วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กระแส T-POP มาแล้ว ดังไกลทั่วเอเซีย

กระแส T-POP มาแล้ว ดังไกลทั่วเอเซีย


ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้สนใจติดตามดูละครไทยหรือติดตามชมภาพยนตร์ไทย รวมถึงไม่ชอบฟังเพลงไทยสากลซักเท่าไหร่ในช่วงระยะเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมานี้ ก็จะกลายเป็นคนตกกระแส ไม่ทราบว่าวงการบันเทิงไทยได้ก้าวไกลไปถึงไหนกันแล้ว เรามักจะเคยชินกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ละครไทยว่าน้ำเน่าบ้าง ภาพยนตร์ไทยไม่พัฒนาบ้าง ยังคงวนเวียนอยู่กับ ผี ตลก กระเทยอย่างซ้ำซากบ้าง หรือแม้แต่เพลงไทยที่มักลอกทำนองเพลงต่างประเทศมาบ้าง การเข้ามาเจาะตลาดไทยของวัฒนธรรมบันเทิงจากเกาหลีบ้าง กลายเป็นคนไทยคลั่งไคล้กระแสเกาหลีฟีเวอร์จนเฝือกันไปหมด ในขณะที่วัยรุ่นไทยคลั่งกระแสเกาหลีฟีเวอร์ในช่วง 5-6 ปีมานี้ แต่ศิลปินไทยและผู้เกี่ยวข้องกับวงการละคร ภาพยนตร์ไทย และวงการเพลงไทยกลับได้นำวัฒนธรรมไทยไปบุกตลาดทั่วโลกและทั่วเอเซียได้สำเร็จ จนมีข่าวเป็นระลอกคลื่น เป็นระยะเกี่ยวกับผลงานของศิลปินไทยทั้งในส่วนที่ไปเกี่ยวกับละครไทย ภาพยนตร์ไทย หรือวงการเพลงไทยไปดังไกลทั้งในระดับโลกและในระดับเอเซียมากมาย

ยิ่งในช่วง 5-6 ปีมานี้ กระแส T-POP มาแล้ว และมาจริง มาไกล จนไปยึดหัวหาดในตลาดเอเซียได้สำเร็จ โดยเฉพาะในย่านอาเซี่ยนและประเทศใหญ่อย่างจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย

จากปรากฏการณ์ T-POP ไปโด่งดังทั่วเอเซียอยู่เวลานี้ มันทำให้เรากลับมาย้อนดูตัวเองว่า เมื่อก่อนเราเคยแต่ตำหนิผลงานของศิลปินไทยกันเอง ติผลงานของผู้ผลิตหรือผู้อยู่เบื้องหลังวงการบันเทิงไทยด้วยกันเองแบบตรงไปตรงมา แบบไม่ไว้หน้า(ใช้คำแบบชาวบ้าน คือจัดหนักจัดเต็มกับคนไทยตลอด) แต่นั่นกลายเป็นแรงกระตุ้นด้านบวกให้กับผู้ผลิตหรือศิลปินไทยให้พัฒนาตนเอง ยกระดับผลงานตนเองให้ก้าวหน้า ไม่หยุดอยู่กับที่ มีการแข่งขันกันเองในหมู่ผู้ผลิตหรือผู้อยู่เบื้องหลังวงการบันเทิงไทยกันอย่างเต็มที่ ไม่มีใครยอมน้อยหน้าใคร และนั่นเองได้กลายเป็นผลดีให้วงการบันเทิงไทยพัฒนาตนเองไปอย่างก้าวกระโดด ในช่วง 5-6 ปีมานี้ จนทำให้ผลงานที่ออกสู่สายตาทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศต่างยอมรับในผลงานของไทย จากประเทศที่ไม่เคยเปิดรับผลงานของประเทศไทย โดยอาจมองว่าเป็นคู่แข่งด้านเศรษฐกิจ หรืออาจมีอคติเกี่ยวกับนิสัยหรือพฤติกรรมของคนไทยเป็นการส่วนตัว ก็เปิดใจยอมรับและเปิดประเทศยอมรับผลงานจากประเทศไทยมากขึ้น และนั่นเองทำให้ผลงานบันเทิงจากไทยเข้าไปครองใจ และเข้าไปยึดหัวหาดความนิยมในระดับต้นๆ หรืออันดับ 1 ในหลายประเทศ


ผู้เขียนเองก็ไม่ใช่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านละครไทย ภาพยนตร์ไทยหรือวงการเพลงไทยมากนัก แต่พอได้รับทราบข่าวคราวเกี่ยวกับความนิยมในผลงานบันเทิงไทยในหลายประเทศ จึงเข้าไปสืบค้น หาข่าว และพบว่า T-POP งวดนี้ของจริง จนรู้สึกได้ว่าชื่นชมในผู้ที่เกี่ยวข้องที่ไปสร้างชื่อเสียงให้คนไทย ทำให้ประเทศไทยมีชื่ออยู่ในทำเนียบกับเขาบ้าง และเราได้มาถูกทางแล้ว แม้ว่าสิ่งที่ออกไปเจาะตลาด สู้รบปรบมือกับต่างชาติในครั้งนี้ เป็นผลงานฝีมือของเอกชนล้วนๆ ไม่ได้มีส่วนจากภาครัฐเลยแม้แต่น้อย ผู้เขียนเองก็เคยคิด และใฝ่ฝันไว้ว่า เมื่อไหร่หนอ T-POP มันจะเป็นจริงได้ แล้ววันนั้นก็มาถึงจริงๆ ด้วย ไม่ต้องรอเหมือนกระแสฟุตบอลไทยไปบอลโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องรออยู่ต่อไป

ถ้าจะจัดอันดับหมวดหมู่ของความบันเทิงจากไทยที่เข้าไปเจาะตลาดหรือส่งออกไปตีตลาดในระดับโลกและเอเซียได้อย่างเข้าเป้าและมีผลงานเป็นที่ยอมรับ จะได้แก่

1.ภาพยนตร์และละครไทย นักแสดงไทย อันนี้เป็นหัวหอกหลักและจัดเป็นการส่งออกทางวัฒนธรรมไทยอย่างได้ผลที่สุด และควรที่ภาครัฐจะให้การสนับสนุนส่งเสริมอย่างจริงจังมากกว่านี้ เหมือนที่ประเทศเกาหลี จีน อินเดีย ทำสำเร็จมาแล้ว ทำรายได้เข้าประเทศอย่างมากมาย รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวทางอ้อมด้วย กลุ่มของภาพยนตร์ไทยที่ไปบุกเบิกตลาดโลก กรุ๊ปแรกๆ ได้แก่ นางนาก ฟ้าทะลายโจร องค์บาก ต้มยำกุ้ง บางระจัน สตรีเหล็ก ชัตเตอร์ แฟนฉัน โดยแกนหลักคือ ค่ายหนังสหมงคลฟิมล์ และ GTH ส่วนละครไทย ก็มีค่ายละครเอ็กซ์แซ็กท์เป็นหัวหอกหลัก

2.เพลงและการแสดง อันนี้ก็เป็นหัวหอกในระดับรอง แต่ก็สร้างการยอมรับในระดับอาเซี่ยน ไม่ว่าจะเป็น ศิลปินนักร้อง วงดนตรีไทย การแสดงโขน การแสดงเชิดหุ่นละครโจ-หลุยส์ การแสดงวงดนตรีไทย เช่น วงฟองน้ำ วงบอยไทย เป็นต้น

3.แฟชั่น อาหาร ศิลปะ ในหมวดนี้ ถือได้ว่าประเทศไทยมี Identity ที่ชัดเจน ต่างชาติเขายอมรับยกย่องกันอยู่แล้ว มีคาแรกเตอร์ชัดเจน และได้รับการยกย่องในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น ดีไซน์เนอร์ของไทย ช่างผมของไทย อาหารไทย (อันนี้ไม่ต้องพูดถึง ของเราเป็นเบอร์ 1 ของโลกด้านอาหารอยู่แล้ว) มวยไทย หรือกีฬาตะกร้อของไทย เป็นที่นิยมมากขึ้นในระดับโลก ชุดแต่งกายไทย มักได้รับรางวัลเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยมในเวทีประกวดนางงามจักรวาล เป็นต้น

และที่สำคัญที่สุดคือรอยยิ้มและมิตรภาพ ความมีน้ำใจ อันนี้แหละคือเอกลักษณ์ของคนไทยที่ได้รับการยอมรับจากชาวต่างชาติ

ศิลปินไทยที่ไปดังทั่วเอเซีย ได้แก่

กลุ่มนักร้อง เบิร์ด ธงไชย , ทาทายัง ,กอล์ฟ ไมค์ ,บี้ เดอะสตาร์ ,ชิน ชินวุฒิ ,วงออกัส ,น้องโต๋ ศักดิ์สิทธิ์ ,นิชคุณ (2PM) ,วงโปเตโต้ ,วงบอดี้สแลม ฯลฯ

กลุ่มนักแสดง

ช่อง 3 เคน ธีรเดช , แอน ทองประสม, อั้ม อธิชาติ ,แอ๊ฟ ทักษอร, ณเดชณ์ คูกิมิยะ ฯลฯ

ช่อง 5 มอส ปฏิภาณ , อ้อม พิยดา , ป้อง ณวัฒน์ , บี น้ำทิพย์ , บี้ สุกฤษณ์ , สน ยุกต์ , วิว วรรณรท ,โอ อนุชิต ,ฟลุ้คเดอะสตาร์ ฯลฯ

ช่อง 7 อั้ม พัชราภา , นุ่น วรนุช , แพนเค้ก เขมนิจ , ป๊อก ปิยธิดา , ยุ้ย จีรนันท์ , กบ สุวนันท์ ,น้องใบเฟิร์น ฯลฯ

นักแสดงในสังกัดอื่นๆ หรือมีผลงานทางภาพยนตร์ด้วย อาทิ มาริโอ้ เมาเร่อร์ , ติ๊ก เจษฏาภรณ์ , เป้ วงเสลอ , พีช วงออกัส ,เก้า จิรายุ , อนันดา เอเวอริ่งแฮม, โดม ปกรณ์ ลัม ,กันต์ กันตถาวร น้องทีน่า น้องออม จากเรื่อง yes or no ,เทย่า โรเจอร์ ,ซาร่า มาลากุล เลน ,อัษฏา พานิชกุล  ฯลฯ


กลุ่มนักแสดงภาพยนตร์ไทย

จาพนม ยีรัมย์ , จีจ้า ญานิน , พันนา ฤทธิไกร , หม่ำ จ๊กม๊ก ,โหน่ง สามช่า, เท่ง เถิดเทิง , ตุ๊กกี้ ฯลฯ

กลุ่มผู้อยู่เบื้องหลังวงการภาพยนตร์ไทย (นำผลงานสู่ตลาดโลก)

เสี่ยเจียง, เจ้ยอภิชาติพงศ์ ,เป็นเอก รัตนเรือง, อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตร, วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง, ท่านมุ้ย มจ.ชาตรี เฉลิมยุคล,หม่อมน้อย มล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล , จิระ มะลิกุล, ยงยุทธ ทองกองทุน ,พจน์ อานนท์ ,ณภัทร ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม ,ถกลเกียรติ วีรวรรณ, เอกชัย เอื้อครองธรรม
คุณวิชา/วิสูตร พูลวรลักษณ์ , ยุทธเลิศ สิปปภาค , จันทิมา เลียวศิริกุล, เกียรติกมล เอี่ยมพึ่งพร , ธวัชชัย พันธุ์ภักดี ,จาฤก กัลย์จาฤก ฯลฯ


ผู้เขียนคิดว่าสาเหตุที่ทำให้ละครไทยไปตีตลาดที่เมืองจีนได้สำเร็จ น่าจะเกิดจากผลพวงการเปิดประเทศของจีน เปิดรับวัฒนธรรมจากต่างแดน โดยเฉพาะอาเซี่ยน คือจีนมีความต้องการขยายตลาดการค้าและต้องการเข้ามาศึกษาวัฒนธรรมของชาติอาเซี่ยนอย่างลึกซึ้ง เพราะถือว่าเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงและคู่ค้าสำคัญ ในขณะที่ญี่ปุ่นและเกาหลี อินเดีย จีนถือเป็นคู่แข่งมากกว่า และค่อนข้างจะแอนตี้ชาติญี่ปุ่นที่ถือว่าเคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนในอดีต ส่วนเกาหลีนั้นวัฒนธรรมนั้นลอกเลียนทั้งจีนและญี่ปุ่นมา จีนจึงถือว่าชาติเกาหลีนั้นด้อยกว่า แม้ว่ากระแสเกาหลีจะฟีเวอร์ในระดับเอเซียก็ตาม ส่วนชาติในอาเซี่ยนที่จีนเล็งเป็นพิเศษก็คือไทยกับอินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ แต่รากฐานทางวัฒนธรรมไทยนั้นแข็งแรงและใกล้เคียงกับจีนมากกว่า ส่วนอินโดนีเซียมีความเป็นมุสลิมอยู่สูง ซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมจีน และเข้าถึงยาก ส่วนอินเดียนั้นเป็นคนละขั้วกับจีนชัดเจน และถือเป็นคู่แข่งในเกือบทุกด้าน มีรากฐานทางวัฒนธรรมแข็งแกร่งพอๆ กัน ยากที่จะเข้าครอบงำ

ดังนั้น การที่ละคร ภาพยนตร์ หรือศิลปินไทยจะไปดังในเมืองจีนบ้างนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะจีนเปิดทางให้เพื่อจะศึกษาวัฒนธรรมไทยให้ถ่องแท้ โดยมีการส่งคนมาเรียนภาษาไทยด้วย เพราะวัฒนธรรมไทยนั้นครอบงำชาติสำคัญในอินโดจีนเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลาว กัมพูชา พม่า เวียดนามไว้ได้ ไม่ได้หมายความว่าเราเจาะตลาดจีนได้สำเร็จแล้ว เราจะสามารถไปครอบงำชาติยิ่งใหญ่อย่างจีนได้ เป็นเพียงกระแสความนิยมช่วงสั้นๆ เท่านั้น ก่อนที่จีนจะตีโจทย์แตกและแก้เกม กลับมาเจาะตลาดและครอบงำไทยและอินโดจีนได้ทั้งหมด เมื่อถึงเวลานั้นไทยเราจะตั้งรับ และปรับปรุง พัฒนา content ของบันเทิงไทยของเราอย่างไร ให้คงจุดขายที่แข็งแกร่ง และสามารถต่อกรกับหลากหลายวัฒนธรรมจากชาติมหาอำนาจต่างๆ ที่จะเข้ามาครอบงำเราให้กลายเป็นเหยื่อ หรือเป็นทาสทางวัฒนธรรม หรือภาษาทางการตลาดก็คือผู้บริโภคของเขาได้อย่างไร
เราอยากเห็นกระแสนี้อยู่อย่างยั่งยืน ตลอดไป เทียบเท่าความเจริญงอกงามของวงการบันเทิงไทย และอยากเห็นการสนับสนุนอย่างเต็มที่ของหน่วยงานรัฐ และภาครัฐ ผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ เสมือนประเทศเกาหลีทำสำเร็จมาแล้ว อาทิ การสนับสนุนด้านภาษี ด้านเงินทุน ด้านการมีส่วนร่วม หาผู้เชียวชาญที่มีความรู้ความเข้าใจด้านศิลปะบันเทิงอย่างแท้จริง ทำงานร่วมกับเอกชนแบบเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ใช่คอยจับผิด ขัดแข้งขัดขา อย่างที่เป็นอยู่ แค่นี้วงการบันเทิงไทยคงจะไปได้ไกลกว่านี้อีกมาก เราในฐานะผู้เสพงานหรือผู้บริโภคประชาชนคนหนึ่ง คงทำได้ดีเพียงแค่เป็นอีก 1 กำลังใจสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้กับวงการบันเทิงไทยก้าวไกลสู่ตลาดโลกต่อไป เสมือนอุตสาหกรรมดาวรุ่งดวงหนึ่งของประเทศ

ตัวอย่างการจัดอันดับศิลปินและนักแสดงไทยในจีน (โดยสมาชิกของเว็บไซต์ baidu หรือไป่ตู๋ ในจีน)

อันดับ 10 บี น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์

จำนวนสมาชิกในเว็บ tieba.baidu 1,172 สมาชิก

http://tieba.baidu.com/f?kw=%E9%AA%B5%CF%A1%A4%D7%DA%C0%AD%CE%AC%C3%C9&frs=yqtb

ผลงานเด่นที่ประเทศจีน

- สงครามนางฟ้า

- บ่วงรักกามเทพ

- ทะเลริษยา

อันดับ 9 วิว วรรณรท สนธิไชย

จำนวนสมาชิกในเว็บ tieba.baidu 1,444 สมาชิก

link http://tieba.baidu.com/f?kw=vill&frs=yqtb

ผลงานเด่นที่ประเทศจีน

- ดอกรักริมทาง

- แก้วล้อมเพชร

อันดับ 8 คุณ นิชคุณ หรเวชกุล

จำนวนสมาชิกในเว็บ tieba.baidu 2,722 สมาชิก

link http://tieba.baidu.com/f?kw=nichkhun

ผลงานเด่นที่ประเทศจีน

- สมาชิกวง 2 pm

- ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์หลายรายการในเกาหลีใต้

อันดับ 7 ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์

จำนวนสมาชิกในเว็บ tieba.baidu 3,062 สมาชิก

link http://tieba.baidu.com/f?kw=baifern&frs=yqtb

ผลงานเด่นที่ประเทศจีน

- ภาพยนตร์เรื่องสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก

อันดับ 6 ออม สุชารัตน์ มานะยิ่ง

จำนวนสมาชิกในเว็บ tieba.baidu 3,321 สมาชิก

link http://tieba.baidu.com/f?kw=aomizsucharat&frs=yqtb

ผลงานเด่นที่ประเทศจีน

- ภาพยนตร์เรื่อง yes or no อยากรัก ก็รักเลย

อันดับ 5 ติ๊นา ศุภนาฎ จิตตลีลา

จำนวนสมาชิกในเว็บ tieba.baidu 3,361 สมาชิก

link http://tieba.baidu.com/f?kw=tinajittaleela&frs=yqtb

ผลงานเด่นที่ประเทศจีน

-ภาพยนตร์เรื่อง yes or no อยากรัก ก็รักเลย

อันดับ 4 ป้อง ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์

จำนวนสมาชิกในเว็บ tieba.baidu 3,654 สมาชิก

link http://tieba.baidu.com/f?kw=pong&fr=itb_favo&fp=favo

ผลงานเด่นที่ประเทศจีน

- ทะเลริษยา

- สงครามนางฟ้า

- เงาอโศก

- บ่วงรักกามเทพ

- พรุ่งนี้ก็รักเธอ

- ค่าของคน (ยังไม่ออนแอร์ แต่ถ้าออนแอร์เรตติ้งกระฉูดแน่)

อันดับ 3 พิช วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล (วงออกัส)

จำนวนสมาชิกในเว็บ tieba.baidu 6,732 สมาชิก

link http://tieba.baidu.com/f?kw=pchy&frs=yqtb

ผลงานเด่นที่ประเทศจีน

- ภาพยนตร์เรื่องรักแห่งสยาม

- สมาชิกวงออกัส เปิดคอนเสิร์ตที่ประเทศจีน 4 ครั้ง

อันดับ 2 มาริโอ้ เมาเร่อ

จำนวนสมาชิกในเว็บ tieba.baidu 6,826 สมาชิก

link http://tieba.baidu.com/f?kw=mario&frs=yqtb

ผลงานเด่นที่ประเทศจีน

- รักแห่งสยาม

- สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก

อันดับ 1 บี้ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว

จำนวนสมาชิกในเว็บ tieba.baidu 7,117 สมาชิก

link http://tieba.baidu.com/f?kw=bie&fr=itb_favo&fp=favo

ผลงานเด่นที่ประเทศจีน

- ละครเรื่อง รอยอดีตแห่งรัก

- ละครเรื่อง ดอกรักริมทาง

- ละครเรื่อง หัวใจศิลา และเรื่อง ข้ามเวลาหารัก (ใกล้ออนแอร์)

- ผลงานเพลง อัลบั้ม Love Scenes , I Love You Too, Hug Bie , It’s Alright และ รักนะคะ

ตัวอย่างบทความที่พูดถึงภาพยนตร์ไทย

Indonesia's Blossoming Thai Romance

Nauval Yazid ,May 10, 2011

The lamentable film tax fight that has prevented Hollywood blockbusters from making it into our theaters has had at least one interesting side effect, turning quirky Thai romantic comedies into local favorites.


One could argue that the popularity of these films was prompted by the huge success of “Bangkok Traffic (Love) Story,” which earned enough positive buzz to extend its time in local theaters.

The positive feedback from audiences has encouraged the second-biggest cinema chain in the country, BlitzMegaplex, to continue importing romantic comedies from Thailand.

Immediately after “Bangkok Traffic (Love) Story,” audiences were treated to the Seoul-set Thai film “Hello Stranger.” After a string of other kooky Thai romantic comedies, the genre this year delivered a Pygmalion-like teen story in “Crazy Little Thing Called Love.”

And for the last two weeks, the Thai romantic comedy “Suck Seed” has been sitting on top of the local box office charts, and with the lack of competition from Hollywood big shots, it could remain there for some time.

“Suck Seed” bears a striking similarity to the aforementioned films. It also takes a cue from “Scott Pilgrim vs. the World,” both in its look and story, and stacks up against 1980s American teen films.

In the movie, a young girl named Ped, who has an eclectic taste in music, drives Ern wild, but the boy is too shy to express his feelings. Instead, he claims that another boy has a crush on her. The trio is reunited in high school, but destiny plays a trick on them — the two boys are now best friends who want to join a high school band competition. Chaos ensues when the girl enters the picture. It takes years before the three are able to settle the feelings they have kept hidden for so long.

Most Thai romantic comedies seem to share a similar storyline. Due to a misunderstanding or some chance event, the main characters don’t see each other for a prolonged period of time and then are reunited under unexpected circumstances.

Call it formulaic, but even so, “Suck Seed” is complemented by outstanding production techniques. The film hardly feels cheesy with the out-of-center frames and the addition of animation into the story. It also doesn’t hurt that pieces of popular rock songs are interspersed within the film’s narrative.

The Thai romantic-comedy genre has a certain movie-magic quality that takes it beyond the realm of romantic cliches.

Believable performances, strong narratives and intriguing sets are enough for audiences to keep coming back to see similar stories over and over again.

On a different end of same successful spectrum is the Thai film “Lulla Man.” This crass slapstick comedy is likely to generate decent ticket sales in Indonesia.

The film’s plot couldn’t be more simple. Three married men have an acute, if not uncontrollable, need to fool around with random women, despite having loyal wives at home. The men get away with their cheating ways until one of them falls for the mistress of a mafia boss. The almost plotless film progresses to a sudden made-up intervention at the end.

If the movie’s storyline sounds familiar, it is. And there is no lack of bikini-clad or skimpily dressed women parading around. Yes, it is Thailand’s answer to Indonesian comedy legends Warkop DKI, who ruled Indonesian cinema in the ’80s and still generate good ratings whenever their films are broadcast on TV.

Despite its lack of technical elements and the magic quality that would put it on par with Thai romantic comedies, “Lulla Man” has done well at Indonesian theaters with audiences that are most likely missing the low-brow humor of Hollywood comedies.

Thai movie hit in Indonesia?-Crazy Little Thing called Love

Started 4 months, 3 weeks ago by thaiboy

I'm so glad and surpried that Crazy Little Thing called Love film ranks no.1 on Blitzcinema box office in Indonesia,now. I also see many comments about Thai romantic comedy film in kankus.I don't understand so I try to use google translator.It seem many Indonesians like Thai romantic comedy. Indonesian webboard talks about This Thai film and Thai romantic comedy film. http://www.kaskus.us/...
 









10 Best Thai Drama MoviesMonday, December 6 by Ergopotamo (จัดอันดับภาพยนตร์ไทยแนวหนังชีวิตที่ดีที่สุด 10 อันดับ โดยเว็บไซต์ http://www.screenjunkies.com/movies/movie-lists/10-best-thai-drama-movies/ )


The 10 best Thai drama movies listed below will both wrench your heart and touch your soul. These dramatic movies deal with issues that anyone can identify with including the themes of family and love. Don’t let this be an undiscovered Asian genre for you.

1.“The Happiness of Kati.” Based on an award-winning novel by Ngarmpun Vejjajiva, this film tells the story of a mature nine-year-old who has come to a crossroads. Facing the death of her mother, she needs to choose between two drastically different futures. She could look for her father or remain with her retired grandparents and close friends of her mother.  (ความสุขของกะทิ)

2.“Tropical Malady.” This movie is the pride of Thailand as it was the first Thai film that snagged a prize at a major international film festival. The story is portrayed in two parts. The first is a romance between two homosexuals and the second is a psychological drama following a soldier who is haunted by the spirit of a shaman. (สัตว์ประหลาด)

3.“Beautiful Boxer.” Dealing with a major theme in Thai lifestyle, the protagonist of this movie is a transsexual female, Nong Thoom, who is played by a male Thai kickboxer. The plot is an autobiographical tale of Thoom’s life as a famous transsexual woman, martial artist, actress, and model. The film was instantly recognized as a success and won various international awards.(บิวตี้ฟูลบ็อกเซอร์)

4.“Syndromes and a Century.” The director of this movie, Apichatpong Weerasethakul, has informed the public that this film is about transformation and the memory of feelings. His project was a tribute to his own parents. He tells two parallel stories with similar plotlines, but different settings and results.(แสงศตวรรษ)

5.“Blissfully Yours.” This is another prize-winning film directed by Weerasethakul. In it, the audience follows the story of a couple and tells of the longing for love and making love. Roong takes the day off work to make love to her boyfriend, a Burmese immigrant, while Om goes into the jungle to have an affair.(สุดเสน่หา)

6.“Fun Bar Karaoke.” The Japanese influence is clear in this movie, partly revolving around a hostess at a Thai karaoke bar who’s attached to a mobster. He sends an assassin, Noi, to kill a man who’s fallen in love with the hostess. The man’s daughter ends up falling in love with the hitman.(ฝัน บ้า คาราโอเกะ)

7.“Last Life in the Universe.” The two protagonists in this multicultural and multilingual film switch between speaking in Thai, Japanese, and English throughout the story. A bit of comedy, drama, and romance ensues when a Japanese librarian is forced into close quarters with a Thai woman. He is suicidal and obsessively neat while she’s a disorganized, pot-smoking slob. (เรื่องรัก น้อยนิด มหาศาล)

8.“The Last Song.” Araya Ariyawattana plays a beautiful showgirl who has sworn that she’ll never give her heart away. The movie is in fact a tale of unrequited love. When she finds herself falling for a handsome singer, she’s devastated to learn that he’s in fact fallen for her younger sister.

9.“The Judgment.” Fak, a promising novice Buddhist monk, leaves the monastery to take care of his sick father. When his father passes away, he’s left with a young stepmother who is possibly mentally ill. Fak falls into a depression when he has to deal with the villagers’ rumors that he’s sleeping with his stepmother. (ไอ้ฟัก หรือ คำพิพากษา)

10.“Som and Bank: Bangkok for Sale.” Part of the “Bangkok Trilogy,” this crime-drama follows the relationship of Som and Bank. Bank pulls Som into the drug world where they seem to be able to make tons of money so that they can live the luxurious life. Trouble arises when a big drug deal goes wrong.
(ส้มแบ็งค์ มือใหม่หัดขาย)

(ข้อมูลเพิ่มเติม/อ้างอิง www.allthpop.com, www.baidu.com)

ขอบคุณภาพจาก http://picpost.postjung.com

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เคราะห์ซ้ำกรรมซัด โศกนาฏกรรมทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ

ด่วน!! เฮลิคอปเตอร์เบลล์ ตกอีกเป็นลำที่ 3 ทหารเสียชีวิต 3 นาย รอด 1

เพชรบุรี - ช็อก!! เฮลิคอปเตอร์เบลล์ 212 ตกอีกเป็นลำที่ 3 ขณะบินไปรับศพนายทหารทั้ง 7 นายที่ประสบอุบัติเหตุแบล็กฮอว์กตกเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมีรายงานว่ามีไฟลุกไหม้ที่ตัวเครื่องด้วยก่อนที่จะตก ล่าสุดเบื้องต้นมีรายงานทหารบาดเจ็บ 1 นาย เสียชีวิต 3 นาย เป็นนักบิน และช่างเครื่อง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (24 ก.ค.) เมื่อเวลา 09.35 น. เฮลิคอปนเตอร์รุ่นเบลล์ 212 ได้ตกที่บริเวณหมู่ 7 บ้านหนองเกตุ อำเภอแก่งกระจาน ขณะบินไปรับศพนายทหารทั้ง 7 นายที่ประสบอุบัติเหตุแบล็กฮอว์กตกเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมีรายงานว่ามีไฟลุกไหม้ที่ตัวเครื่องด้วยก่อนที่จะตก

ล่าสุดมีเบื้องต้นมีรายงานว่า มีทหารบาดเจ็บ 1 นาย คือ ส.อ.พัฒนพร ต้นจันทร์ เป็นช่างเครื่องสังกัดกองบินปีกหมุน และมีผู้เสียชีวิต 3 นาย ประกอบด้วย พ.ต.ธีรวัฒน์ แก้วกมล นักบินที่ 1 ร.ท.บูรณา หวานใจ นักบินที่ 2 และ จ.ส.อ.วิเชียร จันทร์พัฒน์ ช่างเครื่อง ทั้งนี้ บนเครื่องมีทหารทั้งหมด 4 นาย

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน กล่าวว่า เฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวได้บินขึ้นเพื่อตรวจสอบสภาพอากาศ จากนั้นขาดการติดต่อเป็นเวลานานกว่า 10 นาที จึงมีรายงานว่าเฮลิคอปเตอร์ประสบอุบัติเหตุตกในพื้นที่ป่า โดยจุดที่เฮลิคอปเตอร์ตกอยู่ห่างจากค่ายฝึกการรบพิเศษแก่งกระจานราว 5 กิโลเมตร

ล่าสุด พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ระบุถึงสาเหตุที่ทำให้เครื่องตกว่า เกิดจากการสูญเสียการบังคับ และอาจจะต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบเหตุอุบัติเหตุที่เครื่องตก

ส่วนความคืบหน้าของการลำเลียงร่างผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์แบบแบล็กฮอว์กตกก่อนหน้านี้ ได้เพิ่มเติมอีก 3 ราย มายังค่ายฝึกการรบพิเศษแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ทำให้ในขณะนี้ยังเหลือร่างผู้เสียชีวิตอีก 4 คน ซึ่งคาดว่าน่าจะถูกลำเลียงมาทั้งหมดภายในวันนี้ ขั้นตอนต่อไปเจ้าหน้าที่จะนำร่างผู้เสียชีวิตที่ถูกลำเลียงมาเข้าสู่ขั้นตอนของการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลต่อไป

ทั้งนี้ เฮลิคอปเตอร์รุ่นเบลล์ได้ตกซ้ำอีกเป็นลำที่ 3 แล้ว โดยก่อนหน้านี้เฮลิคอปเตอร์รุ่นฮิวอี้ได้ตกเมื่อวันที่ 16 ก.ค. มีนายทหารเสียชีวิต 5 นาย หลังจากนั้นอีก 3 วัน เฮลิคอปเตอร์รุ่นแบล็กฮอว์กได้ตกอีกเป็นลำที่ 2 เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 9 นาย

รถไฟความเร็วสูง D3115 “หางโจว-เวินโจว” ตกราง ดิ่งลงสะพาน

ASTVผู้จัดการ/ซินหัว - รถไฟความเร็วสูงของจีนขบวน D3115 สายหางโจว-เวินโจว ตกราง โบกี้บางส่วนร่วงจากรางที่วางอยู่บนสะพานสูง 20-30 เมตร เบื้องต้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก สื่อจีนคาดอาจมีผู้เสียชีวิต


วันนี้ (23 ก.ค.) เวลา 20.34น. ตามเวลาในประเทศจีน เกิดอุบัติเหตุรถไฟความเร็วสูงของจีนขบวน D3115 ที่วิ่งจากเมืองหางโจวไปยังเมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียงตกราง ทำให้โบกี้บางส่วนร่วงลงจากรางที่วางอยู่บนสะพานที่มีความสูงจากพื้นดินประมาณ 20-30 เมตร ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

สื่อจีนรายงานว่า รถไฟความเร็วสูงขบวน D3115 ซึ่งสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยวิ่งจากต้นทางเมืองหางโจวไปยังปลายทางเมืองเวินโจวเป็นระยะทางประมาณ 740 กิโลเมตร ออกเดินทางออกจากชานชลาเมืองหางโจวเมื่อเวลา 16.36น. ที่ผ่านมา และมีกำหนดถึงที่หมายเวลา 21.45น. เมื่อเวลาประมาณ 20.30น. ขณะที่รถไฟขบวนวิ่งผ่านบริเวณซวงอวี่เซี่ยอ้าว ในเขตของเมืองเวินโจวได้เกิดอุบัติเหตุตกรางจนทำให้โบกี้บางส่วนของขบวนรถดังกล่าวตกลงจากรางซึ่งวางอยู่บนสะพานสูงจากพื้นดินราว 20-30 เมตร โดยโบกี้หนึ่งได้กระแทกพื้นดินอย่างรุนแรง ขณะที่อีกโบกี้หนึ่งห้อยต่องแต่งอยู่บนสะพาน

รายงานจากสื่อเวินโจวที่อยู่ในที่เกิดเหตุระบุด้วยว่า ในแต่ละโบกี้ของขบวนรถไฟดังกล่าวบรรจุผู้โดยสารได้ราว 100 คน และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยมีบางส่วนอาจถึงขั้นเสียชีวิต

จีนเพิ่งเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2551 ที่ผ่านมา ก่อนเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง และล่าสุดเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2554 ได้เปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงสายปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลักของประเทศจีน ทว่าหลังจากเปิดให้บริการได้ราวสิบวัน เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ก็เกิดเหตุขัดข้องทำให้รถไฟจำนวน 19 ขบวน ที่วิ่งระหว่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ต้องหยุดนิ่งระหว่างทางเป็นเวลากว่า 90 นาที เนื่องจากประสบกับพายุฝนและลมแรง ทำให้ระบบการจ่ายพลังงานของรถไฟมีปัญหา

การเร่งรัดก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงจำนวนหลายสายในประเทศจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดการคอร์รัปชั่นอย่างมากในหมู่ข้าราชการและผู้รับเหมา นอกจากนี้การก่อสร้างอย่างเร่งรีบยังทำให้มีผู้ตั้งข้อสงสัยถึงมาตรฐานความปลอดภัยของระบบรถไฟความเร็วสูงในจีนอีกด้วย

ทั่วโลกประณามเหตุโจมตี 2 ครั้งซ้อนในนอร์เวย์ ยอดตายพุ่งเป็นไม่ต่ำกว่า 91 ราย

เอเอฟพี/เอเจนซี่ -อาเร ฟรีกโฮล์ม โฆษกตำรวจนอร์เวย์เผยว่า ยอดผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันในขณะนี้ไม่ต่ำกว่า 84 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 80 คน และตัวเลขอาจเพิ่มสูงขึ้นอีก โดยกล่าวถึงเหตุกราดยิงค่ายเยาวชนบนเกาะอูโทยา

ก่อนหน้านี้ ตำรวจยืนยันว่ามีผู้ถูกสังหาร 7 รายในเหตุระเบิดรุนแรงกลางกรุงออสโล ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักนายกรัฐมนตรีเยนส์ สโตลเทนเบิร์กของนอร์เวย์ และอาคารรัฐบาลหลายแห่ง โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 9 ราย

สำหรับมือปืน วัย 32 ปี ผู้ก่อเหตุกราดยิงที่ประชุมค่ายเยาวชนของพรรคเลเบอร์ บนเกาะอูโทยา ชานกรุงออสโลนั้น ถูกจับกุมตัวแล้ว โดยสถานีโทรทัศน์ทีวี 2 รายงานว่า เขาคือแอนเดอร์ส เบห์ริง ไบรวิก ชาวนอร์เวย์ ซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงกับกลุ่มขวาจัด และครอบครองอาวุธ 2 ชิ้น ซึ่งจดทะเบียนเป็นชื่อของเขาเอง

ในฐานะที่นอร์เวย์มีส่วนร่วมกับปฏิบัติการทั้งในอัฟกานิสถาน และลิเบีย แอนเดอร์ส ฟอกห์ ราสมุสเซน ผู้บัญชาการของนาโตจึงกล่าวว่า ชาติพันธมิตรจะรวมกันเป็นหนึ่งเพื่อต่อต้านการกระทำอันรุนแรงโหดเหี้ยมในนอร์เวย์

ขณะที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ เรียกร้องให้หลายประเทศทั่วโลกเพิ่มความร่วมมือกันด้านข่าวกรอง เพื่อต่อต้านการก่อการร้าย และป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นอีก   ด้านบันคีมุน เลขาธิการสหประชาชาติแสดงความตกใจ และประณามเหตุรุนแรง พร้อมส่งความเห็นอกเห็นใจไปถึงประชาชนชาวนอร์เวย์สำหรับช่วงเวลาอันเลวร้ายนี้ เฮอร์แมน แวน รอมปาย ประธานสหภาพยุโรป ซึ่งรู้สึกตกใจอย่างมาก ก็ได้ประณามเหตุรุนแรงครั้งนี้เช่นกัน โดยว่าเป็นการกระทำที่ขี้ขลาด และไร้เหตุผล พร้อมกันนี้ เขาได้ส่งข้อความแสดงความเสียใจ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของ 27 ประเทศสมาชิกอียูไปยังนายกฯ สโตลเทนเบิร์กแล้ว   ส่วนโฮเซ มานูเอล บาร์รอสโซ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปก็รู้สึกตกใจกับภาพน่าสยดสยองของเหตุระเบิดบริเวณอาคารสำนักงานรัฐบาลในกรุงออสโลไม่ต่างกัน โดยว่าเป็นเรื่องไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในนอร์เวย์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีถึงความสงบสุข  ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลประเทศในละแวกบ้านใกล้เรือนเคียงของนอร์เวย์ ไม่ว่าจะเป็นสวีเดน อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี หรือแม้แต่แคนาดา นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และจีน ต่างก็แสดงความเสียใจกับเหตุการณ์รุนแรงไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน


เอเอฟพี/เอเจนซี - นายกรัฐมนตรีเยนส์ สโตลเทนเบิร์กของนอร์เวย์ประกาศให้เหตุโจมตี 2 ระลอก ทั้งกราดยิง และระเบิด ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไม่ต่ำกว่า 91 ราย เป็นโศกนาฏกรรมระดับชาติ และได้เปลี่ยนสวรรค์ของคนหนุ่มสาวให้กลายเป็นนรก

ผู้นำนอร์เวย์กล่าวว่า "หลายคนที่สูญเสียชีวิตเป็นคนที่ผมก็รู้จัก ผมรู้จักเด็กๆ เหล่านั้น และผมก็รู้จักพ่อแม่ของพวกเขา"
"และสิ่งที่ร้ายกว่านั้นคือสถานที่แห่งนี้ ที่ซึ่งผมไปอยู่ทุกๆ หน้าร้อนตั้งแต่ปี 1979 และที่ที่ผมเจอแต่ความสนุกสนาน ความไว้วางใจ และปลอดภัย กลับถูกโจมตีด้วยความรุนแรงป่าเถือน สวรรค์ของเยาวชนเปลี่ยนไปกลายเป็นนรก" เขากล่าว
นอกจากนี้ เขายังประกาศว่า เหตุโจมตีที่เกิดขึ้นบนเกาะอูโทยา สถานที่พักผ่อน และตั้งแคมป์ประจำปีของเยาวชนพรรคเลเบอร์ เป็นโศกนาฏกรรมร้ายแรงระดับชาติ โดยที่นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา นอร์เวย์ไม่เคยเผชิญเหตุอาชญากรรมร้ายแรงเช่นนี้  สโตลเทนเบิร์กระบุว่า เขาไม่อยากคาดคิดถึงแรงจูงใจในการก่อเหตุโจมตีหลายระลอก ที่เกิดขึ้นในนอร์เวย์ แต่เสริมว่า เมื่อเทียบกับประเทศอื่นแล้ว เขาไม่อาจพูดได้ว่านอร์เวย์กำลังเผชิญปัญหาใหญ่จากพวกกลุ่มหัวรุนแรงขวาจัด

อย่างไรก็ตาม ผู้นำนอร์เวย์ชี้ว่า กลุ่มหัวรุนแรงภายในประเทศมีหลายกลุ่ม แต่จากการติดตามกลุ่มเหล่านั้นมาก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงคาดว่าเป็นฝีมือของกลุ่มขวาจัดบางกลุ่ม ทว่า จำเป็นต้องรอการสืบสวนของเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับกรณีนี้เสียก่อน
ด้าน คนุต สตอร์เบอร์เกท รัฐมนตรียุติธรรมนอร์เวย์ ซึ่งแถลงข่าวพร้อมนายกรัฐมนตรี ระบุว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีเหตุผลที่จะต้องยกระดับการเตือนภัยก่อการร้ายภายในประเทศ  ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า มีเด็กหนุ่มสาวอย่างน้อย 84 คนเสียชีวิต เช่นเดียวกับพนักงานของทำเนียบรัฐบาลในกรุงออสโล ที่ซึ่งถูกโจมตีด้วยระเบิดจนมีผู้เสียชีวิต 7 รายในวันศุกร์ (22) ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น   ยิ่งไปกว่านั้น ตำรวจยังระบุว่า ผู้ต้องสงสัยเป็นชายชาวนอร์เวย์ อายุ 32 ปี ขณะที่สื่อท้องถิ่นเผยว่าเขาชื่อ แอนเดอร์ส เบห์ริง ไบรวิก และมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มฝ่ายขวา รวมถึงมีอาวุธ 2 รายการที่จดทะเบียนในชื่อของเขา

เอเอฟพี - เอกสารความยาว 1,500 หน้าซึ่งเขียนโดยชายผู้ต้องสงสัยกราดยิงและวางระเบิดเมืองหลวงของนอร์เวย์บ่งชี้ว่า เขาวางแผนก่อวินาศกรรมมาตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปี 2009  เอกสารออนไลน์ฉบับนี้เป็นทั้งไดอารี, คู่มือทำระเบิด และบทความการเมือง ซึ่ง แอนเดอร์ส เบห์ริง บรีวิก สาธยายความเกลียดชังที่ตนมีต่อศาสนาอิสลาม, ลัทธิมาร์กซิส และความปรารถที่จะเป็นอัศวินเทมพลาร์ (Knight Templar)  เอกสารชุดหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า “ฤดูใบไม้ร่วง 2009 – ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง” เล่าถึงการที่เขาเปิดธุรกิจทำเหมืองและฟาร์มบังหน้า เพื่อเตรียมก่อเหตุโจมตีในครั้งนี้  “เหตุผลที่ตัดสินใจเช่นนี้ก็เพื่อสร้างฉากบังหน้าที่น่าเชื่อถือ ในกรณีที่ผมถูกจับฐานซื้อและลักลอบนำเข้าระเบิดหรือสารที่ใช้ทำระเบิด เช่น ปุ๋ย” เอกสารระบุ เหตุกราดยิงที่ค่ายเยาวชนพรรคเลเบอร์บนเกาะอูโตยา ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 85 คน และก่อนหน้านั้นยังมีผู้เสียชีวิตอีก 7คนจากเหตุคาร์บอมบ์ถล่มอาคารสถานที่ราชการหลายแห่งในกรุงออสโล เมื่อวันศุกร์(22) “ผมจะถูกตราหน้าว่าเป็นเดรัจฉานที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2” ชายผู้เขียนเอกสารระบุ โดยบอกว่าแผนการที่เขาวางไว้เป็น “ปฏิบัติการอันทุกข์ทรมานเพื่อความเชื่อ” (Matyrdom Operation) แม้จะใช้นามแฝงว่า แอนดรูว์ เบอร์วิก ทว่าผู้เขียนก็ยังอธิบายที่มาของชื่อ แอนเดอร์ส เบห์ริง บรีวิก ซึ่งเป็นชื่อจริงของเขาไว้ด้วย  “ชื่อ บรีวิก มีมาตั้งแต่ก่อนยุคไวกิ้ง เบห์ริง มาจากคำว่า เบห์ร ซึ่งเป็นชื่อภาษาเยอรมนิกที่ใช้กันตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ส่วน แอนเดอร์ส (แอนเดรียส) เป็นภาษาสแกนดิเนเวียน เทียบได้กับ แอนดรูว์”   เอกสารชุดนี้ยังกล่าวถึงเพื่อนฝูงของ บรีวิก, พฤติกรรมของพวกเขา, สาวๆที่เคยคบหา, กิจกรรมทางเพศ ตลอดจนเรื่องราวทั่วไปในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่เรื่องที่ บรีวิก ไปดื่มไวน์ราคาแพงก่อนจะลงมือก่อเหตุสะเทือนขวัญในนอร์เวย์ ก็มีบันทึกไว้เช่นกัน  ข้อความในวันเกิดเหตุระบุว่า “นี่คงเป็นบันทึกสุดท้ายที่จะเขียน วันนี้วันที่ 22 กรกฎาคม เวลา 12.51 น. ขอแสดงความนับถือ แอนดรูว์ เบอร์วิก, ผู้บัญชาการอัศวินตุลาการ, อัศวินเทมพลาร์ยุโรป, อัศวินเทมพลาร์นอรเวย์”ทนายของ บรีวิก ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ของนอร์เวย์วานนี้(23)ว่า บรีวิก ยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุ
“เขาทราบดีว่ามันโหดร้ายมาก แต่บอกว่าจำเป็นต้องทำ” เกร์ ลิปเปสตัด ทนายของ บรีวิก กล่าว พร้อมระบุว่าลูกความของเขาวางแผนก่อวินาศกรรมครั้งนี้มานานแล้ว

'บึ้มจ่อทำเนียบ-ยิงถล่มค่ายเยาวชน'นอร์เวย์ระส่ำเจอก่อการร้ายหนแรก!!

เอเอฟพี - เหตุระเบิดนองเลือดถล่มอาคารราชการกลางกรุงออสโล เมืองหลวงของนอร์เวย์เมื่อวันศุกร์(22) ส่อเค้าเป็นการโจมตึก่อการร้ายครั้งแรกของประเทศ ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 7 คน บาดเจ็บสาหัสอีก 2 ราย แถมหลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุโจมตีค่ายเยาวชนบนเกาะอูโทยา สังเวยอีกอย่างน้อย 10 ศพ ตำรวจคาดมีความเชื่อมโยงกัน
"เรายืนยันว่ามีผู้เสียชีวิต 7 รายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 2 คน" โฆษกตำรวจบอกกับผู้สื่อข่าวสั้นๆในกรุงออสโล หลังจากก่อนหน้านี้ออกมาระบุว่ามีพยานพบเห็นรถยนต์คันหนึ่งขับอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวด้วยความเร็วสูง แต่ยังไม่อาจยืนยันว่าเหตุระเบิดดังกล่าวมีต้นตอมาจากคอร์บอมบ์หรือไม่  นอร์เวย์ ตกอยู่ในวงล้อมของความโกลาหลยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อหลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุมือปืนรายหนึ่งปลอมเป็นตำรวจเปิดฉากยิงเข้าสู่ที่ประชุมค่ายเยาวชนของพรรคเลเบอร์ พรรครัฐบาล บนเกาะอูโทยา ชานกรุงออสโล ซึ่งตำรวจยืนยันภายหลังว่ามีผู้เสียชีวิตมากถึง 10 คน  โฆษกตำรวจระบุ "ข้อมูลที่เราได้รับคือมีผู้เสียชีวิต 10 รายและบาดเจ็บ 7 คน" เขากล่าว "อย่างไรก็ตามนี่ยังไม่ใช่ตัวเลขท้ายที่สุด แต่มันเป็นข้อมูลที่นิ่งที่สุดที่เรามีในตอนนี้"

"มือปืนปลอมเป็นตำรวจได้ลงมือสังหารผู้เข้าค่ายกลุ่มเยาวชน ใกล้กรุงออสโล" หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอ้างคำสัมภาษณ์ของผู้เข้าร่วมประชุม ขณะที่มีรายงานว่านายกรัฐมนตรี เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก มีกำหนดการเข้าร่วมด้วย  ต่อมาสื่อมวลชนนอร์เวย์รายงานเพิ่มเติมว่ามือปืนรายดังกล่าวถูกจับกุมตัวแล้ว และทางตำรวจก็เชื่อว่าเหตุระเบิดในกรุงออสโลและเหตุกราดยิงนี้มีความเชื่อมโยงกัน  ย้อนกลับไปที่เมืองหลวง สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งของนอร์เวย์เผยแพร่ภาพสำนักนายกรัฐมนตรีและอาคารอื่นๆได้รับความเสียหายรุนแรงจากเหตุระเบิด ทางโดยเท้าถูกปกคลุมไปด้วยเศษกระจกกระจัดกระจายและกลุ่มควันลอยพวยพุ่งออกจากพื้นที่   ตำรวจปิดกั้นพื้นที่อันเป็นที่ตั้งของสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงการคลังและ Verdens Gang หนังสือพิมพ์แทบลอยด์รายใหญ่ที่สุดของประเทศ พรัอมกันนั้นพวกเขาร้องขอให้ประชาชนอยู่แต่ในที่พักอาศัยเพื่อความปลอดภัย
พื้นที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางกรุงออสโลและปกติแล้วจะพลุกพล่านไปด้วยฝูงชน แต่เคราะห์ดีที่เหตุระเบิดเมื่อวันศุกร์(22) เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผู้คนในเมืองหลวงเดินทางออกไปพักผ่อนตามสถานที่ต่างๆ  สโตลเทนเบิร์ก นายกรัฐมนตรีของนอร์เวย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านโทรศัพท์ว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่ก็ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสถานการณ์ที่เลวร้าย
ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าใครอยู่เบื้องหลังการโจมตี แต่สำนักงานข่าวกรองตำรวจนอร์เวย์ระบุเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่ากลุ่มอิสลามิสต์หัวรุนแรงคือภัยคุกคามใหญ่หลวงของประเทศ โดยในรายงานของสำนักข่าวกรองระบุว่าแม้มีประชาชนเล็กน้อยในนอร์เวย์ที่สนับสนุนกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง แต่ก็มีความเคลื่อนไหวภายในคนบางกลุ่มที่สุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคง  นอร์เวย์หนึ่งในชาติสมาชิกของนาโตและส่งกำลังทหารเข้าประจำการในอัฟกานิสถาน 500 นาย แต่ประเทศแห่งนี้ก็ไม่เคยประสบเหตุโจมตีก่อการร้ายเลยสักครั้ง อย่างไรก็ตามเมื่อปีที่แล้ว ตำรวจนอร์เวย์ได้จับกุมชาวมุสลิม 3 คน ฐานต้องสงสัยวางแผนโจมตีครั้งใหญ่ภายในประเทศ   ขณะเดียวกันในค่ำวันศุกร์(22) รัฐบาลชาติตะวันตกเรียงแถวกันออกมาประณามเหตุโจมตีสองระลอกในนอร์เวย์ ที่คร่าชีวิตผู้คนรวมกันอย่างน้อย 17 ราย ระบุเป็นการกระทำที่ขี้ขลาดและปราศจากความเมตตา








วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Stand By Me เพื่อนกันจนวันตาย


“ตามที่แม่เล่า วันนั้นผมออกไปเล่นที่บ้านเพื่อนบ้าน ซึ่งติดอยู่กับทางรถไฟ แล้วอีกชั่วโมงให้หลัง ผมก็กลับมาแบบหน้าซีด ไม่มีสีเลือด และตลอดเวลาผมก็ไม่ได้พูดอะไรเลย ไม่ยอมบอกแม่ว่าทำไมไม่ยอมให้แม่ไปรับ หรือให้คนโทรศัพท์มาบอกว่าอยากจะกลับบ้านแล้ว ไม่ยอมบอกว่า ทำไมแม่ของเพื่อนผมถึงได้ปล่อยให้ผมเดินกลับบ้านมาคนเดียวอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เธอควรจะมาส่ง ปรากฏว่าวันนั้นเด็กที่ผมไปเล่นด้วย ถูกรถไฟทับตายระหว่างที่เล่นอยู่บนราง หรือไม่ก็พยายามจะเดินข้าม หลายปีต่อมา แม่ถึงได้บอกว่าชิ้นส่วนของเขากระจัดกระจาย ต้องไปช่วยกันเก็บใส่ตะกร้า แม่ไม่รู้ว่าตอนที่เกิดเหตุ ผมอยู่ใกล้ๆ กันกับเขาหรือเปล่า มันอาจเกิดก่อนผมไปถึง หรือว่าเกิดแล้วผมถึงได้ซึมกลับมาบ้านก็ได้ ท่านก็ได้แต่เดาเอา แต่ตัวผมเองจำอะไรไม่ได้เลย ถ้าแม่ไม่เล่าให้ฟังทีหลัง ก็คงจะไม่มีเรื่องนี้อยู่ในความทรงจำมาเล่าต่อ” คำพูดของร็อบ ไรเนอร์
จากประสบการณ์วัยเด็กที่จำไม่ได้ ความทรงจำเลวร้ายตกหล่นระหว่างเติบใหญ่ แต่ก่อให้เกิดเรื่องสั้น The Body (Fall From Innocence) ร็อบ ไรเนอร์ ผู้กำกับเจ้าของผลงานชื่อดังอย่าง When Harry Met Sally (2532) , Misery (2533) , A Few Good Men (2535) และอีกมาก แต่ในขณะนั้น เขาเพิ่งทำหนังมาแค่ 2 เรื่อง คือ This is Spinal Tap (2527) และ The Sure Thing (2528) สำหรับผลงานเรื่องที่ 3 ไรเนอร์ ได้รับบทเรื่องนี้มา ภายหลังจากเอเดรียน ไลน์ ซึ่งกำลังดังจาก Flashdance (2526) ปฏิเสธไม่ยอมทำ เพราะกำลังติดกำกับหนังเรื่อง 9 ½ Weeks (2529) อยู่ ในตอนแรก ไรเนอร์เองก็ไม่ค่อยสนใจนัก เพราะมันเป็นเรื่องของสตีเฟ่น คิง ที่ขึ้นชื่อในทางสยองขวัญ และเป็นแนวทางที่ไรเนอร์ไม่ถนัด แต่บท “หนังเด็ก” แปลงจากเรื่องสั้นของราชาเขย่าขวัญแห่งยุค เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางธรรมดา ตามวัยบริสุทธิ์ ความสัมพันธ์ที่มีจุดหมายคือความตาย การเดินทางไกลครั้งแรกของกอร์ดี้ ,คริส ,เท็ดดี้ และเวิร์น เพื่อค้นหาซากศพเด็กรุ่นเดียวกัน เป็นพล็อตที่ก่อให้เกิดหนังเด็กสุดแสนประทับใจ ออกฉายเมื่อปี พ.ศ.2529

การผจญภัยครั้งสำคัญของผองเพื่อน เริ่มขึ้นหลังจากพี่ชายของกอร์ดี้เพิ่งจากไปได้ 4 เดือน ความเศร้าโศกของพ่อยิ่งถ่างความสัมพันธ์กับลูกชายให้ห่างมากขึ้น ด้วยความเก่งกาจดีงามของพี่ชายเป็นที่รักใคร่ของพ่อ เป็นสิ่งเปรียบเทียบให้กอร์ดี้เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมาตลอด ในขณะที่พี่เป็นควอเตอร์แบ็ก ผู้ถูกชะตากับคนทั้งเมือง กอร์ดี้กลับชอบขีดเขียนหนังสือ ซึ่งไม่ช่วยให้ใครเล็งเห็นความสามารถจากเด็กชายวัย 12 ขวบ กอร์ดี้หมดทางเป็นคนสำคัญของใคร ยิ่งพี่ชายซึ่งเป็นคนเดียวที่เข้าใจยังมาตายจาก เหมือนถูกโลกซ้ำเติม อยู่เที่ยววิ่งเล่นกับเพื่อนไปวันๆ คือทางเดียวที่กอร์ดี้ ใช้หนีจากชีวิตตัวเองในฤดูร้อนปีนั้น

คริสคือเพื่อนรักของกอร์ดี้ เขาราวกับเป็นหัวหน้าของกลุ่มเพื่อน คอยดูแลทุกคนอย่างพี่ชาย แต่คริสเติบโตขึ้นมาจากครอบครัวแชมเบอร์ส ที่สุดต่ำช้าในสายตาชาวบ้าน แถมเด็กชายยังเคยถูกจับในข้อหาขโมยเงินค่านมของโรงเรียน จนกลายเป็นจุดด่างในใจเรื่อยมา เขากับเพื่อนในบ้านต้นไม้ คือสถานที่แห่งเดียวที่คริสไม่ต้องหวาดระแวง แต่ก็รู้ดีว่าการเดินทางไกลครั้งแรก อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เขากับเพื่อนจะได้เป็นเหมือนเคย

เท็ดดี้ คือสหายจอมมุทะลุ ห่ามระห่ำ เขาสวมแว่นหนา และชอบสบถคำหยาบมากกว่าใคร แต่ทั้งหมดในท่าทางห้าวหาญ อย่างชายชาติทหาร เป็นไปเพื่อบดบังปมด้อยของตัว หูของเท็ดดี้ต้องดับไปข้างหนึ่ง เพราะถูกพ่อซึ่งเป็นทหารผ่านศึกจับกดกับเตาไฟ วีรบุรุษจากนอร์มังดีของเท็ดดี้กลายเป็นคนป่วยน่ารังเกียจสำหรับชาวบ้าน และเขาก็เป็นแค่ลูกชายของคนบ้าเท่านั้น

ส่วนเวิร์น เป็นเด็กท้วม และขี้ขลาด เขาไม่ค่อยมีไหวพริบนัก จึงมักเป็นผู้ตามมากกว่า แต่บ่อยครั้ง เวิร์นมักสร้างความขำขันให้หมู่เพื่อน ด้วยพฤติกรรมชวนส่ายหัว 1 ในนั้น คือการฝังขวดเหรียญเพนนีไว้ใต้ถุนบ้าน และทำแผนที่ไว้ เพื่อค้นหาในภายหลัง แต่เวิร์นก็คือเวิร์น เลินเล่อจนแม่มาเก็บแผ่นกระดาษไปเผาทิ้ง แต่มันไม่ได้ทำให้เวิร์นหมดความพยายาม เขาใช้เวลาขุดหาขวดเหรียญต่อมาอีก 9 เดือน

กระทั่งวันหนึ่งในฤดูร้อน ขณะงุ่นง่านขุดมหาสมบัติ เวิร์นได้ยินบิลลี่ พี่ชายวัยรุ่นคุยกับเพื่อน ถึงเด็กชายคนหนึ่งที่กลายเป็นศพเพราะถูกรถไฟชน เจ้าหน้าที่กำลังออกค้นหากันจ้าละหวั่น พ่อแม่ของเด็กประกาศตามหาเบาะแสทางวิทยุมาหลายวัน แต่ยังไม่มีใครพบ นอกจากบิลลี่ที่นำความมาเล่าให้เพื่อนฟัง และเวิร์นแอบไปได้ยินอยู่ที่ใต้ถุนบ้าน

ศพเด็กที่ชื่อเรย์ บราวเออร์ เหมือนสมบัติล้ำค่ายิ่งกว่าเศษสตางค์ที่ค้นหามาร่วมปี ทันทีที่เวิร์นนำความมาบอกเพื่อนทั้งหมด ระยะทางแสนไกลไม่เป็นปัญหาให้ดั้นด้นออกเดินทางด้วยเท้า พวกเขาตื่นเต้นกับโอกาสจะได้เห็น “คนตาย” เป็นครั้งแรกในชีวิต นอกเหนือจากนั้น การผจญภัยครั้งนี้จะทำให้ทั้ง 4 เกลอกลายเป็น “ใครสักคน” ขึ้นมา ทันทีที่พวกเขาพบศพและนำความไปแจ้งกับตำรวจ หนังสือพิมพ์ก็จะลงข่าวสรรเสริญการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่นี้

กอร์ดี้ คริส เท็ดดี้ และเวิร์น ใช้เวลาอยู่ 1 วันกับ อีก 1 คืนในการเดินทาง ตามเส้นทางที่พวกเขาเลือก มันเป็นการเดินทางครั้งแรกของทั้งหมดที่มีจุดหมายว่ากำลังจะไปไหน และรู้ว่าทำเพื่อสิ่งใด แต่ละก้าวตามหมอนรถไฟ พวกเขาได้สนุกสุดเหวี่ยงไปกับความจริงที่รออยู่ภายนอก ระหว่างทาง พวกเขาต้องเผชิญกับเจ้าหมาใหญ่ที่ลานขยะของตาแก่จอมโหด จากเสียงร่ำลือในหมู่เด็ก ความทารุณสุดสยองซุกซ่อนอยู่ที่นั่น ผู้บุกรุกทุกรายต้องถูกงับ “ไข่” เพราะมันถูกฝึกมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่คำขู่ทั้งหมดกับความจริง หมาดุก็แค่หมาน้อยธรรมดา และทั้งหมดก็ได้เรียนรู้ว่าปลิงในบึงสามารถดูดเลือดมนุษย์ได้มากกมายขนาดไหน ส่วนเรื่องที่กอร์ดี้แต่งขึ้น ไอ้อ้วนจากเรื่องเล่ามีวิธีแก้เผ็ดชาวบ้านที่ชอบล้อเลียนอย่างสุดสกปรก เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนฝูงจนท้องคัดกันอยู่หน้ากองไฟ....

แต่ในความสนุกโดยไร้กฎใดให้คอยระวัง การเดินทางออกค้นหาร่างไร้วิญญาณ ราวกับบทเรียนเพื่อเตรียมรับมือกับวันหน้า วันที่ปมด้อยของทั้งหมดไม่ใช่เรื่องใหญ่ไกลจากรั้วบ้านไม่ใช่แค่การผจญภัย นับแต่ก้าวเดินไป ความเลวร้ายรอให้พวกเขาได้ค้นหาเพื่อค้นพบ ในคืนนั้น กอร์ดี้ได้รู้ว่าคริสไม่ได้เป็นหัวขโมยอย่างที่ใครกล่าวหา เขาเคยลักเงินนั้นจริง แต่รู้สึกผิดบาป จึงนำกลับไปคืน แต่ซ้ำร้าย ผู้ใหญ่อย่างครูบาอาจารย์ กลับ “ขมาย” มันไปซื้อกระโปรงตัวใหม่ พร้อมกับป้ายความผิดให้กับคริสเรื่อยมา และบนสะพานรางรถไฟไร้ทางแยก พวกเขาเกือบเอาชีวิตกันไม่รอด เมื่อต้องวิ่งหนีม้าเหล็กที่ห้อตะบึงไล่หลังตามมา รวมถึงปลายทางของการผจญภัยที่คริสเกือบต้องตาย ซากศพไม่ใช่สมบัติของพวกเขาเท่านั้น กลุ่มวัยรุ่นอันธพาลต้องการเงินรางวัล และต้องการจะได้เป็นใครสักคนเช่นกัน

เมื่อถูกเด็กรุ่นน้องสบประมาทรุนแรง ไม่ยอมมอบซากศพตามต้องการ มันพุ่งมีดมาที่คอหอยคริส กอร์ดี้ตัดสินใจใช้ปืนที่คริสขโมยจากพ่อไล่ขู่ตะเพิดอันธพาล ก่อนที่พวกมันจะยอมจากไป และทิ้งคำขู่อาฆาตฝากเอาไว้ ส่วนสภาพศพเด็กที่ทั้งหมดอุตส่าห์ดั้นด้นเป็นวันคืนเพื่อจะได้เห็น มีแต่ชวนสังเวชหดหู่เกินกว่าจินตนาการ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการค้นพบล้วนทำให้ซากลับไม่เหมือนกับขาไป ทั้งหมดเดินตามทางมาอยางเงียบเชียบไร้บทสนทนา....

“จากนั้นต่อมา เราก็พบเท็ดดี้กับเวิร์นน้อยลง จนกระทั่ง ต่อมากลายเป็นเพื่อน 2 คนที่เราเจอตามทาง บางครั้งมันก็เกิดขึ้นได้ เพื่อนเข้ามาในชีวิตเหมือนเด็กเก็บจานในร้านอาหาร ผมได้ข่าวว่าเวิร์นแต่งงานหลังจากเรียนจบมัธยมมีลูก 4 คน ตอนนี้ทำงานเป็นคนขับรถยกที่โรงไม้ในอาร์เซนอล ส่วนเท็ดดี้พยายามเข้ากองทัพหลายครั้ง แต่เข้าไม่ได้เพราะตาและหูไม่ดี ครั้งสุดท้ายที่ผมได้ยินข่าวคือเขาอยู่ในคุก และตอนนี้เป็นจับกังอยู่ที่แคสเซิลร็อก” กอร์ดี้ในวัยกลางคนเขียนถึงปัจจุบันของเพื่อนวัยเด็กทั้ง 2 คน

และสำหรับคริส ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันในวันนั้น เขาตัดพ้อว่าในอนาคตคงไม่มีโอกาสพบชีวิตงอกเงย ไม่เห็นทางจะพ้นไปจากเมืองเล็กแคบ ส่วนกอร์ดี้คงได้เป็นนักเขียนสมตั้งใจได้อย่างแน่นอน แต่เพราะไม่มีใครล่วงรู้อนาคต ตามภาวะวัยเยาว์ คริสจึงมีความเห็นให้ตัวเองและเพื่อนแบบนั้น ต้องรอกระทั่งอนาคตกลายเป็นปัจจุบัน คำตอบอาจไม่เป็นอย่างเคยเดาไว้ในอดีต “คริสได้ออกไป เขาได้เรียนมหาวิทยาลัยกับผม แม้ว่าจะยาก เขาก็ทำได้อย่างที่เขาเคยทำ เขาเรียนในมหาวิทยาลัย และได้เป็นทนายในเวลาต่อมา.....

“แต่ในอาทิตย์ก่อนเขาทำธุรกิจร้านฟาสต์ฟู้ด ในขณะนั้น ชาย 2 คนทะเลาะกัน คนหนึ่งชักมีดออกมา คริสผู้รักความสงบเสมอพยายามเข้าไปห้าม เขาถูกแทงที่คอ และตายในเวลาต่อมา....

“แม้ว่าผมจะไม่ได้พบเขามา 10 กว่าปีแล้ว ผมก็รู้ว่า ผมจะคิดถึงเขาตลอดไป”

ส่วนย่อหน้าถัดไป หรือย่อหน้าสุดท้ายของกอร์ดี้ คือ ย่อหน้าแรกของบทความนี้ เพื่อนวัยเด็กจากไปไม่คืนมาเหมือนทุกสิ่ง มิตรแท้แบบวันนั้นจะไม่มีอีกแล้ว ทุกชิวิตต้องประกอบด้วยความตาย วันสิ้นสุดต้องเวียนมาถึง ในมิตรภาพของผู้คนเปลี่ยนแปลงได้ตามเข็มนาฬิกา มันอาจจะโหดร้ายไปหน่อยสำหรับความจริง แต่ถ้ายังระลึกถึงบางช่วงเวลาที่ผ่านพ้น ยามเหลียวไปข้างกาย หากเพียงยังจำได้ หรือแค่ยังไม่ลืมกัน ใครสักคนยังอยู่ตรงนั้น

Stand By Me จะทำหน้าที่ฟื้นความทรงจำให้ทั้งหมดกลับคืนมา
เคียงกันในวันเวลา แด่เพื่อนด้วยความคิดถึง

ที่มา : ถอดความบางส่วนจาก good old days #2 ดีวันดีคืน สำนักพิมพ์ a day



ประวัติและผลงานของผู้กำกับ

Robert "Rob" Reiner (born March 6, 1947) is an American actor, director, producer, writer, and political activist.

As an actor, Reiner first came to national prominence as Michael "Meathead" Stivic, son-in-law of Archie and Edith Bunker (played by Carroll O'Connor and Jean Stapleton), on All in the Family. That role earned him two Emmy Awards during the 1970s. As a director, Reiner was recognized by the Directors Guild of America (DGA) with nominations for Stand by Me, When Harry Met Sally..., and A Few Good Men. He also directed Misery. He studied at the UCLA Film School.


ผลงานเฉพาะภาพยนตร์

FilmEnter Laughing – Actor (1967)


Halls of Anger – Actor (1969)

Where's Poppa? - Actor (1970)

Summertree – Actor (1971)

Fire Sale – Actor (1977)

The Jerk – Actor (1979)

This Is Spinal Tap – Actor, Director, Song-Writer (1984)

The Sure Thing – Director (1985)

Stand by Me – Director (1986)

The Princess Bride – Director (1987)

Throw Momma from the Train – Actor (1987)

When Harry Met Sally... – Director (1989)

Postcards from the Edge – Actor (1990)

Misery – Director (1990)

A Few Good Men – Director (1992)

Sleepless In Seattle – Actor (1993)

North – Director (1994)

Bullets Over Broadway – Actor (1994)

The American President – Director (1995)

Bye Bye Love – Actor (1995)

Ghosts of Mississippi – Director (1996)

The First Wives Club Actor (1996)

Primary Colors – Actor (1998)

EDtv – Actor (1999)

The Story of Us – Director, Actor (1999)

Alex & Emma – Director (2003)

Dickie Roberts: Former Child Star - Actor (2003)

Rumor Has It... - Director (2005)

Everyone's Hero - Voice Actor (2006)

The Bucket List – Director (2007)

Flipped – Director, Producer, Screenplay (2010)

The Magic of Belle Isle – Director (2012)



เนื้อเพลงประกอบ ภ.Stand By Me
STAND BY ME (OST.in Stand By Me,1986)

(KING/LEIBER/STOLLER

PERFORMED BY JOHN LENNON (1975)

WHEN THE NIGHT HAS COME

AND THE LAND IS DARK

AND THE MOON IS THE ONLY LIGHT WE SEE

NO I WON'T BE AFRAID

NO I WON'T BE AFRAID

JUST AS LONG

AS YOU STAND, STAND BY ME

AND DARLING DARLING STAND BY ME

OH STAND BY ME

STAND BY ME, STAND BY ME

IF THE SKY

THAT WE LOOK UPON

SHOULD TUMBLE AND FALL

AND THE MOUNTAINS

SHOULD CRUMBLE

TO THE SEA

I WON'T CRY, I WON'T CRY

NO I WON'T SHARE A TEAR

JUST AS LONG

AS YOU STAND, STAND BY ME

AND DARLING DARLING STAND BY ME

OH STAND BY ME

STAND BY ME, STAND BY ME, STAND BY ME

WHENEVER YOUR IN TROUBLE

WON'T YOU STAND BY ME

OH STAND BY ME, STAND BY ME, STAND BY ME

AND DARLING DARLING STAND BY ME

OH STAND BY ME

STAND BY ME, STAND BY ME, STAND BY ME


คุณผู้อ่านเคยเป็นบ้างมั๊ยกับบางครา นั่งดูภาพยนตร์หรือซีรี่ย์ต่างประเทศ แล้วอินไปกับตัวละคร หรือบางทีความรู้สึกของฉากภาพยนตร์เหล่านั้น ดึงเรากลับไปสู่ห้วงอดีต แห่งความทรงจำ ในวัยเยาว์ หรือกับประสบการณ์ในอดีตที่เป็นความหลังฝังใจเรา และถ่ายทอดผ่านตัวละครในภาพยนตร์นั้น จากคำพูด การแสดงออก สีหน้าท่าทาง หรือบรรยากาศ ความรู้สึกในหนังเหล่านั้น มาดึงอารมณ์ร่วมให้เราคล้อยตามหรืออินไปกับตัวหนัง บางครั้งมากระแทกใจ (โดน) ในแต่ละช็อตยังไม่เป็นไร แต่บางครั้งกระหน่ำมาเป็นชุด หรือหลายฉากอย่างต่อเนื่อง ความอ่อนไหวในใจเราจะเหลือเหรอครับ น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมาสิครับอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผู้เขียนโดนมากับตัวแล้วหลายเรื่อง ยกมาเฉพาะกับภาพยนตร์ที่พูดถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนหรือมิตรภาพ เท่านั้น อาทิ รายชื่อภาพยนตร์เหล่านี้

Stand By Me, ช้างเพื่อนแก้ว ,Sleepers , Dead Poet Society , Free Willy , E.T., Toy Story ภาคจบ , แฟนฉัน , Goal Club , My Girl 2, คุณยายผมดีที่สุดในโลก ,เด็กหอ ,Dark Blue World, Life is Beautiful, Shindler's List , The Shawshank Redemtion , A.I.(Artificial Intelligence), About a Boy , Spirited Away, Harry Potter (บางภาค) เพื่อนช้าง อาริงาโตะ!(Shining Boy& Littel Randy) ,Let the right one in, Let me in, การ์ตูนอิคคิวซัง, โดราเอม่อน, สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก, Narnia , โอชิน, Home Alone , Six Sense , Sign  ,Suckseed , Lord of  the Ring  ฯลฯ

ถ้าไม่หลอกตัวคุณเองนะ คุณเคยหวนคิดย้อนกาลเวลากลับไปในห้วงอดีตแห่งความทรงจำ ที่เคยแอบซ่อนอยู่ภายในใจบ้างหรือเปล่า

เพลงเพื่อนไม่ทิ้งกัน ศิลปิน นรินทร ณ บางช้าง

เราเคยเกลียดกัน

เมื่อตอนเราเป็นนักเรียน

และยังเคย มี เรื่อง กันไว้

เราเคยโกรธกัน

เมื่อเจอกันในชั้นเรียน

ไม่เคยยอมฟังผู้ใด

ไม่เคยยอม ให้กัน

ชอบทะเลาะมีเรื่อง กันทุกที

จะเป็นไงก็ช่างมัน

แต่จะให้ ยอมแพ้ เป็นไม่มี

พอเราเติบโต

กลับเปลี่ยนแปลงความคิดเดิม

และเราลืม ที่ ทำ กันไว้

ทำความเข้าใจ

ไม่ให้ใครมาซ้ำเติม

จูงมือ พา กัน ก้าวไป

หนักใจเราช่วยกัน

หากปัญหา มีอยู่ เราไม่กลัว.

หากว่าเราจะช่วยกัน

ไม่มีวัน ความหวัง จะมืดมัว

เพื่อนไม่เคย ไม่เคยทิ้งกัน

ไม่ว่าความฝัน

นั้นจะไกล สักเท่าไร

จะหกล้ม ซม ซาน เมื่อใด

เพื่อนจะปลอบใจ.

ไม่มีคน ที่จะ รู้ใจ

ไม่มีใครรัก

และตามใจ เหมือนเพื่อนเก่า

จะทำไง ตาม ใจ แต่เรา

เพื่อนเรารักจริง

จะมีกี่คน ที่จะเคยมีเพื่อนดี

และให้เรา ทำ ตาม ความฝัน

จะมีกี่คน ที่เต็มใจจะร่วมทาง

และเข้าใจ ใน ความสำคัญ

ยิ่งที่ยิ่งผูกพัน

เพื่อนเท่านั้นจะอยู่ กันเรื่อยไป

เพื่อนเป็นไงก็เป็นกัน

กอดคอกัน เอาไว้ จนวันตาย

เพื่อนไม่เคย ไม่เคยทิ้งกัน

ไม่ว่าความฝัน

นั้นจะไกล สักเท่าไร

จะหกล้ม ซม ซาน เมื่อใด

เพื่อนจะปลอบใจ.

ไม่มีคน ที่จะ รู้ใจ

ไม่มีใครรัก

และตามใจ เหมือนเพื่อนเก่า

จะทำไง ตาม ใจ แต่เรา

เพื่อนเราเข้าใจ

จะทำไง ตาม ใจ แต่เรา

เพื่อนเรารักจริง

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

นกน้อยที่ชอบบินออกนอกลู่นอกทาง

นกน้อยที่ชอบบินออกนอกลู่นอกทาง

และบางครั้งแอบจิกกินผลส้มจนหมดไร่ด้วย

สื่อมวลชน เคยถูกเปรียบเทียบเป็นนกน้อยในไร่ส้ม มีอิสรภาพอย่างเต็มเปี่ยม มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์และหอมหวล สื่อมวลชน มีหน้าที่อย่างไร ปัจจุบันการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนทั้งในระดับโลก และสื่อมวลชนในประเทศ ต่างถูกตั้งคำถามถึงบทบาทหน้าที่ ที่ควรจะเป็น การทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง เอาความจริงมาเผยแพร่ต่อมวลชน อย่างตรงไปตรงมา การทำหน้าที่เยี่ยงมืออาชีพ ไม่มีผลประโยชน์เคลือบแฝง การทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เป็นไปดังอุดมการณ์ ปณิธานที่สื่อมวลชนที่ดีควรจะเป็น เริ่มมีข้อสงสัย และเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ๆ สำหรับสื่อบางสำนัก ไม่เว้นแม้แต่สื่อในกระแสหลัก สื่อที่เป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ สื่อที่มีเครือข่ายระดับโลก ระดับประเทศ หรือแม้แต่สื่อรายเล็กๆ หรือสื่อท้องถิ่น แต่ไม่ว่าจะเป็นสื่อในระดับใด แต่เป้าหมาย และอุดมการณ์ของสื่อก็เดินไปในระนาบเดียวกัน บนมาตรฐานวิชาชีพของสื่อแบบเดียวกัน หากจะนำไปเปรียบเทียบให้เป็นธรรม อาจนำไปเปรียบเทียบในประเภทของสื่อแบบเดียวกัน ในท้องถิ่น ในสังคมเดียวกัน ก็สามารถจะวัดมาตรฐานการทำงาน และความเป็นกลางได้ไม่ยาก ยังไม่นับรวมถึงจรรยาบรรณของวิชาชีพสื่อที่จะต้องมีเหมือนๆ กัน ไม่แยกแยะว่าเป็นสื่อประเภทใด อยู่ในสังคมแห่งใด เพราะจรรยาบรรณมีมาตรวัดที่ใกล้เคียงกันทั้งโลก เพราะวิชาชีพสื่อก็เป็นศาสตร์สากลที่ศึกษามาจากแม่แบบจากประเทศทางตะวันตกเหมือนๆ กัน จึงนำมาอ้างถึงมาตรฐานทางจริยธรรมที่แตกต่างกันไปในแต่ละสังคมได้ยาก เพราะโลกทุกวันนี้เป็นโลกในแบบโลกาภิวัฒน์แล้ว ข้อเท็จจริงทุกอย่างบนโลกนี้เชื่อมโยงถึงกันได้หมด และอยู่บนพื้นฐานของทุนนิยมหรือสังคมแบบเปิด ไม่ใช่เฉพาะสังคมที่มีระบอบการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยเท่านั้น สังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ เช่น ประเทศจีน เวียดนาม หากมีลักษณะของสังคมแบบเปิด ก็ย่อมปฏิเสธบทบาทการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนไม่ได้ หนีไม่พ้นวัฒนธรรมการเสพติดข่าวของประชาชนไปได้ ดังนั้น สื่อมวลชนจึงเป็นกลุ่มคน กลุ่มอาชีพ หรือผู้มีบทบาททางสังคมที่สำคัญ เป็นตัวขับเคลื่อนสังคมให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นได้ ไม่แพ้นักปกครอง นักการเมือง ครู อาจารย์ ปัญญาชน นักกฏหมาย ตำรวจ ทหาร หรืออาชีพหลักๆ สำคัญอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย

"สื่อ" ในภาษาไทยกับคำในภาษาอังกฤษ พบว่ามีความหมายตรงกับคำว่า "media" (ในกรณีที่มีความหมายเป็นเอกพจน์จะใช้คำว่า "medium")

คำว่า "สื่อ" ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ ความหมายของคำนี้ไว้ดังนี้ "สื่อ (กริยา) หมายถึง ติดต่อให้ถึงกัน เช่น สื่อความหมาย, ชักนำให้รู้จักกัน สื่อ (นาม) หมายถึง ผู้หรือสิ่งที่ติดต่อให้ถึงกันหรือชักนำให้รู้จักกัน เช่น เขาใช้จดหมายเป็นสื่อติดต่อกัน, เรียกผู้ที่ทำหน้าที่ชักนำใหชายหญิงได้แต่งงานกันว่า พ่อสื่อ หรือ แม่สื่อ; (ศิลปะ) วัสดุต่างๆ ที่นำมาสร้างสรรค์งานศิลปกรรม ให้มีความหมายตามแนวคิด ซึ่งศิลปินประสงค์แสดงออกเช่นนั้น เช่น สื่อผสม"

นักเทคโนโลยีการศึกษาได้มีการนิยามความหมายของคำว่า "สื่อ" ไว้ดังต่อไปนี้

Heinich และคณะ (1996) Heinich เป็นศาสตราจารย์ ภาควิชาเทคโนโลยีระบบการเรียนการสอน ของมหาวิทยาลัยอินเดียน่า (Indiana University) ให้คำจำกัดความคำว่า "media" ไว้ดังนี้ "Media is a channel of communication." ซึ่งสรุปความเป็นภาษาไทยได้ดังนี้ "สื่อ คือช่องทางในการติดต่อสื่อสาร" Heinich และคณะยังได้ขยายความเพิ่มเติมอีกว่า "media มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน มีความหมายว่า ระหว่าง (between) หมายถึง อะไรก็ตามซึ่งทำการบรรทุกหรือนำพาข้อมูลหรือสารสนเทศ สื่อเป็นสิ่งที่อยู่ระหว่างแหล่งกำเนิดสารกับผู้รับสาร"

A. J. Romiszowski (1992) ศาสตราจารย์ทางด้านการออกแบบ การพัฒนา และการประเมินผลสื่อการเรียนการสอน ของมหาวิทยาลัยซีราคิวส์ (Syracuse University) ให้คำจำกัดความคำว่า "media" ไว้ดังนี้ "the carriers of messages, from some transmitting source (which may be a human being or an inanimate object) to the receiver of the message (which in our case is the learner)" ซึ่งสรุปความเป็นภาษาไทยได้ดังนี้ "ตัวนำสารจากแหล่งกำเนิดของการสื่อสาร (ซึ่งอาจจะเป็นมนุษย์ หรือวัตถุที่ไม่มีชีวิต ) ไปยังผู้รับสาร (ซึ่งในกรณีของการเรียนการสอนก็คือ ผู้เรียน)"

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า สื่อ หมายถึง สิ่งใดๆ ก็ตามที่เป็นตัวกลางระหว่างแหล่งกำเนิดของสารกับผู้รับสาร เป็นสิ่งที่นำพาสารจากแหล่งกำเนินไปยังผู้รับสาร เพื่อให้เกิดผลใดๆ ตามวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร

การสื่อสารมวลชน หมายถึง การส่งผ่านสื่อเพื่อให้ไปถึงมวลชน การสื่อสารมวลชนจะบรรลุเป้าหมายได้ต้องมีผู้ส่งสาร มีสาร มีผู้รับสาร และมีสื่อหรืออุปกรณ์ประเภทต่างๆ ที่ใช้ในการส่งสาร เช่น วิทยุ โทรทัศน์ สิ่งตีพิมพ์ และภาพยนตร์ เป็นต้น

การสื่อสารมวลชน คือ หน่วย (agencies) ในการสื่อด้วยการพิมพ์หรือระบบอิเล็กทรอนิคส์ ซึ่งทำให้การกระจายข่าวสารไปสู่ผู้รับจำนวนมาก ในที่ต่างๆที่ห่างไกลเป็นไปได้อย่างรวดเร็วด้วยระบบการทำงาน ที่ซับซ้อน

สื่อมวลชน หมายถึง เครื่องมือคมนาคมสื่อสารที่สามารถจะนำเรื่องราวต่างๆ อย่างเดียวกัน ไม่ว่าเรื่อราวนั้นจะเป็นสิงที่เราอาจรับรู้ได้ด้วยการฟัง การเห็นหรือวิธีการสัมผัสอย่างอื่นๆ ไปสู่บุคคลเป็นจำนวนมากโดยบุคคลเหล่านี้ อาจจะแยกกันอยู่ณ แห่งหนตำบลใดก็ได้

สรุปการสื่อสารมวลชน หมายถึง การใช้สื่อมวลชน เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุและ โทรทัศน์ เป็นช่องทางในการนำสาระ เรื่องราวต่างๆ ไปยังคนจำนวนมากหลากหลาย อยู่กระจายห่างไกลกันออกไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยเป็นไปในรูปของกระบวนการที่มีการส่งผลย้อนกลับได้ แต่อาจช้าไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใด

ตัวอย่างของสื่อมวลชนต่างประเทศที่ไม่ยอมทำหน้าที่ตามบทบาทสำคัญของตนเอง ไม่รักษาสถานภาพความเป็นกลางที่เป็นมาตรวัดที่สำคัญ ไม่มีจริยธรรมที่บ่งบอกถึงคุณค่าความเป็นสื่อ ซึ่งเป็น core business ของตนเองเอาไว้ ในระดับโลกที่ถือเป็นกรณีศึกษาไปแล้วก็คือ case ของสิ่งพิมพ์ News of The World นสพ.ที่เดิมเป็น นสพ.ที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษ แต่เมื่อผ่านช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ทำให้เปลี่ยนมือมาสู่นักธุรกิจ นายทุนในคราบของสื่อมวลชนจอมปลอมอย่าง รูเพิร์ท เมอร์ด็อก ทำให้ภาพลักษณ์ มาตรฐานความน่าเชื่อถือของสื่อนี้ ลดหายลงไป และกลายเป็นจุดจบ อวสานของสื่อเก่าแก่ และทรงอิทธิพลรายนี้ กลายเป็นข่าวดังทั่วโลก เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง จากวีรกรรมหรือพฤติกรรมต่างๆ ที่ไร้จริยธรรมที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ส่วนกรณีของสื่อมวลชนในบ้านเรานั้น ท่านผู้อ่านที่ติดตามข่าวสารอยู่เป็นประจำ หรือมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือมีประสบการณ์เกี่ยวกับบทบาท การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในไทย ก็จะทราบว่า สื่อมวลชนไทยจำนวนไม่น้อยก็อยู่ในข่ายเดียวกับ News Corp หรือ News of The World เช่นเดียวกัน (ไม่ขอระบุชื่อหรือเจาะจงลงไป แล้วแต่ทัศนคติของท่านผู้อ่านจะวิเคราะห์เองได้) โดยสื่อมวลชนบ้านเราจะแยกออกเป็นสื่อมวลชนประเภทกระแสหลัก แยกตามประเภทดังนี้ สื่อทีวี,สื่อวิทยุ สื่อหนังสือพิมพ์ สื่ออินเตอร์เน็ต สื่อทีวีดาวเทียม ถ้าเป็นสื่อกระแสหลัก ก็จะเป็นประเภท เช่น ทีวีก็ 3,5,7,9,11,TPBS ถ้าเป็นวิทยุก็จะเป็นวิทยุที่แยกตามค่ายสังกัด เช่น กรมประชาสัมพันธ์ อสมท ยานเกราะ กองทัพบก หน่วยงานรัฐต่างๆ ที่ให้สัมปทานแก่เอกชนไปทำเป็นรายการวิทยุต่างๆ ที่ไม่นับพวกวิทยุชุมชนที่ผิดกฏหมายหรือแอบตั้งเสาออกอากาศเอง ,สื่อหนังสือพิมพ์ก็พวกที่เป็นหัวสีหลักๆ เช่น ไทยรัฐ เดลินิวส์ บ้านเมือง มติชน คมชัดลึก ไทยโพสต์ โพสต์ทูเดย์ กรุงเทพธุรกิจ astvผู้จัดการ ยังแยกเป็น นสพ.หัวต่างประเทศด้วย เช่น บางกอกโพสต์ เนชั่น ซิงเสียนเยอะเป้า และมีแยกเป็นนสพ.ประเภทธุรกิจรายสัปดาห์ ราย 3 วัน หรือนิตยสารรายปักษ์ รายสัปดาห์ด้วย ,สื่ออินเตอร์เน็ตนั้นเป็นอีกช่องทางใหม่ของพวก นสพ.หรือสื่อโทรทัศน์ที่ลงมาทำเป็น channel นึง หรือบทบาทใหม่อย่าง social media หรือ social network ด้วย และที่กำลังมาแรงก็คือสื่อทีวีดาวเทียม ซึ่งตอนนี้มีสื่อมวลชนหลักๆ ในประเทศกระโดดลงมาที่ channel นี้กันเกือบหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสำนักข่าวหลักๆ บริษัทบันเทิงหลักๆ เช่น ช่อง 3.5,7,9 กระโดดลงมากันครบ แต่ที่โดดเด่นต้องยกให้สำนักข่าวหลักๆ ทางช่องทีวีดาวเทียม เช่น TNN ของค่ายทรู , New1 ของ Astvผู้จัดการ , Nation tv ของเครือเนชั่น, spring news, voice tv,T-news, moneys channel เป็นต้น ด้านค่ายบันเทิง ก็มีช่องหลักๆ เช่น เครือแกรมมี่ มีช่องหลักๆ เช่น green, bang, acts ,fan tv และเร็วๆ นี้จะมีเพิ่มอีก ของมีเดีย์ส์ออฟมีเดีย มีช่องมีเดีย ,RS ก็มี you และ สบายดี ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นสื่อมวลชนกระแสหลักทั้งสิ้น นอกนั้นรายเล็กรายน้อยจะเป็นสื่อกระแสรอง ซึ่งต่างก็ทำหน้าที่ของตน แข่งขันกันนำข้อเท็จจริง สาระ บันเทิงมาสู่ประชาชน ซึ่งกลายเป็นธุรกิจสื่อและการเสพติดสื่อไปแล้วในโลกทุนนิยม และบริโภคนิยมนี้

กรณีข่าวครึกโครมที่ทำลายภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือของสือมวลชนไทยก็คืออีเมลล์ลับ ที่ถูกมือดีเข้าไปแฮ็กค์ได้ในโลกไซเบอร์ ซึ่งไม่ทราบต้นตอของผู้ปล่อยข่าวด้วย แต่อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย นำมาเปิดเผยให้สื่อมวลชนทราบ เกี่ยวกับข้อความในอีเมลล์ลับที่เป็นบทสนทนาในจดหมายโต้ตอบระหว่างอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยผู้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 111 คน ผู้ซึ่งทำงานใกล้ชิดอดีตนายกชื่อดังที่อยู่แดนไกล กับ ส.ส.ลูกพรรคมือทำงานใต้ดินให้กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งพูดถึงการสร้างความสัมพันธ์กับสื่อหลักชื่อดังของไทย 5 ราย ให้ช่วยให้ความร่วมมือลงข่าวของพรรคเพื่อไทย โดยมีการพูดถึงตัวเงินค่าวิ่งเต้น น้ำร้อนน้ำชา และชื่อบุคคลซึ่งเป็นระดับ head หรือคอลัมน์นิสต์ชื่อดังไว้ด้วย ซึ่งเป็นบุคคลที่รู้จักกันดีในวงการ ในอีเมลล์ลับ ซึ่งไม่ขอพูดถึงรายละเอียดลงไป เพราะท่านผู้อ่านสามารถไปค้นหา หรือหาอ่านได้เองจากสื่อหรือหน้าข่าวหนังสือพิมพ์หรือเว็บไซต์ย้อนหลังได้เอง แต่พลันที่ข่าวชิ้นนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็ได้ทำลายภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือของสื่อมวลชนทั้ง 5 รายไปเรียบร้อยแล้ว จนสมาพันธ์ หรือสมาคมผู้สื่อข่าวและหนังสือพิมพ์ต้องตั้งคณะกรรมการหาคนที่ทรงคุณวุฒิ มีความน่าเชื่อถือ มาสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่ามีมูลหรือข้อเท็จจริงอย่างไร เพื่อหาต้นตอสาเหตุ และเอาผิดกับสื่อมวลชนคนนั้น ไม่ให้กลายเป็นปลาตัวเดียวตาย ทำให้เน่าตายทั้งคอก ซึ่งจะมีผลสอบออกมาเผยแพร่ในภายหลังให้สาธารณะชนได้รับทราบ แต่ในกรณีนี้เข้าข่าย ไม่มีมูลสุนัขคงไม่อุจจาระเป็นแน่ ถ้ามองในแง่ดี จึงน่าจะถือวิกฤติเป็นโอกาส โดยถือโอกาสสะสางความสะอาดในแวดวงสื่อสารมวลชนไทยเสียที เพราะเป็นที่รับรู้ของประชาชนวงนอกอยู่แล้วว่า มีสื่อที่รับเงิน รับงาน เป็นสื่อเลือกข้าง และทำตัวไม่เป็นกลาง ไม่มีจริยธรรมในวิชาชีพ แต่กลับเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลในวงกว้าง ที่สามารถชี้นำกระแส หรือชักจูงประชาชนได้ ตัวอย่างก็ที่เห็นกันอยู่ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมานี้ไง ปัญญาชนที่ไหนเขาก็ดูออกว่า สื่อไหนเชียร์ใคร และรับงานจากใคร มาโน้มน้าวให้คนไปเลือกตั้ง ถึงขนาดมีการลงไปรณรงค์ตามสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ ทั้งๆ ที่มันใช่หน้าที่ของสื่อมวลชนที่ควรจะลงไปทำหรือเปล่า หรือมันหน้าที่ของ กกต. แต่ กกต.ดันไม่ทำ มัวไปทัวร์เมืองนอกกันอยู่ร่วมๆ 2 อาทิตย์ อะไรอย่างนี้เป็นต้น

สื่อมวลชนสมัยนี้เลือกที่จะทำหน้าที่เป็นบางเรื่อง และลงลึกเป็นบางเรื่อง บางเรื่องแตะนิดๆ หน่อย พอให้เป็นข่าวฉาบฉวยแล้วก็เลิกเจาะลึกไปเลย แต่ในบางเรื่องที่ไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นสาระอะไร กับสร้างให้เป็นกระแสขึ้นมาเพื่อขายข่าว สร้างกระแสให้อึกทึก ครึกโครม เพื่อชี้นำหรือให้ประชาชนหันไปสนใจ แต่พอไม่มีมูลข้อเท็จจริงใดๆ กับไม่ออกมาขอโทษประชาชน แล้วอ้างตัวว่าเป็นสื่อมวลชน มีหลายมิติ เจาะลึก รอบด้าน ขอยกตัวอย่าง ดังนี้

มีสื่อมวลชนอยู่รายนึง สร้างกระแสข่าวว่ามีศพจำนวนมาก สงสัยว่าจะถูกนำไปฝังอยู่ใต้ทะเลในอ่าวไทย ถึงขนาดทำเป็นสกู๊ปรายงานพิเศษอย่างต่อเนื่องอยู่เป็นอาทิตย์ ส่งเฮลิคอปเตอร์อันทันสมัยของตนเอง บินลงไปสำรวจเองเลย โดยมีหลักฐานว่ามีตู้คอนเทนเนอร์ใหญ่จำนวนหนึ่ง ไปจมอยู่ใต้ทะเล โดยชี้ประเด็นแบบอ้อมๆ นั่นแหละ ตั้งข้อสงสัยว่าจะเป็นศพจำนวนมากที่อยู่ในตู้คอนเทนเนอร์เหล่านั้น โดยทิ้งปริศนาไว้ให้ประชาชนสงสัยเอาเองว่าจะเป็นศพจากเหตุการณ์อะไรซักอย่างถูกขนย้ายมาซ่อนหรือฝังไว้ใต้ทะเล จนหน่วยงานของรัฐ กองทัพเรือ กรมสืบสวนคดีพิเศษ นิติเวชวิทยา (ก็คือคุณหมอผ่าตัดศพชื่อดังนั่นแหละ) ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางทะเล ต้องดำน้ำลงไปสำรวจดูอยู่หลายๆ เดือน จนหาบทสรุปได้ว่าตู้คอนเทนเนอร์นั้น ไม่มีสิ่งชีวิตใดๆ และคงจะเป็นการยาก ถ้าจะมีใครคิดจะทำเช่นนั้น กลายเป็น โอละพ่อ ไป ถามว่าสื่อมวลชนรายนั้น ทำไปเพื่ออะไร รับงานใครมาหรือมีใบสั่งหรือไม่ แล้วถ้าเป็นเจตนาบริสุทธิ์ ทำไมกับกรณีอื่นๆ เช่น เขาพระวิหาร ท่านไม่เห็นทำข่าวเชิงลึก เช่นนี้บ้าง สื่อมวลชนรายเดียวกันนี้ ไม่ทำสกู๊ปเจาะลึกเรื่องกรณีพิพาทไทย-เขมร เรื่องไทยเสียดินแดน หรือให้ความรู้กับประชาชนไม่ว่าประเด็นใดๆ เกี่ยวกับเขาพระวิหาร เท่าที่ควรจะให้ มีแต่ทำข่าวแบบแตะๆ ให้พอมีรายงานบ้าง ไม่ให้ตกกระแสเท่านั้น ซึ่งผิดกับช่อง TPBS ที่บก.ข่าวการเมืองลงไปทำข่าวเองถึงสถานที่เลย ,หรือแม้แต่นักข่าวสายการเมือง อย่างคุณวาสนา นาน่วม ก็หันมาเล่นข่าวนี้ด้วย ซึ่งเดิมทีถนัดแต่ข่าวสายทหารเท่านั้น ยังไม่นับรวมเว็บไซต์เล็กๆ อย่าง 15moves หรือสื่อในเครือ astv ผู้จัดการ,fmtv ของสันติอโศก ที่เกาะติดข่าวเรื่องเขาพระวิหารอยู่แทบจะเป็นสื่อเดียว แม้ว่าจะไม่ใช่สื่อกระแสหลัก แต่ก็ตามเรื่องสำคัญนี้อย่างไม่ยอมลดละ

อันนี้ชี้ประเด็นให้เห็นชัดว่าการให้น้ำหนักของสื่อกระแสหลักกับเรื่องที่ควรจะให้ความสำคัญยังมีน้อย ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์เบื้องหลังที่จะมีผลมายังนายทุนเจ้าของสื่อนั้นหรือไม่ โดยไม่คำนึงถึงมาตรฐานการทำงาน ความเป็นมืออาชีพ ความเป็นกลาง จริยธรรมที่มีต่อประชาชนที่เป็นทั้งลูกค้า ผู้เสพบริโภคข่าว และยังเป็นเจ้านายทางอ้อมหรือเจ้าของสื่อนั้นทางอ้อม เพราะเงินภาษีของสื่อมวลชนบางแห่ง เช่น ช่อง 5 นั้นมาจากประชาชน แต่คุณทำข่าวเรื่องเสียดินแดนน้อยมาก และทำแบบฉาบฉวย ไม่รอบด้าน ไม่ลึกพอ แต่กลับเอาเวลาไปให้เอกชนสัมปทานเวลาทำรายการบันเทิงไร้สาระ มอมเมาประชาชนเสียมากกว่า ถ้ามีการประเมินผลด้านประสิทธิภาพ ความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อสื่อของรัฐ ในมาตรวัดแบบ KPI’s แล้วหล่ะก็ สื่อมวลชนของรัฐทั้งหมดนั้น สอบตกเกือบทั้งหมดแบบยกกระบิอย่างแน่นอน เพราะการทำหน้าที่บกพร่องและคุณภาพต่ำแบบไม่น่าให้อภัยเป็นอย่างยิ่ง

หากสื่อของรัฐหรือสื่อกระแสหลักยังคงทำงานในมาตรฐานเช่นนี้ต่อไป วันนึงสื่อกระแสรองที่มีคุณภาพคงจะก้าวขึ้นมาชี้นำและสร้างมาตรฐานใหม่ของสื่อมวลชนได้ดีกว่า ถึงเวลานั้นประชาชนก็คงหันไปดูสื่อกระแสรองกันหมด และแนวโน้มก็กำลังจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ จากการวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคคนรุ่นใหม่พบว่า คนรุ่นใหม่เสพความบันเทิงผ่านอินเตอร์เน็ตมากกว่าดูทีวี และนับวันก็จะมีแนวโน้มมากขึ้นด้วย

ข่าวพาดหัวของสื่อฉาวที่ปิดกิจการของตัวเองลงไปแล้ว นั่นคือ News of The World

10 ก.ค. 54 สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ หนังสือพิมพ์แทบลอยด์ที่ขายดีในอังกฤษ ได้ปิดตัวลงอย่างถาวร และได้วางแผงขายหนังสือพิมพ์ฉบับสุดท้ายในวันนี้ (10 ก.ค.) ซึ่งได้พาดหัวด้วยถ้อยคำสั้นๆง่ายๆว่า “ขอบคุณและขออำลา”  โดยในเนื้อหาหนังสือพิมพ์ได้ตีพิมพ์คำขอโทษเต็มทั้ง 3 หน้ากรณีการขโมยข้อมูลทางโทรศัพท์ ซึ่งก็มีเนื้อหาว่า ‘เราชื่นชมกับการทำงานที่มีมาตรฐานสูง,และแน่นอนเราก็ต้องการมีมาตรฐานสูงด้วย แต่ในช่วงไม่กี่ปีก่อนปี 2006 พนักงานบางคนที่ทำงานกับเรา หรือไม่นามของเราไม่สามารถรักษามาตรฐานในการทำงานได้ เราได้สูญเสียแนวทางทำงานของเรา มีการดักฟังโทรศัพท์เกิดขึ้น  ซึ่งเรารู้สึกเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีเหตุผลแก้ตัวใดๆต่อความผิดพลาดที่น่าตกใจเช่นนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ที่ต้องตกเป็นเหยื่อ เราขอชดเชยความผิดที่เกิดขึ้น ขณะที่ในหน้าอื่นๆของนิวส์ ออฟ เดอะ เวิล์ด ฉบับสุดท้ายเป็นการนำภาพการทำสกู๊ปและบทความเอ็กซ์คลูซีฟต่างๆ ในอดีตมาลงรวมกัน  สำหรับนิวส์ ออฟ เดอะ เวิล์ดถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักกรณีอื้อฉาวทั้งการดักฟังโทรศัพท์ ขโมยข้อมูล เหยื่ออาชญากรรม คนดังและนักการเมือง ซึ่งทางการอังกฤษเผยว่า มีบุคคลที่ตกเป็นเหยื่อสูงถึง 4,000 คน

“นิวส์ คอร์ป” มีแผนขายกิจการ นสพ.ในอังกฤษยกแผง หลังเผชิญมรสุม “นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์”

เอเอฟพี - บริษัท นิวส์ คอร์ป ของเจ้าพ่อสื่อชาวอเมริกันเชื้อสายออสซี่ รูเพิร์ต เมอร์ด็อก กำลังพิจารณาขายกิจการหนังสือพิมพ์ทั้งหมดในอังกฤษ หลังเชผิญมรสุมข่าวฉาวที่สื่อซุบซิบ นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ ก่อขึ้น หนังสือพิมพ์ วอลสตรีท เจอร์เนิล รายงานวันนี้(13)  วอลสตรีท อ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อว่า นิวส์ คอร์ป กำลังมองหาผู้รับซื้อกิจการ นิวส์ อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งมีหนังสือพิมพ์ในเครืออยู่หลายฉบับ เช่น เดอะ ซัน, เดอะ ไทม์ส ออฟ ลอนดอน, เดอะ ซันเดย์ ไทม์ส รวมไปถึง นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ ซึ่งตีพิมพ์ฉบับสุดท้ายไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา(10) หลังถูกกระแสกดดันอย่างหนักเรื่องพฤติกรรมดักฟังโทรศัพท์   วอลสตรีท ซึ่งเป็นสื่อในเครือ นิวส์ คอร์ป ด้วย ระบุว่า เมอร์ด็อก คัดค้านแผนการนี้มาโดยตลอด เนื่องจาก นิวส์ อินเตอร์เนชันแนล เป็นหนึ่งในบริษัทลูกที่เขาโปรดปรานมากที่สุด   อย่างไรก็ดี ดูเหมือนจะยังไม่มีผู้ใดสนใจซื้อบริษัทนี้ต่อ เนื่องจากความซบเซาของธุรกิจหนังสือพิมพ์ ทว่า นิวส์ อินเตอร์เนชันแนล อาจจะพิจารณาแผนการนี้อีกครั้งใน 6 เดือนข้างหน้า  ผู้บริหาร นิวส์ คอร์ป หยิบยกประเด็นการขาย นิวส์ อินเตอร์เนชันแนล มาถกกันหลายครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทว่าแนวคิดดังกล่าวก็ตกไปทุกครั้ง เนื่องจาก เมอร์ด็อก ไม่เห็นด้วย วอลสตรีท เผย สมาชิกสภานิติบัญญัติอังกฤษทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลร่วมกันหาทางสกัดกั้นข้อเสนอของ เมอร์ด็อก ที่ต้องการฮุบสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมยักษ์ใหญ่ บีสกายบี โดยจะมีการลงมติกันในวันนี้ (13) ขณะที่ข่าวการดักฟังโทรศัพท์ที่สะท้านสะเทือนอาณาจักรสื่อของ เมอร์ด็อก ก็มีท่าทีว่าจะลุกลามข้ามไปยังสหรัฐฯด้วย  เจย์ ร็อกกีเฟลเลอร์ ประธานคณะกรรมาธิการการพาณิชย์แห่งวุฒิสภาสหรัฐฯ ออกโรงเตือนเมื่อวันอังคาร(12)ว่า อาจเกิดผลเสียใหญ่หลวง หากพบว่าสื่อในอาณาจักรของ เมอร์ด็อก มีพฤติกรรมดักฟังโทรศัพท์ในสหรัฐฯ

ฉาวข้ามทวีป! FBI สืบข่าว “นิวส์ออฟเดอะเวิลด์” แฮกโทรศัพท์เหยื่อ 9/11

เอเอฟพี - สำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ เอฟบีไอ วานนี้ (14) เปิดแฟ้มสืบสวนข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหาว่า “นิวส์ออฟเดอะเวิลด์” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ของอักฤษที่เพิ่งปิดตัวลง เคยติดต่อให้นักสืบเอกชนคนหนึ่งในสหรัฐฯ หาทางแฮกข้อความเสียงโทรศัพท์ของชาวอังกฤษที่เสียชีวิตในเหตุวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ แถลงว่า การสืบสวนของเอฟบีไออยู่ในขั้นแรกและยังไม่เป็นทางการ แต่ยืนยันว่าข่าวอื้อฉาวที่สั่นคลอนอาณาจักรสื่อของรูเพิร์ต เมอร์ด็อก ในอังกฤษ ได้ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังฝั่งสหรัฐฯ แล้วในขณะนี้
นิวส์ อินเตอร์เนชันแนล บริษัทเจ้าของนิวส์ออฟเดอะเวิลด์ กำลังตกอยู่วังวนของวิกฤตการณ์ หลังจากถูกกล่าวหาว่าดักฟังโทรศัพท์เหยื่อคดีฆาตกรรมหลายราย และติดสินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอข้อมูล อนึ่ง นิวส์ อินเตอร์เนชันแนล เป็นบริษัทสาขาของ นิวส์ คอร์ปอเรชัน ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในมหานครนิวยอร์ก  ส่วน นิวส์ คอร์ปอเรชัน ต้องเผชิญมรสุมอีกหนึ่งลูกใหญ่ เมื่อสมาชิกสภานิติบัญญัติสหรัฐฯ เรียกร้องให้มีการสืบสวนข้อกล่าวหาที่ว่ามีความพยายามแฮกโทรศัพท์ของเหยื่อ 9/11 รวมทั้งให้พิจารณาว่าการติดสินบนตำรวจอังกฤษของบริษัทที่มีฐานในสหรัฐฯ ละเมิดกฎหมายแห่งอเมริกันชนหรือไม่
“เรารับทราบข้อกล่าวหาต่างๆ แล้วและกำลังตรวจสอบอยู่” โฆษกหญิงของสำนักงานเอฟบีไอในนิวยอร์กให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี หน่วยงานแห่งนี้ขึ้นชื่อเป็นพิเศษเรื่องการทำคดีอาชญากรรมไซเบอร์ ทั้งนี้ สื่อสหรัฐฯ หลายสำนักรายงานว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนเอฟบีไอจะหาทางตรวจสอบบันทึกข้อความเสียงโทรศัพท์ของชาวอังกฤษ 66 ราย ซึ่งเสียชีวิตในเหตุวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และอาจหาลู่ทางตรวจสอบบันทึกต่างๆ เพิ่มเติมจากทางอังกฤษ  ต้นตอเรื่องราวในสหรัฐฯ นี้เริ่มมาจากการรายงานของหนังสือพิมพ์เดลีมิร์เรอร์ในอังกฤษ เมื่อวันจันทร์ (11) ซึ่งเปิดโปงว่า คนของนิวส์ออฟเดอะเวิลด์ได้ติดต่อนักสืบเอกชนในสหรัฐฯ คนหนึ่งให้หาทางแฮกข้อความเสียงของเหยื่อ 9/11 แม้ เดลีมิร์เรอร์ สื่อคู่แข่งโดยตรงของเมอร์ด็อก มีแหล่งข่าวที่ไม่ได้ระบุชื่อสนับสนุนข้อมูลเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่รายงานชิ้นนี้ก็ทำให้สมาชิกสภานิติบัญญัติสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงวุฒิสมาชิกระดับอาวุโส กระวนกระวายใจและเสนอให้มีการสอบสวนคดีอาญาอย่างเป็นทางการ  แหล่งข่าวในหนังสือพิมพ์เดลีมิร์เรอร์อ้างว่า มีอดีตตำรวจนิวยอร์กนายหนึ่ง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นนักสืบเอกชน บอกกับเขาว่ามีคนจ้างให้หาข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมของเหยื่อ 9/11 ในช่วงก่อนเสียชีวิตใต้ซากตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์  “นักสืบคนนี้เล่าว่าดูเหมือนบรรดานักข่าวสนใจเป็นพิเศษกับข้อความเสียงของผู้เสียชีวิตชาวอังกฤษ” แหล่งข่าวของเดลีมิร์เรอร์เปิดเผย

CEO บ.นิวส์ อินเตอร์ฯ ผู้ตีพิมพ์ “นิวส์ออฟเดอะเวิลด์” ยอมลาออก หลังถูกกดดันหนัก

เอเอฟพี - รีเบกาห์ บรูกส์ ประธานบริหารบริษัทนิวส์ อินเตอร์เนชันแนล ลาออกจากตำแหน่งแล้ว วันนี้ (15) ท่ามกลางกระแสข่าวอื้อฉาวการดักฟังโทรศัพท์ที่บ่อนทำลายบริษัทหนังสือพิมพ์อังกฤษแห่งนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทลูกของรูเพิร์ต เมอร์ด็อก บรูกส์ระบุในจดหมายถึงพนักงาน  ด้าน นิวส์ คอร์ปอเรชัน ของเมอร์ด็อก ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของนิวส์ อินเตอร์เนชันแนล ได้ยืนยันการลาออกของรีเบกาห์ บรูกส์ แล้วเช่นกัน  “ดิฉันยืนยันได้ว่าเธอลาออกแล้ว” โฆษกหญิงของนิวส์ คอร์ป บอกกับเอเอฟพี “ดิฉันยืนยันได้ว่ามีการเปิดเผยเป็นการภายในต่อพนักงานของนิวส์ อินเตอร์เนชันแนล”  ในจดหมายแจ้งการลาออกนี้ บรูกส์อธิบายว่าเธอจำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบ ต่อวิกฤตที่เกิดขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้นิวส์ อินเตอร์เนชันแนล ต้องปิดนิวส์ออฟเดอะเวิลด์ หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ที่ขายดีที่สุดในอังกฤษ  บรูกส์ระบุในสาสน์ที่ส่งถึงพนักงานนิวส์ อินเตอร์เนชันแนลว่า “ดิฉันได้ยื่นจดหมายลาออกถึง รูเพิร์ต และเจมส์ เมอร์ด็อก แล้วตั้งแต่ตอนที่เรื่องนี้เป็นหัวข้อให้ถกเถียงกันอยู่ และตอนนี้จดหมายลาออกได้รับการอนุมัติแล้ว”

“ในฐานะประธานบริหารบริษัท ดิฉันรู้สึกถึงความรับผิดชอบอย่างยิ่งต่อผู้คนที่เราได้ทำร้าย และขอกล่าวอีกครั้งว่ารู้สึกเสียใจเพียงใดกับสิ่งที่เรารู้ตอนนี้ว่ามันได้เกิดขึ้น”

“ดิฉันเชื่อว่าการกระทำด้วยความรับผิดชอบและความถูกต้องได้นำเราข้ามผ่านจุดวิกฤต อย่างไรก็ตาม ความต้องการรั้งตำแหน่งประธานบริหารอาจกลายเป็นประเด็นให้ถกเถียงกันต่อไป”

มงคลสูตร 38 ประการ

เนื่องในวันพระใหญ่ เวียนมาบรรจบอีกคราหนึ่งในช่วงนี้ คือวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ผู้เขียนจึงขอนำเอา


มงคลสูตร 38 ประการ มาเป็นหลักนำชัยให้กับชีวิต ให้ชีวิตของตัวผู้เขียนเองและผู้อ่านได้นำไปใช้ และควรถือปฏิบัติตามนี้เพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตของตนเอง ไม่มากก็น้อย ตามกำลังศรัทธา ความมุ่งมั่นของแต่ละบุคคล อันเป็นการประกอบความดี ประกอบกุศลกรรม เป็นการถวายให้แก่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ถวายให้แก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และถวายให้แก่พระในบ้าน คือบิดามารดา หรือผู้มีพระคุณของตนเอง ดังนี้



มงคลสูตร 38 ประการ

มงคลที่ 1. ไม่คบคนพาล

มงคลที่ 2. คบหาสมาคมแต่นักปราชญ์ราชบัณฑิต

มงคลที่ 3. บูชาผู้ที่ควรบูชา

มงคลที่ 4. อยู่ในถิ่นที่สมควร

มงคลที่ 5. การได้สร้างความดี หรือทำบุญไว้แต่ชาติปางก่อน

มงคลที่ 6. การตั้งตนเองไว้ในฐานะที่ชอบที่ควร

มงคลที่ 7. การเป็นพหูสูต คือเป็นผู้ได้ยินได้ฟังมามาก

มงคลที่ 8. การได้ศึกษาทางศิลปวิทยา

มงคลที่ 9. เป็นคนเคารพระเบียบวินัย กฏหมายบ้านเมือง

มงคลที่ 10. วาจาเป็นสุภาษิต

มงคลที่ 11. การบำรุงมารดา-บิดา

มงคลที่ 12. การสงเคราะห์บุตร

มงคลที่ 13. การสงเคราะห์ภรรยา

มงคลที่ 14. การทำการงานไม่คั่งค้าง

มงคลที่ 15. การให้ทานแก่ผู้ที่ควรให้

มงคลที่ 16. ประพฤติตามหลักธรรมเสมอ

มงคลที่ 17. การสงเคราะห์เครือญาติตามสมควร

มงคลที่ 18. ทำงานสุจริต ไม่ผิดกฏหมาย และศีลธรรม

มงคลที่ 19. การงดเว้นจากบาป คือไม่ทำความชั่วเลย

มงคลที่ 20. มีอาการสำรวม ในการดื่มเครื่องดองของเมา (ข้อนี้ทำยาก ทางที่ดีไม่ควรจะดื่มเลยจะดีกว่า)

มงคลที่ 21. ความไม่ประมาทในหลักธรรมทั้งหลาย

มงคลที่ 22. มีสัมมาคารวะ

มงคลที่ 23. มีความถ่อมตน ไม่จองหอง

มงคลที่ 24. มีความสันโดษ ยินดีในทรัพย์สินของตน

มงคลที่ 25. มีความกตัญญู รู้คุณคนที่เคยเกื้อกูลตน

มงคลที่ 26. การเป็นผู้ฟังธรรมตามกาล

มงคลที่ 27. มีความอดทน

มงคลที่ 28. ความเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย

มงคลที่ 29. มีการพบปะกับสมณชีพราหมณ์เสมอ

มงคลที่ 30. การรู้จักหาเวลา สนทนาธรรมตามกาลกับคนทั่วไป

มงคลที่ 31. การบำเพ็ญเพียรให้กิเลสเบาบางลง

มงคลที่ 32. ประพฤติตนตามธรรมอันประเสริฐ

มงคลที่ 33. การเห็นหลักธรรมที่แท้ด้วยการตั้งใจปฏิบัติธรรม

มงคลที่ 34. มองเห็นทางดับกิเลสขั้นสุดยอดได้

มงคลที่ 35. การมีจิตไม่หวั่นไหวไปกับโลกธรรมที่มากระทบ

มงคลที่ 36. มีจิตไม่เศร้าโศก

มงคลที่ 37. มีจิตใจปราศจากกิเลสธุลี

มงคลที่ 38. มีจิตใจปลอดโปร่งแจ่มใส

บุคคลใด มีพุทธมงคลทั้ง 38 ประการ อยู่กับตนแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่พ่ายแพ้ในที่ทั้งปวง



วันอาสาฬหบูชา

ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี จะตรงกับวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกหนึ่งวัน นั่นคือ "วันอาสาฬหบูชา" ซึ่งในปี พ.ศ.2554 นี้ วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันที่ 15 กรกฎาคม และวันเข้าพรรษา ตรงกับวันที่ 16 กรกฎาคม

ทั้งนี้ คำว่า "อาสาฬหบูชา" สามารถอ่านได้ 2 แบบ คือ อา-สาน-หะ-บู-ชา หรือ อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา ซึ่งจะประกอบด้วยคำ 2 คำ คือ อาสาฬห ที่แปลว่า เดือน 8 ทางจันทรคติ กับคำว่า บูชา ที่แปลว่า การบูชา เมื่อนำมารวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน 8 หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน 8

วันอาสาฬหบูชา คือวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้ได้ 2 เดือน โดยแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานาม และพระอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ จน พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงถือว่าวันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 45 ปี

ทั้งนี้ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ปัจจวัคคีย์ทั้ง 5 เรียกว่า "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม ซึ่งหลังจากปฐมเทศนา หรือเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงจบลง พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จึงขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานอุปสมบทให้ด้วยวิธีที่เรียกว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" พระโกณฑัญญะจึงได้เป็น พระอริยสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อมา พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้อุปสมบทตามลำดับ

สำหรับใจความสำคัญของการปฐมเทศนา มีหลักธรรมสำคัญ 2 ประการ คือ

1. มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลางๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด 2 อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือการหมกมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่าเป็นการหลงเพลิดเพลินหมกมุ่นในกามสุข หรือกามสุขัลลิกานุโยค การสร้างความลำบากแก่ตน ดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น ซึ่งการดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค

ดังนั้น เพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ 8 ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ 8 ได้แก่

1. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง
2. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม
3. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต
4. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต
5. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต
6. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี
7. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด
8. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน

2. อริยสัจ 4 แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซึ่งคือ บุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่

1. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้ กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด
2. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นๆ
3. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา
4. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ 8 ประการดังกล่าวข้างต้น

กิจกรรมวันอาสาฬหบูชา
พิธีกรรมโดยทั่วไปที่นิยมกระทำในวันนี้ คือ การทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล ฟังพระธรรมเทศนา และสวดมนต์ ในตอนค่ำก็จะมีการเวียนเทียนที่เป็นการสืบทอดประเพณีอันดีงามของไทยเรา ดังนั้น พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรเข้าวัด เพื่อน้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อีกทั้งยังเป็นการช่วยชะล้างจิตใจให้ปลอดโปร่งผ่องใส จะได้มีร่างกายและจิตใจที่พร้อมสำหรับการดำเนินชีวิตในยุคที่ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นอย่างนี้...

วันเข้าพรรษา

เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่ง ที่พระสงฆ์อธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดช่วงฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น
"เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน" หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่น ๆ จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน คือ เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี เรียกว่า "ปุริมพรรษา"
ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เรียกว่า "ปัจฉิมพรรษา" เว้นแต่มีกิจธุระคือเมื่อเดินทางไปแล้วไม่สามารถจะกลับได้ในเดียวนั้น ก็ทรงอนุญาตให้ไปแรมคืนได้ คราวหนึ่งไม่เกิน 7 คืน เรียกว่า "สัตตาหะ" หากเกินกำหนดนี้ถือว่าไม่ได้รับประโยชน์แห่งการจำพรรษา จัดว่าพรรษาขาด
สำหรับข้อยกเว้นให้ภิกษุจำพรรษาที่อื่นได้ โดยไม่ถือเป็นการขาดพรรษา เว้นแต่เกิน 7 วัน ได้แก่

1.การไปรักษาพยาบาลภิกษุ หรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย

2.การไประงับภิกษุสามเณรที่อยากจะสึกมิให้สึกได้

3.การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิที่ชำรุด

4.หากทายกนิมนต์ไปทำบุญ ก็ไปฉลองศรัทธาในการบำเพ็ญกุศลของเขาได้

นอกจากนี้หากระหว่างเดินทางตรงกับวันหยุดเข้าพรรษาพอดี พระภิกษุสงฆ์เข้ามาทันในหมู่บ้านหรือในเมืองก็พอจะหาที่พักพิงได้ตามสมควร แต่ถ้ามาไม่ทันก็ต้องพึ่งโคนไม้ใหญ่เป็นที่พักแรม ชาวบ้านเห็นพระได้รับความลำบากเช่นนี้ จึงช่วยกันปลูกเพิง เพื่อให้ท่านได้อาศัยพักฝน รวมกันหลาย ๆ องค์ ที่พักดังกล่าวนี้เรียกว่า "วิหาร" แปลว่า ที่อยู่สงฆ์ เมื่อหมดแล้ว พระสงฆ์ท่านออกจาริกตามกิจของท่านครั้ง ถึงหน้าฝนใหม่ท่านก็กลับมาพักอีก เพราะสะดวกดี แต่บางท่านอยู่ประจำเลย บางทีเศรษฐีมีจิตศัรทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็เลือกหาสถานที่สงบเงียบไม่ห่างไกลจากชุมชนนัก สร้างที่พัก เรียกว่า "อาราม" ให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์ดังเช่นปัจจุบันนี้

ทั้งนี้ โดยปกติเครื่องใช้สอยของพระตามพุทธานุญาตให้มีประจำตัวนั้น มีเพียงอัฏฐบริขาร อันได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน และกว่าพระท่านจะหาที่พักแรมได้ บางทีก็ถูกฝนต้นฤดูเปียกปอนมา ชาวบ้านที่ใจบุญจึงถวายผ้าอาบน้ำฝนสำหรับให้ท่านได้ผลัดเปลี่ยน และถวายของจำเป็นแก่กิจประจำวันของท่านเป็นพิเศษในเข้าพรรษา นับเป็นเหตุให้มีประเพณีทำบุญเนื่องในวันนี้สืบมา...

อย่างไรก็ตาม แม้การเข้าพรรษาจะเป็นเรื่องของพระภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชนก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำบุญรักษาศีล และชำระจิตใจให้ผ่องใส ก่อนวันเข้าพรรษาชาวบ้านก็จะไปช่วยพระทำความสะอาดเสนาสนะ ซ่อมแซมกุฏิวิหารและอื่น ๆ พอถึงวันเข้าพรรษาก็จะไปร่วมทำบุญตักบาตร ถวายเครื่องสักการะบูชา ดอกไม้ ธูปเทียน และเครื่องใช้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น พร้อมฟังเทศน์ ฟังธรรม และรักษาอุโบสถศีลกันที่วัด บางคนอาจตั้งใจงดเว้นอบายมุขต่าง ๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์ เป็นต้น อนึ่ง บิดามารดามักจะจัดพิธีอุปสมบทให้บุตรหลานของตน โดยถือกันว่าการเข้าบวชเรียนและอยู่จำพรรษาในระหว่างนี้จะได้รับอานิสงส์อย่างสูง

นอกจากนี้ ยังมีประเพณีสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย คือ "ประเพณีหล่อเทียนเข้าพรรษา" ประเพณีที่กระทำกันเมื่อใกล้ถึงฤดูเข้าพรรษา ซึ่งมีมาตั้งแต่โบราณกาล การหล่อเทียนเข้าพรรษานี้ มีอยู่เป็นประจำทุกปี เพราะในระยะเข้าพรรษา พระภิกษุจะต้องมีการสวดมนต์ทำวัตรทุกเช้า – เย็น และในการนี้จะต้องมีธูป - เทียนจุดบูชาด้วย พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันหล่อเทียนเข้าพรรษาสำหรับให้พระภิกษุจุดเป็นการกุศลทานอย่างหนึ่ง เพราะเชื่อกันว่าในการให้ทานด้วยแสงสว่าง จะมีอานิสงฆ์เพิ่มพูนปัญญาหูตาสว่างไสว ตามชนบทนั้น การหล่อเทียนเข้าพรรษาทำกันอย่างเอิกเกริกสนุกสนานมาก เมื่อหล่อเสร็จแล้ ก็จะมีการแห่แหน รอบพระอุโบสถ 3 รอบ แล้วนำไปบูชาพระตลอดระยะเวลา 3 เดือน บางแห่งก็มีการประกวดการตกแต่ง มีการแห่แหนรอบเมืองด้วยริ้วขบวนที่สวยงาม โดยถือว่าเป็นงานประจำปีเลยทีเดียว


ทั้งนี้ ในปี 2554 นี้ "วันเข้าพรรษา" จะตรงกับวันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กิจกรรมต่าง ๆ ที่ควรปฏิบัติในวันเข้าพรรษา ร่วมกิจกรรมทำเทียนจำนำพรรษา ร่วมกิจกรรมถวายผ้าอาบน้ำฝน และจตุปัจจัย แก่พระภิกษุสามเณร ร่วมทำบุญ ตักบาตร ฟังธรรมเทศนา รักษาอุโบสถศีล อธิษฐานงดเว้นอบายมุขต่าง ๆ

ข้อมูลอ้างอิง : จากเว็บไซต์กระปุกดอทคอม, วิถีพีเดีย , ธรรมะไทย

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ดูภาพยนตร์ "ขุนรองปลัดชู" แล้วสะท้อนการเมืองไทยยุคนี้



สวัสดีครับพี่น้อง ไม่ได้เขียนบล็อกซะหลายวัน เพราะหมดมุก และหมด mood จากข่าวสารบ้านเมืองและผลการเลือกตั้งที่ออกมา ควันหลงในประเด็นต่างๆ รวมถึงความวุ่นวายในการจัดตั้งรัฐบาลและยังมองไม่เห็นอนาคตอะไรที่ดีขึ้นเลย ทำให้ขาดแรงจูงใจที่จะเขียน และกำลังมองหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ อยู่ ก็พลันเมื่อคืนวันเสาร์ที่ 9 กรกฏาคม ที่ผ่านมานี้เอง มีโอกาสได้ชม ภ.ไทยเรื่องนึงเข้า ทางช่อง TPBS เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวีรชนคนถูกลืม วีรชนคนนั้นชื่อ ขุนรองปลัดชู กับวีรกรรมที่ท่านนำชาวบ้าน ซึ่งเป็นพลอาสาช่วยรบ จำนวน 400 คน ไปซุ่มโจมตีทหารพม่าทีเข้ามารุกรานกรุงศรีอยุธยา บริเวณอ่าวหว้าขาว  จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในเหตุการณ์นั้นทำให้ท่านและชาวบ้านทุกคนต้องเสียชีวิตกันหมด ในขุณะที่ทหารจริงๆ จากพระนครกับยืนมองตาปริบๆ ไม่ลงมาช่วยเหลือเลย เป็นภาพยนตร์ที่เมื่อชมแล้ว ผมรู้สึกเศร้า สะเทือนใจ หดหู่ เพราะประเด็นที่หนังชี้ให้เห็น รวมถึงแง่มุม การเสียสละ ความรักชาติ ระบบความคิดของขุนรุองปลัดชูที่ท่านได้ชี้และเตือนสติให้คนไทยฉุกคิดนั้น แรงและสะเทือนใจเป็นที่สุด และมันสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศเสียยิ่งกระไร มันช่างประจวบเหมาะจริงๆที่ละครเวทีก็กำลังแสดงเรื่องทวิภพเดอะมิวสิคัลอยู่ (ถ่ายทอดเรื่องราวการเสียดินแดนในสมัย ร.5) ต้องขอขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดสร้าง ภ.ไทยเรื่องนี้ และน่าจะออกเผยแพร่ให้ประชาชนได้ชมกันในวงกว้างกว่านี้ รวมถึงมีการประชาสัมพันธ์ให้มากกว่านี้ เพราะเท่าที่พูดคุยกับเพื่อนๆ หรือคนรู้จักหลายคน แทบไม่มีใครได้รับรู้ว่ามีภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในสาระบบเลย จึงอยากให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ และกระทรวงวัฒนธรรมน่าจะซื้อไปจัดฉายตามโรงเรียน หรือสถาบันการศึกษาให้คนรุ่นใหม่ที่ไม่สนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์หรือการเมืองได้รับทราบ อีกทั้งอยากให้นักการเมืองไทยทุกคนควรจะต้องดูหนังเรื่องนี้ด้วย โดยเฉพาะพี่มาร์คกับน้องปู ควรจะได้ดูทั้งคู่เลย เพราะทั้งคู่กำลังจะมีบทบาทเป็นผู้นำในฐานะผู้นำรัฐบาลกับผู้นำฝ่ายค้าน ที่จะต้องมีหน้าที่ปกป้องรักษาแผ่นดินไทยเอาไว้ ไม่ให้ต้องสูญเสียไปในรัชกาลปัจจุบัน


เรื่องย่อ ขุนรองปลัดชู

พ.ศ. 2303 พระเจ้าอลองพญากษัตริย์พม่า ได้ให้มังระ ละมังฆ้อนนรธาราชบุตรยกทัพมาตี เมืองมะริดของไทยซึ่งอยู่ในความปกครองของกรุงศรีอยุธยาในครั้งนั้นขุนรองปลัดชูกรมการเมืองวิเศษไชยชาญซึ่งเป็นผู้ทรงวิทยาคม แก่กล้า ชำนาญในการรบด้วยดาบสองมือ มีลูกศิษย์มากมาย จึงได้รวบรวมชาววิเศษไชยชาญ จำนวน 400 คน เข้าสมทบกับ กองทัพของพระยารัตนาธิเบศร์ โดยใช้ชื่อว่า “ กองอาทมาต ”


พระยารัตนาธิเบศร์ ยกกองทัพไปตั้งที่เมืองกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และได้สั่งให้ขุนรองปลัดชูคุมกองอาทมาต ไปตั้ง สกัดกองทัพพม่าที่อ่าวหว้าขาว ตั้งอยู่เหนือที่ว่าการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบันนี้ พอกองทัพพม่ายกทัพผ่านมา ขุนรองปลัดชูจึงคุม ทหารเข้าโจมตีรบด้วยอาวุธสั้นถึงตะลุมบอน ถึงแม้ทหารของไทยจะน้อยกว่า แต่ก็ฆ่าฟันพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก การต่อสู้ผ่านไป

1 คืน ถึงเที่ยงวัน รุ่งขึ้นก็ยังไม่สามารถเอาชนะพม่าได้ เพราะพม่ายกทัพหนุนเข้ามาช่วยอีก ด้วยกำลังที่น้อยกว่าจึงเหนื่อยอ่อนแรง ในที่สุดก็ถูกพม่ารุกไล่โจมตีแตกพ่ายยับเยิน แต่ทหารกองอาทมาต มีวิชาอาคมแก่กล้า ฟันแทงไม่เข้า ทหารพม่าจึงไสช้างเข้าเหยียบย่ำทหารกองอาทมาตตายเป็นจำนวนมาก ที่เหลือก็ถูกไล่ลงทะเลจมน้ำตายไปก็มาก ในที่สุด ขุนรองปลัดชู พร้อมด้วยทหารกองอาทมาตแขวงเมืองวิเศษไชยชาญ จำนวน 400 คน ก็เสียชีวิตด้วย ฝีมือของพม่า

ชาววิเศษไชยชาญ เมื่อทราบข่าวก็โศรกเศร้าเสียใจ จึงได้แต่ภาวนาขอบุญกุศลที่ได้สร้างสมไว้จงเป็นปัจจัยส่งผลให้ดวง วิญญาณของทหารกล้าได้ไปสู่สุคติ ความเงียบเหงาวังเวงเกิดขึ้น หมดกำลัง ใจในการทำมาหากิน ไม่มีอะไรดีไปกว่าการร่วมกันสร้างสิ่งต่างๆไว้เป็นที่ระลึกถึงผู้พลีชีพด้วยการสร้างวัดสี่ร้อย ในปี พ.ศ.๒๓๑๓ ใช้ชื่อสี่ร้อยตามจำนวนกองอาทมาตสี่ร้อยคนที่ไม่ได้กลับมา เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่อนุชน รุ่นหลังของชาวเมืองวิเศษไชยชาญ เพื่อเป็นการย้ำเตือนความทรงจำให้ระลึกถึงบรรพบุรุษที่พลีชีพ เพื่อปกป้องปฐพีถึงกับเสียชีวิต โดยชื่อว่า วัดสี่ร้อย ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชนทั่วไป

ต่อมาเจ้าอาวาสในขณะนั้นก็ได้สร้างเจดีย์ ไว้เป็นที่รวบรวมดวงวิญญาณของ ชาวแขวงเมืองวิเศษไชยชาญ ที่เสียชีวิตจำนวน 400 คน


วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

One Up On SET เหนือกว่าตลาดหุ้นไทย

ถอดรหัสเลข 11 และ 15


ที่เป็นอาถรรพ์คำสาปเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมืองของไทย


ถ้าดัชนีตลาดหุ้นดาวน์โจนส์คือภาพสะท้อนของอารมณ์ความรู้สึกหรือจิตวิทยามวลชนของคนทั่วโลกได้แล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็อยู่ในภาพสะท้อนเช่นนั้นด้วย ยกตัวอย่าง เมื่อซักเดือนกว่าหรือเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยอยู่ในสภาพหกล้ม สะบักสะบอม หกกระเมนตีลังกา ยิ่งกว่านั่งรถไฟเหาะตีลังกาเสียอีก เพราะ set ถูกแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนสถาบันภายในประเทศอย่างหนักหน่วงราวกับขาดความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยหรือกำลังมีเหตุการณ์ร้ายอะไรรออยู่ข้างหน้าหรือเปล่า ดัชนีลดระดับจาก 1100 จุด ค่อยๆ ลดระดับลงมา และบางช่วงที่ดัชนีลดระดับลงมาใกล้จุดต่ำสุด หรือทดสอบแนวรับสำคัญ ก็จะสามารถดีดกลับขึ้นมาได้ทุกที หรือมีแรงซื้อไล่ซื้อหุ้นกลับขึ้นมาได้ และทุกครั้งที่ดัชนีลงแรง (over sold) หรือขึ้นมากเกินไป (over bought) ก็จะมีเหตุผลของนักวิเคราะห์แสดงความคิดเห็นรองรับทุกครั้งไป เช่น นักลงุทนไม่มั่นใจในผลการเลือกตั้งที่จะมาถึง กลัวว่าจะมีเหตุการณ์วุ่นวายไม่สงบ ทำให้ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ หรืออาจไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง นักลงทุนต่างชาติจึงขายลดความเสี่ยงออกไปก่อน หรือบาง บล.(house) ก็จะให้น้ำหนักกับปัจจัยต่างประเทศมากกว่า เช่น เกิดการขายทำกำไรของกองทุนต่างชาติทั่วเอเซีย เพื่อลดการถือครองหุ้น และไปให้น้ำหนักกับการถือครองสินทรัพย์ที่ไม่เสี่ยง เช่น ทอง หรือพันธบัตรรัฐบาลแทน เหตุเพราะสถานภาพทางการเงินของหลายประเทศในยุโรป และอเมริกา ยังอยู่ในฐานะเสี่ยง เช่น การที่มูดี้ย์ออกมาขู่จะลดอันดับเครดิตของสหรัฐ (ประเทศของสถาบันเอง) ลดระดับเครดิตในพันธบัตรของประเทศกรีก ลงมาสู่ระดับต่ำสุด หรือ junkbond และแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจและฐานะการเงินของประเทศกรีก ตามเงื่อนไขคำมั่นสัญญากับ IMF และ EU และล่าสุดการที่ s&p ออกมาลดระดับเครดิตในพันธบัตรของประเทศโปรตุเกส นำมาซึ่งการลดต่ำลงของตลาดหุ้นดาวน์โจนส์ และตลาดหุ้นทั่วยุโรป และลามมาถึงเอเซียและในบ้านเรา ผสมโรงกับข่าวการเทขายสัญญาน้ำมันล่วงหน้าของbrent และการคาดคะเนดีมานด์การใช้น้ำมันของทั่วโลกลดลง ทำให้ระดับราคาน้ำมันไนเม็กซ์ และทุกตลาดสำคัญในโลกค่อยๆลดต่ำลง ก็เป็นส่วนเพิ่มน้ำหนักให้มีการขายหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์หลักๆ ทุกตัวลดลง เช่น น้ำมัน ทอง เงิน นี่เป็นที่มาที่ทำให้ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ระดับราคาตลาดหุ้นไทยลดลง แม้ว่าความเห็นของนักวิเคราะห์ในแต่ละ house ต่างกัน บ้างก็ว่าเป็นการขายลดพอร์ตในบางประเทศเท่านั้น และไปเพิ่มในบางประเทศ ในส่วนของไทย ไม่มีปัจจัยบวกใหม่ และเหตุราคาหุ้นปรับตัวสูง(p/e) กว่าบางประเทศไปแล้ว


แต่พลันที่ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ออกมาว่าพรรคเพื่อไทยกำชัยชนะเหนือพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลเดิม แบบชนิดถล่มทลาย (landslide) สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างไม่มีปัญหาการยอมรับจากประชาชน ทำให้แรงซื้อในเช้าวันที่ 4 ก.ค. มีแรงซื้อจากทั้งนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาใหม่ วันเดียวกว่า 1 หมื่นล้าน และดัชนีปรับตัวสูงขึ้นไปวันเดียวกว่า 50 จุด ผสมโรงกับแรงซื้อจากสถาบันภายในประเทศด้วย ความเชื่อมั่นหวนกลับมาเพียงชั่วข้ามคืน และวันต่อๆมา นักลงทุนรายย่อยหรือแมงเม่าก็ค่อยเข้ามาไล่ซื้อเป็นไม้ 2 ไม้ 3 ภายหลังจากมีการขายทำกำไรไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่ภายหลังวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา แรงซื้อจากต่างชาติและสถาบันกลับลดลง และมีการขายทำกำไรออกมาบ้าง ทำให้ตลาดอยู่ในสภาพที่ทรงๆ ขึ้นลงในวงจำกัด ในกรอบแคบๆ เท่านั้น จึงมีการตั้งคำถามจากนักลงทุนรายย่อยว่า ตลาดจะมีทิศทางต่อไปอย่างไร จะมีการปรับฐานลงมาหรือไม่ภายหลังหมดข่าวดี ในส่วนของการจัดตั้งรัฐบาล หน้าตาของรัฐบาลใหม่ออกมาแล้ว การประกาศผลประกอบการไตรมาส 2ของหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงิน และกลุ่มหลักๆ ตามมาในช่วงเดือนกรกฏาคมนี้แล้ว หรือจะทะยานขึ้นต่อไปจนไปถึง high เดิมทีทำไว้คือ 1140 จุด เมื่อทะลุผ่านไปแล้วซักพัก จึงจะมีการขายทำกำไรหรือปรับฐานลงมา ซึ่งจะกินเวลาไปจนถึงสิ้นไตรมาส 3 หรือเป็นช่วงเดียวกันกับหมดช่วง hunnymoon ของรัฐบาลใหม่นี้แล้ว


ถ้ามองโลกในแง่ดี หุ้นก็ยังน่าจะขึ้นไปได้ต่อ จากปัจจัยภายในที่การเมืองคงนิ่งในช่วงนี้ และปัจจัยภายนอก เศรษฐกิจของยุโรปและอเมริกา จะมีการจัดการได้อย่างลงตัว ไม่มีปัญหาลุกลามบานปลาย แต่หากมองโลกในแง่ร้าย หุ้นก็อาจมีการปรับฐานลงมาแรง ซึ่งคงต้องหลุดแนวรับที่ 1000 จุดลงมา ซึ่งจะลงมาขนาดไหน ขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงว่าจะหนักหนาสาหัสมากหรือน้อย ซึ่งปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว ก็ได้แก่


ปัจจัยภายใน ก็เช่นผลการเลือกตั้งจะเป็นโมฆะ มีผลให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งสมมติฐานนี้มีความเป็นไปได้ จากเหตุผลที่การเลือกตั้งนี้มีการทุจริตจำนวนมาก มีการไปแจ้งความและร้องเรียนไว้แล้วจำนวนมาก และตัว กกต.เองก็ถูกฟ้องร้อง และร้องเรียนไปยังศาล หรือองค์กรอิสระอื่นๆ ไว้แล้ว อีกทั้งตัวพรรคการเมืองก็มีการฟ้องแจ้งความให้ยุบพรรค จากผลของการใช้นโยบายหาเสียงที่เข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ และประเด็นการทุจริตซื้อเสียงด้วย ในส่วนของเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่เรื่องการเลือกตั้ง ก็เรื่องของการปฏิบัติตามนโยบายหาเสียง ซึ่งจะออกมาเป็นนโยบายของรัฐบาลใหม่ ว่าจะทำได้ตามที่หาเสียงหรือไม่ ผลจากการใช้นโยบายจะไปมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การเงิน การคลังของประเทศอย่างไร รวมถึงฟีดแบ็คหลังจากนั้นของประชาชน หรือนักธุรกิจ นักวิชาการ จะให้การยอมรับการทำงาน หรือความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลใหม่อย่างไร


ปัจจัยภายนอก ก็เช่น ผลกระทบจากการลดอันดับความเชื่อถือที่จะมีออกมาอย่างต่อเนื่องอีกหลายประเทศในยุโรป เช่น สเปน อิตาลี รวมถึงสหรัฐอเมริกา การใช้นโยบายรัดเข็มขัดกันในหลายประเทศในยุโรป อเมริกา และทั่วโลก ซึ่งจะมีผลทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว รวมถึงนโยบายการขึ้นดอกเบี้ยในจีน อีกทั้งผลกระทบจากการยกเลิกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินหรือการไม่ต่อ QE2 ของสหรัฐและจะหันไปใช้มาตรการใดขึ้นมาแทน ย่อมมีผลต่อนโยบายการเงินของสหรัฐและของโลกด้วย อีกประเด็นนึงที่สำคัญมากก็คือ การชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลซึ่งเป็นกระแสลุกลามไปทั่วโลกแล้วในเวลานี้ทั้งในตะวันออกกลาง ในเอเซีย ในยุโรป ในแอฟริกาเหนือ ซึ่งมีทั้งที่เป็นประเด็นทางการเมืองล้วนๆ และหลายๆ ที่เป็นประเด็นที่เกิดจากด้านเศรษฐกิจโดยตรง ซึ่งย่อมมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่น การลงทุน การค้า และเศรษฐกิจโลกอย่างแน่นอน แต่ดูเหมือนปัจจัยภายนอก มีมากกว่าปัจจัยภายในค่อนข้างมาก และปีนี้เป็นคีย์พ้อยท์ที่ต้องให้น้ำหนักมากกว่าปัจจัยภายใน ซึ่งจะมีผลต่อกระแสเงินทุน (fund flow) ที่จะไหลเข้าหรือออกจากประเทศของนักลงทุนต่างชาติ เป็นหลักใหญ่

ถอดรหัสตัวเลข 11 และ 15 ที่เป็นอาถรรพ์คำสาปเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมืองของไทย


อันนี้เป็นสมมติฐานของตัวผู้เขียนเอง ท่านผู้อ่านจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม แต่ก็สามารถนำไปวิเคราะห์หรือพิจารณาประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วยก็ได้ ดังนี้

ขอเริ่มที่ประเด็นด้านเศรษฐกิจก่อน ประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นตก หรือกำลังซื้อหดหาย หรืออยู่ในสภาพขาดความเชื่อมั่นอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจ ที่เรียกว่า melt down ใหญ่ๆ อยู่ 3 ช่วงปีด้วยกัน ดังนี้

ช่วงปี พ.ศ. 2529 (1986) เป็นช่วงที่ประเทศไทยประสบปัญหาด้านพลังงาน จนต้องมีการรณรงค์ปิดไฟ ปิดโทรทัศน์ ในช่วงเย็นและช่วงหลังเที่ยงคืน และตอนกลางวันก็ไม่มีรายการโทรทัศน์ และมีเพลงที่ยังร้องและจำได้จนถึงทุกวันนี้ ที่ร้องว่า “น้ำมันขาดแคลน คุยกับแฟนก็ต้องดับไฟ” ในยุคนั้น ปตท.ยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจของไทยที่ยังขาดทุนอยู่เลย และยังไม่ได้แปรรูปเป็นบริษัทมหาชน แต่ก็เป็นยุคที่คนไทยประหยัด และรัดเข็มขัดช่วยชาติกันสุดฤทธิ์ มีการผลิตสินค้าภายใต้ยี่ห้อ “สินไทย” รณรงค์การใช้สินค้าไทย ไม่ใช่ของนอก ทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวมาได้ในปี 2530 (รณรงค์ ให้เป็นปี Visit Thailand Year) ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยเป็นครั้งแรก และมีการทำตลาดท่องเที่ยวไทยสู่วาระแห่งชาติเป็นครั้งแรก จนไทยเป็น Destination of Asia เบอร์ 1 ในยุคต่อมา

ช่วงปี พ.ศ. 2540 (1997)ประเทศไทยประสบปัญหาด้านการคลังสูงสุด จนต้องเข้าโปรแกรม IMF มีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท โดยไม่อิงระบบตะกร้าเงิน และใช้ระบบ manage float ลอยตัวค่าเงินแบบสามารถจัดการหรือแทรกแซงได้ วิกฤติการเงินครั้งนี้แหละที่ทั่วโลกเรียกเราว่า วิกฤติต้มยำกุ้ง เพราะทันทีที่ประเทศไทยเกิดปัญหาขึ้นได้ลุกลามไปสู่ประเทศอื่นด้วยในเอเซีย เช่น อินโดนีเซีย เกาหลี มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และลุกลามไปทั่วโลก ประเทศไทยถูกบังคับให้ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงที่ทำใว้กับ IMF เพื่อแลกกับเงินกู้ก้อนใหญ่ 26,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จนทำให้ต้องมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจหลายแห่งตามมา ,การออกกฏหมายธุรกิจสำหรับคนต่างด้าว 11 ฉบับ ,กฏหมายล้มละลาย การประมูลขายสินทรัพย์ที่ถูกยึดมาได้โดยสถาบันการเงิน ซึ่งอยู่ในรูป บสท และ ปรส. ให้กับต่างชาติในราคาถูก การออกพันธบัตรช่วยชาติ การขายหุ้นแบ็งค์รัฐวิสาหกิจของไทยให้กับต่างชาติ จนเป็นที่มาของการที่แบ็งค์ไทยกลายเป็นของต่างชาติเกือบหมดแล้วในปัจจุบัน การบริจาคเงินช่วยชาติ หรือบริจาคทอง ในโครงการของหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน เพื่อเข้าแบ็งค์ชาติ

ช่วงปี พ.ศ. 2551 (2008) เกิดเหตุการณ์การล่มสลายของวาณิชธนกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐ หลายแห่งประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง การผิดนัดไถ่ถอนหนี้ซึ่งเกิดจากตราสารการเงินที่เรียกว่าซับไพร์มและซีดีโอ ทั้งของรัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็น การล้มลงของ เลห์แมนบราเธ่อร์ แบร์สเทิร์น แฟร็งค์กี้เมย์ กะเฟรนดี้แม็ก (และอีกหลายๆ วานิชธนกิจที่บางที่รัฐปล่อยให้ล้มไปเอง บางแห่งรัฐเข้าไปช่วยเหลืออุ้มชู เช่น กรณีของเมอร์ริลลินซ์ เจพีมอร์แกน) ลุกลามไปถึงการขาดสภาพคล่องในบรรษัทใหญ่ๆ เช่น ซิตี้แบ็งค์ เอไอจี การล้มลงของเจนเนอรัล มอเตอร์ จนทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องออกกฏหมายพิเศษขึ้นมารองรับ จนเป็นที่มาของการใช้มาตรการ QE1 มาใช้แก้ปัญหาระบบสถาบันการเงินทั้งหมดของสหรัฐที่ล้มครืนลงมา และลุกลามเป็นโดมิโนเอ็ฟเฟ็คท์ไปทั่วโลก ตลาดหุ้นดาวน์โจน์ตกฮวบหลุดระดับ 1 หมื่นจุดลงมาต่อเนื่อง รวมถึงของไทย set ลงจากระดับ เกือบ 900 จุด ลงมาถึงจุดต่ำสุด เกือบ 350 จุด ในต้นปี 2552 เหตุการณ์นี้เราเรียกว่า วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์

จะเห็นว่าช่วงระยะเวลาของเหตุการณ์ทั้ง 3 ครั้งนั้น ห่างกัน 11 ปี คือปี 2529-2540 ห่างกัน 11 ปี และ ปี 2540-2551 ก็ห่างกัน 11 ปี และหากข้อสมมติฐานนี้เป็นจริง ปี 2551 นับไป 11 ปี ก็จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจอีกครั้งนึงได้ และจะตกอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2562 ซึ่งวิกฤติเศรษฐกิจนั้นไม่จำเป็นว่าต้นตอเศรษฐกิจจะเกิดที่เมืองไทยเองหรือไม่ อาจเกิดจากเมืองนอก แต่มามีผลกระทบต่อบ้านเราก็เป็นได้ เช่นเหตุการณ์ช่วงปี 2551 และวิกฤติในแต่ละครั้งนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ไม่มีลดน้อยลง คือผลของความเสียหายใหญ่โต และมีผลกระทบในวงกว้างกว่าในอดีต เพราะโลกทุกวันนี้เป็นโลกาภิวัฒน์ไปเสียแล้ว ดังนั้น คนไทยหรือนักลงทุนไทยไม่ควรประมาท และควรระแวดระวัง หาทางป้องกันหรือปรับตัวให้ได้ในสถานการณ์ที่จะเกิดผลกระทบต่อเราอย่างเท่าทัน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้เหตุการณ์มาถึง เพราะโลกแห่งทุนนิยมอะไรก็เกิดขึ้นได้

ประเด็นในส่วนของการเมือง ก็มีลักษณะที่คล้ายกันกับวงจรทางเศรษฐกิจ ก็คือจะมีวงรอบของความรุ่งเรืองและตกต่ำ เป็นวัฏจักรหมุนวนกันไป ทีนี้สมมติฐานที่ผู้เขียนเองมองก็คือการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีลักษณะเฉพาะแบบไทยๆ หมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างภาคประชาชนกับผู้มีอำนาจรัฐ การฉีกรัฐธรรมนูญ การรัฐประหาร การงดเว้นการใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว หรือนายกพระราชทาน เป็นต้น ซึ่งประเทศไทยได้ผ่านเหตุการณ์ในลักษณะเหล่านี้มาแล้วดังนี้

ช่วงปี พ.ศ. 2519 ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่ประชาธิปไตยของประเทศถึงจุดต่ำสุด และเกิดโศกนาฏกรรมที่คนไทยไม่มีวันลืม ซึ่งเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จะนับว่าเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ก็ว่าได้ เพราะมีเชื้อต่อกันมา เป็นเหตุการณ์ต่อสู้ของภาคประชาชนโดยกลุ่มปัญญาชนหรือขบวนการนักศึกษาเป็นแกนนำลุกขึ้นต่อสู้กับผู้มีอำนาจในยุคสมัยนั้น ซึ่งมีพฤติกรรมเป็นเผด็จการทหาร แม้ว่าต้นสายปลายเหตุของเหตุการณ์ครั้งนั้นจะเป็นอย่างไรแต่ก็สร้างบาดแผลให้กับผู้คนที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์และคนในยุคสมัยนั้นเป็นจำนวนมาก และกลายเป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองของประเทศไทยมาจนถึงยุคปัจจุบัน

ช่วงปี พ.ศ. 2534 ประชาธิปไตยแม้ว่าจะเบ่งบาน มีการเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า แต่รัฐบาลสมัยนั้นมีพฤติกรรมคอรัปชั่นสูงมาก จนมีฉายาว่า บุฟเฟ่ต์คาบิเนต ทำให้ผู้นำทหารยุคนั้นทำการรัฐประหาร โดยเรียกกลุ่มของตนเองว่า รสช.

จากนั้นก็เชิญคุณอานันท์ ปันยารชุน มาเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ (พระราชทาน) จากนั้นก็เปิดโอกาสให้มีการบริหารงานแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอยู่ระยะนึง ก่อนจะให้มีการเลือกตั้งใหม่ จนได้พรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาล

ช่วงปี พ.ศ. 2549 ภายใต้การบริหารงานของพรรคไทยรักไทยโดย พตท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะหัวหน้าพรรคและเป็นนายกรัฐมนตรี มีเสถียรภาพทางการเมืองสูงสุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา คือมีเสียงในรัฐสภาข้างมากกว่า 300 เสียง แต่กลับมีข้อครหาจำนวนมากทั้งในส่วนของการทุจริตคอรัปชั่น คนในรัฐบาลมีผลประโยชน์ทับซ้อน การแทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระ มีปัญหาความโปร่งใสในการบริหารงาน ไม่มีธรรมาภิบาล การกลั่นแกล้ง แทรกแซงสื่อมวลชนที่มีความคิดเห็นต่างกับรัฐบาล ข้อครหาเรื่องการขายชาติจากกรณีขายหุ้นในเครือชินคอร์ปให้แก่บรรษัทของรัฐบาลสิงคโปร์ที่เรียกว่า เทมาเส็ก โดยไม่เสียภาษี การถูกต่อต้านโดยภาคประชาชน ทำให้ผู้มีอำนาจทางทหารในยุคสมัยนั้นทำการรัฐประหารที่เรียกตัวเองว่า คปค ภายหลังเปลี่ยนชื่อมาเป็น คมช. ต่อมามีรัฐบาลจากการแต่งตั้ง ที่เรียกว่ารัฐบาลสุรยุทธ์ จุฬานนท์ แล้วจึงมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งคือรัฐบาลนอมินีทักษิณ คือรัฐบาลของพรรคพลังประชาชน โดยมีนายสมัคร สุนทรเวชเป็นนายกรัฐมนตรี

จะเห็นว่าช่วงระยะเวลาของเหตุการณ์ทั้ง 3 ครั้งนั้น ห่างกัน 15 ปี คือช่วงปีพ.ศ. 2519-2534 ห่างกัน 15 ปี และช่วงปีพ.ศ.2534-2549 ก็ห่างกัน 15 ปี และหากข้อสมมติฐานนี้เป็นจริง ปี 2549 นับไป 15 ปี ก็จะเกิดเหตุการณ์ทางการเมืองครั้งใหญ่อีกครั้งนึง โดยอาจจะเป็นรูปแบบใดแบบหนึ่งก็ได้ตามที่ได้ให้ความหมายเอาไว้แล้ว ซึ่งเหตุการณ์นั้นจะอยุ่ในช่วงปีพ.ศ. 2564 ซึ่งไม่ว่าเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือไม่ว่าจะเป็นวิกฤติทางด้านเศรษฐกิจ ย่อมมีผลกระทบแบบเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน และย่อมมีผลกระทบไปถึงตลาดหุ้นไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นอยู่แล้ว

และหากจะนับช่วงเวลาของการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยหรือ set ไปทำจุดสูงสุดใหม่ในแต่ละช่วง ยุคสมัยของรัฐบาลแล้วหล่ะก็เราพอจะคาดคะเนช่วงเวลาที่ดัชนีจะทำจุดสูงสุดใหม่ได้ดังนี้

ช่วงปี พ.ศ. 2537 เป็นช่วงยุครุ่งเรืองของพรรคประชาธิป้ตย์ โดยมีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ดัชนีตลาดหุ้นไทยเคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดอยู่ที่ 1753.73 จุด จากนั้นก็มีการปรับตัวลงทุกปี

ช่วงปี พ.ศ. 2546 เป็นช่วงยุครุ่งเรืองของพรรคไทยรักไทย โดยมี พตท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ดัชนีตลาดหุ้นไทยเคยขึนไปทำจุดสูงสุดไว้ที่ จุด จากนั้นก็อยู่ในสภาพลุ่มๆ ดอนๆ ทรงๆ ทรุดๆ แล้วดัชนีก็สามารถกลับขึ้นมาที่จุดสูงสุดเดิมใหม่ได้ในช่วงปี 2551 ดัชนีวกกลับมาได้ที่ 880 จุด ก่อนจะมาเกิดวิกฤติซัพไพร์ม หรือแฮมเบอร์เกอร์ ทำให้ดัชนีหลุดต่ำลงไปถึง 350 จุด แล้วจึงค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาได้ในช่วง 2-3 ปีมานี้

หากจะนับช่วงระยะเวลาของหุ้นที่ทำจุดสูงสุดใหม่ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537-2546 ห่างกัน 9 ปี และหากสมมติฐานนี้เป็นจริง ช่วงระยะเวลาที่ตลาดหุ้นไทยจะไปถึงจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งจะอยุ่ในช่วงปี 2546 บวกไปอีก 9 ปี ก็จะตกอยู่ในช่วงปี พ.ศ.2555 ซึ่งนั่นก็คือปีหน้านั่นเอง ซึ่ง set index จะขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง

อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นบทวิเคราะห์ของผู้เขียนเองโดยอิงสมมติฐานความเชื่อของตนเอง ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะให้คุณผู้อ่านเชื่อตามหลักการนี้ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคุณผู้อ่านเอง และผู้เขียนก็เห็นว่าสมมติฐานดังกล่าวอาจเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ได้ และได้วิเคราะห์กรณีเลวร้ายสุด (worst case) ไว้แล้ว ว่าปัจจัยเสี่ยงจะเกิดขึ้นได้จากอะไรกันบ้าง ซึ่งก็จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงแรงลงไปจากจุดปัจจุบัน แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยความเสี่ยงจะมากหรือน้อยแค่ไหน
ซึ่งก็จะทำให้คุณผู้อ่านที่เป็นนักลงทุนสามารถนำไปพิจารณาประกอบการตัดสินใจลงทุนได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งพานักวิเคราะห์ทางหน้าจอทีวี ซึ่งส่วนใหญ่มักมาพูดสนับสนุนพฤติกรรมที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีต