้ว ยังมีหน้ามาขอแท็บเล็ต สมาร์ทโฟน มีปัญญาก็ควรจะซื้อใช้เอาเอง บางคนยังไม่รู้เลยว่าไอ้เครื่องมือแบบไหนเขาเรียกแท็บเล็ต แบบไหนคือสมาร์ทโฟน แบบไหนคือแล็ปท็อป

ยังมีโครงการฉาวโฉ่อีกมาก ที่ไม่ทราบว่าทำไปเพืออะไร คิดไม่ตกจริงๆ ถ้าไม่หวังผลในเรื่องของการทุจริต หาผลประโยชน์ กัน เพราะประเทศชาติประชาชนไม่ได้รับผลดีอะไรเลยจากนโยบายเหล่านั้น นอกเสียจากภาระหนี้สินสาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นต่อไปให้ลูกหลานต้องคอยตามใช้ในภายภาคหน้า อย่างเอน็จอนาจที่สุด

การที่สินค้าราคาแพงหรือค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้นในยุคนี้ มีต้นตอสาเหตุมาจากปัจจัยดังต่อไปนี้ คือนโยบายของรัฐบาลที่เน้นการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ต้นทุนทางพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นผลมาจากการตรึงราคาน้ำมันและแก๊สเอาไว้นาน ทำให้เงินกองทุนสนับสนุนกลายเป็นติดลบ (จึงมีการขึ้นค่าน้ำมัน,แก๊ส ทุก ๆ เดือน) อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น อันสืบเนื่องมาจากการปรับขึ้นของค่าแรงงานขั้นต่ำ (นโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวัน,ปรับเงินเดือน 15,000 บาทต่อเดือน) กลไกราคาที่ถูกบิดเบือน หรือการตั้งราคา/ปรับราคาอย่างไม่เป็นธรรม เช่น การปรับราคาแบบเป็นเลขกลมๆ ถ้วนๆ เช่น ราคาก๋วยเตี๋ยวปรับขึ้นจาก 25 บาทเป็น 30 บาท เป็นต้น การที่ประเทศไทยเกิดอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่เมื่อปลายปีที่แล้วทำให้หลายอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมต้องเสียหาย ปิดตัวไป ยังผลิตสินค้าไม่ได้ หรือรอเครื่องจักรใหม่ ทำให้ดีมานด์ความต้องการซื้อในสินค้าหลายๆตัว มีมากขึ้น เพราะเกิดภาวะขาดแคลนสินค้าอย่างหนัก จึงเป็นสาเหตุให้ราคาสินค้าถีบตัวขึ้นจากผลกระทบจากน้ำท่วมดังกล่าว รวมไปถึงภัยธรรมชาติทำให้ปีนี้กลับตาลปัตร กลายเป็นประเทศไทยเผชิญภัยแล้งที่มารออยู่ตรงหน้าแล้ว สินค้าเกษตรหลากหลายชนิดขาดผลผลิต จึงทำให้ดีมานด์สูง ซัพพลายน้อย กลไกราคาทำงาน จึงทำให้สินค้าหลายตัวถีบตัวสูงขึ้น อีกด้านหนึ่งพ่อค้าคนกลางจอมเจ้าเล่ห์ ชอบเอารัดเอาเปรียบ มักฉกฉวยโอกาสจากดีมานด์ ซัพพลายของสินค้าทีมันไม่สมดุลนี้ ทำการ arbritage (การเก็งกำไรจากช่องว่างของตลาด) จนเกิดการกักตุนสินค้าบางอย่างเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อรอปล่อยออกตอนสินค้านั้นขาดแคลนจนเกิดการปรับราคาสินค้าขึ้นมาแล้ว จึง่ค่อยปล่อยของออกขาย เสมือนตอนที่ปีก่อนหน้านั้นที่ประเทศไทยเคยประสบปัญหาราคาน้ำมันปาล์ม น้ำมันพืชแพง หาซื้อไม่ได้นั่นแหละ ปัจจุบันกลวิธีฉ้อฉลแบบนี้ ก็ได้ถูกนำมาใช้กับหลากหลายสินค้าเช่นกัน เพื่อเอาเปรียบผู้บริโภค ประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ

กล่าวโดยสรูปก็คือ แนวโน้มการปรับตัวของราคาสินค้า และค่าครองชีพ นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีทางที่สินค้าบางอย่างที่ขึ้นไปแล้ว จะกลับลงมาถูกได้อีก หากไม่เกิดจากซัพพลายล้นตลาด หากตราบใดที่สินค้านั้นมีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการ และถูกการควบคุมกลไกราคา ตลาด อย่างไม่เป็นธรรม และผิดเพี้ยน ส่อไปในทางเอารัดเอาเปรียบหาผลประโยชน์ เฉกเช่น กลไกราคาของพลังงานในบ้านเรา (มีอย่างที่ไหน ผลิตและขุดเจาะก๊าซชนิดดีในประเทศได้ในราคาถูก ดันส่งไปขายเมืองนอกเอากำไร จากนั้นซื้อก๊าซชนิดไม่ดีส่งกลับมาขายให้คนไทยในราคาแพง แล้วอ้างราคาตลาดโลกที่สิงคโปร์เป็นตัวกำหนด ทำให้คนไทยต้องใช้พลังงานแสนแพง ทั้งๆ ที่ประเทศเราได้รับการยอมรับจากองค์กรพลังงานในระดับโลกว่า เราเป็นประเทศที่มีแหล่งพลังงานมากที่สุด ถ้าจำไม่ผิด ติดอันดับ 23 ของโลกด้วย และในเอเชียเราติด 1 ใน 10 ประเทศที่มีแหล่งพลังงานมากที่สุด แต่คนไทยกลับต้องใช้น้ำมัน ก๊าซแสนแพง) ทางออกของปัญหานี้ก็คือแก้ที่ตัวเราเองก่อน ก็คือ ลด ละ เลิกในสิ่งที่มันฟุ่มเฟือย ไม่จำเป็น ถ้าเราไม่สามารถหารายได้ได้เพิ่มมากขึ้น ให้สามารถดำรงชีพได้อย่างสบายและเอาชนะค่าครองชีพได้ เราก็ต้องพยายามลดรายจ่าย ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่ไม่จำเป็นลง แต่หากไม่เลือกทางใดทางหนึ่งไปอย่างสุดโต่ง ก็อาจเลือกวิธีผสมผสาน คือหารายได้เพิ่มบ้าง และลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลงบ้าง ชีวิตก็จะหาจุดสมดุลได้อย่างลงตัว มีชีวิตในแบบเศรษฐกิจพอเพียง ตามแบบฉบับของทฤษฏีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้ชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้ก็จะรอดได้ในยุคนี้ แต่หากเรายังคงใช้ชีวิตไปเป็นแบบทาสของทุนนิยม ยังคงรักและชอบประชานิยม ก็จงเตรียมตัวเป็นหนี้สิน เตรียมตัวเป็นคนล้มละลาย และสูญสิ้นอิสรภาพทางการเงินได้เลย ในอนาคตอันใกล้ จงเลือกเอาว่าอยากได้เครื่องมือจับปลา หาปลาเป็น ตามแบบฉบับของพ่อสอนไว้ หรือจะเลือกรับปลาเป็นตัวๆ ที่รัฐบาลและทักษิณถนัดนักที่จะให้ และเราก็เสพติดประชานิยมกันต่อไป วันนึงข้างหน้าเราก็ไม่ต่างจากประเทศในยุโรปตอนนี้ คือมีหนี้สินล้นพ้นตัว สุดท้ายรัฐบาลก็ต้องมาออกกฎเกณฑ์บังคับให้ประชาชนต้องเดือดร้อน อยู่ในสถานภาพ่ต้องทนลำบาก ถูกตัดสวัสดิการลงทุกอย่าง จงเลือกว่าอยากจะเป็นเศรษฐีเสวยสุขในตอนนี้ แต่วันข้างหน้ากลายเป็นยาจก หรือจะเลือกว่ายอมเป็นคนประหยัด มัธยัสต์ แต่วันข้างหน้ากลายเป็นคนอยู่ดีกินดี มีฐานะที่มั่นคง ประชาชนทุกทานคงต้องเลือกเอาครับ


วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555

แข่งขันกันไปทำไม สุดท้ายคนที่มีศักยภาพไม่ได้รับการผลักดันเป็นศิลปิน



กลายเป็นกระแสฮิตติดลมบนไปแล้วสำหรับเวทีประกวดร้องเพลง เดอะสตาร์ เพราะว่าเรตติ้งความนิยมจากคนดูที่สูงขึ้นทุกปี และสถิติของผู้สมัครประกวดที่เพิ่มขึ้นทุกปี (ปีนี้เกิน 20,000 กว่าคน) และผลงานของนักร้องที่ออกไปมีผลงานในวงการบันเทิงซึ่งผ่านประสบการณ์การประกวดมาจากเวทีแห่งนี้เป็นเครื่องการันตี ดีกรีความฮ็อตได้อีกส่วนหนึ่ง เนื่องจากรุ่นพี่ทำเอาไว้ดี น้องๆ ที่คลอดตามกันออกมาทีหลังก็มีใบเบิกทางหรือใบรับประกันถึงความดังได้ในระดับนึง อีกทั้งต้นสังกัดนั้นก็ดันสุดตัวและมีศักยภาพด้วย ไม่แปลกใจว่าทำไมรายการประกวดร้องเพลงนี้ถึงมีสปอนเซอร์หลักเข้ามาสนับสนุนรายการมากจริงๆ น่าจะเกิน 10 ตัวได้ และที่จ่อคิวอยากจะเข้ามาอีกมาก แต่สิ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดของเวทีประกวดแห่งนี้ก็มีหลายอย่าง อาทิ ความเชยของรูปแบบรายการ ความดราม่าจัด (การเน้น ความยัดเยียด ความน่าสงสารของชีวิตส่วนตัวของผู้เข้าแข่งขัน) คอสตูมการแต่งกายของน้องๆ ที่เข้าประกวดบนเวที ระบบเครื่องเสียงบนเวที การอวย(ยกยอ,สรรเสริญ) ศิลปินมากเกินไปของบรรดาคอมเมนเตเตอร์ และเซเลป (คนดัง) การยัดเยียดผลงานหรือการโฆษณาบ้าระห่ำของเหล่าศิลปินเดอะสตาร์ จนกลายเป็นคุณได้ดูรายการเดอะสตาร์ออฟเดอร์สตาร์ไปด้วยในตัวมาเกือบทุกรุ่นทุกปี ถ้าถามว่าเดอะสตาร์ คืออะไร ผู้เขียนคิดว่า เดอะสตาร์ ก็คือการตลาดเพื่อการเฟ้นหาศิลปินหน้าใหม่นั่นเอง ที่มีความเจิดจรัส หรือมีแววว่าจะดัง (ที่เขียนว่ามีแววว่าจะดังก็เพราะว่า บางคนตอนประกวดได้เป็นแชมป์เดอะสตาร์มา แต่พอออกจากบ้านมาเป็นศิลปินแล้ว ความเจิดจรัสมันหายไปหรือไม่ดังเปรี้ยงปร้างเหมือนตอนประกวดก็มี) ถามว่าข้อดีของรายการนี้ที่แตกต่างจากรายการประวกดร้องเพลงเวทีอื่นๆ คืออะไร ผู้เขียนคิดว่าจุดเด่นหรือจุดแข็งของรายการนี้อยู่ตรงที่ขั้นตอนการคัดเลือกเข้ามาเป็น 8 คนสุดท้ายนั่นแหละ คือหัวใจของรายการ จะเห็นได้ว่ารายการนี้จะเป็นรายการเดียวที่จะเน้นในส่วนของรอบคัดเลือกเป็นอย่างมาก การคัดเข้ามาให้เหลือเพียง 8 คนนั้น ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป พอดีๆ เพราะง่ายต่อการที่รายการเขาจะได้นำไปโปรโมต ผู้เข้าแข่งขันจะได้รับการโปรโมตในรอบสุดท้ายอย่างลงลึกรายละเอียดที่มากกว่ารายการอื่น ทั้ง profile lifestyle บุคลิกหน้าตา คาแรกเตอร์ ความสามารถที่หลากหลายด้วยคือเสน่ห์ จำนวนที่น้อยกำลังดีนี้เองคือจุดเด่นทำให้ พวกเขามีแอร์ไทม์หรือเวลาที่ออกอากาศให้คนดูคัดกรองเลือกพิจารณาว่าจะโหวต (กติกาในการตัดสิน) ใครดี ได้มากขึ้น และรายการนี้ไม่ใช่เรียลลิตี้แบบสมบูรณ์แบบ จึงไม่เน้นการถ่ายทอด หรือมุมมองพฤติกรรมส่วนบุคคลในบ้านให้ผู้ชมได้เห็น กลายเป็นข้อดีที่ทำให้ผู้ชมจะตัดสินพวกเขาจากการดูผลงานจริงๆ ที่แสดงออกมาบนเวที รอบแข่งขันวันเสาร์ และตัดสินจากบุคลิก การแสดงออก เท่านั้น แต่จะมีข้อได้เปรียบเสียเปรียบกันตรงที่รายการจะเน้นให้เวลา (แอร์ไทม์) กับผู้เข้าแข่งขันคนไหนเป็นพิเศษ หรือกรรมการคอมเมนเตเตอร์กล่าวชื่นชมผู้เข้าแข่งขันคนไหนมากเป็นพิเศษ ก็จะสามารถดึงกระแสคนดูจากทางบ้านได้มากขึ้น ซึ่งก็เป็นปัจจัยเพียงส่วนเดียว ยังมีเรื่องของฐานแฟนคลับซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นมาโดยธรรมชาติ หรือฐานแฟนคลับประเภททุนทรัพย์หนา ว่าจะสนับสนุนเป็นการพิเศษแก่ใคร ก็อาจะเป็นตัวตัดสินชี้วัดได้ในรอบลึกๆ ส่วนดีอีกข้อนึงก็คือพิธีกรในรายการดูเป็นกันเองกับคนดูมาก มีความเป็นธรรมชาติ ลีลาท่าทางกินขาดสามารถเรียกเรตติ้งหรือขโมยซีนจากผู้เข้าแข่งขันได้ ด้วยความที่ไม่เป็นทางการหรือพิธีรีตองนี่แหละจึงทำให้รายการเข้าถึงคนดูในวงกว้างมากกว่าเวทีอื่นๆ ถือเป็นจุดแข็งของรายการอีกประการหนึ่ง


ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด ยังไม่ได้นำเข้าสู่ประเด็นที่ว่า แข่งขันกันไปทำไม เสียเงิน เสียเวลา เสียความรู้สึกแทบตาย สุดท้ายคนที่มีศักยภาพไม่ได้รับการผลักดันเป็นศิลปินหรือมีผลงานที่ดีเมื่อจบการแข่งขันไปแล้ว อันนี้ไม่ใช่ผู้เขียนคิดเองนะ เห็นมีการวิพากษ์วิจารณ์อยู่มากมายทั้งเว็บบอร์ด โซเชียลเน็ตเวิร์ก และคนรอบข้างที่พูดถึงทุกปี อันนี้ก็ขอตอบแทนเจ้าของรายการหรือสปอนเซอร์ทั้งหลายได้ว่า ก็ในเมื่อตลาดผู้บริโภคยังชอบที่จะดูรูปแบบรายการแบบนี้ เม็ดเงินจากการโหวตยังคงสูงลิบลิ่ว ความต้องการที่จะเข้าสู่วงการบันเทิง (ผู้เข้าแข่งขัน)ยังคงมากขึ้นไปเรื่อยๆ แบบนี้ ถามว่าทำไมผู้จัดรายการและสปอนเซอร์เขาจะไม่ทำรายการต่อหล่ะ มันวินวินกันทุกฝ่าย ส่วนประเด็นของผู้ที่มีศักยภาพแต่ไม่ได้ไปต่อนั้น คงเป็นเรื่องของหลายปัจจัย ในเมื่อตัวเลือกมันมีเยอะเขาคงจะดันเฉพาะคนที่เห็นว่าเหมาะสมเป็นบางคนเท่านั้น อันด้วยต้นทุนในการผลิตศิลปิน 1 คนนั้นสูงเอาการ ความคุ้มค่าในการต่อยอดนอกเหนือจากการเป็นเพียงนักร้อง นักแสดง พรีเซ็นเตอร์ ยุคนี้เขาต้องการแบบครบเครื่อง ทำได้หลายอย่างเท่านั้นจึงจะได้เกิด (ตัวอย่างของผู้เข้าแข่งขันเดอะสตาร์ที่มีศักยภาพแต่ไม่ได้รับการผลักดันเป็นศิลปินมากนัก อาทิ บิว เดอะสตาร์ปี 1,นิก เดอะสตาร์ปี 2,มิว เดอะสตาร์ ปี 3, ต้น เดอะสตาร์ปี 4,ฟลุ้ค,กิ่ง เดอะสตาร์ปี 5,เกด เดอะสตาร์ปี 6, แอมป์,ซิลวี่ เดอะสตาร์ปี 7 ยังไม่นับเหล่าเดอะสตาร์บางคนที่เข้ามาด้วยรูปร่างหน้าตา บุคลิกที่ดี แต่พอจบการแข่งขันไปแบบไม่มีกระแส และไม่มีผลงานแม้กระทั่งการแสดงเลยด้วยซ้ำ

มาถึงการแข่งขันเดอะสตาร์ปี 8 ปีล่าสุดนี้ ถือเป็นปีที่ผู้เข้าแข่งขันมีศักยภาพทัดเทียมกันมากที่สุด ,มีความหลากหลายของบุคลิกมากที่สุด มีความคาดหวังมากที่สุด โดยรวมถือว่าเป็นปีที่ได้มาตรฐานที่สุด ระหว่างที่เขียนบทความนี้ ผู้เข้าแข่งขัน 1 ท่าน ได้ออกจากการแข่งขันไปแล้ว (น้องเฟรม หมายเลข 3) แต่ก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าผู้ใดจะได้เป็นแชมป์เดอะสตาร์ของปีนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าได้กำไรจากการได้ชมรายการเดอะสตาร์แทบทุกปีก็คือ การได้ฟังเพลงอันไพเราะจากน้องๆที่เกือบจะเรียกได้ว่ากึ่งๆ มืออาชีพแล้ว บางคนร้องดีกว่ามืออาชีพเสียอีก เป็นความบันเทิงสุดพิเศษ ผ่อนคลายความเครียดได้ดี ในภาวะที่ความตึงเครียดจากภาวะเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้น ดูน้องๆ ในเดอะสตาร์ ดีกว่าดู เดอะเสนียดในสภา มากกว่ากันเยอะเลย ราวกับดูดอกไม้กับกองอุจจาระยิ่งนัก

เห็นรายการเขาเปรยๆ ว่าอย่าดูเพียงอย่างเดียว อาจทำให้ไม่มีส่วนร่วม และน้องๆ ที่คุณเชียร์ไม่ได้ไปต่อ เพราะฉะนั้น จึงร่วมโปรโมตน้องๆ ในรายการร่วมกับทางรายการด้วย ช่วยกันเชียร์ และร่วมโหวต ตามรายละเอียดข้างล้างนี้

“หมายเลข 1” โดม–จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม เกิด 29 ก.ย.2534 สูง 174 ซม.หนัก 98 กก. เรียนปี 2 คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ความสามารถพิเศษ เล่นดนตรีไทย, ระนาดเอก, ระนาดทุ้ม








“หมายเลข 2” ฮั่น– อิสริยะ ภัทรมานพ เกิด 20 ม.ค.2531 สูง 180 ซม. หนัก 72 กก. เรียนปี 3 สันติราษฎร์บริหารธุรกิจ ความสามารถพิเศษ เด่นเรื่องการเต้น และหล่อ--ฮิ้ว!








“หมายเลข 3” เฟรม–ศุภัคชญา สุขใบเย็น เกิด 10 ก.ย.2537 สูง 160 ซม.หนัก 46 กก. เรียนปี 1 คณะนิเทศศาสตร์ เอกการแสดง ม.กรุงเทพ







“หมายเลข 4” แคน–อติรุจ กิตติพัฒนะ เกิด 8 มิ.ย.2534 สูง 172 ซม. หนัก 58 กก. เรียนปี 3 คณะการสื่อสารมวลชน ม.เชียงใหม่








“หมายเลข 5” สต๊อป–วริษฐา จตุรภุช เกิด 16 ก.ย.2535 สูง 161 ซม. หนัก 45 กก. เรียนปี 1 คณะ SIIT วิศวคอมพิวเตอร์ IT ม.ธรรมศาสตร์




“หมายเลข 6” สมายด์–โสรญา ฐิตะวชิระ เกิด 8 ก.พ.2539 สูง 157 ซม.หนัก 43 กก. เรียน ม.4 วิทย์-คณิต ร.ร.มัธยมสังคีตวิทยากรุงเทพมหานคร






“หมายเลข 7” ฮัท–จิรวิชฐ์ พงษ์ไพจิตร เกิด 24 พ.ย.2534 สูง 180 ซม. หนัก 65 กก. เรียน ปี 2 คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกการแสดงและกำกับการแสดง ม.ศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร








“หมายเลข 8” แกงส้ม–ธนทัต ชัยอรรถ เกิด 30 มี.ค.2533 สูง 180 ซม.หนัก 69 กก. เรียนปี 2 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง.

 
ใครจะได้ไปต่อ จนเป็นแชมป์เดอะสตาร์ 8 คุณผู้ชมจะเป็นคนตัดสิน

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

Brand Ultimatum - Case Study Levi's


กรณีศึกษาแบรนด์ Levi’s Strauss แบรนด์ที่เป็นมากกว่าตราสินค้า

ลีวายส์ สเตราส์ แอนด์ คัมปานี เป็นธุรกิจเครื่องแต่งกายที่มีชื่อตราสินค้าที่ประสบความสำเร็จ มากที่สุด และใหญ่ที่สุดในโลก บริษัทจำหน่ายเสื้อผ้าที่มีความโดดเด่นภายใต้ชื่อ Levi’s, Dockers และ Slates ในประเทศต่างๆ กว่า 60 ประเทศทั่วโลก

เดือนมีนาคม ปี 1996 นิตยสารฟอร์บส์กล่าวว่า “ยีนส์ลีวายส์ มีความเป็นสัญลักษณ์มากกว่าผลิตภัณฑ์ มันคือสัญลักษณ์หรือภาพลักษณ์ที่พึงปรารถนาของรูปแบบชีวิตลำลอง ไม่มีการเสแสร้ง เช่นเดียวกับ โคคา-โคล่า ,ยิลเล็ต,แม็คโดนัลด์, ร็อคมิวสิค และรายการซิทคอมทางโทรทัศน์” ย้อนหลังกลับไปในปี 1856 ตอนที่ลีวายส์ สเตราส์ เปิดร้านแห่งแรกของเขา เพื่อจำหน่ายเสบียง แก่คนงานเหมืองทองในแคลิฟอร์เนีย ตราสินค้าของลีวายส์ มีมรดกที่ทรงพลังมาก จุดกำเนิดและวิวัฒนาการของกางเกงยีนส์อเมริกันของแท้และดั้งเดิม คือหัวใจสำคัญของสถานภาพในโลกของตราสินค้านี้ ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์หรือภาพพจน์อเมริกันตัวหนึ่ง

ตราสินค้าลีวายส์ มีอะไรที่มากกว่าการเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความมั่นคงถาวรสามารถเจริญเติบโตรุ่งเรือง ทว่าในช่วงต้นทศวรรษ1980 ทั้งตราสินค้าและบริษัทตกอยู่ในภาวะเสี่ยง เหตุผลรึ? ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราไม่ได้เน้นตลาดคนหนุ่มสาว ซึ่งเป็นตลาดหลักเหมือนเช่นเคยและเป็นลูกค้าที่ทำให้ ลีวายส์สเตราส์แอนด์คัมปานี และตราลีวายส์ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ตอนนั้นงานของเราก็เหมือนกับที่เราทำในปัจจุบัน นั่นคือเราต้องกลับไปเน้นและปรับโครงสร้างของเรา เพื่อให้มั่นใจว่า ลีวายส์สเตราส์แอนด์คัมปานี ยังคงเป็นธุรกิจเสื้อผ้ามีตราสินค้าที่ประสบความสำเร็จและใหญ่ที่สุดในโลก (โดยมียอดขาย ณ ปี 2010 อยู่ที่ 4,410.60 พันล้านดอลล่าร์) เมื่อมองในหลายๆแง่มุมแล้ว ปัญหาท้าทายในทศวรรษ 1980 ยังคงปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้ และทางออกที่เราคิดค้นขึ้นช่วงนั้น ยังคงเป็นหลักการชี้นำแนวทางดำเนินธุรกิจของเราในปัจจุบัน ปัญหาท้าทายที่ลีวายส์ สเตราส์แอนด์คัมปานียังคงเผชิญหน้าอยู่มี 2 ประการด้วยกันคือ ประการแรกจะดำรงความเกี่ยวพันกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่มีการสร้างตัวเองขึ้นใหม่ ทุกๆ สี่หรือห้าปี ได้อย่างไร และประการที่สอง ป้องกันไม่ให้เกิดการหลงระเริงกับความสำเร็จได้อย


“กลยุทธ์เพื่อความสำเร็จของเราเป็นสิ่งที่ง่ายและธรรมดามาก กล่าวคือถ้ามองในระดับโลกแล้ว ลูกค้าเป้าหมายของตราสินค้าลีวายส์คือคนหนุ่มสาววัย 15-19 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ซื้อกางเกงยีนส์ทั้งหมดของบริษัท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ จากประวัติศาสตร์ทีผ่านมา บอกให้รู้ว่า ถ้ากลุ่มลูกค้าหลักนี้ได้รับการจูงใจโดยตราสินค้าของเราแล้ว ประชากรในวัยอื่น ซึ่งเป็นกลุ่มที่ซื้อสินค้าของเราในส่วน 70 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ ก็จะได้รับการจูงใจจากตราสินค้านี้เช่นกัน กล่าวสั้นๆ ตราลีวายส์ได้นิยามและยังคงได้รับการนิยามว่าเป็นทุกสิ่งอย่าง อย่างที่กางเกงบลูยีนส์พึงจะเป็น และการที่ผลิตภัณฑ์ของเราสามารถเข้าไปครอบครองนิยามนี้ได้ เป็นเพราะมันคือกางเกงบลูยีนส์อเมริกันของแท้ดั้งเดิม นี่คือจุดที่ทำให้เกิดความแตกต่างขึ้นมา กล่าวคือ มีผู้ผลิตและตราสินค้าเดียวเท่านั้น ที่สามารถกล่าวได้ว่า มันคือของต้นตำรับ “เป็นของแท้” ด้วยฐานะที่โดดเด่นในตลาดนี่เอง ที่ทำให้ตราสินค้า ลีวายส์ มีจุดยืนหรือยืนหยัดในสิ่งที่ตรงกับใจของลูกค้าเป้าหมาย นั่นคือ มันมีความเป็นขบถ แสดงถึงความเป็นหนุ่มเป็นสาว มีคุณภาพสูง เป็นของแท้ ให้ความรู้สึกเร้าใจ และสนุกสนาน เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับความเป็นหนุ่มสาวเยาว์วัยทั้งสิ้น เมื่อเราประสบความสำเร็จอย่างดีกับกลุ่มลูกค้าหนุ่มสาว ตราสินค้าลีวายส์ จะดำรงอยู่คู่กับพวกเขาในช่วงเวลาสำคัญเช่นนั้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พวกเขา “ค้นพบตัวเอง” ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ตราสินค้าได้กลายเป็นจุดที่แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์สำหรับคนหนุ่มสาว ที่ก้าวผ่านช่วงเวลาดังกล่าวในชีวิตของตน พวกเขาเลือกตราสินค้านี้ ราวกับว่ามันเป็นยูนิฟอร์ม หรือสัญลักษณ์ของความเป็นอิสระและเสรีภาพ หรือแม้แต่การท้าทาย” โรเบิร์ต ฮอลโลเวย์ ผู้อำนวยการสายงานการตลาดของ LS & CO กล่าว

การให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจกับคำว่าวัฒนธรรมหนุ่มสาว โดยไม่ละเลยกับแนวโน้มทางสังคม วัฒนธรรมท้องถิ่น แม้ว่าผลิตภัณฑ์ลีวายส์ จะมีอายุมามากว่า 150 ปีแล้วก็ตาม โดยไม่ละทิ้งรากเหง้าหรือความเป็นมาและแก่นแท้ของความเป็นยีนส์ลีวายส์ บางครั้งก็เกิดความขัดแย้งในตัวเอง เกี่ยวกับ ลีวายส์มีความเป็นปัจเจกชนค่อนข้างสูง กล่าวคือ เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างจากฐานลูกค้ามวลชนนับล้าน ๆคน และเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่เป็นผู้สวมใส่ มีความเป็นตัวของตัวเองยิ่งขึ้น ดังคติพจน์ที่ว่า “รู้จักตัวเอง” และ “จงเป็นตัวของตัวเองนั่นแหละดีที่สุด” คือคติพจน์ประจำตัวของตราสินค้าลีวายส์ แบรนด์ลีวายส์ และลีวายส์ 501 ประสบความสำเร็จเป็นเวลาหลายสิบปี ส่วนใหญ่เป็นเพราะมันสามารถตอบสนองต่อความปรารถนา ความจริงแท้ และการแสดงออกซึ่งความเป็นตัวของตัวเองของลูกค้า ด้วยการสร้างคาแรกเตอร์บางอย่างที่แสดงถึงความเป็นตัวตนบางอย่าง อาทิ เติมหูเข็มขัด และลีวายส์ริมแดง (Redtab) ทำให้ลีวายส์ 501 เป็นกางเกงที่ได้รับความนิยมของคนงานเหมือง คนเลี้ยงวัว (คาวบอย) และเกษตรกรในแคลิฟอร์เนีย มาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1800 คุณภาพของมันได้รับการกล่าวถึงและยังคงเป็นที่จดจำได้ดี โดยดีไซเนอร์แฟชั่นนามว่า “มาร์กาเร็ต โฮเวลล์” มันคือยีนส์ลีวายส์ดั้งเดิม การออกแบบเยี่ยมมากและไม่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงเลย เป็นเสื้อผ้าคลาสสิกที่ไร้กาลเวลา มันก็เหมือนกับวัตถุที่ได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดี สามารถแต่งยีนส์คู่กับอะไรก็ได้ สามารถใส่ทำงานทำการอะไรได้สารพัดวาระโอกาสและเป็นอิสระไม่เกี่ยวข้องกับใคร แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ยิ่งเก่ายิ่งดี ค่าของมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มีการซักล้าง คุณสมบัติที่ทำให้ยีนส์ลีวายส์ ต่างจากตราสินค้าอื่นๆ เรียกได้ว่าอยู่ตรงที่ความเรียบง่ายนั่นเอง เครื่องหมายการค้าห้าตัวที่ประกอบกันขึ้นเป็น ลีวายส์ 501 ที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ สามารถนับย้อนหลังไปในช่วงกลางทศวรรษ 1800 ซึ่งประกอบด้วยเครื่องหมาย LS & CO กระดุมปั๊ม รูปม้าสองตัวที่แปะติดอยู่เหนือกระเป๋าหลังข้างขวา พร้อมด้วยดีไซน์รูปโค้งคันศรปักอยู่บนกระเป๋าหลัง (เป็นเครื่องหมายการค้าของอเมริกันที่ยังคงใช้ในปัจจุบันที่มีความเก่าแก่ที่สุด) เลขรุ่น 501 และกางเกงรุ่นริมแดง (ที่วางตลาดในปี 1936 เพื่อช่วยให้พนักงานขายสามารถนับและจำแนกยีนส์ลีวายส์ที่ใส่ในงานโรดีโอได้โดยสะดวก) นอกเหนือจากความเรียบง่ายแล้ว เครื่องหมายการค้าลีวายส์ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความเป็นประวัติศาสตร์อันยาวนาน เป็นมรดกตกทอดจากกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งถึงมหาชนจำนวนมาก จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกหลายรุ่น สืบทอดกันมา

บริษัทต้องเผชิญกับความผิดพลาดล้มเหลวครั้งแรก ก็เมื่อบริษัทลุ่มหลงไปกับความสำเร็จทั้งหลายที่ประเดประดังเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในช่วงต้นทศวรรษปี 1970 บริษัททำพลาดโดยการขยายตัวออกนอกสายผลิตภัณฑ์หลัก ที่บริษัทผลิตและเชี่ยวชาญมากว่า 100 ปี และหันเหไปเริ่มผลิตและทำตลาดสินค้าตัวอื่นภายใต้แบรนด์สินค้าลีวายส์มากขึ้น การขยายตัวครั้งนี้ทำให้แก่นแท้และเสน่ห์ดึงดูดใจลูกค้าของตราลีวายส์ถูกทำลายไป ซึ่งก็นำมาซึ่งยอดขายที่ตกต่ำลงและต้องเสียมาร์เก็ตแชร์ให้กับคู่แข่งหรือผลิตภัณฑ์อื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และผลการดำเนินงานขาดทุนเป็นครั้งแรก ภายหลังจากที่โรเบิร์ต ฮอลโลเวย์ (ผจก.ฝ่ายการตลาด LS & C0 ) ได้รับทราบปฏิกิริยาจากลูกค้าที่เป็นลูกค้าเดิมจำนวนมาก เขาก็รีบดำเนินการแก้ไขปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ เมื่อวิกฤติการณ์รุนแรงมากขึ้น เขาได้เรียกประชุมผู้จัดการจำนวน 100 คนทั่วโลกของบริษัท มีการประชุมเพื่อทบทวน และ discuss กัน เพื่อหาแนวทางใหม่ๆ ในการรักษาแบรนด์เอาไว้ให้ได้ ในที่สุดก็มีมติออกมาว่าเราจะต้องกลับไปให้จุดสนใจต่อสิ่งที่เป็นจุดแข็งหลักและจุดแข็งเดิมของเรา และได้มีการตัดสินใจที่จะ “คืนสู่สามัญ” back to basic และยกเลิกกลยุทธ์การขยายตัวสู่ธุรกิจหลากหลายของเราด้วยความแน่วแน่เด็ดขาด มีการปรับองค์ของบริษัท และโครงสร้างพนักงานในแต่ละภูมิภาค ในฐานะที่เป็นหน่วยการตลาดและหน่วยการผลิตหนึ่ง ฝ่ายบริหารยังได้ริเริ่มภารกิจในการนำบริษัท LS & CO กลับสู่ตลาดยีนส์แบบเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นั่นคือมีวิสัยทัศน์ร่วมกันไปในทิศทางเดียวกันทั้งองค์กรอีกด้วย นอกจากจุดสนใจในตราลีวายส์และตลาดเดนิมแล้ว ยังได้มีการตัดสินใจที่จะให้ความสำคัญต่อภาพลักษณ์มิใช่ปริมาณ ผลิตภัณฑ์ที่จะเป็นเรือธงหรือหัวหอกก็คือ ยีนส์ 501 จะนำบริษัทกลับสู่การเป็นบริษัทที่สามารถทำกำไรได้

ช่วงกลางทศวรรษที่ 80 ความชัดเจนและจุดยืนอันแข็งแกร่งของลีวายส์นั้นเด่นชัดขึ้นอีกครั้งเมื่อ การริเริ่มใหม่ๆ ของบริษัทถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานความคิดที่วา ใครคือลูกค้าหลักของเรา พวกเขาต้องการซื้ออะไร และซื้อไปเพราะอะไร(เหตุใด) ดังนั้น ถ้าเราต้องการก้าวสู่ตลาดใหม่ทั้งหมด เราจะต้องเปิดตัวตราสินค้าใหม่ เช่น ที่เราทำกับตราสินค้า Dockers ในปี 1986 และตรา Slates ในปี 1996

จากมาตรฐานที่ตั้งไว้ ทำให้ LS & CO ทำการพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ๋ที่เป็นนวัตกรรม เพื่อตราสินค้าลีวายส์ ,ด็อกเกอร์, และสเลตส์ อย่างต่อเนื่อง มีการนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาด พัฒนากลุยุทธ์การจัดจำหน่าย และแผนการตลาดใหม่ ปรับกระบวนการภายในที่ใช้ในการนำ ตราสินค้าสู่ลูกค้า การพิจารณาไอเดียใหม่ๆ จะถูกตัดสินไปตามเกณฑ์พื้นฐาน 2 ประการด้วยกันคือ มันช่วยสร้างตราสินค้าหรือธุรกิจกันแน่ ? แผนการเปิดตัว ลีวายส์ เพอร์ซันนัล แพร์ (Personal Pair) เป็นตัวอย่างด้านนวัตกรรมที่ดี แผนการดังกล่าวเป็นพัฒนาการด้านเทคโนโลยีใหม่สุด ในอุตสาหกรรมเครื่องแต่งกาย กล่าวคือเป็นโครงการผลิตสินค้าตามความต้องการของลูกค้ามวลชนที่แพร่หลายเป็นครั้งแรก โดยจะมีการวัดขนาดรูปร่างของลูกค้า และบันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์ ข้อมูลดังกล่าวจะถูกส่งตรงไปยังโรงงานแห่งใดแห่งหนึ่งของเรา เพื่อทำการผลิตกางเกงยีนส์ที่มีขนาดเหมาะเจาะกับรูปร่างของลูกค้าคนนั้นๆ และถุกจัดส่งไปให้ลุกค้าภายในเวลา 2 สัปดาห์ นับแต่มีการเปิดตัวโครงการดังกล่าวในปี 1995 แผนการเพอร์ซันนัล แพร์ สามารถผลักดันให้ตราสินค้าลีวายส์ ก้าวสู่การพัฒนาความสัมพันธ์แบบตัวต่อตัวกับลูกค้าเป้าหมายหลักได้อย่างแท้จริง ไม่เคยมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นในตลาดมาก่อน มันคือความเป็นของแท้และดั้งเดิมเช่นเดียวกับตราลีวายส์ อีกทั้งยังเป็นคอนเซ็ปท์รวมของลีวายส์ สำหรับโลกสมัยใหม่อย่างแท้จริง นอกจากนี้แผนการดังกล่าวยังมีความสำคัญด้วยเหตุผลอีกประการหนึ่ง นั่นคือ รายละเอียดเกี่ยวกับขนาด สไตล์ และสีสันที่โปรดปรานของลูกค้าแต่ละคน จะได้รับการบันทึกและเข้าถึงได้ทุกเมื่อ ทำให้บริษัทมีข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าในแผนการ เพอร์ซันนัลแพร์ เป็นรายบุคคลจำนวนมาก ด้วยเหตุที่ลูกค้าเหล่านี้มีแนวโน้มว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าตราสินค้าลีวายส์ที่มีความจงรักภักดี และมีแรงดลใจมากที่สุด ดังนั้น การที่เราสามารถสืบทราบได้ว่า พวกเขาเป็นใคร และต้องการอะไรมากที่สุด ทำให้เราคิดวิธีที่มีประสิทธิภาพในการดึงพวกเขาเข้ามามีส่วนร่วมกับลีวายส์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต มีกฏเกณฑ์กว้างๆ เกี่ยวกับตราสินค้าลีวายส์อยู่ประการหนึ่ง คือ นวัตกรรมทุกอย่างจะต้องมีลักษณะที่เรียกว่า “เหมือนลีวายส์” หรือ “ลีวายส์ –ไลค์” (Levi’s-like) ความหมายก็คือ นวัตกรรมดังกล่าวจะได้รับการนำมาใช้หรือปฏิเสธ โดยพิจารณาว่ามันสอดคล้องกันกับค่านิยมและคุณสมบัติหลักของตราสินค้าหรือไม่ เช่น ที่บริษัทสาขาในยุโรปแห่งหนึ่ง ได้มีการทดสอบสิ่งหนึ่งที่พวกเขาเรียกว่า “แอซิด วอลล์ เทสต์” (acid wall test) ซึ่งเป็นเทคนิคที่ได้รับการพัฒนาขึ้นโดย โลธาร์ แชฟเฟอร์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของ ลีวายส์ สเตราส์ ยุโรป ที่จริง แอซิด วอลล์ ก็คือกำแพงของโรงงานของพวกเขาที่มีข้อความเกี่ยวกับ ค่านิยม คุณสมบัติและกลุ่มลูกค้าหลักของตราลีวายส์ ปรากฏอยู่บนนั้น กรณีที่มีการพิจารณาแผนการตลาดหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ทีมการตลาดของสาขาดังกล่าว จะมารวมตัวกันที่กำแพงแห่งนี้ และให้ทีมงานแต่ละคนพิจารณาว่านวัตกรรมนั้นๆ สอดคล้องกับค่านิยมของตราสินค้าหรือไม่ นี่ถ้า แอซิด วอลล์ เทสต์ เกิดขึ้นในทศวรรษ 1970 สงสัยว่าสูทผ้าโพลีเอสเตอร์จะได้รับความนิยมมากมายหรือไม่

โรเบิร์ต ฮาส CEO และทายาทรุ่นที่ 5 ของอาณาจักรธุรกิจยีนส์ลีวายส์ เขาเป็นผู้ชุบกิจการของ LS & CO ด้วยการทำ LBO (ซื้อกิจการจากการกู้ยืม) บริษัท ลีวายส์ สเตราส์ ในปี 1996 เพื่อเข้าควบคุมกิจการลีวายส์ ปัจจุบันธุรกิจอยู่ภายใต้การบริหารของบุคคล 4 คนด้วยกัน คือ ตัวเขาเอง ลุงของเขา และหลานอีก 2 คน ฮาสเข้ามาแก้ไขปัญหาต่างๆ ของกิจการครอบครัว ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1984 ขณะนั้นเขาตัดสินใจปิดโรงงาน 12 แห่ง ปิดบริษัทสาขาที่ไม่มีวี่แววว่าจะประสบความสำเร็จ ขยายตลาดสู่การส่งออกมากขึ้น รวมทั้งการทบทวนและสร้างจุดขายใหม่ให้กับตัวผลิตภัณฑ์ ในปี 1985 เขาได้เริ่มทำ LBO บางส่วน ทำให้บริษัทกลายเป็นบริษัทกึ่งมหาชน กึ่งเอกชน และนั่นทำให้หุ้นของบริษัทมีความต้องการจากนักลงทุน ราคาหุ้นเพิ่มมากถึง 100 เท่า จากราคา 2.53 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น มาอยู่ที่ 265 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น ฮาสจบการศึกษาหลักสูตรเอ็มบีเอจาก ม.ฮาร์วาร์ด เริ่มทำงานกับบริษัท Peace และ McKinsey ก่อนที่จะมาร่วมงานกับ LS & CO เขาให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ด้านการจัดการและชอบอ่านวารสารการบริหารต่างๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงานกับโรงงานผลิตเสื้อผ้าแห่งนี้ ไอเดียเริ่มแรกของฮาสในการเข้ามาบริหารบริษัทนี้ก็คือ เขาอยากแสดงให้ทุกคนเห็นว่า บริษัทสามารถเติบโตและยิ่งใหญ่เหนือใครๆ ได้ด้วยการให้ความสำคัญกับ “คุณค่าของสังคม” มากกว่าการยึดติดกับการทำกำไรแต่เพียงอย่างเดียว ในขณะที่ธุรกิจอื่นๆ อย่างโค้ก ยิลเลตต์ แม็คโดนัลด์ ต่างพยายามที่จะเข้าไปเจาะตลาดในจีน แต่ฮาสกลับไม่ทำเช่นนั้น เขาต่อต้านการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ช่างเย็บผ้าทุกคนจะได้รับการบรรจุเป็นพนักงานของบริษัทแทนที่จะเป็นเพียงการจ้างแบบเหมา (outsource) และช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ก่อนที่จะทำ LBO เขาได้เริ่มดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กร โดยหวังจะให้ลีวายส์เป็นผู้ผลิตเสื้อผ้ารายใหญ่ที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วที่สุด จากที่เคยใช้เวลาผลิตและขนส่งสินค้าจากโรงงานสู่หน้าร้าน 3 สัปดาห์ ลดลงมาเหลือ 72 ชั่วโมงเท่านั้น ในช่วงปี ค.ศ 1990 ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อของบริษัท บริษัทอยู่ในภาวะย่ำแย่ ส่วนแบ่งในตลาดวัยรุ่นชาย ซึ่งมีอายุอยู่ระหว่าง 14-19 ปี ได้ลดลงถึงร้อยละ 50 ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ไม่ประสบความสำเร็จ แคมเปญต่างๆประสบความล้มเหลว การจัดโชว์สินค้าในห้างทำได้ไม่ดี จำนวนสินค้าในคลังกลายมาเป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนั้นค่าใช้จ่ายในการผลิตก็เพิ่มสูงขึ้น โครงการปรับโครงสร้างองค์กรซึ่งใช้งบประมาณสูงถึง 850 ล้านเหรียญสหรัฐ กลายเป็นหายนะของบริษัท ห้างสรรพสินค้า เจ ซี เพนนี (J.C Penny) ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของบริษัท แสดงความไม่พอใจเมื่อบริษัทส่งมอบสินค้าซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายนักเรียนช้าไป 45 วัน แม้กระทั่งผู้บริหารโครงการปรับโครงสร้างองค์กรของลีวายส์ สเตราส์ ยังไม่เชื่อเลยว่าโครงการดังกล่าวจะได้ผล


ตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา บริษัทได้ประกาศปิดบริษัทจำนวน 29 แห่ง ในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป ซึ่งมีผลทำให้พนักงานจำนวน 16,310 คนต้องว่างงาน ยอดขายในปี 1998 ลดลงกว่าร้อยละ 13 และมียอดขายต่ำกว่า 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากการประมาณของทางนิตยสารฟอร์จูน คาดว่าตั้งแต่บริษัท ลีวายส์ สเตราส์ เริ่มทำ LBO ในปี 1996 และบ็อบ ฮาส ได้เข้ามาเป็นผู้บริหารกิจการ เขาไม่ได้เป็นที่ไว้วางใจกับพนักงานทุกคน ยกเว้นทีมงาน 3 คนของเขา ส่วนแบ่งการตลาดของบริษัท LS & CO ได้ลดลงจาก 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เหลือ 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถ้านำไปเปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่งเมืองเดียวกัน คือเมือง ซานฟรานซิสโก จะเห็นว่า Gap มียอดขายเพิ่มขึ้นจาก 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงเวลาเดียวกัน คนในวงการค้าปลีกมักจะเปรียบเทียบสไตล์การทำงานของลีวายส์ กับแก๊ป ด้วยกันเสมอ และมักจะสรุปตรงกันว่าลีวายส์นั้นยังสู้แก๊ปไม่ได้ “ลีวายส์มีผู้เชี่ยวชาญมากมายที่รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้สินค้ามีคุณภาพดีและมีความสม่ำเสมอ” มิลเลอร์ เอ้าท์โพสต์ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทตัวแทนจำหน่ายลีวายส์ที่มีสาขาจำนวน 220 แห่ง กล่าว เขากล่าวต่ออีกว่า “ แต่โดยปกติแล้ว ธุรกิจเครื่องแต่งกายจะต้องมีพ่อค้าที่เก่งกาจอย่างมิกกี้ เดรกเลอร์ ซีอีโอของบริษัท Gap ผมไม่แน่ใจว่า บ็อบ (ฮาส) เคยผ่านการฝึกอบรมด้านการค้าขายมาก่อนหรือเปล่า หรือเคยทำงานอยู่ในห้างสรรพสินค้า เคยยืนรอลูกค้า ให้รายละเอียดสินค้ากับลูกค้าและฟังลูกค้าติชมผลิตภัณฑ์ ว่าทำไมกางเกงยีนส์ลีวายส์ถึงมีขาแคบเกินไป” แต่คำวิจารณ์เหล่านั้น ก็ไม่ได้ผล ฮาสยังคงยึดมั่นในสไตล์การทำงานของตนเองอยู่ต่อไป ยังไงเสีย ลีวายส์ก็ยังไม่ถึงกาลล่มสลายหรือถึงขั้นล้มละลาย กิจการที่เก่าแก่กว่า 159 ปี เพราะชื่อเสียงที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน เฉกเช่นเดียวกับ บุหรี่มาร์ลโบโร่ ร้องเท้าไนกี้ หรือซอฟท์แวร์ของไมโครซอฟท์ ไม่มีใครที่จะสามารถทำยอดขายได้ดีเท่าลีวายส์ นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อ Tommy Halifiger หรือ Lee หรือ Gap ร้อยละ 75 ของผู้ชายชาวอเมริกัน เป็นเจ้าของกางเกงยีนส์ลีวายส์ รุ่น Dockers สีกากี ลีวายส์ สเตราส์ จึงเปรียบเสมือน “เครื่องจักรผลิตเงินสด” เช่นเดียวกับบริษัทเอกชนทั่วไปที่มักจะไม่ยอมเปิดเผยตัวเลขผลกำไรของบริษัท แต่จากการเฝ้าติดตามการเงินของบริษัทในปี 1998 ซึ่งเป็นปีที่ ลีวายส์ ทำยอดขายได้ต่ำกว่า 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่ลีวายส์ ก็ยังมีเงินสดหมุนเวียนถึง 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมากกว่าเอาเงินสดของ Tommy ,Polo Ralph Lauren , Nautica และ Liz Caireborne มารวมกันเสียอีก นอกจากนี้ยังมากกว่า Nike และที่แสบสันต์ที่สุดก็คือ ยังมากกว่า Gap (คู่แข่งสำคัญ) เสียด้วยซ้ำ ลีวายส์จึงเป็นแบรนด์ที่ฆ่าไม่ตายเสียที

ฮาส ได้เข้าร่วมงานกับ ลีวายส์ สเตราส์ ในปี 1973 ในตำแหน่ง นักวิเคราะห์การบริหารสินค้าคงคลัง ต่อมาในปี 1982 ขณะที่เขามีอายุได้ 42 ปี (พ่อของเขา วอลเตอร์ เอ.ฮาส จูเนียร์ เป็นซีอีโอ ในช่วงระหว่างปี 1958-1976) เขาได้กลายเป็นสมาชิกครอบครัวรุ่นที่ 5 ที่กลายมาเป็นผู้บริหารของ LS & CO จนถึงปัจจุบัน


ข้อมูลพื้นฐานบริษัท

-บริษัทก่อตั้งในปี 1853 เมื่อลีวายส์ สเตราส์ (ผู้ก่อตั้ง) ได้อพยพจากนิวยอร์กมาที่เมืองซานฟรานซิสโก เพื่อที่จะทำธุรกิจขายส่งสินค้าแห้งให้กับนักขุดทอง ต่อมาลีวายส์ สเตราส์ได้ร่วมมือกับช่างตัดเสื้อชาวเนวาด้า คิดค้นกางเกงที่ตกแต่งด้วยหมุดโลหะ แล้วก็ไปขอสิทธิบัตรเพื่อผลิตสินค้าใหม่ตัวนี้ในปี 1873

-กางเกงแบบใหม่นี้ได้รับความนิยมและถูกพัฒนาต่อเนื่องจนในปี 1890 กางเกงยีนส์ รุ่น 501 ก็ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรก รุ่น 501 เป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดของบริษัท

-เมื่อลีวายส์ ได้เสียชีวิตลงในปี 1902 หลานของเขาทั้ง 4 คน เป็นผู้สืบทอดกิจการต่อมา
(On February 26, 1829, Levi Strauss was born in Buttenheim, Bavaria to German-Jewish parents)

-ในช่วง 100 ปีแรก บริษัทเป็นบริษัทเอกชนเช่นในปัจจุบัน แต่มีช่วงระยะเวลาหนึ่งคือปี 1971 บริษัทของเขาได้เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (วอลล์สตรีท) เพื่อหาแหล่งเงินทุนใหม่มาขยายกิจการ แต่ครอบครัวก็ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่

-ต่อมาบริษัทตัดสินใจที่จะออกจากตลาดหลักทรัพย์โดยเริ่มทำ LBO บางส่วนในปี 1985 เป็นมูลค่าสูงถึง 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ และทำ LBO อีกครั้งในปี 1996 นับจากนั้นเป็นต้นมา บริษัทก็ได้กลับมาเป็นบริษัทเอกชนอีกครั้งหนึ่ง

-บ็อบ ฮาส ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทนับตั้งแต่ปี 1989 มาจนถึงปัจจุบัน เขาเป็นลูกหลานแท้ๆ ของลีวายส์ สเตราส์ ผู้ก่อตั้งกิจการ

-ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานทั้งสิ้น 16,200 คนทั่วโลก มียอดขาย ราว 4,410.60 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ข้อมูลปี 2010 )

-บริษัทเพิ่งฉลองอายุขัยครบรอบ 150 ปี มาเมื่อปี 2003 ดังนั้น อายุของบริษัทจริงๆ ก็คือ 159 ปีแล้วนับจนถึงวันนี้

(ถอดความบางส่วนจาก Brand Warriors : Corporate Leaders Share Their Winning Strategies ,Fiona Gilmoore ,แบรนด์ วอร์ริเออร์ กลยุทธ์สร้างตราสินค้าเพื่อความสำเร็จระดับโลก, แปลและเรียบเรียงโดย สายฟ้า พลวายุ ,สำนักพิมพ์เออาร์ บิสสิเนสเพรส และ บทความลีวายส์ สเตราส์ อาณาจักร 150ปี กับวันนี้ของทายาทรุ่นที่ 5 ,วารสาร MBA ลำดับที่ 14)

Robert Haas


1942–Chairman of the board, Levi Strauss & Company
Nationality: American.
Born: 1942, in San Francisco, California.
Education: University of California, Berkeley, BS, 1964; Harvard Graduate School of Business, MBA, 1968.
Family: Son of Walter Haas Jr. (chief executive officer, Levi Strauss & Company); married Colleen (maiden name unknown; lawyer), 1974; children: one.
Career: Peace Corps, 1964–1966, volunteer in Ivory Coast; White House, 1968–1969, fellow; McKinsey & Company, 1969–1972, associate; Levi Strauss & Company, 1973–1984, manager; 1984–1999, chief executive officer and chairman of the board; 1999–, chairman of the board.
Awards: Berkeley Citation, University of California, Berkeley, 1970; International Quality of Life Award, Auburn University, 1997; Ron Brown Award for Corporate Leadership, President of the United States, 1998.
Address: Levi Strauss & Company, 1155 Battery Street, San Francisco, California 94111; http://www.levistrauss.com/.

อ้างอิงข้อมูลจาก http://www.encyclopedia.com/topic/Robert_Haas.aspx

วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง กระแสการตลาดด้านกีฬา ที่มาแรงแห่งยุค

ถ้ามองย้อนไปเมื่อซัก 10 ปีที่แล้ว พอพูดถึงสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งนั้น นักการตลาดและเจ้าของสินค้ายังไม่คิดว่าจะผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรมให้เห็นเด่นชัดได้อย่างไร จะหาผลประโยชน์ได้มากน้อยแค่ไหน นอกเหนือจากการสร้างภาพลักษณ์เกี่ยวกับตัวสินค้า ยังไม่สามารถฉายภาพให้ผู้บริโภคเห็นได้อย่างเด่นชัดมากนัก และจำนวนผู้เล่นที่เข้ามาจับกระแสนี้ยังมีไม่มากนัก ยังคงเป็นผู้ผลิตหรือเจ้าของสินค้ารายใหญ่ๆ เพียงไม่กี่เจ้า เดิมๆ เท่านั้น อาทิ ไทยเบเวอเรจ ,บุญรอด ,เอฟบีที ,แกรนด์สปอร์ต, ปูนซีเมนต์ไทย, ปตท.,โอสถสภา,โตโยต้า เป็นต้น แต่ในช่วง 2-3 ปีมานี้ กระแสของสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งได้กลายเป็นกระแสหลักในแวดวงการตลาด สินค้าและบริการ ตลอดจนการช่วงชิงพื้นที่แอร์ไทม์ การอัดโปรโมชั่นแคมเปญ ตลอดไปจนถึงการทำตลาด อีเว้นท์มาร์เก็ตติ้ง บีโลว์เดอะไลน์ ซึ่งนอกเหนือไปกว่าการสร้างภาพลักษณ์ให้แก่สินค้าแล้ว เพราะว่าสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งนั้นได้ผูกโยงไปกับธุรกิจสื่อทีวี และยิ่งในยุคที่ทีวีดาวเทียมกำลังเติบโต เบ่งบาน ทำให้สปอร์ตมาร์เก็ตติ้งสามารถแจ้งเกิดได้อย่างเป็นรูปธรรมทันตาเห็น ผู้เขียนคิดว่าสิ่งที่ทำให้สปอร์ตมาร์เก็ตติ้งกลายเป็นกระแสหลักขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ไม่ได้เพิ่งมีการนำมาใช้ต่อยอด แต่ได้เข้ามาในตลาดแล้วเป็นสิบๆ ปี แต่สิ่งที่ทำให้เป็นตัวเร่งนั่นก็คือ การปลุกกระแสฟุตบอลอาชีพในประเทศไทยนั่นเอง


การที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง โดยเฉพาะแวดวงนักการเมืองได้เข้าไปอยุ่เบื้องหลังการผลักดันให้สโมสรฟุตบอล และวงการฟุตบอลลีคของไทยเป็นลีคในระดับอาชีพ (ส่วนหนึ่งเป็นเพราะถูก AFC,FIFA กำหนดเกณฑ์ให้มาตรฐานของฟุตบอลลีคไทยต้องพัฒนาปรับปรุงให้ได้มาตรฐานในระดับสากลหรือเกณฑ์ของ AFC,FIFA ก็มีส่วน) กรณีศึกษาการทำทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ พีอีเอ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บุรีรัมย์ยูไนเต็ด) ทีมเมืองทอง(หนองจอก)ยุไนเต็ด ,ทีมชลบุรีเอฟซี , ทีมบีอีซีเทโรศาสน เป็นโมเดลต้นแบบของการทำทีมสโมสรฟุตบอลไทยให้ก้าวไปสู่ระดับสากล มีสถาบันฝึกฝนเยาวชนลูกหนังในระดับประเทศ อย่างเช่น ของ สโมสรชลบุรีอคาเดมี่ ,เจเอ็มจี อคาเดมี่ เป็นต้น ได้มีส่วนช่วยผลักดันให้กระแสฟุตบอลไทยตื่นตัวและเป็นที่นิยม จนกระทั่งสร้างเป็นกระแสคลั่งหรือฟีเวอร์ลูกหนังไทยขึ้นมาในช่วง 4-5 ปี มานี้ ก็มีผล ซึ่งสูตรสำเร็จหรือกลยุทธ์ที่ถูกนำมาใช้ก็คือ 1.การดึงเอาผลิตภัณฑ์,สินค้าชั้นนำระดับประเทศมาเป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมแบบถาวร หรือเป็นการผูกโยงไปกับทีมสโมสรนั้นๆ แบบทำเป็นสัญญาระยะยาว เฉกเช่นเดียวกับ ฟุตบอลพรีเมียร์ลีคของอังกฤษ 2.การลงทุนหรือการใช้สูตรทางลัดเร่งโตให้กับสโมสร โดยอาศัยฐานเงินทุนของสปอนเซอร์หนุน เช่น สร้างสนามกีฬาเหย้าเป็นของตนเอง(Main Stadium) สร้างร้านค้าสโมสร ซื้อตัวนักกีฬาเก่งๆ จากต่างประเทศ ให้ค่าตอบแทนสวัสดิการแก่นักเตะในระดับสูงเพื่อจูงใจ รวมถึงการซื้อตัวจากสโมสรหรือทีมอื่น ทั้งในและต่างประเทศ การสร้างฐานกองเชียร์เป็นของตนเอง สร้างกิจกรรมหรืออีเว้นท์อย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงการมีส่วนร่วมและสร้างฐานแฟนคลับ และขยายฐานอย่างต่อเนื่อง สร้างโปรดักท์หรือสินค้าที่ระลึกเป็นของทีมเอง ยังไม่นับว่าสินค้าที่เป็นสปอนเซอร์หลักจะถูกนำมาโฆษณาไว้บนเสื้อนักฟุตบอล ป้ายโฆษณารอบสนามกีฬา รวมถึงออกสื่อหน้าจอทีวีเวลาถ่ายทอดการแข่งขันของทีมด้วย มีส่วนอย่างมากที่ทำให้เจ้าของสินค้า นักการตลาด เล็งเห็นผลสัมฤทธิ์ทางการตลาดจากการเข้าไปสนับสนุนทีมสโมสรฟุตบอลเหล่านั้น ทำให้สินค้าระดับนำต่างๆ ตลอดจนองค์กรทางธุรกิจทั้งที่เป็นรัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ได้พากันกระโจนเข้าไปสู่กระแสของสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งกันอย่างคึกคัก ไม่เพียงแต่เฉพาะในกีฬาสุดฮิตอย่างฟุตบอลเท่านั้น ยังมีกีฬาชนิดอื่นๆ ด้วยที่เป็นที่นิยมของคนไทย อาทิ กอล์ฟ เทนนิส แบดมินตัน กีฬาความเร็วต่างๆ ฯลฯ นอกจากนี้เจ้าของสื่อ หรือในแวดวงบันเทิงก็หันมาโหนกระแสสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งด้วยเช่นกัน อาทิ ช่อง 3,ช่อง 7 ,แกรมมี่ ,อาร์เอส ,สยามกีฬา (เป็นสื่อกีฬาโดยตรง) อย่างกรณีล่าสุดที่บริษัทบันเทิงหันมารุกธุรกิจถ่ายทอดกีฬาฟุตบอลจากต่างประเทศ มีการแข่งขันกันแย่งซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาฟุตบอลโลก ฟุตบอลยูโร ฟุตบอลลีคสำคัญๆจากต่างประเทศ ซึ่งแต่เดิมมีเพียงทรูวิชั่น กับทีวีพูล ผูกขาดการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดกีฬาสำคัญเท่านั้น แต่ในเมื่อกระแสสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งมาแรงและผลประโยชน์จากการทำตลาดด้านนี้มีเม็ดเงินมูลค่ามหาศาล จึงทำให้มีผู้เล่นเข้ามาจำนวนมากเพื่อแย่งซื้อลิขสิทธิ์แข่งกัน


ผลประโยชน์ที่จะตามมาจากการทำสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง มีมากมายนอกเหนือจากเม็ดเงินค่าโฆษณาแล้ว สิ่งที่จะต่อยอดตามมาอีกมาก อาทิ แกรมมี่นั้นพยายามแย่งซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีคจากทรูวิชั่น (ที่ได้ลิขสิทธิ์มาแล้วคือ ฟุตบอลบุนเดสลีก้า,ฟุตบอลยูโร 2012) เพื่อขยายฐานเพย์ทีวี ซึ่งเป็นสับเซ็ตนึงของแพล็ตฟอร์มทีวีดาวเทียม เพื่อต่อยอดไปในอนาคตเมื่อสนามแข่งขันเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลนั่นเอง หรืออย่างกรณีของสโมสรฟุตบอลใหญ่ๆ ดังๆ อาทิ บุรีรัมย์ เมืองทอง ชลบุรี นั้น นอกเหนือจากโค้ช ผู้เล่น (นักเตะ) ดาวดังๆ ที่ซื้อตัวมาจากต่างประเทศ แล้ว การสร้างดาวรุ่งของทีมขึ้นมาเป็นซุปเปอร์สตาร์ประจำทีมก็มีส่วนในการเป็นแม่เหล็กดึงดูดฐานแฟนคลับให้ขยายเพิ่มขึ้น การอัพเกรดพวกเชียร์ลีดเดอร์ประจำทีมไปเป็นพริตตี้ หรือโคโยตี้สาวสวย ที่มาพร้อมทั้งหน้าตา หุ่น บางทีอาจใช้นางแบบมืออาชีพ ก็สามารถเป็นแรงดึงดูด รวมถึงหน้าตาของทีมได้อีกทางนึง ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับเยาวชนกลุ่มนี้ได้อีกมาก ยังไม่นับรวมมูลค่ามหาศาลของสินค้าที่ระลึกประจำทีม ที่พร้อมจะโตไปกับฐานแฟนคลับได้อีกมาก และกลยุทธ์ล่าสุดที่สร้างความฮืออาเป็นอย่างมากก็คือ การที่คุณเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดจัดงานอีเว้นท์ทางการตลาด โดยการดึงเอานางแบบ AV จากญี่ปุ่น จำนวน 25 ชีวิต อิมพอร์ตเข้ามาในการจัดงานฉลองให้กับทีมฟุตบอลบุรีรัมย์นั้น สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนในแวดวงการตลาดได้อย่างมาก ทั้งในแง่ภาพลักษณ์การเป็นสโมสรอันดับ 1 ของประเทศ ยังสามารถมองเป็นผลลัพธ์ทางอ้อมในการโปรโมตการท่องเที่ยวช่วงเทศกาลสงกรานต์ได้อีกด้วย เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกไม่รู้ตั้งกี่ตัว นี่คือตัวอย่างของการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดในแบบสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง ที่ถูกนำมาใช้กับการกีฬาของไทย ซึ่งนับวันสมรภูมินี้จะมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดและรุนแรง ซึ่งนั่นก็คือจำนวนหรือมูลค่าเม็ดเงินที่จะถูกหว่านลงมาในตลาด ยังไงเสียคนที่จะได้ผลประโยชน์ร่วมกันก็คือฟันเฟืองทุกตัว หรือองคาพยพทั้งระบบของอุตสาหกรรมกีฬาในเมืองไทยนั่นเอง


เศรษฐศาสตร์กับการกีฬาฟุตบอล

ABN Amro สถาบันการเงินชั้นนำของยุโรป เคยทำการสำรวจผลงานวิจัยที่ชื่อว่า Soccernomics 2006 เกี่ยวกับฟุตบอลมีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศที่ได้แชมป์โลกอย่างไร รายงานของเอบีเอ็นแอมโร ระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศที่เป็น “แชมป์เวิลด์คัพ” ไว้ว่าจะได้โบนัสเป็น GDP ที่โตขึ้นอีกราว 0.7 % ขณะที่ประเทศที่พ่ายเกมนัดชิง จะพ่ายในเชิงเศรษฐกิจด้วย เพราะการโตของเศรษฐกิจจะหดตัวลงประมาณ 0.3 % ข้อมูลนี้นักวิจัยลูกหนังโชว์ให้เห็นกันจะจะ จากตัวอย่างของเศรษฐกิจเยอรมัน และอาร์เจนติน่า ในปี 1974 และ 1978 ซึ่งฟื้นตัวอย่างฉับพลันหลังจากที่ได้เป็นแชมป์เวิลด์คัพ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เศรษฐกิจกำลังอยู่ในภาวะตกต่ำ โดยเฉพาะอาร์เจนติน่า ซึ่งพบกับความถดถอยทางเศรษฐกิจมานาน ดังนั้น ถ้าประเทศไหนชวดแชมป์เวิลด์คัพหล่ะก็ เท่ากับเตือนรัฐมนตรีคลัง เป็นนัยๆ ว่า ระวังเศรษฐกิจบ้านยูเอาไว้ด้วย ในรายงานชิ้นนี้ระบุว่า เหตุผลที่เศรษฐกิจของประเทศที่ได้แชมป์เวิลด์คัพมีเศรษฐกิจที่โตขึ้น เป็นผลจากอารมณ์ของผู้บริโภคที่อยู่ใน mood “พร้อมจะจ่ายหรือบริโภค” พร้อมจะเฉลิมฉลองชัยชนะ ทำให้ปาร์ตี้ดำเนินไปอย่างยืดเยื้อ เช่น ในบางเมืองอาจฉลองกันร่วมเดือน อารมณ์ร่วม การแสดงความดีใจ มีผลให้ร้านอาหาร บาร์เบียร์ สถานบันเทิง ซุปเปอร์มาร์เก็ต พลอยขายดิบขายดีไปด้วย ยอดขายโต นอกจากนี้ยังส่งผลต่อเนื่องไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ ด้วย อาทิ วีซีดี การแข่งขัน เสื้อทีม ของที่ระลึกเกี่ยวกับทีม หรือนักฟุตบอล ต่างๆ และเศรษฐกิจของประเทศคึกคักอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาหนึ่ง

คุณเทพพิทักษ์ จันทร์สุเทพ เกจิลูกหนัง ซึ่งหันมาจับธุรกิจสนามฟุตบอลให้เช่า ได้กล่าวว่า ธุรกิจสนามฟุตบอลให้เช่า เริ่มผุดขึ้นมากมาย แทบทุกมุมเมือง มีทั้งสนามใหญ่ แบบ 11 คนเล่น 7 คนเล่น หรือสนามเล็กในร่มแบบฟุตซอล รวมๆ กันแล้วนับร้อยๆ สนาม ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด นับไม่ถ้วน แม้กระทั่ง จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐ ก็มีสนามหญ้าเทียมให้เช่าเช่นกัน ทำเลที่มีสนามฟุตบอลให้เช่าอยู่จำนวนมาก เช่น ย่านรามอินทรา มีเกิน 10 สนาม เพราะเป็นทำเลที่สะดวกใกล้ทางด่วน มีร้านอาหารจำนวนมากในระแวกนั้น ธุรกิจสนามฟุตบอลให้เช่าลงทุนไม่สูงนัก หากเป็นที่ดินของตัวเอง สิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น อาทิ ตัวสนามหญ้า ลานจอดรถ ห้องน้ำ มีบริการสิ่งที่จำเป็น เช่น รองเท้าสตั๊ด, เสื้อกีฬา, ลูกฟุตบอล ผู้ตัดสิน ห้องอาหาร บางแห่งอาจมี คลับเฮ้าส์ ฟิตเนส อินเตอร์เน็ตให้บริการ รวมถึงระบบสมาชิก สำหรับสนนราคาค่าเช่าสนาม มีตั้งแต่ระดับ 1,000-5,000 บาท ต่อ 1-2 ชั่วโมง หากเป็นสนามเล็กลงมาขนาด 5 คน อัตราค่าเช่าต่อชั่วโมงจะประมาณ 400-500 บาท โดยอัตราค่าเช่าสนามช่วงกลางวันจะต่ำกว่าตอนเย็นและกลางคืน ซึ่งเป็นช่วงพีค ที่สนามส่วนใหญ่จะคิดขั้นต่ำตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไปต่อชั่วโมง

ข่าวการเปิดตัวสปอนเซอร์สนับสนุนทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ พีอีเอ ฤดูกาลที่แล้ว

บุรีรัมย์ - “เนวิน” ทุ่มสร้างสนามยักษ์จุ 24,000 ที่นั่ง กว่า 100 ล้าน และเปิดตัวหนังสือ “win win style เนวิน ชิดชอบ” พร้อมแถลงเซ็นสัญญาสปอนเซอร์ 10 รายใหญ่ 100 ล้าน คุยโวนำ “พีอีเอ” ยึดแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก วาดฝันก้าวสู่ทีมระดับท็อปเทนของเอเชียใน 5 ปี เผยเสนอเป็นเจ้าภาพจัดแข่งฟุตบอลคิงส์คัพ

วันนี้ (4 ต.ค.) เมื่อเวลา 09.09 น.นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร บุรีรัมย์ พีอีเอ พร้อมด้วย นางกรุณา ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ เอฟซี ได้ร่วมกันประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์สร้างสนามฟุตบอลของบุรีรัมย์ พีอีเอ แห่งใหม่ ภายใต้ชื่อ “ธันเดอร์ คาสเซิล สเตเดี้ยม” (THUNDER CASTLE STADIUM) มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ขนาดความจุด 2.4 หมื่นคน ได้มาตรฐานสนามบอลฟีฟ่า บนพื้นที่ส่วนตัว 500 ไร่ ใช้เวลาสร้าง 2 ปี เพื่อทดแทนสนามเก่า “ไอ-โมบาย สเตเดี้ยม” ที่มีความจุเพียงความจุ 1.4 หมื่นคน เท่านั้น พร้อมกันนี้ นายเนวิน ยังได้ถือเปิดตัวหนังสือ “win win style เนวิน ชิดชอบ” อีกด้วย

ต่อมาเวลา 10.30 น.ที่บริเวณสนาม ไอ-โมบาย สเตเดี้ยม เขากระโดง ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร บุรีรัมย์ พีอีเอ แถลงเปิดตัวผู้สนับสนุนการทำทีม สำหรับสู้ศึก ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก และ ฟุตบอลถ้วยทุกรายการ ในฤดูกาลหน้า ปี 2011 จำนวน 10 ราย เป็นเงิน 100 ล้านบาท
โดยมีผู้บริหาร และตัวแทน 10 บริษัทยักษ์ใหญ่ ร่วมเซ็นสัญญาเป็นสปอนเซอร์สนับสนุน ทีมสโมสรบุรีรัมย์ พีอีเอ ประกอบด้วย บริษัท ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), บริษัท คิงเพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, เครือเจริญโภคภัณฑ์, บริษัท ฟิลิปส์ อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, บริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยแอร์ เอเชีย จำกัด และบริษัท เฮลโล แบงค็อก ไตรวิชั่น จำกัด  นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ พีอีเอ กล่าวว่า จะพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลหน้า 2011 เพื่อแฟนบอลชาวบุรีรัมย์ และจะพาทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ สโมสรของคนไทย ก้าวไปสู่การเป็นทีมระดับท็อปเทนของเอเชีย ภายใน 5 ปี พร้อมทั้งขอสัญญาว่า จะไม่ทำให้ผู้สนับสนุนทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ ทุกท่านผิดหวัง และได้รับผลตอบแทนจากการสนับสนุนอย่างคุ้มค่าที่สุด
นายเนวิน กล่าวต่อว่า ทุกนัดที่ทีมลงแข่งในบ้าน จะมีแฟนบอลเข้าชมไม่ต่ำกว่า 10,000 คน และคาดว่า จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกในฤดูกาลหน้าปี 2011 จึงตัดสินใจสร้างสนามใหม่ จุผู้ชมได้ 24,000 ที่นั่ง ขณะนี้กำลังก่อสร้าง คาดว่า จะแล้วเสร็จประมาณเดือน ก.ย.2554 นี้ ซึ่งเป็นสนามระดับสโมสรที่ใหญ่ที่สุด และได้มาตรฐานฟีฟ่าแห่งเดียวในประเทศไทย  ส่วนในฤดูกาลหน้า จะมีการเปลี่ยนผู้จัดการทีม เนื่องจาก นายพงษ์พันธุ์ วงษ์สุวรรณ ได้ยื่นใบลาออก และมีผลสิ้นเดือน ต.ค.2553 จึงได้แต่งตั้ง นายวรวรรณ ชิตะวณิช หรือ “โค้ชป้ำ” เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของบุรีรัมย์ พีอีเอ และเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีม บุรีรัมย์ เอฟซี ด้วย ส่วนนายอรรถพล ปุษปาคม หรือ “โค้ชแต็ก” ก็ยังคงเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ ต่อไป เพราะผลงานในปีนี้ดีมาก คาดว่าจะได้รองแชมป์
“การทำทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ ในฤดูกาลหน้า จะมีการเสริมตัวนักฟุตบอลทั้งไทย และต่างชาติที่มีฝีเท้าดีเยี่ยม เพิ่มอีก เพื่อให้ทีมแข็งแกร่งขึ้น วางเป้าหมายอย่างเดียว คือ เป็นแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก และจะขอเป็นแชมป์ตลอดไป จนจำไม่ได้ ชนิดไม่มีทีมต่อกรในวงการฟุตบอลไทย และตั้งเป้าไว้ภายใน 5 ปี จะมีนักฟุตบอลไทยก้าวไปเล่นในไทยพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และ กัลป์โซ่ซีรี่ เอ ของอิตาลี” นายเนวิน กล่าว
นายเนวิน กล่าวต่อว่า พร้อมกันนี้ ในปี 2554 สโมสร พีอีเอ เตรียมขอสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และนำเงินรายได้ทั้งหมดทูลเกล้าถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วย

ด้าน นายสุพัฒน์ ศรีธนากร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านการตลาด บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ระบุว่า โดยปกติทาง ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญในการสนับสนุนด้านการกีฬาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นมวยไทย กอล์ฟ เทนนิส หรือแม้แต้ฟุตบอล ดังนั้น การให้การสนับสนุนสโมสรบอล บุรีรัมย์ พีอีเอ ซึ่งเป็นทีมที่มีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว และได้รับความนิยมจากแฟนบอลจำนวนมาก จึงเป็นแนวทางในการขยายฐานสินค้าให้เป็นที่รู้จักได้ในอีกทางหนึ่งด้วย


คิมูจิ… บิ๊กเน ทำฮือฮาเชิญ นางแบบ AV ปาร์ตี้โฟม วันสงกรานต์

หลังจากที่ “บิ๊กเน” เนวิน ชิดชอบ นายใหญ่ “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ประกาศก้องกลางงานฉลองแชมป์ เมื่อคืน วัน อาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาว่า วันสงกรานต์ที่จะถึงนี้จะจัดงานวันสงกรานต์ขึ้นที่ ไอโมบาย สเตเดี้ยม ให้ยิ่งใหญ่ชนิดที่สีลมต้องชิดซ้าย และถนนข้าวสารต้องอาย

โดยในงานวันที่ 13 เมษายน จะเชิญ “แก๊ง 3 ช่า” หม่ำ เท่ง โหน่ง และตุ๊กกี้ มาร่วมสร้างความบันเทิงตลอดทั้งงานตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงเที่ยงคืน จากนั้นวันที่ 14 เมษายน จะมีวงดนตรี “อิบิซึ มัสแคทส์” จากประเทศญี่ปุ่นมาร่วมสร้างสีสันตลอดงาน

นายใหญ่ปราสาทสายฟ้า เฉลยว่า เป็นวงดนตรีที่เป็นการรวมตัวของนางเอก “AV” ชื่อดังของญี่ปุ่น โดยงานในวันนั้นจะ “อิบิซึ” จะมาร่วมสร้างสีสันแนวปาร์ตี้โฟม ด้วยชุดทูพีช รับรองว่าไม่เคยมีใครที่ไหนทำแบบนี้แน่นอน

หากใครยังไม่รู้จัก “อิบิซึ มัสแคทส์” ขอแนะนำอย่างสั้น ๆ ว่า คือบรรดานางเอกหนัง AV จากประเทศญี่ปุ่น ที่รวมตัวกันเป็น วงเกิร์ลกรุ๊ป มีสมาชิกประมาณ 25 ชีวิต แต่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเข้า ๆ ออก ๆ ไม่แน่ไม่นอน แต่สำหรับสาว ๆ ที่ชาวไทยเราคุ้นเคยก็มี โซระ อาโออิ, ริสะ คาซูมิ, ริน ซากูรากิ, ทีน่า ยูซูกิ (ริโอะ) ฯลฯ

ที่มา : www.matichon.co.th