วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

2 เหมือนในความต่าง



2 เหมือนในความต่าง และวิธีการรับมือปัญหาข่าวฉาวของศิลปินในบริษัทค่ายเพลงต้นสังกัด (Solving Problem in Behavior)

2 เหมือนในความต่าง

ฟิมล์ รัฐภูมิ โตคงทรัพย์
เข้าสังกัดปี 2547
เกิดวันที่ 17 พฤศจิกายน 2527
อายุ 26 ปี
สังกัด RS
ตำแหน่งทางการตลาด
ป็อปไอด้อล หมายเลข 1 ฝ่ายชายของค่าย
ผลงานเพลง
พ.ศ. 2548 - ชุดที่ 1 Film : อัลบั้ม FILM
พ.ศ. 2549 - ชุดที่ 2 Film : อัลบั้ม FILM MANIA
พ.ศ. 2551 - ชุดที่ 3 Film : อัลบั้ม FILM PHENOMENON
พ.ศ. 2552 - ชุดที่ 4 Film : อัลบั้ม FILM FORWARD
พ.ศ. 2553 - ชุดที่ 5 Film : อัลบั้ม FILM CLIMAX
อัลบั้มพิเศษ
• อัลบั้มพิเศษ คิดถึงแม่
• อัลบั้มพิเศษ Thank You
ผลงานการแสดงละครโทรทัศน์
• หัวใจลัดฟ้า (พ.ศ. 2548 / ช่อง 3) / (คู่กับ มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล (โดนัท))
• 2+1 แกร่งเกินพิกัด (โมเดิร์นไนน์ทีวี) / (คู่กับ อรกานต์ จิวะเกียรติ (กวาง))
• หิมะใต้พระจันทร์ (พ.ศ. 2549 / ช่อง 3) / (คู่กับ ณปภา ตันตระกูล (แพท))
• คุณชายร้ายเล่มเกวียน (พ.ศ. 2549 / ช่อง 3) / (คู่กับ เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ)
• เสน่ห์นางงิ้ว (พ.ศ. 2551 / ช่อง 7) / (คู่กับ ภัครมัย โปรตระนันท์ (ตอง))
• มนต์รักข้าวต้มมัด (พ.ศ. 2552 / ช่อง 3) (คู่กับ ณปภา ตันตระกูล (แพท))
• คุณพ่อจอมเฟี้ยว (พ.ศ. 2552 / โมเดิร์นไนน์ทีวี) / (คู่กับ ศกลรัตน์ วรอุไร (โฟร์))
• ปีศาจแสนกล (พ.ศ. 2553 / ช่อง 3) / (คู่กับ รัชวิน วงศ์วิริยะ (ก้อย))
• สวย เริ่ด เชิ่ด โสด (พ.ศ. 2553 / ช่อง 3) / (คู่กับ เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ)
ภาพยนตร์
• ว้ายบึ้ม เชียร์กระหึ่มโลก
• ปล้นนะยะ
• รักจัง (พ.ศ. 2549)
• รักนะ 24 ชั่วโมง (พ.ศ. 2550)
• Super แหบแสบสะบัด (พ.ศ. 2551)
ผลงานโฆษณา
• นาฬิกา โอเรียนท์
• โทรศัพท์เคลื่อนที่ Motorola
• โลชั่นตราซิตร้า
• ลูกอมฮาร์ทบีท
• มันฝรั่งตราเทสโต้
• รถจักรยานยนต์ Honda
• น้ำส้ม/น้ำเขียวตรามิรินด้า
• เนสกาแฟ
• ครีมแต่งผม แกสบี้
• สถาบันภาษาต่างประเทศ Wall street

บี้ สุกฤษฎ์ วิเศษแก้ว
เข้าสังกัดปี 2549
เกิดวันที่ 4 กันยายน 2528
อายุ 25 ปี
สังกัด เอ็กซ์แซ็กท์
ตำแหน่งทางการตลาด
ซุปเปอร์สตาร์หมายเลข 1 ของค่าย
ผลงานเพลง
ปี 2550 อัลบั้มเลิฟซีน love scene
ปี 2551 อัลบั้มไอเลิฟยูทู I love you too
ปี 2552 อัลบั้มฮักบี้ (Hug Bie)
ปี 2553 มินิอัลบั้มอิท ออลไร้ท It’s Alright


อัลบั้มพิเศษ
ปี 2549 รวมศิลปินเดอะสตาร์ 3
อาร์ แอนด์ บี้ นัดกับนัด
เพลงประกอบละคร รอยอดีตแห่งรัก หัวใจศิลา ละครเวทีข้างหลังภาพเดอะมิวสิคัล


ผลงานการแสดงละครโทรทัศน์
รอยอดีตแห่งรัก เล่นคู่กับ มิว เดอะสตาร์ 3
หัวใจศิลา เล่นคู่กับ ฟาง พิชญา
พระจันทร์สีรู้ง เล่นคู่กับแอ๊ฟ ทักษอร
ดอกรักริมทาง เล่นคู่กับวิว วรรณรท


ผลงานแสดงละครเวที
บัลลังก์เมฆ
ข้างหลังภาพเดอะมิวสิคัล


ผลงานโฆษณา
นมโฟร์โมสต์
โซนี่ไซเบอร์ช็อต
โทรศัพท์ไอโมบาย
ลูกอมคลอเร็ท
ยำยำจัมโบ้หมูสับ
ฮอนด้าคลิกไอ






วิธีการรับมือกับปัญหาข่าวฉาวของศิลปินโดยบริษัทค่ายเพลงต้นสังกัด (Solving Problem in Behavior)

RS

กรณี ต๊ะ บอยสเก๊าท์ และทัช ณ ตะกั่วทุ่ง มีคดีเกี่ยวกับยาเสพติด ถูก RS สั่งเบรกงาน ไม่ป้อนงานหรือโปรโมตผลงานอีก
กรณี ปุ๊กกี้ มีปัญหาชู้สาวกับต๋อง วงทู ศิลปินในค่าย ซึ่งจบด้วยการไม่ต่อสัญญาปุ๊กกี้ และไม่ผลิตผลงานให้อีก
กรณี โฟร์มด มีปัญหาด้านการวางตัว ถูกแอบถ่าย สัมพันธ์ชู้สาวกับชายหนุ่มนอกวงการ ถูกตักเตือนจากเฮียฮ้อ แต่ทาง RSก็ได้แสดงความจริงใจที่จะจัดหาทนายและออกหน้าสู้คดีให้กับมดในกรณีที่ถูกคนแอบถ่ายในโรงแรมที่ไปทัวร์คอนเสิร์ต
กรณี เกิร์ลลี่เบอร์รี่ มีปัญหาด้านการแต่งกายไม่เหมาะสม สัมพันธ์ชู้สาวกับชายหนุ่มนอกวงการ ถูกตักเตือนจากเฮียฮ้อ
กรณ๊ ลิเดีย มีปัญหาด้านการวางตัว มีกรณีพิพาทกับหมอดูชื่อดัง มีข่าวฉาวกับอดีตนายกรัฐมนตรี เรื่องการบินไปต่างประเทศเพื่อพบอดีตนายกรัฐมนตรี และการให้สัมภาษณ์ที่ดูก้าวร้าว และใช้คำพูดที่แรง ตรงไปตรงมา ถูกตักเตือนจากเฮียฮ้อ แต่ก็ยังมีผลงานกับทางค่ายอย่างต่อเนื่อง
กรณี นาธาน โอมาน มีปัญหาด้านความน่าเชื่อถือ การหลอกลวง โกหกต่อสาธารณะชน การใช้เอกสารปลอมในการขอรับรางวัลเยาวชนดีเด่น ซึ่งถูกเปิดโปงความลับที่ปิดบังอำพราง ภายหลังจากที่หมดสัญญากับทาง RS แล้ว RS ได้ปัดความรับผิดชอบในเรื่องเอกสารปลอมให้เป็นเรื่องของเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ของนาธาน และปล่อยให้เป็นการดำเนินคดีไปตามกฎหมายหรือตามแต่ผู้เสียหาย หรือผู้ฟ้อง ซึ่งกรณีนี้เป็นกรณีเดียวที่ทาง RS ถูกตำหนิจากสังคมว่าต้องมีส่วนร่วมรับผิดด้วย
กรณีล่าสุด ฟิมล์ รัฐภูมิ มีปัญหาสัมพันธ์ชู้สาวกับนางเอกละครแอนนี่ บรู้ค จนถึงมีการตั้งท้องและมีบุตรด้วยกัน แม้ว่าในข้อเท็จจริงยังไม่มีการพิสูจน์ ตรวจสอบ DNA แต่สังคมได้พิพากษาไปแล้วว่าฝ่ายชายน่าจะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าในช่วงแรกจะออกมาแถลงข่าวว่ายินดีจะรับผิดชอบ แต่ฝ่ายหญิงกับมองว่าไม่จริงใจมาตั้งแต่แรก แต่โดยสื่อมวลชนแฉความจริงและสังคมกดดัน ทำให้ต้องออกมาแถลงข่าวว่าจะรับผิดชอบ ในส่วนเฮียฮ้อได้ลงดาบโดยการเบรกงานและผลงานทั้งหมดไปจนกว่าจะมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ว่ารับผิดชอบกันอย่างไร ซึ่งในกรณีของฟิมล์นั้น ผู้เขียนกลับมองว่าเป็นการกระทำที่รุนแรงไปหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีของปุ๊กกี้ ซึ่งยังให้มีผลงานอยู่จนหมดสัญญาแต่ก็ไม่ต่อสัญญาออกไป เมื่อคิดคำนวณดูว่าฟิมล์เป็นศิลปินเบอร์ต้นของค่ายด้วยแล้ว รวมกับผลประโยชน์ต่างๆ นานา ที่ได้ลงทุนไปแล้ว และที่กำลังมีแผนงานที่จะผลักดันโกอินเตอร์อีก ซึ่งการตัดสินใจเช่นนี้ ไม่ทราบเฮียฮ้อ คิดเห็นประการใด หรืออาจเกิดจากต้องการแก้ไขภาพลักษณ์บริษัทที่เสียไปในกรณีของนาธาน โอมานหรือไม่ ในเคสนี้ของฟิมล์จึงเป็นเรื่องใหญ่ ซีเรียสที่เฮียฮ้อจะยอมไม่ได้ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นลูกรักหมายเลข 1 หรืออาจจะเป็นเพียงหมายเลขเดียวแล้วในเวลานี้ จึงยอมเฉือนเนื้อเพื่อรักษาชีวิตขององค์กรให้อยู่ต่อไปได้ เฮียฮ้อครับผมอยากจะบอกว่างานนี้ผมนับถือในน้ำใจเฮียจริงๆ ครับ

GMM GRAMMY
กรณี ใหม่ มีปัญหาด้านชู้สาวกับลูกชายนักการเมืองชื่อดังย่านปากน้ำ และช่วงหลังกับอดีตนายกรัฐมนตรี ทางค่ายไม่ได้จัดการใดๆ ปล่อยให้เป็นเรื่องส่วนตัว เนื่องจากเป็นศิลปินหญิงหมายเลข 1 ของค่าย
กรณี ดาจิม กับ โจอี้บอย 2 ท่านนี้มีลักษณะคล้ายกัน แนวเพลงแบบเดียวกัน จึงมีนิสัยคล้ายๆ กัน คือชอบด่าอากู๋ เวลาไม่ได้ดังใจ จึงถูกทางค่ายฉีกสัญญา และอัปเปหิออกจากค่ายไป ก็เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับอากู๋ เจ้าของอาณาจักรเชียวนะ ไม่ใช่แค่บริษัทกระจอกๆ ที่ไหน
กรณี เสก โลโซกับน้อย วงพรู ในกรณีพิพาทชกต่อยกันในผับแห่งหนึ่งในการทัวร์คอนเสิร์ตที่อเมริกา แกรมมี่แก้ปัญหาโดยการประสานให้ทั้ง 2 ฝ่ายคืนดีกัน ขอโทษกัน และทิ้งช่วงผลงานของเสกโลโซไประยะหนึ่ง เพื่อให้คนลืม จากนั้นก็มีการจัดคอนเสิร์ตจูบปากกันได้ โดยที่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่ติดใจเอาความกันอีก น้อยยอมเป็น guest ให้เสก ในคอนเสิร์ตของเสก เมื่อไม่นานมานี้


เอ็กซ์แซ็กท์
กรณี นก เชิญยิ้ม มีปัญหาด้านยาเสพติด ถูกจับได้ว่ามียาเสพติดไว้ในครอบครอง ซึ่งคุณบอย ถกลเกียรติ ก็ให้โอกาสในการให้งานถึง 2 ครั้ง 2 ครา ซึ่งในครั้งแรก สั่งเบรกงานระยะหนึ่ง เพื่อดูพฤติกรรม หลังจากหลุดคดี ข่าวเงียบไปก็ให้โอกาสกลับมาเล่นละครบ้านนี้มีรักอีก แต่หน 2 ยังทำอีก คราวนี้คุณบอยจึงยอมตัดหางปล่อยวัดไป และไม่ให้โอกาสกลับมาเล่นอีก
กรณี ฟลุ้ค เกริกพลกับแป้ง อรจิรา มีข่าวชู้สาวอยู่ช่วงนึง ซึ่งทั้งคู่เป็นดาราในสังกัดเอ็กแซ็กท์ จึงถูกสั่งแบนงานละครเรื่องความลับของซุปเปอร์สตาร์ ในรายของฟลุ้คนั้นหมดสัญญา และถูกถอดจากละครทุกเรื่องแบบถาวร แม้จะเคยเป็นลูกรักของคุณบอยมาก่อน แต่เนื่องจากตอนนี้คุณบอยมีลูกรักคนใหม่อยู่เต็มค่ายเลย เฉพาะเดอะสตาร์ก็ปาเข้าไป 3-4 คนแล้ว
กรณี ปีใหม่กับเฮียต็อบ มีปัญหาด้านสัมพันธ์ชู้สาวกันและมีผลมาถึงการเล่นละคร ซึ่งก็โดนลงดาบโดยถูกสั่งแบนจากละครทันที แต่จะเป็นช่วงระยะเวลานึง หรืออาจจะถาวรหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของปีใหม่ในอนาคตเช่นกัน

สิ่งที่ประชาชนคนผู้ฟังและเป็นแฟนเพลงหรือแฟนคลับของศิลปินอยากเห็นศิลปินของเขาเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด ไม่ต้องการให้ศิลปินสร้างภาพให้ดูดีอยู่เสมอ มีมุมของความเป็นปุถุชนคนธรรมดาไม่ใช่ต้องเก๊กหล่อ แอ๊บสวย อยู่ตลอดเวลา เราอยากเห็นความเป็นธรรมชาติในตัวศิลปินคนนั้นๆ แต่กับบริษัทหรือค่ายเพลง ประชาชนหรือแฟนเพลงคงอยากเห็นความรับผิดชอบของค่ายเพลงที่ท่านไม่สามารถอ้างได้เลยว่าศิลปินพอนอกเวลาทำงานแล้ว มันเป็นเรื่องส่วนตัวของศิลปิน ไม่ว่าเขาจะไปทำอะไรหลังจากนั้น บริษั่ทคงไม่สามารถเข้าไปควบคุมดูแลได้ตลอดเวลา ก็อาจจะจริงอย่างที่ท่านพูดแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะศิลปินก่อนจะออกอัลบั้มหรือเซ็นสัญญากับทางค่ายย่อมต้องมีการตกลงเงื่อนไขกับทางค่ายไว้ก่อน โดยเงื่อนไขสัญญานั้นต้องรวมไปถึงความประพฤติ จริยธรรมที่จำเป็นต้องมีเป็นหลักพื้นฐานอยู่บ้าง และการวางคาแร็กเตอร์ศิลปิน การวางคอนเซ็ปต์ให้กับศิลปิน ทางค่ายเพลงย่อมมีส่วนรับรู้และจัดการในกระบวนการผลิตตรงนี้ทั้งหมด จะมาอ้างว่าไม่ทราบนิสัยใจคอศิลปินเลยก็คงจะไม่ได้ ยกตัวอย่าง เกิร์ลลี่เบอร์รี่ ท่านต้องทราบอยู่แล้วว่าคาแร็กเตอร์ของสี่สาวเป็นอย่างไร การแต่งตัว คอนเซ็ปต์อัลบั้ม ท่าเต้น การพูดจา ภาษาของศิลปินที่ใช้เป็นอย่างไร ท่านต้องควบคุมดูแลให้อยู่ในกรอบมาตั้งแต่ยังอยู่ในแท่นพิมพ์แล้ว มิใช่พอถูกสังคมกร่นด่า แล้วจะมาอ้างว่าเป็นพฤติกรรมส่วนตัวของศิลปินเห็นจะไม่ถูกต้องทั้งหมด นี่คือตัวอย่างเบื้องต้นของศิลปินในบ้านเรา ที่ยังต้องมีกรอบทางวัฒนธรรม จริยธรรมครอบอยู่ตามกลไกของสังคมไทย ต่างจากศิลปินของต่างประเทศ โดยเฉพาะอเมริกา ศิลปินของเขาจะมีข่าวติดยาอย่างไรก็ยังสามารถขายผลงานเพลงได้โดยไม่ถูกแบนหรือเซ็นเซอร์เหมือนบ้านเรา ของพรรณนี้ มันต่างสังคม ต่างวัฒนธรรม ไม่สามารถนำมาอ้างอิงหรือใช้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันได้ จึงขอฝากให้ผู้บริโภค ผู้ซื้อ สื่อมวลชน ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเรา รวมถึงค่ายเทปเอาไปพิจารณาดูแล้วกันตามแต่เหตุสมควร

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

เมื่อเขากระซิบ คนทั้งโลกก็ต้องเงี่ยหูฟัง สตีฟ จ็อบส์ บุรุษผู้สร้างนวัตกรรม และนักประดิษฐ์แห่งทศวรรษนี้

ประวัติชีวิตของ สตีฟ จ็อบส์

ชีวิตเขาไม่ได้มี “แต้มต่อ” เลยสักนิด และต่อไปนี้คือสิ่งที่เขาเล่าให้เราฟังเนื่องในโอกาสที่เขาได้รับเชิญให้ไปกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีรับปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในเดือนมิถุนายน 2005 ซึ่งต่อมานิตยสาร ฟอร์บ ได้นำมาตีพิมพ์เพราะได้รับการเรียกร้องจากผู้อ่านมาก เนื่องจากสุนทรพจน์ครั้งนั้นเป็นที่ประทับจับใจมาก และผมเชื่อว่ามันคงจะถูกบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ว่า เป็นสุนทรพจน์ที่จะช่วยสร้างกำลังใจให้กับคนที่ดีที่สุดบทหนึ่ง และต่อไปนี้คือใจความสรุปของเหตุการณ์ในชีวิต 3 เรื่องที่เขานำมาเปิดเผย
เรื่องแรกคือชีวิตที่เกิดมา จ็อบส์ บอกว่า เขาเกิดจากแม่ที่เป็นนักศึกษาที่ท้องโดยไม่ได้แต่งงานและตัดสินใจยกลูกให้กับคนอื่นโดยมีเงื่อนไขว่าคนที่รับไปจะต้องจบปริญญา แต่โชคไม่เข้าข้าง พ่อแม่บุญธรรมที่รับจ็อบส์ไปเลี้ยงกลับเป็นคนชั้นผู้ใช้แรงงานซึ่งสัญญาว่าจะให้จ็อบส์ได้เรียนจนจบปริญญาตามความตั้งใจของแม่ที่แท้จริงที่อยากให้ลูกกับคนที่มีการศึกษาที่ดี 17 ปีผ่านไป จ็อบส์ ก็ได้เข้ามหาวิทยาลัยจริง แต่อยู่ได้เพียง 6 เดือน เงินที่พ่อแม่สะสมไว้ก็หมด ทำให้เขาต้องพักการเรียนและใช้ชีวิตเตร็ดเตร่เข้าเรียนแบบไม่นับหน่วยกิตในวิชาที่ตนเองชอบอยู่อีก 18 เดือนก่อนที่จะออกจากมหาวิทยาลัยจริง ๆ ชีวิตในช่วงที่เรียนและเตร็ดเตร่ในมหาวิทยาลัยของเขาเป็นช่วงชีวิตที่ยากลำบาก เขาต้องไปอาศัยอยู่กับเพื่อน เก็บกระป๋องโค๊กไปขายเพื่อหาเงิน และต้องเดินทางฝ่าอากาศที่หนาวเหน็บถึง 7 ไมล์ในวันอาทิตย์เพื่อที่จะได้กินอาหารดี ๆ ที่โบสถ์พราหมณ์จัดเลี้ยง ในตอนนั้น เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาประสบและเรียนจะเอาไปใช้อะไรได้ แต่เมื่อมองย้อนกลับ มันก็ให้อะไรกับเขามากมาย ตัวอย่างเช่นวิชาการออกแบบตัวอักษรที่เขาเลือกเรียนซึ่งต่อมาเมื่อ
เรื่องที่สองเกี่ยวกับความรักและการสูญเสีย จ็อบส์บอกว่าเขาโชคดีที่พบกับสิ่งที่รักจะทำตั้งแต่วัยหนุ่ม เขาก่อตั้งบริษัท Apple ในโรงรถของพ่อแม่ตอนอายุ 20 ปี ภายใน 10 ปี แอปเปิลก็กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ คอมพิวเตอร์แมคอินทอชก็เป็นคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุด แต่แล้วเขากลับถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาเป็นคนก่อตั้ง โดยคนที่ทำให้เขาถูกปลดก็คือคนที่เขารับเข้ามาทำงานเอง เหตุการณ์ที่เขาถูกคณะกรรมการปลดนั้นเป็นเรื่องที่โด่งดังมาก ในตอนนั้นเขารู้สึกว่าเขาไม่เหลืออะไรเลย เขาคิดจะออกจากธุรกิจไอที แต่สุดท้ายเขาก็คิดว่าเขายังรักในสิ่งที่เขาทำและได้กลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งอย่างคนที่ดูเหมือนไม่มีต้นทุนอะไรที่จะต้องสูญเสียอีก ในช่วง 5 ปีต่อมาเขาก็ได้สร้างบริษัทใหม่คือ Next และ Pixar และได้แต่งงานกับผู้หญิงที่เป็นภรรยาตอนนี้ Pixar ผลิตภาพยนตร์แอนนิเมชั่นเรื่องแรกของโลกคือ Toy Story และเป็นสตูดิโอที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ส่วน Next นั้นก็ได้มารวมกับ Apple และจ็อบส์ก็ได้กลับมาคุม Apple อีกครั้งหนึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ จ็อบส์สรุปว่า สิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จถึงวันนี้ได้นั้น มาจากการที่เขารักในสิ่งที่เขาทำและเชื่อว่างานที่เขาทำเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มีความหมาย ส่วนการที่เขาถูกไล่ออกจากแอปเปิลนั้น กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้น เขาบอกว่าบางทีชีวิตก็เล่นกับเราแรง แต่ขอให้เราอย่าเสียความเชื่อมั่นศรัทธา

เรื่องสุดท้ายก็คือ เรื่องเกี่ยวกับความตาย เขาบอกว่าเมื่อตอนอายุ 17 ปี เขาประทับใจกับคำพูดของคน ๆ หนึ่งที่บอกว่า “ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนกับเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของคุณ สักวันคุณจะดีขึ้นอย่างแน่นอน” ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาจะถามตัวเองทุกเช้าว่าถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้าย เขาอยากจะทำอะไรบ้าง และถ้าคำตอบคือ เขาไม่รู้จะทำอะไรติดต่อกันหลาย ๆ วัน เขาก็รู้ว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแล้ว การทำแบบนี้ จะทำให้เขานึกถึงแต่สิ่งที่เป็นแก่นในชีวิตจริง ๆ เท่านั้น เพราะเกือบจะทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังจากคนภายนอก ความภูมิใจ การกลัว การเสียหน้า หรือความล้มเหลว ล้วนแต่ไม่เป็นสาระทั้งสิ้นเมื่อเราต้องเผชิญกับความตาย ตอนท้ายของเรื่องนี้ จ็อบส์เล่าว่า เขาเคยถูกตรวจพบว่าตนเองเป็นมะเร็งที่ตับอ่อนและหมอลงความเห็นว่าจะต้องตายภายใน 3-6 เดือน แต่แล้วเมื่อมีการตัดชิ้นเนื้อพิสูจน์กลับปรากฏว่าเขาโชคดีที่เป็นมะเร็งที่สามารถรักษาได้และเขาก็รอดมาได้ เขาไม่อยากตายและเชื่อว่าไม่มีใครอยากตายแม้ว่าจะได้ไปสวรรค์ แต่เขาคิดว่าความตายเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดของชีวิตเพราะมันช่วยกำจัดคนเก่าเพื่อเปิดทางให้คนใหม่ ซึ่งตอนนี้ก็คือ พวกนักศึกษาทั้งหลายที่จะค่อย ๆ แก่ไปในที่สุด เพราะฉะนั้นชีวิตของคนมีเวลาจำกัด จงอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตอยู่บนชีวิตของคนอื่น อย่าให้คนอื่นมากดความต้องการที่แท้จริงภายในใจเรา จงมีความกล้าหาญที่จะก้าวเดินตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง
บทจบของสุนทรพจน์ จ็อบส์ ยกคำบรรยายภาพของนิตยสาร The Whole Earth Catalog ฉบับสุดท้ายที่เขาเคยอ่านในช่วงกลางทศวรรษที่ 1970 ซึ่งเขามีอายุเท่า ๆ นักศึกษาตอนนี้ คำ ๆ นั้นอยู่ใต้ภาพถนนในชนบทยามเช้า เขียนว่า Stay Hungry. Stay Foolish จงหิวโหย จงโง่เขลา ผมคงไม่ต้องอธิบายความหมาย เพียงแต่อยากเพิ่มเติมสำหรับนักลงทุน Stay Calm. Stay Invest จงสงบ จงลงทุน ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับตลาดหุ้น
สตีเฟน พอล จอบส์ (Steven Paul Jobs) (เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955) ผู้บริหารระดับสูงของแอปเปิล คอมพิวเตอร์ และ พิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ และเป็นบุคคลชั้นนำในวงการอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง แอปเปิลคอมพิวเตอร์ ร่วมกับสตีฟ วอซเนียก ในปีค.ศ. 1976 เขาได้ช่วยทำให้แนวความคิดเรื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นที่นิยมขึ้นมา ด้วยเครื่องApple II ต่อมา เขาได้เป็นผู้แรกที่มองเห็นศักยภาพทางการค้าของส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟิกส์ และเม้าส์ ที่ถูกพัฒนาขึ้นในศูนย์วิจัยซีร็อกซ์พาร์ค ของบริษัทซีร็อกซ์ และได้มีการผนวกเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าไว้ในเครื่องแอปเปิล แมคอินทอช สตีฟยังเป็นประธานกรรมการบริหาร และผู้บริหารระดับสูงของ พิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ ผู้นำด้านการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ช่วงแรกของชีวิต


สตีฟ จอบส์ ในงาน MacWorld2005


สตีฟ จอบส์ กำลังโชว์เครื่อง MacBook Air ในงาน Macworld Conference & Expo 2008
สตีฟ จอบส์ เกิดที่เมืองซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย[1] มีชื่อจริงว่า สตีเวน พอล จอบส์ เป็นบุตรบุญธรรมของนายพอล และนางคลารา จอบส์ (สกุลเดิม ฮาโกเพียน[2]) ต่อมาพ่อแม่บุญธรรมก็รับผู้หญิงมาเป็นบุตรบุญธรรมอีกคน ชื่อ แพตตี้ ส่วนบิดามารดาที่แท้จริงของจอบส์ เขามีบิดาชื่อ นายอับดุลฟัตตะห์ จันดาลี ชาวซีเรียมุสลิม[3] นักศึกษา (ในขณะนั้น) แต่ต่อมาได้ทำงานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยสาขารัฐศาสตร์[4] กับนางโจแอน ซิมป์สัน นักศึกษาชาวอเมริกัน[3] ต่อมาได้ทำงานเป็นวิทยากรในการบำบัด[5] ต่อมาภายหลังบิดามารดาได้สมรสกันและให้กำเนิดน้องสาวร่วมสายเลือดของจอบส์ คือ โมนา ซิมป์สัน นักแต่งนวนิยาย[6][7][8][9][10]
ในปีค.ศ. 1972 จอบส์จบการศึกษาจากโฮมสตีดไฮสคูล ในเมืองคิวเปอร์ทีโน มลรัฐแคลิฟอร์เนีย และได้สมัครเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยรีด (Reed College) ในเมืองพอร์ตแลนด์ มลรัฐโอเรกอน แต่ก็ต้องลาพักการเรียนหลังจากเข้าเรียนได้เพียงหนึ่งภาคการศึกษา หลายปีต่อมา ในปาฐกถาครั้งหนึ่งในพิธีสำเร็จการศึกษาของบัณฑิตมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ปีค.ศ. 2005 จอบส์ได้กล่าวว่าเขายังคงศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยรีด รวมทั้งเข้าชั้นเรียนคัดตัวหนังสือ "ถ้าผมขาดเรียนวิชานั้นไปเพียงวิชาเดียวที่วิทยาลัยรีด เครื่องแมคอินทอชคงจะไม่มีรูปแบบอักษรหลากหลาย และปราศจากฟอนต์ที่มีการแบ่งระยะห่างอย่างถูกสัดส่วนเช่นนี้" จอบส์กล่าว
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี ค.ศ. 1974 จอบส์ได้กลับมายังมลรัฐแคลิฟอร์เนีย และได้เริ่มเข้าประชุมชมรม"เครื่องคอมพิวเตอร์ทำเองที่บ้าน" กับ สตีฟ วอซเนียก จากนั้นก็สมัครเข้าทำงานในตำแหน่งช่างเทคนิคที่ อาตาริ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และวิดิโอเกมส์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ตลอดช่วงเวลานี้ มีการค้นพบว่านกหวีดของเล่นที่แถมมาในกล่องอาหารเช้าทำจากธัญพืชยี่ห้อแคปแอนด์ครันช์ ทุกกล่อง เมื่อนำมาดัดแปลงเล็กน้อยแล้วจะสามารถทำเกิดเสียงความถี่ 2,600เฮิร์ทซ์ ที่ใช้ในระบบโทรศัพท์ทางไกลของเอทีแอนด์ทีได้ โดยไม่รอช้า ในปีค.ศ. 1974จอบส์กับวอซเนียกได้เริ่มธุรกิจผลิตกล่อง"บลูบ็อกซ์" จากแนวความคิดดังกล่าวอันทำเราสามารถโทรศัพท์ทางไกลได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
ในปีค.ศ. 1976 สตีฟ จอบส์ในวัย 21 ปี กับสตีฟ วอซเนียก วัย 26 ปี ได้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ขึ้น ในโรงรถที่บ้านของครอบครัวจอบส์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จอบส์กับวอซเนียกได้นำเสนอออกสู่สายตาได้แก่เครื่องApple I มันถูกตั้งราคาไว้ที่ 666.66 ดอลลาร์สหรัฐ โดยนำตัวเลขมาจากหมายเลขโทรศัพท์ของเครื่องตอบโทรศัพท์เล่าเรื่องตลกขบขันของวอซเนียก ที่มีเบอร์โทรลงท้ายด้วย -6666
ในปีค.ศ. 1977 จอบส์กับวอซเนียก ได้นำเครื่องApple IIออกสู่ตลาด และประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดคอมพิวเตอร์ใช้งานในบ้าน และทำให้แอปเปิลกลายเป็นผู้ผลิตรายสำคัญในวงการอุตสาหกรรมเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ในเดือนธันวาคม ปีค.ศ. 1980 แอปเปิลคอมพิวเตอร์ได้กลายมาเป็นบริษัทมหาชน และการเปิดขายหุ้นให้แก่สาธารณชนผู้สนใจร่วมลงทุน ทำให้สถานภาพส่วนตัวของจอบส์สูงส่งขึ้นเป็นอันมาก ในปีเดียวกันนี้เอง แอปเปิลคอมพิวเตอร์ได้นำเครื่องApple IIIออกวางตลาด แต่กลับประสบความสำเร็จน้อยกว่าเดิม
ในขณะที่ธุรกิจของแอปเปิลกำลังเติบโตต่อไป บริษัทได้เริ่มมองหาผู้มีความเชี่ยวชาญในการบริหารธุรกิจเพื่อมาช่วยในการขยายกิจการ ในปีค.ศ. 1983 จอบส์ได้ว่าจ้าง จอห์น สกัลลีย์ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเป็บซี่-โคล่า ให้มาดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของแอปเปิล โดยที่จอบส์ได้กล่าวท้าทายเขาว่า "คุณต้องการจะใช้ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ไปกับการขายน้ำหวาน หรือว่าต้องการโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้กันแน่?" ในปีเดียวกัน แอปเปิลยังได้เปิดตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ลิซา ที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าแต่กลับไม่ประสบความสำเร็จทางการตลาดแต่อย่างใด
ในปีค.ศ. 1984 เราได้เห็นการเปิดตัวเครื่องแมคอินทอช เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่มีส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟิกส์ที่ประสบความสำเร็จทางการค้า การพัฒนาเครื่องแมคริเริ่มขึ้นโดย เจฟ ราสคินและทีมงานที่ได้แรงบันดาลใจจากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดยศูนย์วิจัยซีรอกซ์พาร์ก แต่ยังไม่มีการนำมาพัฒนาเพื่อการค้า ความสำเร็จของเครื่องแมคอินทอช ทำให้แอปเปิลเลิกพัฒนาเครื่องApple II เพื่อส่งเสริมสายการผลิตเครื่องรุ่นแมค ซึ่งยังคงยืนหยัดมากระทั่งทุกวันนี้
ออกจากแอปเปิล ก่อตั้งกิจการบริษัทเน็กซ์

ในขณะที่จอบส์ได้กลายเป็นนักบุญผู้มีบุคลิกโดดเด่นและมีส่วนผลักดันโครงการต่างๆของแอปเปิล เหล่านักวิจารณ์มักจะอ้างว่าเขาเป็นผู้จัดการที่มีบุคลิกแปลกประหลาดและโมโหร้าย ในปีค.ศ. 1985 ภายหลังจากประสบปัญหาขัดแย้งเรื่องอำนาจภายในบริษัท จอบส์ถูกคณะกรรมการบริหารของแอปเปิลถอดออกจากภารกิจต่างๆที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบ และได้ลาออกในที่สุด
หลังจากออกจากแอปเปิล จอบส์ได้ก่อตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์ขึ้นมาใหม่ ชื่อว่า เน็กซ์ (NeXT) เช่นเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ลิซา เน็กซ์มีเทคโนโลยีล้ำยุค แต่มันไม่เคยเข้าสู่กระแสความนิยมหลักได้เนื่องจากราคาที่สูงลิ่ว สำหรับผู้ที่มีเงินพอจะซื้อหามาเป็นเจ้าของได้นั้น เทคโนโลยีของเน็กซ์ทำให้มีกลุ่มผู้ติดตามจำนวนมากเนื่องจากความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยีของมัน หนึ่งในผลิตภัณฑ์นั้นได้แก่ระบบพัฒนาซอฟต์แวร์เชิงวัตถุ จอบส์ได้ทำตลาดผลิตภัณฑ์ของเน็กซ์โดยเน้นไปที่สาขาวิทยาศาสตร์และสถาบันการศึกษา เนื่องจากมันได้ผนวกเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่ในเชิงนวัตกรรม และทดลองค้นคว้ารวมอยู่ด้วย (เป็นต้นว่า เคอร์เนลมัค (Mach kernel) และแผงวงจรดีเอสพี)
เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเน็กซ์คิวบ์(NeXT Cube) ถือกำเนิดขึ้นจากแนวความคิดทางปรัชญาของจอบส์ในเรื่องของ "คอมพิวเตอร์ระหว่างบุคคล" ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นก้าวสำคัญหลังจากมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเกิดขึ้น นั่นคือ หากคอมพิวเตอร์สามารถให้มนุษย์สื่อสารและประสานงานกันอย่างง่ายดายแล้ว มันจะสามารถแก้ปัญหามากมายที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเคยประสบมา จอบส์เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักที่เขาไม่ได้รวมเอาคุณลักษณะทางเครือข่ายเข้าไว้ในเครื่องแมคอินทอชรุ่นดั้งเดิม (และเรียกมันว่า "สายรกที่เชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับบริษัท") และเขาตั้งใจว่าจะไม่ทำพลาดเช่นนั้นอีก ในช่วงเวลาที่อีเมลสำหรับคนส่วนมากยังคงเป็นระบบตัวหนังสือล้วน จอบส์รักที่จะทำการแสดงการสาธิต "เน็กซ์เมล" ระบบอีเมลของบริษัทเน็กซ์เพื่อให้เห็นถึงปรัชญาของเครื่องคอมพิวเตอร์ระหว่างบุคคล เน็กซ์เมลเป็นอีเมลระบบแรกๆที่สนับสนุนการมองเห็นกราฟิกส์และเสียงที่ฝังอยู่ในอีเมลได้จากทุกแห่ง และยังสามารถคลิกได้อีกด้วย
จอบส์บริหารงานที่บริษัทเน็กซ์โดยเล็งผลเลิศแม้ว่าจะใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไรก็ตาม สายตาที่สอดส่องการทำงานทุกกระเบียดนิ้วคู่นี้ได้เป็นตัวบ่อนทำลายแผนกฮาร์ดแวร์ของเน็กซ์ในที่สุด แต่ในทางกลับกัน มันยังเป็นการแสดงให้โลกได้รู้ว่าจอบส์สามารถออกแบบเครื่องแมคอินทอช ที่ดีกว่ารุ่นดั้งเดิมในแบบที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ กล่องเครื่อง เน็กซ์คิวบ์ที่ทำจากแมกนีเซียมตัดด้วยเลเซอร์ได้ชื่อว่าเป็นความสวยงามที่ไม่ว่าจะจ่ายเท่าไรก็จะต้องได้มา
เช่นเดียวกับที่จอบส์แข่งขันกับไอบีเอ็มในช่วงที่งานอยู่ที่แอปเปิล จอบส์ต่อสู้กับซัน ไมโครซิสเต็มส์ราวกับว่าซันเป็นจักรวรรดิปิศาจในช่วงเขาทำงานอยู่ที่เน็กซ์ ต่อมา หลังจากที่แผนกฮาร์ดแวร์ของเน็กซ์ถูกปลด จอบส์กับสก็อต แมคนีลลีแห่งซัน ไมโครซิสเต็มส์ได้เปิดตัว OPENSTEP ด้วยกัน
ในช่วงที่จอบส์ทำงานอยู่ที่เน็กซ์นั้นมักจะไม่มีผู้กล่าวถึงในตำราประวัติศาสตร์ แต่จอบส์ได้อุทิศประโยชน์ไว้ในเหตุการณ์สำคัญยิ่งสองเหตุการณ์ด้วยกัน
1. กำเนิดเวิลด์ไวด์เว็บ ชื่อเบราว์เซอร์ตัวแรกของโลกกับ ทิม เบอร์เนอร์ส-ลี ได้พัฒนาระบบต้นแบบของเวิลด์ไวด์เว็บของสถาบันวิจัยแซร์นในสถานีวิจัยย่อยของแซร์นโดยใช้เครื่องเน็กซ์ จุดยืนของจอบส์ที่ว่าคนธรรมดาน่าจะสามารถเขียนแอปพลิเคชันใดๆที่ "จำเป็นยิ่งยวดต่อภารกิจ" ได้กลายเป็นหลักเบื้องต้นในการสร้าง Interface Builder อันเป็นโปรแกรมที่ทิม เบอร์เนอร์ส-ลีใช้เขียนโปรแกรมที่มีชื่อว่า "World-Wide Web 1.0"
2. การกลับมาของแอปเปิล คอมพิวเตอร์: การที่แอปเปิลอิงกับซอฟต์แวร์ดั้งเดิม และการบริหารงานภายในที่ผิดพลาด ทำให้บริษัทเองเกือบจะล้มละลาย ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 จุดยืนของจอบส์ที่ยืนหยัดจะพัฒนาคอมพิวเตอร์จากระบบปฏิบัติการยูนิกซ์อย่างต่อเนื่อง ได้ถูกมองว่าทะเยอทะยานเกินไปและเป็นแนวคิดที่ล้าหลังในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 แต่ทางเลือกของจอบส์ได้กลายเป็นรากฐานที่สำคัญของ
ระบบปฏิบัติการที่เสถียรและสามารถขยายตัวได้ แอปเปิลจะต้องการซอฟต์แวร์ตัวนี้ในเวลาต่อมาภายใต้การนำของจอบส์ และได้เรียนรู้ประสบการณ์ของการเกิดใหม่
เทคโนโลยีของเน็กซ์ยังได้ช่วยในการพัฒนาก้าวหน้าของเทคโนโลยีอื่นๆ เป็นต้นว่าการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ การแสดงผลโพสต์สคริปต์ และอุปกรณ์ออพติก-แม่เหล็ก
กลับมาสู่แอปเปิล
ในปีค.ศ. 1996 แอปเปิลได้ซื้อกิจการบริษัทเน็กซ์ คอมพิวเตอร์ด้วยราคา 402ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำจอบส์กลับมาสู่บริษัทที่เขาก่อตั้งเอาไว้ ในปีค.ศ. 1997 เขาได้กลายเป็นผู้บริหารระดับสูง"ชั่วคราว"ของแอปเปิล หลังจากที่ผู้จัดการหลายคนเสียความเชื่อมั่นในตัว จิล อะเมลิโอ ผู้บริหารระดับสูงในขณะนั้นที่ถูกถอดออก ในช่วงที่กลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำของแอปเปิล จอบส์เรียกชื่อตำแหน่งของเขาว่า "ไอซีอีโอ" (iCEO)
ด้วยการซื้อกิจการของเน็กซ์ เทคโนโลยีหลายตัวของบริษัทได้แจ้งเกิดในผลิตภัณฑ์ของแอปเปิล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Mac OS X ที่พัฒนามาจาก NeXTSTEP ภายใต้การนำของจอบส์ บริษัทสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างมากด้วยการเปิดตัว ไอแมค (iMac) นับแต่นั้นเป็นต้นมา การออกแบบที่ดึงดูดใจ และยี่ห้อสินค้าที่มีพลังเป็นผลดีต่อแอปเปิลอย่างยิ่ง
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ บริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ ได้ขยายกิจการไปหลายสาขา ด้วยการเปิดตัวไอพ็อด เครื่องเล่นดนตรีขนาดพกพา ไอทูนส์ ซอฟต์แวร์สำหรับดนตรีดิจิทัล รวมไปถึงร้านดนตรีไอทูนส์ แสดงให้เห็นว่าบริษัทต้องการยึดหัวหาดด้านอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ส่วนบุคคล และร้านขายดนตรีออนไลน์ ด้วยแรงผลักดันทางนวัตกรรม จอบส์มักจะเตือนพนักงานของเขาว่า "ศิลปินที่แท้จริงต้องส่งงาน" ซึ่งหมายความว่าการจัดส่งผลิตภัณฑ์ให้ตรงเวลานั้น มีความสำคัญพอๆกับนวัตกรรมและการออกแบบที่โดนใจผู้ใช้
จอบส์ทำงานที่บริษัทแอปเปิลเป็นเวลาหลายปีติดกันด้วยค่าจ้างรายปีเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐ และนั่นทำให้เขาได้ถูกบันทึกไว้ในสถิติโลกกินเนสส์ว่า เป็นผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับค่าจ้างต่ำที่สุดในโลก ในการเป็นองค์นำปาฐกถาที่งานแมคเวิลด์เอกซ์โป (Macworld Expo) ในนครซานฟรานซิสโก บริษัทได้ตัดคำว่า "ชั่วคราว" ออกจากตำแหน่งของเขา แต่เงินค่าจ้างของเขาที่แอปเปิลก็ยังคงเป็น 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี แม้ว่าเขาจะได้รับของขวัญพิเศษจำนวนมากที่สร้างรายได้แก่เขาจากคณะกรรมการบริหารตามธรรมเนียม รวมถึงเครื่องบินเจ็ต Gulfstream V มูลค่า 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีค.ศ. 1999 และหุ้นมูลค่าเกือบๆ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากหุ้นปุริมสิทธิ์ในปีค.ศ. 2000 - ค.ศ. 2002 ดังนั้น จอบส์จึงได้รับค่าตอบแทนอย่างงามสำหรับความพยายามของเขาที่แอปเปิล แม้จะได้ชื่อว่ามีค่าจ้างเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐก็ตาม
จอบส์ได้รับทั้งคำชื่นชมและวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับทักษะด้านการขายและดึงดูดใจผู้บริโภคของเขา ซึ่งถูกแทนที่ด้วยคำว่า "พื้นที่ที่ความจริงถูกบิดเบือน" ซึ่งเห็นได้ชัดอย่างยิ่งระหว่างที่เขากล่าวปราศรัยในงานแมคเวิลด์เอกซ์โป เกราะกำบังด้วย "พื้นที่ที่ความจริงถูกบิดเบือน" เป็นคำเปรียบเปรย ที่ใช้กับแอปเปิลด้วยในช่วงที่ราคาสินค้าไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ ในขณะที่เครื่อง G4 cube มีราคาแพงเกินไป บริษัทก็ยังตัดสินใจสวนกระแสความต้องการของตลาด ด้วยการกำจัดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ลอกแบบจากเครื่องแมคอินทอช การตัดสินใจของจอบส์ไม่ได้รับฉันทมติจากคนส่วนใหญ่ไปเสียทุกเรื่อง เป็นต้นว่า ความพยายามทางการตลาดของแอปเปิลในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ที่เป็นเลิศในแง่เทคนิค แต่กลับเป็นแนวคิดแปลกแยกในหมู่นักลงทุนที่เล่นหุ้นของบริษัท ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้หันไปซื้อหุ้นของไอบีเอ็ม ส่งผลให้ราคาหุ้นของแอปเปิลตกลงฮวบฮาบ ไมโครซอฟท์ก็ซ้ำเติมการเสียตำแหน่งผู้นำของแอปเปิลด้วยการพัฒนาส่วนประสานผู้ใช้แบบกราฟิกส์ของตัวเองขึ้นมา ใช้ชื่อว่า ไมโครซอฟท์วินโดวส์ ซึ่งก็บดบังความร้อนแรงของหุ้นแอปเปิลและครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้ในที่สุด
ร่วมก่อตั้งบริษัทพิกซาร์สตูดิโอ สร้างภาพยนตร์แนวแอนิเมชั่น
ในปีค.ศ. 1986 จอบส์ได้ร่วมกับเอ็ดวิน แคทมัลล์ก่อตั้งพิกซาร์ ซึ่งเป็นสตูดิโอสร้างภาพยนตร์แอนิเมชันด้วยคอมพิวเตอร์ ตั้งอยู่ที่เมืองเอเมอรีวิลล์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย บริษัทนี้ก่อตั้งขึ้นจากแผนกคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ของบริษัทลูคัสฟิล์มเดิม ซึ่งจอบส์ได้ซื้อกิจการต่อมาจากจอร์จ ลูคัส ผู้ก่อตั้ง ด้วยราคา 10ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือหนึ่งในสามของราคาที่ตั้งไว้ พิกซาร์ได้กลายเป็นบริษัทที่โด่งดังและประสบความสำเร็จในอีกหนึ่งทศวรรษให้หลัง ด้วยภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องยาวแหวกแนว เรื่อง"ทอย สตอรี่" และจากนั้นก็ได้ผลิตภาพยนตร์ที่ชนะรางวัลประกวดหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น "ตัวบั๊กส์ หัวใจไม่บั๊กส์"ในปีค.ศ. 1998 "ทอย สตอรี่ 2"ในปีค.ศ. 1999 "มอนสเตอร์ส อิงค์ บริษัทรับจ้างหลอน(ไม่)จำกัด"ในปีค.ศ. 2001 "นีโม่...ปลาเล็กหัวใจโต๊...โต"ในปีค.ศ. 2003 และ "รวมเหล่ายอดคนพิทักษ์โลก"ในปีค.ศ. 2004 ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องล่าสุดของพิกซาร์คือเรื่อง "Cars" มีกำหนดออกฉายในช่วงฤดูร้อน ปีค.ศ. 2006
นีโม่...ปลาเล็กหัวใจโต๊...โต และ รวมเหล่ายอดคนพิทักษ์โลก ต่างได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม
ชีวิตส่วนตัว
จอบส์เข้าพิธีสมรสกับลอเรนซ์ พาวเวลล์ เมื่อวัน18 มีนาคม ค.ศ. 1991 และมีบุตรด้วยกันสามคน จอบส์ยังมีลูกสาวหนึ่งคน ชื่อลิซา จอบส์ ที่เกิดจากสตรีผู้หนึ่งซึ่งเขาไม่ได้แต่งงานด้วย
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่จอบส์ได้คบหาดูใจอยู่กับโจอาน แบเอซ ผู้ซึ่งถูกเจฟฟรีย์ ยัง ผู้เขียนหนังสือชีวประวัติของจอบส์ "iCon Steve Jobs" ได้กล่าวถึงว่า จอบส์รู้สึกฉงนเนื่องจากพบว่าโจอานเคยเกี่ยวพันกับ บอบ ดีแลน ขวัญใจของเขา (ผู้ซึ่งเคยพัวพันกับแบเอซ) และเกี่ยวพันกับ วัฒนธรรมจัณฑาล (Beat Generation) เจฟฟรีย์ ยัง บอกเป็นนัยๆว่า บิล แอตคินสัน เคยได้ยินจอบส์พูด (แล้วเอาไปพูดต่อ) ว่าเขาคงจะแต่งงานกับแบเอซไปแล้ว หากเขาไม่มีความคิดว่าหล่อนซึ่งขณะนั้นมีอายุ 41 ปี มากเกินไปที่จะมีบุตร
จอบส์เป็นมังสวิรัติปลา (ไม่ใช่มังสวิรัต หรือ มังสวิรัติเคร่งครัด ตามที่มีมักจะอ้างกัน) — แม้ว่าเขาจะไม่กินเนื้อสัตว์ มีรายงานว่าเขากินปลาในบางครั้ง
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2004 จอบส์ได้เข้ารับการผ่าตัดเอาเนื้องอกมะเร็งออกจากตับอ่อน เขาเป็นโรคมะเร็งในตับอ่อนซึ่งในแบบที่พบได้น้อยมาก ที่เรียกว่า "เนื้องอกในเซลล์ที่ผลิตอินซูลินอันส่งผลต่อระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย " (islet cell neuroendocrine tumor) ซึ่งเป็นเนื้องอกที่ไม่ต้องการเคมีบำบัด หรือรังสีบำบัดแต่อย่างใด ระหว่างที่เขาป่วย ทิม คุก ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้างานขายและปฏิบัติการทั่วโลกของแอปเปิล เป็นผู้บริหารงานแทน
ในปีค.ศ. 2005 สตีฟ จอบส์ได้สั่งห้ามมิให้จำหน่ายหนังสือทุกเล่มที่มาจากสำนักพิมพ์วิลลีย์ในร้านหนังสือขายปลีกของแอปเปิล เพื่อตอบโต้ที่สำนักพิมพ์นี้ได้ตีพิมพ์ชีวประวัติฉบับที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเขา ที่มีชื่อว่า "iCon Steve Jobs: The Greatest Second Act in the History of Business" เขียนโดยเจฟฟรีย์ ยัง และ วิลเลียม แอล. ไซมอน หลายคนเชื่อว่าการสั่งห้ามหนังสือดังกล่าวมาจากชื่อที่มีนัยยะในแง่ลบ มากกว่าจะมาจากเนื้อหาซึ่งออกจะกล่าวถึงในแง่บวกเสียมากกว่า
ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับบุคลิกของจอบส์
บุคลิกก้าวร้าวและชอบเรียกร้องของสตีฟ จอบส์ถูกกล่าวถึงและเขียนถึงเป็นอันมาก โดยมีหนังสือชีวประวัติที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเขาหลายต่อหลายเล่ม เป็นต้นว่า "The Little Kingdom" โดย ไมเคิล โมริทซ์ "Steve Jobs: The Journey Is the Reward" โดย เจฟฟรีย์ เอส. ยัง "The Second Coming of Steve Jobs" โดย อลัน ดอยช์แมน และ "iCon Steve Jobs" โดย เจฟฟรีย์ เอส. ยัง และ วิลเลียม แอล. ไซมอน
ในสารคดี ชัยชนะของพวกเนิร์ด คนจำนวนมากกล่าวถึงเหตุการณ์อันโด่งดังเมื่อสตีฟ จอบส์ถูก ผู้บริหารระดับสูง จอห์น สกัลลีย์ และ คณะกรรมการผู้จัดการของแอปเปิลไล่ออก:
• คริส เอสปิโนซา: "แผนการมโหฬารที่จะให้แมคอินทอชเป็นอย่างไรในอนาคตนั้น ช่างห่างไกลจากความจริงที่สินค้าชิ้นนี้เป็นอยู่ และความจริงที่สินค้านี้เป็นอยู่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ยังสามารถกู้สถานการณ์ได้ แต่ช่องว่างระหว่างสิ่งทั้งสองนั้นมีมากเหลือเกิน จนต้องมีใครสักคนหนึ่งทำอะไรกับมัน และใครคนนั้นในตอนนั้นก็คือจอห์น สกัลลีย์"
• จอห์น สกัลลีย์: "คณะกรรมการจะต้องตัดสินใจเลือก และผมพูดว่า เอาละ มันเป็นบริษัทของสตีฟ ผมมาที่นี่เพื่อช่วย ถ้าคุณต้องการให้เขาบริหารงาน ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่อย่างน้อยที่สุดเราต้องตัดสินใจว่าเราจะทำอะไร และทุกคนต้องหนุนหลังมันอยู่ ... และในที่สุดแล้วเมื่อคณะกรรมการได้พูดกับสตีฟ และกับผม เราตัดสินใจที่จะเดินหน้าแผนการของผมต่อไป และสตีฟก็จากไป"
• สตีฟ จอบส์: "ผมจะพูดอะไรได้? ผมจ้างคนผิด เขาทำลายทุกสิ่งที่ผมสร้างไว้ด้วยการทำงานยาวนานถึง 10 ปี ทุกอย่างเริ่มที่ตัวผมเอง แต่นั่นไม่ใช่ส่วนที่น่าเศร้าที่สุด ผมคงจะยินดีออกจากแอปเปิลหากว่าแอปเปิลยอมทำอย่างที่ผมต้องการ"
• แลรี เทสเลอร์: "คนในบริษัทรู้สึกกันไปต่างๆนานากับเรื่องนี้ ทุกคนต่างเคยถูกสตีฟ จอบส์เล่นงานมาไม่ว่าช่วงใดช่วงหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาก็โล่งใจที่ผู้ก่อการร้ายจะไปเสียที แต่อีกแง่มุมหนึ่ง ผมคิดว่าคนเดียวกันมีความเคารพในตัวจอบส์อย่างมาก และเราทุกคนต่างเป็นกังวลอย่างมากว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทนี้ต่อไปเมื่อปราศจากวิสัยทัศน์ ปราศจากผู้ก่อตั้ง ปราศจากผู้มีบุคลิกโดดเด่น"
• แอนดี เฮิร์ทซเฟลด์: "เขาถือว่ามันเป็นการจู่โจมส่วนบุคคล โดยเริ่มจากการโจมตีสกัลลีย์ ซึ่งมันทำให้เขาจนมุม เพราะเขาแน่ใจว่าคณะกรรมการจะสนับสนุนเขา ไม่ใช่สกัลลีย์...แอปเปิลไม่เคยฟื้นตัวจากการสูญเสียสตีฟ สตีฟเป็นหัวใจ จิตวิญญาณ และแรงขับเคลื่อน ที่นั่นคงเป็นที่ๆต่างๆไปจากนั้นในเวลานี้ พวกเขาได้สูญเสียจิตวิญญาณของพวกเขาไป"
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
1. ^ Smithsonian Oral and Video Histories: Steve Jobs. Smithsonian Institution (April 20, 1995). สืบค้นวันที่ September 20, 2006
2. ^ «Mother: Clara Hagopian (adoptive mother, accountant)» — Steve Jobs biography at NNDB.
3. ^ 3.0 3.1 http://bombsite.com/issues/20/articles/947
4. ^ "The non-stop revolutionary", The Guardian, January 29, 2006
5. ^ Lohr, Steve. "Creating Jobs", The New York Times, January 12, 1997
6. ^ Alan Deutschman, Richard Siklos, Heather Halberstadt, John Brodie, Duff McDonald, Craig Offman and Richard Rushfield, "The New Establishment 2005: The 50 Most Powerful Leaders of the Information Age", Vanity Fair, October 1, 2005.
7. ^ Andy Behrendt, "Apple Computer mogul's roots tied to Green Bay", Green Bay Press-Gazette, December 4, 2005.
8. ^ David Smith, "The non-stop revolutionary", The Observer (U.K.), January 26, 2006.
9. ^ Rob Waugh, additional reporting by Paul Henderson, "iGod—how Apple went bad, and made billions from doing it", Daily Mail (U.K.), April 30, 2008.
10. ^ "Steve Jobs, Apple's iGod: Profile", Telegraph (U.K.), January 14, 2009.
• แฟ้มประวัติบุคคลของสตีฟ จอบส์ จากเว็บไซต์ของแอปเปิล
แหล่งข้อมูลอื่น
• ประวัติส่วนตัวของสตีฟ จอบส์
• ชีวประวัติของสตีฟ จอบส์
• สตีฟ พอล จอบส์ โดย ลี แองเจลเลลี
• สร้างจอบส์: ผู้ก่อตั้งแอปเปิลกลับบ้านอีกครั้ง (จากนิตยสารนิวยอร์กไทม์ส วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1997)
• สถิติโลกของกินเนส บันทึกไว้ว่าเขาเป็น"ผู้บริหารระดับสูงที่ได้ค่าจ้างที่ต่ำสุดในโลก"
• เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย จากเรื่องราวในช่วงต้นของจอบส์ที่บริษัทแอปเปิล รายงานโดย แอนดี เฮิร์ทซเฟลด์
• ข่าวสารพิกซาร์ - ข่าวสารและเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับพิกซาร์ รวมถึงสตีฟ จอบส์
• ปาฐกถาของจอบส์ที่มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด — สตีฟ จอบส์กล่าวถึงประสบการณ์สามเรื่องที่เขาเผชิญกับปัญหาหนัก และประสบความสำเร็จในที่สุด
หนังสือและบทความ
• Cringely, Robert X (1996). Accidental Empires. HarperBusiness. ISBN 0-88730-855-4.
• Freiberger, Paul; & Swaine, Michael (1999). Fire in the Valley: The Making of The Personal Computer McGraw-Hill Trade. ISBN 0-07-135892-7.
• Deutschman, Alan (2001). The Second Coming of Steve Jobs. Broadway. ISBN 0-7679-0433-8.
• Caddes, Carolyn. 1986. Portraits of Success: Impressions of Silicon Valley Pioneers, Tioga Publishing Co., Palo Alto CA.
• Denning, Peter J. and Karen A. Frenkel. April 1989. "A Conversation with Steve Jobs", Comm. ACM, Vol. 32, No. 4, pp. 437-443.
• Hertzfeld, Andy. 2004. Revolution in The Valley. O'Reilly, Sebastopol, CA. ISBN 0-596-00719-1
• Levy, Steven. 1984. Hackers: Heroes of the Computer Revolution, Anchor Press/Doubleday, Garden City, NY.
• Slater, Robert. 1987. Portraits in Silicon, MIT Press, Cambridge MA, Chapter 28.
• Stross, Randall E., Steve Jobs and The NeXT Big Thing, NY:Atheneum, 1993. ISBN 0-689-12135-0
• Young, Jeffrey S. 1988. Steve Jobs: The Journey is the Reward, Scott, Foresman and Co., Glenview IL.
• Young, Jeffrey S. and William L. Simon 2005. iCon Steve Jobs : The Greatest Second Act in the History of Business, Wiley, Trade Cloth
• Kahney, Leander. 2004. "The Cult OF Mac". No Starch Press, Inc, San Francisco, CA.

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

เหตุการณ์ 9/11 ฤาจะเป็นเพียงทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory,Chaos) ของใครบางคน


เหตุการณ์ 9/11 ฤาจะเป็นเพียงทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory,Chaos) ของใครบางคน

ก่อนอื่นขอร่วมรำลึกเหตุการณ์ 9-11 (11 กันยายน 2544) เป็นเหตุการณ์ที่ทั่วโลกต้องตกตะลึงกับการก่อวินาศกรรมเครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และคร่าชีวิตผู้คนไปหลายพันคนด้วยกัน

ย้อนเหตุการณ์อันเลวร้าย ตามเวลาในประเทศไทย
19:45 น. เครื่องบินโดยสารของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 11 จากบอสตันเข้าชนตึกเหนือ (ตึก 1 เป็นตึกที่มีเสาอากาศเห็นได้ชัด) ของตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ แล้วฉีกตัวตึกเป็นช่องพร้อมทั้งเกิดไฟไหม้

20:03 น. เครื่องบินโดยสารของสายการบิน ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 175 จากบอสตันเช่นกัน พุ่งเข้าชนตึกใต้ (ตึก 2) ของตึกเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ และระเบิดรุนแรง

20:43 น. เครื่องบินโดยสารเที่ยวบินที่ 77 ของสายการบิน อเมริกัน แอร์ไลน์ ชนอาคารเพนตากอน เกิดควันไฟพวยพุ่ง มีการอพยพคนในทันที

20:45 น. มีการอพยพคนที่ทำเนียบขาว

21:05 น. ตึกใต้ของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ถล่มยุบลง ท้องถนนปกคลุมด้วยกลุ่มควัน

21:10 น. บางส่วนของอาคารเพนตากอนถล่ม ขณะเดียวกันก็มีรายงานการตกของเครื่องบินโดยสารของ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93 ที่เขตชนบทของซอมเมอร์เซ็ต รัฐเพนซิลวาเนีย ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของพิตส์เบิร์ก

21:13 น. อาคารที่ทำการของสหประชาชาติเริ่มขนย้ายผู้คน โดยเป็นคนของสำนักงานใหญ่จำนวน 4,700 คน และจากยูนิเซฟกับฝ่ายอื่นของสหประชาชาติอีก 7,000 คน

21:28 น. ตึกเหนือของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ถล่มยุบตัวลงคล้ายกับถูกตอกด้วยเสาเข็มจากด้านบน เกิดฝุ่นอันหนาทึบ และเศษหักพังกระจายไปทั่ว

21:45 น. อาคารที่ทำการของรัฐทุกตึกในวอชิงตันอพยพคนทั้งหมด

21:48 น. ตำรวจยืนยันมีเครื่องบินตกที่ซอมเมอร์เซ็ต

21:53 น. ประกาศเลื่อนการเลือกตั้งขั้นต้นของนิวยอร์ก

22:18 น. สายการบิน อเมริกัน แอร์ไลน์ รายงานเรื่องเครื่องบินที่ถูกจี้ โดยเที่ยวบินที่ 11 เป็นเครื่องโบอิ้ง 767-200ER มีลูกเรือ 11 คน และผู้โดยสาร 81 คน ซึ่งกำลังเดินทางไปยังลอสแอนเจลิส ส่วนเที่ยวบินที่ 77 เป็นเครื่อง 757-200 กำลังเดินทางไปลอสแอนเจลิส โดยมีผู้โดยสาร 58 คน ลูกเรือ 6 คน เครื่อง 767-200ER เป็นลำที่ชนตึกเหนือของเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ และเครื่อง 757-200 ชนเพนตากอน

22:26 น. ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ รายงานเรื่องเครื่องบินที่ถูกจี้ โดยเที่ยวบินที่ 93 ออกจากนิวอาร์ก รัฐเดลาแวร์ ไปยังซานฟรานซิสโก และตกที่เพนซิลวาเนีย

22:59 น. ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ รายงานเรื่องเครื่องบินเที่ยวบินที่ 175 ที่กำลังเดินทางไปลอสแอนเจลิส มีผู้โดยสาร 56 คน ลูกเรือ 9 คน เป็นลำที่ชนตึกใต้ของเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์

23:04 น. สนามบินลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นที่หมายของเครื่องบิน 3 ลำ อพยพคนทั้งหมด

23:15 น. สนามบินซานฟรานซิสโกซึ่งเป็นที่หมายของเครื่องบินเที่ยวบินที่ 93 อพยพคนทั้งหมด

12 กันยายน 2544

03:10 น. ตึก 7 ซึ่งมี 47 ชั้นของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เกิดไฟไหม้

04:20 น. ตึก 7 ของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ซึ่งไม่มีคนอยู่แล้วถล่ม การถล่มเกิดจากความเสียหายที่เกิดขึ้นหลังจากตึก 1 และ 2 (ซึ่งอยู่คนละฝั่งถนน) ถล่มมาก่อนหน้านี้ ตึกรอบๆ บริเวณก็มีไฟไหม้ด้วย

04:30 น. เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลรายงานว่าเครื่องบินที่ตกในเพนซิลวาเนียอาจจะมีเป้าหมายในการชน แคมป์ เดวิด หรือ ทำเนียบขาว หรือ อาคารรัฐสภา อาคารใดอาคารหนึ่ง

06:45 น. ตำรวจนิวยอร์กรายงานว่ามีเจ้าหน้าที่สูญหาย 78 นาย และเชื่อว่าพนักงานดับเพลิงประมาณ 200 นายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

08:22 น. ไฟไหม้ที่เพนตากอนยังควบคุมไม่ได้ แต่สามารถจำกัดเขตการลุกลามได้แล้ว ในขณะที่เกิดเหตุหายนะอยู่นี้ ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้เดินทางจากฟลอริดากลับสู่วอชิงตัน และได้มีการออกแถลงการณ์ในเหตุการณ์ มีการขอให้ประชาชนร่วมกันสวดมนต์ให้กับผู้เคราะห์ร้าย รวมทั้งยังประกาศว่า "ผู้ที่กระทำการครั้งนี้จะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำ"

ต่อมามีรายงานว่าตึกอื่นๆ ในบริเวณนั้นก็ได้พังทลายลงทั้งหมด (เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ประกอบด้วยตึก 7 หลัง) อย่างไรก็ตาม ภาพถ่ายจากดาวเทียมแสดงให้เห็นว่า ตึก 5 ยังคงตั้งอยู่แต่ก็เสียหายยับเยินเช่นกัน สำหรับจำนวนผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บนั้นยังไม่ทราบแน่นอน แต่พบศพแล้วกว่า 200 ศพ และยังสูญหายอีกประมาณ 6,000 คน (ณ วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2544)

สรุปผู้เสียชีวิต
มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 2,973 คน: 246 คน บนเครื่องบิน, 2,602 คน ในนครนิวยอร์ก ในอาคารและพื้นดิน, และ 125 คน ในเพนตากอน รวมถึงนักผจญเพลิงนครนิวยอร์ก 343 คน, ตำรวจนครนิวยอร์ก 23 คน, ตำรวจการท่าเรือของนิวยอร์กและนิวเจอร์ซี 37 คน และผู้สูญหายอีก 24 คน

ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ช็อกโลกนี้แล้ว อเมริกาซึ่งเป็นประเทศผู้รับผลเสียหายโดยตรง ได้ประกาศกร้าวที่จะตามล่าตัวหัวหน้าผู้ก่อการร้าย ซึ่งตั้งเป้าไปที่นายอุสมะห์ บิน ลาเดน ปฏิบัติการถล่มอัฟกานิสถานก็เริ่มขึ้น ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของพวกตาลีบัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ที่พักพิงแก่ บินลาเดน หลังจากนั้นก็เปิดปฏิบัติการพายุทะเลทราย สงครามอิรักขึ้นอีกรอบ โดยบุกเข้าไปยึดอิรัก และจับกุมตัวนายซัดดัม ฮุสเซน ปธน.ของอิรัก ในขณะนั้น โดยข้อกล่าวหาว่าอิรักมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง แต่ก็ได้มีการพิสูจน์หลังจากที่นำตัวนายซัดดัม ฮุสเซน ขึ้นศาลจนให้มีการประหารชีวิตนายซัดดัมไปแล้ว ว่าอิรักไม่ได้มีอาวุธนิวเคลียร์ร้ายแรงเหล่านั้นเลย ทำให้ทั่วโลกต่างสงสัยเป้าประสงค์ของอเมริกา ที่มีนักวิเคราะห์ ผู้สังเกตการณ์ หน่วยข่าวกรองจากทั่วโลกตั้งข้อสังเกตุ และสมมติฐานไปในทางเดียวกันว่า อเมริกาสร้างสถานการณ์แหกตาประชาชนชาวโลก โดยการสมคบคิดกันระหว่าง ปธน.สหรัฐ นายจอร์จ บุช กับนายดิก เชนี่ย์ รอง ปธน.ฝ่ายความมั่นคง (มีบริษัทสำรวจน้ำมันเป็นของตนเองชื่อ บริษัท Halliburton และเป็นบริษัทที่ได้สัมปทานเข้าไปขุดเจาะน้ำมันในอิรัก) ร่วมกับประเทศมหาอำนาจที่เป็นพันธมิตร หรือ นาโต้ ต้องการเข้าไปยึดอิรักเพื่อหวังผลประโยชน์ก็คือบ่อน้ำมัน แหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของตะวันออกกลาง หากสำเร็จก็จะบุกต่อไปยึดอิหร่าน แหล่งทรัพยากรใหญ่ที่สุดนั่นเอง แต่แผนการอันชั่วช้านี้ของสหรัฐกับมิตรมหาอำนาจอื่นๆ กำลังจะกลับกลายเป็นหอกย้อนศรไปทิ่มแทงตนเอง เพราะในช่วง 2-3 ปีมานี้ สหรัฐและชาติมหาอำนาจในยุโรป ประสบกับวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างหนัก เริ่มจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ และตามมาด้วยวิกฤติเศรษฐกิจของทั่วทั้งสหภาพยุโรป โดยเร่มจากกรีซ ไอร์แลนด์ ฮังการี ก่อน มีนักวิเคราะห์หลายคนพูดว่าวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ที่ทำให้สหรัฐกลายเป็นประเทศที่ขาดดุลงบประมาณมโหฬาร มีหนี้สาธารณะจำนวนมาก ผลพวงไม่ใช่เป็นแค่เพียงเรื่องวิกฤติหนี้อสังหาริมทรัพย์ (sub-prime) การล้มละลายของวานิชธนกิจ (Lehman Brother) หรือบรรษัทขนาดใหญ่ยักษ์ (AIG,Citibank,GM) เท่านั้น แต่เป็นเพราะรัฐบาลสหรัฐนำงบประมาณของประเทศไปทุ่มให้กับสงครามในอิรักอย่างมากมายมหาศาล เป็นเวลากว่า 8 ปี จนเมื่อเร็วๆ นี้ ปธน.สหรัฐคนล่าสุด อย่างนายบารัค โอ บาม่า ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะถอนกำลังทหารออกจากอิรัก ในปลายปี 2554 เป็นอันสิ้นสุดภาวะสงครามในอ่าวเปอร์เซียอย่างถาวร แต่นั้นไม่ได้ทำให้สภาพความขัดแย้งที่แท้จริง และสภาพปัญหาระหว่างมหาอำนาจอย่างอเมริกากับชาติอาหรับในตะวันออกกลาง จะจบสิ้นไป ตรงกันข้ามยังสร้างรอยร้าวและหยั่งรากลึกของปัญหาในดินแดนแถบนี้ให้ทรุดหนักลงไปอีก การเข้มแข็งขึ้นของกลุ่มตาลีบัน การสร้างและผลิตอาวุธนิวเคลียร์และอาวุธเคมีใหม่ๆ ของอิหร่าน ดุลยภาพที่เปลี่ยนไปของมหาอำนาจใหม่อย่างจีน ที่แผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วเอเซีย โดยที่จีนมีเศรษฐกิจที่เติบใหญ่ขึ้น มีอำนาจซื้อที่สูงขึ้น เศรษฐกิจใหญ๋เป็นอันดับ 2 ของโลกแซงหน้าเยอรมันและญี่ปุ่นไปแล้ว แต่อเมริกากำลังอยู่ในภาวะของเสือลำบากที่ต้องรอการฟื้นคืน สิ่งที่สหรัฐอเมริการทำกับชาติในตะวันออกกลาง กำลังได้รับผลกรรมที่ตัวเองก่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โจทย์ของอเมริกาคงไม่ใช่ศัตรูในตะวันออกกลางแต่เพียงฝ่ายเดียวแล้ว พอเหลือบมาทางเอเซียตะวันออก ยังต้องสบตากับจีน มหาอำนาจตัวใหม่ รวมไปถึงลูกไล่ตัวแสบอย่างเกาหลีเหนืออีก ทฤษฎีสมคบคิดนี้ต้องถือว่าเป็นแผนที่ลงทุนสูง เข้าข่ายขี่ช้างจับตั๊กแตน หรือเผาบ้านเพื่อจับหนูตัวเดียว แต่พลอยทำให้หมดเนื้อหมดตัว หมดความน่าเชื่อถือ เครดิตที่ดีที่เคยสั่งสมมาเสียหาย แต่ผมกำลังคิดว่าผลกรรมที่ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ 2 ตึก พังพินาศลงมา อาจเป็นผลกรรมจากการที่ไปทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิม่า และนางาซากิ หรือไม่ วิญญาณของบรรพบุรุษชาวบูชิโด ไปเกิดเป็นจารชนไฮแจ็ค จี้เครื่องบินของอเมริกา เพื่อกระทำกามิกาเซ่ต่อตึกเวิลด์เทรด ที่เป็นสัญลักษณ์ของทุนนิยมโลกอย่างสหรัฐก็เป็นไปได้ ถ้าผมเป็นคนญี่ปุ่นผมคงน้ำตาไหล ไม่ใช่เพราะความสะใจหรือเวรกรรมที่สหรัฐได้รับ แต่เป็นเพราะเสียใจกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่ว่าครั้งใด มันเกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเองทั้งนั้น

สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า แอนิเมชั่น ตอนที่ 1 การ์ตูนของ Pixar Studio









สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า แอนิเมชั่น

ประสบการณ์ความตื่นเต้นบนจอภาพยนตร์นั้น ครั้งแรกในชีวิตเจอกับเรื่องสตาร์วอร์ ของจอร์จ ลูคัส ภายหลังจากนั้นก็มาตื่นเต้นปนมหัศจรรย์กับนวัตกรรมด้านภาพในโลกยุคดิจิตอล ที่เรียกว่า การ์ตูนแอนิเมชั่น นับตั้งแต่ ภ.เรื่อง Toy Story ในภาค 1 จนมาถึงล่าสุด Toy Story 3 ทุกครั้งที่ได้ชมก็ยังรู้สึกตื่นเต้น สนุก ประทับใจทุกครั้งกับภาพเคลื่อนไหวที่เหมือนมีชีวิต หลายเรื่องยังติดตาตรึงใจ และประทับใจในเนื้อหามาจนถึงปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็น Toy Story ทั้ง 3 ภาค , A bug Life , Finding Nemo , Ratatouille , Wall-E ,UP นี่เป็นการ์ตูนของค่าย Pixar ยังมีการ์ตูนของค่ายอื่นที่ก็ประทับใจ เช่น Antz และ Shrek ของดรีมเวิร์ค และ Ice Age Spirited Away , Final Fantacy ฯลฯ สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกชอบและประทับใจก็คือบทพูด (dialoque) และสีหน้าท่าทางของตัวละคร เส้นสายลายภาพ การให้สี โทนสี เส้นแสง หนาทึบ แสงเงา ที่ผู้สร้างทำออกมาได้อย่างเนียน ละมุนละมัย จนทำให้เกิดอารมณ์ร่วมที่ดี จนลืมไปว่าสิ่งที่เราเห็นมันเป็นเพียง animation (ภาพที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์กราฟฟิค) บางครั้งตัวละครเล่นดีเสียกว่านักแสดงที่เป็นคนจริงๆ เสียอีก หากบางครั้งเราพบว่าเราดูหนังแอ็คชั่นแล้วไม่มันส์ ดูหนังตลกแล้วไม่ตลก ดูหนังรักแล้วไม่อิน ดูหนังชีวิตแล้วมันไม่เศร้าสะเทือนใจ อาจเป็นเพราะนักแสดงเล่นไม่เก่ง บทเขียนไม่ดี องค์ประกอบโดยรวมไม่ส่งเสริมหรือสมบูรณ์ แต่ทั้งหลายทั้งปวงผมคิดว่าเป็นเพราะเราดูแล้วไม่อิน ไม่เกิดอารมณ์ร่วม ไม่แน่นักว่าในอนาคตเราอาจจะไม่อยากดูภาพยนตร์ที่ใช้คนแสดงจริงๆ ก็ได้ หากภาพยนตร์ที่ใช้คนแสดงเหล่านั้นยังม้วแต่ขายหน้าตา รูปร่างของนักแสดง แต่แสดงได้ไม่ดี แข็งเป็นหุ่นยนต์ แล้วทำไมเราไม่ดูหนังที่เป็นหุ่นยนต์เล่นไปซะเลยหล่ะ จริงมั๊ย

แอนิเมชัน (Animation) หมายถึง การสร้างภาพเคลื่อนไหวโดยการฉายภาพนิ่งหลายๆ ภาพต่อเนื่องกันด้วยความเร็วสูง การใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกส์ในการคำนวณสร้างภาพจะเรียกการสร้างภาพเคลื่อนไหวด้วยคอมพิวเตอร์หรือ คอมพิวเตอร์แอนิเมชัน หากใช้เทคนิคการถ่ายภาพหรือวาดรูป หรือ หรือรูปถ่ายแต่ละขณะของหุ่นจำลองที่ค่อย ๆ ขยับ จะเรียกว่า ภาพเคลื่อนไหวแบบการเคลื่อนที่หยุด หรือ สตอปโมชัน (stop motion) โดยหลักการแล้ว ไม่ว่าจะสร้างภาพ หรือเฟรมด้วยวิธีใดก็ตาม เมื่อนำภาพดังกล่าวมาฉายต่อกันด้วยความเร็ว ตั้งแต่ 16 เฟรมต่อวินาทีขึ้นไป เราจะเห็นเหมือนว่า ภาพดังกล่าวเคลื่อนไหวได้ต่อเนื่องกัน ทั้งนี้เนื่องจากการเห็นภาพติดตา ในทางคอมพิวเตอร์ การจัดเก็บภาพแบบแอนิเมชันที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอินเทอร์เน็ต มีหลายรูปแบบไฟล์เช่น GIF APNG MNG SVG แฟลช และไฟล์สำหรับเก็บวีดิทัศน์ประเภทอื่นๆ
สตีฟ จอบส์ หรือสตีเฟน พอล จอบส์ (Steven Paul Jobs) เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน ซีอีโอใหญ่แห่งค่าย Apple Inc.ยักษ์ใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์ ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกของโลก
รวมทั้งเป็น ผู้บริหารระดับสูงของค่ายพิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ (Pixar Animation Studios)ด้วย

 
พิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ (Pixar Animation Studios) หรือ พิกซาร์ เป็นสตูดิโอสร้างคอมพิวเตอร์แอนิเมชันสัญชาติอเมริกัน ตั้งอยู่ที่เมืองเอเมอรีวิลล์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์พิกซาร์มีชื่อเสียงจากการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชันแบบ 3 มิติ และเทคโนโลยีการสร้างภาพคอมพิวเตอร์ 3 มิติระดับสูง โดยมีซอฟต์แวร์ในการเรนเดอร์ที่มีชื่อเสียงคือ RenderMan
บริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์ได้เข้าซื้อกิจการของพิกซาร์เมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 2006 ด้วยวิธีแลกหุ้น การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้มีมูลค่า 7.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ในปีเดียวกัน

Best Pixar Animation Films of All Time by Disneymovieslist

อันดับ  ค่าคะแนนเฉลี่ย   ชื่อเรื่อง  ปีที่เข้าฉาย  อันดับของเว็บอื่นที่จัดอันดับ
 
1. 88.54 Toy Story  (1995) ภาคแรก    (4)     (3)

2. 88.53 Finding Nemo (2003)       (7)    (9)

3. 87.94 Toy Story 3 (2010)    (1)       (  )

4. 87.59 Monster, Inc. (2001)     (9)      (2)

5. 87.48 Up (2009)           (3)     (7)

6. 86.67 Wall-E (2008)      (2)     (1)

7. 86.01 Ratatouille (2007)      (8)     (8)

8. 85.58 The Incredibles (2004)   (5)     (5)

9. 84.53 Brave (2012)          (10)       (  )

10. 84.47 Toy Story 2 (1999)     (6)   (10)

11. 83.16 A Bug's Life (1998)   (11)     (4)

12. 83.09 Cars (2006)    (12)    (6)       (  )

หมายเหตุ  ข้อมูลอ้างอิง www.disneymovieslist.com, www.ign.com, WWW.MOVIESFILMSMOTIONPICTURES.COM  อันดับหน้าแถว อ้างอิงจากเว็บดิสนีย์ ท้ายแถวอ้างอิงจากเว็บ ไอจีเอ็น และมูฟวี่ฟิล์มโมชั่นพิคเจอร์ ตามลำดับ